เรา นั บ ถื อ กันที่อะไร ?
คุณคะ
ฉันเสียศูนย์กับบางเรื่องในชีวิต ฉันไม่แน่ใจว่าจะเรียกอย่างนั้นได้ หรือไม่ แต่คิดว่าคงจะใช่ บางทีที่เราเซจากเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาการเหมือนรถวิ่งกินเลนตลอดเวลา เป็นแบบนั้นน่ะค่ะ เราก็คงต้องตั้งศูนย์ถ่วงล้อกันหน่อย
คงไม่ต่างอะไรกับชีวิตคนเราเมื่อเสียศูนย์ ก็ต้องพยายามจะถ่วงให้มันเดินตรงทาง
วิธีการของคนแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันด้วย ฉันเชื่ออย่างมาก ว่าเราเอาวิธีของใครมาใช้กับเราไมได้ทั้งหมด เพราะองค์ประกอบในชีวิต ตลอดจนเงื่อนไขอื่นๆในชีวิตเรา ย่อมต่างจากชีวิตของผู้อื่นแน่นอน
ฉันคิดว่าไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เรา ต้องมีในชีวิตนี้ ไม่ว่าคุณจะเสียศูนย์ไปแค่ไหน
นั่นคือ ความศรัทธาและนับถือในตัวเอง
ออกจะดูงงๆ ว่าทำไมต้องมีสิ่งนี้ ปกติแล้วเราจะถูกสอนเสมอให้นับถือ บุคคลอื่นๆ จากเหตุที่ว่า เพราะเขาโตกว่าเรา
แต่จริงๆแล้วเมื่อเราโตขึ้นและได้เรียนรู้ เราจะพบว่าบางสิ่งที่ทำให้ เรานับถือหรือศรัทธาคนอื่นๆได้ เพราะเขามีค่าควรแก้การเป็นแบบอย่างเพื่อให้เราเจริญรอยตาม
เป็นต้นว่าคุณงามความดี หรือ การมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับนับถือ การวางตัวอย่างสง่างาม ความสะอาดหมดจดไร้เรื่องติฉินนินทา และอื่นๆ
แต่สมัยนี้องค์ประกอบด้านบนอาจจะดูเชยๆไปบ้าง
เพราะคนสมัยนี้ ไมได้มองกันที่เนื้อในอีกต่อไปแล้ว เขาดูกันที่ 'เปลือก' ค่ะคุณ คุณอย่าเถียงฉันนะ ว่าไม่จริง เพราะฉันเถียงคุณตายเลย ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เชื่อลองดูสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณสิคะ ว่ามันมีบ้างไหม
และเปลือกที่สร้างปัญหาให้กับเรามากที่สุดหนีไม่พ้นเรื่อง 'เงิน'
อ๊าววว จริงนะคะ เขายอมรับนับถือกันที่เงินจริงๆ รถรุ่นใหม่ ของใครเหนือกว่า บ้านหลังใหญ่ ของใครใหญ่กว่า ตำแหน่งใหม่บนนามบัตร โอ้อวดใครได้โก้เก๋กว่า
นี่เรียกว่า 'เปลือก' นะคะ แล้วใครสามารถสร้างเปลือกของตัวเองได้หนาตามากเท่าไหร่ ยิ่งจะกลายเป็นความดูดีมีหน้ามีตาได้มากเท่านั้น
ฉันไม่สงสัยอีกแล้วว่าทำไม 'คนดี' จึงเกิดอาการท้อแท้ ความดีจึงเสื่อมสูญ เพราะเรามองไม่เห็นประโยชน์ของการทำดี เพราะมันยากยิ่งที่จะเข้าใจได้ว่า ทำไมเราทำดี แล้วไม่ได้ดี แต่คนที่ทำไม่ดี กลับเจริญเอาๆ
สุดท้ายแล้วเรานับถือกันที่อะไร คุณลองคิดดูนะคะ
...
ฉันเข้าใจดีค่ะว่าบางครั้งเราต้องมองดูสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วยความขัดเคือง นึกไม่ออกว่าเราจะไปเปลี่ยนสังคมจากดำเป็นขาวได้อย่างไร
แต่ระหว่างความถูกต้องดีงามที่ยังเหลือเอาไว้ยึดมั่น ก็ทำให้เราสามารถอยู่อย่างทรนงสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มากกว่าการกินอิ่มแต่ได้มาอย่างไม่ถูกวิธี หรือ เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เห็นค่าหรือไม่ให้เกียรติผู้อื่น
ไม่รู้สิคะ ฉันเชื่อของฉันอย่างนี้ เชื่อทั้งๆที่ใครๆอาจจะบอกว่า การคิดแบบนี้ 'เชยและโบราณ'
เพราะฉันเชื่อว่าพระพุทธเจ้าสอนเราเรื่องความดีมาตั้งสองพันกว่าปี แล้วไม่ใช่หรือคะ หากมันไม่ใช่เรื่องถูกต้อง บัดนี้มันก็ควรจะเสื่อมสลาย
ทำไมเขาจึงสอนให้เราเป็นคนดี
แต่สังคมทุกวันนี้กลับยกย่องคนที่เปลือกนอก โดยมองข้ามความดีงาม ไปเสียสนิท
...
เพราะผู้คนพากันเพี้ยนไปหมดแล้ว หรือเพราะอะไรกันแน่คะ
ตอบฉันที ???
Create Date : 12 มีนาคม 2552 |
Last Update : 12 มีนาคม 2552 7:55:46 น. |
|
8 comments
|
Counter : 480 Pageviews. |
|
|
|
"มันเป็นเช่นนั้นเอง"
ไม่ว่าความดี ความชั่วมันตั้งอยู่ได้ไม่นาน
มันเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย
ในกาลที่โลกตกต่ำขั้นสุด
เมื่อผ่านมาแล้วก็จะมีความรุ่งเรืองทาง ศีลธรรม ขึ้นมา
แต่จะไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ
มนุษย์จะเข้าใจ อยู่ได้เพียงหลัก ศีล สมาธิ
เหล่ามารทั้งหลายก็จะพากันวิตก อย่างเราวิตก กันว่า
ทำไม มนุษย์ เราเบียดเบียน กันน้อยลง ทำไม่โลกมนุษย์สงบขึ้น
นี่เป็นความวิตกของเหล่ามาร
ก็เช่นเดียวกันกับความวิตก ของเราในขณะนี้ที่ว่า
เหตุใดหนอ มนุษย์จึงสื่อมจากกุศล ทำชั่วกันมากขึ้น
มันจึงเป็นอย่างนั้นเอง
หากเราไม่ต้องมองภายนอก มองเพียงภายในจิตใจ ของเราก่อน
ฝึกอบรม ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่แต่ภายใน
คำตอบ และคำอธิบายทั้งหลายก็จะปรากฎให้เห็น ในเวลาที่เหมาะสมล่ะครับ
ตอบได้แค่นี้ครับ
ไม่รู้ว่าตรงกับใจบ้างหรือเปล่า