It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๒๕

บทที่  ๒๕

ปราชญ์ยุทธ์ฟังคำพูดนั้นเขาเริ่มได้กลิ่นไม่ดีอะไรสักอย่างจากคำบอกเล่าของฝรั่งชื่อเซปัสเตียน คัลเซอร์คนนี้

“สายเกินไปหมายความว่ายังไงครับ”เขาเอ่ยถามทันที

เซปัสเตียนเริ่มเล่าเรื่องราวการทำนาฬิกาเรือนนั้นให้กับชายแปลกหน้าฟังทันที

ในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองประเทศของเขาเข้าร่วมทำสงครามกับประเทศในแถบยุโรปทั้งหมดปู่ของเขาเดินทางไปยังเปรู เพื่อหลบหนีการเกณฑ์ทหารบ้านของเขาไม่มีใครอยากเป็นทหาร

สิ่งที่พวกเขาทำได้คือหลบไปไกลๆจะได้ไม่ต้องเข้าร่วมรบ ทำสงครามกับประเทศใกล้เคียง

ที่เปรูปู่ของเขามีอาชีพเป็นช่างทำนาฬิกานาฬิกาขายดีจน ทำออกมาไม่ทันชาวสเปนโดยส่วนใหญ่จะให้ปู่ของเขาทำนาฬิกาสำหรับพกติดตัวให้วันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาปู่ของเขานำชิ้นส่วนของนาฬิกาบางชิ้นมาให้กับปู่ของเขา

“ฉันจ้างคุณทำนาฬิกาให้ฉันสักเรือน”เธอบอกอย่างนั้น

“ครับ”เขาหยิบชิ้นส่วนพวกนั้นขึ้นมาดู

ชิ้นส่วนเล็กๆที่เขาเห็น มันคงทำได้แค่เข็มนาฬิกาเท่านั้น

“มีเท่านี้หรือครับ”

“หากคุณต้องการอะไรให้บอกกับฉันฉันจะหามาให้ นี่คือค่าแรงของคุณ”หญิงคนนั้นล้วงลงไปในกระเป๋าหยิบตุ๊กตาทำจากทองคำมาวางเอาไว้ตรงหน้าเขา

“จะดีหรือครับค่าแรงผมไม่แพงอย่างนี้”

“ฉันให้คุณ”

“ขอบคุณครับ”

“ถ้านาฬิกาเรือนนี้เสร็จแล้วฉันจะมีค่าแรงให้คุณอีกครึ่งหนึ่ง”

หลังจากที่ตกลงกันเรียบร้อยผู้หญิงคนนั้นเทียวมาที่ร้านของปู่เขาเป็นระยะๆ เพื่อนำอุปกรณ์มาให้และดูความคืบหน้าของการประกอบตัวเรือนนาฬิกากว่านาฬิกาเรือนนั้นจะแล้วเสร็จ สงครามโลกครั้งที่สองก็เริ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นใครหากยังอยู่ในวัยที่สามารถเป็นทหารได้ชายหนุ่มเหล่านั้นจะต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร

ปู่ของเขาจึงติดร่างแหไปด้วยทั้งๆ ที่ยังประกอบตัวเรือน ไม่แล้วเสร็จจากนั้นปู่ของเขาถูกส่งมาทำสงครามที่พม่า และหนีมา ยังเมืองไทย ขายนาฬิกาเรือนนั้นแลกกับเงินจากนั้นจึงหนีกลับประเทศ ฟังดูแล้วไม่ใช่เรื่องดีอะไรที่ปู่ของเขาเป็นชายขี้ขลาดตาขาว หลังจากที่เขาขายนาฬิกาไป สงครามจบลงปู่ของเขาพยายามตามหาคนซื้อนาฬิกา เรือนนั้นเพื่อที่จะตอบแทนเธอ และขอซื้อนาฬิกากลับมา ยังมีอุปกรณ์ อีกหนึ่งชิ้นที่ปู่ของเขายังไม่ได้ใส่ให้กับนาฬิกาเรือนนั้น

นั่นคือสิ่งที่เขานำมันพกติดตัวมาให้กับปราชญ์ยุทธ์ในวันนี้

“ในนี้มีฝาครอบที่ผู้หญิงคนนั้นนำมาให้กับปู่ของผม”

เซปัสเตียนหยิบแป้นหนังมาไว้ในมือเขาจากนั้นจึงแกะมันให้แยกจากกันเผยให้เห็นฝาครอบด้านหลังนาฬิกา

สิ่งที่ทำให้แป้นนั้นมีรอยบุ๋มจนกลายเป็นอักษรอ่านไม่ออกเป็นผลมาจากที่มันปิดทับตัวฝาครอบนาฬิกา ซึ่งมีรอยสลักเอาไว้มันคงอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน จึงทำให้สิ่งที่ห่อหุ้มมันเอาไว้มีลายขึ้นมาเพราะการกดทับ

“มิน่าล่ะผมว่าแล้วเชียว ฝาครอบมันไม่พอดีกับตัวเรือน”

เฮงอุทานออกมาทันทีที่ได้เห็นชิ้นส่วนสุดท้ายของนาฬิกาเรือนที่เขาซ่อมมันมาหลายสิบปี

“ปู่ผมไม่ได้ประกอบมันเพราะกลัวว่าเจ้าของจะไม่ให้เงินงวดสุดท้ายกับเขา ตอนนั้นเป็นช่วงสงคราม แม้แต่ทองยังแทบซื้ออะไรไม่ได้”

“ผมพอเข้าใจเมืองไทยไม่ได้แตกต่างกันมากหรอกครับ”

ปราชญ์ยุทธ์พยักหน้ารับรู้

“ว่าแต่ถ้าเราไม่ได้เอาไปประกอบกันเป็นนาฬิกามันจะเกิดเรื่องอะไรหรือครับ” ธีรัชถามขึ้นทันที

“คนที่เอามาให้ปู่ผมทำเธอบอกว่านาฬิกาเรือนนั้นจะช่วยหยุด ทุกอย่างตามปฏิทินมายากำหนดเอาไว้เมื่อถึงเวลา ยี่สิบสี่นาฬิกาของวันที่ ยี่สิบเอ็ดธันวาคมสองพันสิบสอง วันสิ้นโลกของมายา พวกเราทั้งโลกจะตายกันหมด”

“บ้าน่า”ธีรัชสบถออกมาแรงๆ

“โปรดเชื่อผมเถอะครับอีกไม่กี่วันจะถึงวันสิ้นโลก หากไม่นำมันไปประกอบร่างกันให้ครบ ทุกอย่างบนโลกจะถึงกาลวิบัติ”

“ทำไมคุณถึงเชื่ออย่างนั้น”ปราชญ์ยุทธ์ถามขึ้นเขาไม่คิดว่าฝรั่งตาน้ำข้าวอย่างเซปัสเตียนจะเชื่ออะไรงมงายอย่างที่เขาเห็นนี้ได้ง่ายๆ

“ผมเจอมากับตัวเองวิญญาณมากมายมาทวงให้ผมนำมันมาให้เจ้าของนาฬิกา บอกกับผมว่า หากผมไม่ทำตามที่ปู่ผมสั่งคนในบ้านจะ ไม่เหลือใครอีกเลยผมพยายามทุกอย่าง มาเมืองไทยทุกปี แต่ไร้วี่แวว”

“ถ้ามันจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริงๆเหลืออีกแค่สี่วัน มันจะทันไหมล่ะ กว่าจะเดินทางไปถึงเปรูไม่รู้ว่าป่านนี้ไอ้ทามอยู่ที่ไหนของเปรูด้วยซ้ำ”

“ทาคานาลา”ปราชญ์ยุทธ์บอกกับธีรัชเพื่อให้เขาหายข้องใจ

“ผมรู้จักที่นั่น”เซปัสเตียนบอก “คุณจะไปกับผมไหม ผมมีเครื่องบินส่วนตัว ไม่ต้องไปต่อเครื่องแค่เสียเวลาเติมน้ำมันเท่านั้น”

“ผมคงไปกับคุณไม่ได้คุณพ่อของผมท่านป่วยหนัก นายไปกับเซปัสเตียนได้ไหมธีรัช”

“ครับ”ธีรัชไม่ลังเลอะไร เขารู้ว่าก๋งของเขาคงเห็นด้วยที่เขาจะตามทาฬิดาไปเปรู

“รีบไปกันเถอะเดี๋ยวไม่ทัน”

“แต่ผมไม่มีซีซ่า”

“เรื่องนั้นผมจัดการเอง”เซปัสเตียนไม่มีเวลาเหลือพอที่จะโอ้เอ้อะไรอีกต่อไปสี่วันกับการเดินทางจากไทยไปเปรู ไม่ใช่เรื่องง่ายๆหากเขายังไม่ตัดสินใจไปในเวลานี้ คงไม่ทันเวลาแน่นอน

เซปัสเตียนพาธีรัชมาถึงทาคาใช้เวลาไม่ถึงสองวันเขาเช่าเครื่องบินเหมาลำมาจากประเทศไทย มาต่อเครื่องบินเล็กที่เปรู

พวกเขาเดินทางมายังเขาทาคาด้วยความรีบเร่งคำพูดของปู่เขาบอกเอาไว้ว่า

“เรารวยเพราะเธอหากเราต้องเสียงเงินมากมายเท่าไหร่เพื่อหาเธอให้พบ เราสมควรทำ”

ปู่ของเขาพยายามทำเข็มนาฬิกาเลียนแบบเข็มนั้นพยายามอยู่หลายปียังทำไม่สำเร็จ ถึงจะเหมือนแต่ไม่ใช่เข็มนั้นมีความพิเศษตรงที่มันมีลูกธนูลอยเด่นนูนขึ้นมาจากตัวเข็มอีกชั้นหนึ่ง

พื้นที่แค่ไม่ถึงหนึ่งเซ็นกว้างไม่ถึงหนึ่งมิล ต่อให้เป็นช่างฝีมือดีแค่ไหนไม่มีใครสามารถทำงานละเอียดอย่างนั้นได้ รูปวาดฝีมือปู่ของเขาถูกนำมาใส่กรอปเอาไว้แขวนติดกับข้างฝา เขาเห็นมันมาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเขาเห็นรูปวาดของธีรัชเขารู้ได้ทันทีว่ามันคือนาฬิกาเรือนที่เขาตามหา

คำสั่งสุดท้ายของปู่ทำให้เขาออกตามหามันทุกปี

“เอาของนี้ไปคืนเขาตามหาจนกว่าจะพบ ต่อให้ต้องหมดตัวเราต้องทำไม่อย่างนั้นครอบครัวของเราจะไม่สงบสุข”

เขารู้ความหมายที่ปู่ของเขาบอกได้อย่างดีพ่อของเขาไม่เชื่อคำพูดของปู่ ไม่เคยเดินทางออกตามหาสุดท้ายทั้งพ่อแม่และพี่ชายของเขาต้องมาตายด้วยสาเหตุที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิด

อยู่ๆสายฟ้าผ่าลงมาที่รถซึ่งพ่อ แม่และพี่ชายของเขากำลังขับรถกลับมาที่บ้าน ทั้งๆที่ไม่มีฝนตก ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นเพราะมีไฟฟ้าสถิตในอากาศปริมาณสูงทำให้รถที่วิ่งผ่านมาในเวลานั้นสร้างพลังงานดึงดูดให้เกิดฟ้าผ่าลงมาที่ตัวรถไฟลุกท่วมรถอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ในรถตายทั้งคัน

เขาไม่ได้ไปกับพ่อแม่และพี่ชายเพราะเขาอยู่ช่วยปู่จัดแต่งร้าน ในคืนก่อนวันคริสต์มาส

“เซปัสเตียนมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายกับเขาเมื่อเขาเดินเท้ามาจนถึงทาคานาคา

“เพิ่งมาครับผมมาตามหาคนไทย อยู่หรือเปล่าครับ”

“โน่นลงไปทาคานาลาหลายวันแล้ว”

“หาคนพาผมไปได้ไหมครับผมต้องรีบพบกับเธอ”

น้ำเสียงของเซปัสเตียนนั้นฟังดูร้อนรนแม้ธีรัชจะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดพวกนั้นก็ตาม

“ได้ๆรอก่อนนะ จะไปตามคนนำทางมาให้”

เขารีบเดินจากไปเพื่อทำตามคำของของเซปัสเตียน

“คุณสนิทกับพวกเขาหรือครับ”ธีรัชเอ่ยถาม

“ครับผมสนิทกับพวกเขาปู่ของผมเคยหนีมาอยู่ที่นี่สมัยสงคราม บ้านของท่านอยู่อีกฝั่งของหมู่บ้าน”

เซปัสเตียนชี้ไปยังอีกฝั่งห่างจากที่ พวกเขายืนอยู่

“ครับ”ธีรัชพยักหน้ารับรู้

สักพักคนนำทางของเซปัสเตียนและธีรัชมาถึงพวกเขาจึงหยุดการสนทนากัน พวกเขามุ่งหน้าเดินตามชายคนนั้นลงเขาไปยังทาคานาลาเพื่อพบกับทาฬิดาทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นั้นจริงหรือไม่

ระหว่างทางเดินลงเขาธีรัชพบกับขบวนของใครสักคนเขาสังเกตว่าชายคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งมีคานหามมานั้น ชายนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาพวกเขาหลบทางให้กับคนกลุ่มนั้นวิ่งลงเขาไปราวกับพายุ ไม่ได้กลัวว่าจะหน้าคะมำหกคะเมนกลิ้งตกลงไปยังหุบเหวเบื้องล่างเลยสักนิด

“จะรีบไปไหนกันนะ”เซปัสเตียนถามตัวเอง

“นั่นสิวิ่งเร็วๆ อย่างนั้นตกเขาไปตายยกขบวนแน่” ธีรัชว่า

“ผมว่าที่ทาคานาลาต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆไม่อย่างนั้นขบวนหมอผีคงไม่รีบอย่างนี้”

“หมอผีหมายความว่ายังไงครับ”

“อย่าคิดไปในทางร้ายครับหมอผีหมายถึงผู้ทำพิธีกรรมให้กับ ชนเผ่าไม่ได้เป็นคนทรงเจ้าเข้าผี หรือเลี้ยงผีอะไรอย่างนั้นหรอกครับ”

“อ๋อครับ”ธีรัชพยักหน้าอีกครั้ง

“แต่ปกติหมอผีพวกนี้จะไม่มาที่ทาคานาลาหมอผีแต่ละเผ่าจะทำพิธีเฉพาะเผ่าของตนเท่านั้น”

“คุณรู้ได้ยังไงครับ”

“ชุดของพวกเขาครับแต่ละเผ่าจะมีเครื่องแต่งกายไม่เหมือนกัน”

“อ๋อผมพอเข้าใจแล้ว เหมือนชาวเขาที่เมืองไทยครับ ถึงเราจะเรียกว่าชาวเขาแต่พวกเขามีวัฒนธรรมการแต่งกายที่ไม่เหมือนกัน จะมีเฉพาะพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าใครอยู่เผ่าไหน พวกผมเห็นก็คิดว่าเป็นชาวเขาเหมือนๆ กันทุกคน”

“ครับเป็นอย่างนั้นแหละครับเรารีบไปกันเถอะครับ จะได้รู้ว่าพวกนั้นไปทำอะไรที่หมู่บ้านข้างล่าง” เซปัสเตียนเห็นว่าธีรัชคงหยุดพักจนหายเหนื่อยเขาจึงรีบเดินทางต่ออีกครั้ง ยังอีกไกลกว่าจะถึงทาคานาลาพวกเขาเดินลงมายังไม่ได้ครึ่งทางด้วยซ้ำไป

ในใจของเขาคิดว่าคงเกิดเรื่องร้ายแรงที่ทาคานาลาแน่ๆ เมฆฝนตั้งเค้ามาแต่ไกลไม่นานคงจะตกลงมาอย่างหนัก ส่วนทางด้านล่างอาจจะตกไปแล้วก็ได้ เมฆสีดำๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือหุบเขาเบื้องล่างถ้าโชคเข้าข้างพวกเขาอาจจะไปถึงก่อนฝนตก แต่ถ้าโชคร้ายฝนตกกลางทางเรื่องจะยุ่งไปกันใหญ่

ทาฬิดายืนดูคนของทาคานาลาและเผ่าใกล้เคียงตั้งแท่นบูชาสำหรับทำพิธีกรรมในเย็นวันนี้ มารีเล่าว่าพวกเขาไม่ได้มาทำพิธีให้กับทุติแต่พวกเขามาทำพิธีเพื่อปัดเป่าวิญญาณร้ายให้กับทาคานาลา

ไม่มีใครเชิญหมอผีต่างเผ่ามาที่นี่ทุกคนล้วนมาด้วยตัวเอง เพราะความฝันประหลาด ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาทำให้พวกเขาต้องรีบรุดมายัง ทาคานาลาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

พิธีเริ่มต้นอย่างรวดเร็วหมอผีทุกคนเดินตามๆ กันไป พวกเขาโรยอะไรบางอย่างรอบๆ หมู่บ้านราวกับกำลังทำเขตป้องกันด้วยผงถ่านในมือที่ทาฬิดาเห็น น่าแปลกยิ่งนักเมื่อผงถ่านนั้นร่วงหล่นลงสู่พื้น มันกลายเป็นดอกเห็ดขึ้นมาทันตาเห็น เส้นหลายๆเส้นโรยด้วยผงถ่านนั้น เกิดเป็นสายเห็ดทอดยาวล้อมรอบหมู่บ้านเอาไว้เป็นชั้นๆ

“อะไรคะเขาปลูกเห็ดพิษหรือเปล่า”

“ไม่ใช่หรอกค่ะเขาทำให้พื้นที่หมู่บ้านปลอดภัย เหมือนบริเวณลานหินเทพสุริยาค่ะ”

“อ๋อค่ะ”ทาฬิดาพยักหน้า จริงของมารี หากรอบๆ หมู่บ้านตกอยู่ในอันตราย จะย้ายคนทั้งหมู่บ้านให้มาตั้งกระโจมอยู่ที่ลานเทพพื้นที่เล็กๆคงไม่มีพื้นที่เพียงพอให้คนมากมายอย่างนั้น หมอผีเหล่านี้จึงโรยผงถ่านเป็นเกราะกำบังให้กับคนในหมู่บ้านชั้นนอกสุดเป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ส่วนชั้นในสุดนั้นเป็นพื้นที่พักอาศัยลดหลั่นกันไปตามความสูงของพื้นที่

“พวกเขารู้แล้วใช่ไหมคะว่าจะเกิดเหตุ”

ทาฬิดากระซิบถามมารีอีกครั้ง

“น่าจะใช่ค่ะพวกเขาน่าจะรู้ด้วยตัวเอง”

“แปลกนะคะเขารู้ได้ยังไง หรือว่าเขาฝันเหมือนกับพวกเรา”

“บางครั้งบางเรื่องฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าพวกเขาสื่อสารกันแบบไหน อาจจะมีนกพิราบส่งสารถึงกันหรืออาจจะคุยกันทางโทรจิต”

มารีไม่อาจฟันธงอะไรลงไปในเวลานี้ได้เธอยังไม่ได้พูดคุยกับ หมอผีของเผ่าอื่นเลยสักคนพอมาถึงทุกคนต่างเร่งกันทำพิธีของตัวเอง ไม่มีใคร ยอมปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปง่ายๆเธอจะรอจนกว่าพวกเขาทำพิธี แล้วเสร็จ จึงจะเข้าไปสอบถาม

หมอผีของเผ่าหนึ่งเดินเข้ามาหามารีหลังจากที่เขาทำพิธีเสร็จ

“เจ้าพบนางแล้วใช่ไหม”เขาเอ่ยถาม

“ใครคะ”มารีไม่แน่ใจ นางที่เขาหมายถึงนั้นคือใคร เธอพบกับคนไทยหลายคนในคราวเดียวหากจะบอกว่าพบกับหมอ ก็น่าจะใช่ แต่ถ้าเป็นหมอหมอผีต่างเผ่าผู้คงแก่วิชาคนนี้จะถามถึงพวกหมอไปทำไมกัน

“นางในตำนานนางอยู่ที่นี่” เขาปรายตาไปยังทาฬิดา

ทาฬิดาไม่เข้าใจภาษาที่เขาพูดกับมารีจึงยืนรอนิ่งๆเธอไม่กล้าสอดแทรกคำถามอะไรออกไปในเวลานี้ เกรงจะเสียมารยาท เธอรอให้มารีสนทนากับเขาต่อไปจนจบก่อนจะดีกว่า

“ใช่นางแน่หรือคะ”มารีถามย้ำเพื่อความมั่นใจแม้จะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าทาฬิดาคือหนึ่งในผู้ถูกเลือกในตำนานเพราะทาฬิดาคือคนเดียวที่ครอบครองปลายธนูชิ้นสุดท้าย

“ใช่นางแน่นอนงูร่างเป็นคนอยู่ที่นี่กับเจ้าด้วย งูนั้นไม่เป็นอันตรายกับพวกเราพวกเขามาอย่างมิตร” หมอผีต่างเผ่าบอกคำทำนายนั้นพร้อมกับรอยยิ้มเขาเห็นในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่เห็น รู้ในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่รู้สิ่งที่เขารับรู้ได้คือ คำทำนายในตำนานเป็นเรื่องจริง

“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงฉันจะยินดีเป็นอย่างมาก”

มารียิ้มตอบให้กับหมอผีต่างเผ่า

“เขากำลังจะตามมา”อยู่ๆ หมอผีตรงหน้าเกิดอาการสั่นไปทั้งตัวราวกับกำลังรับรู้ถึงพลังบางอย่างที่กำลังเข้าใกล้กับเขาคล้ายกับแม่เหล็กสองขั้วกำลังผลักพลังงานให้ออกห่างจากกัน

“ยังมีคนตามมาอีกหรือคะ”

มารีไม่แน่ใจว่าคนที่หมอผีต่างเผ่าพูดถึงนั้นคือใครหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ อีกไม่นานเขาที่ว่าคนนั้นคงเดินทางมาถึง

“เขาผู้ที่เราเคารพมานับร้อยๆปีกำลังจะเดินทางลงมาที่นี่ ข้ารู้ข้าเห็นรัศมีของเขามาจากบนนั้น”เขาชี้ไปที่ทางเดินลงจากเขา

ยังไม่ทันที่เขาจะลดมือลงปรากฏร่างชายสามคน เดินมาจาก ทางลงเขานั้น

“เฮ้ยไอ้ฮง”ทาฬิดาร้องลั่น เมื่อเธอเห็นคนที่เดินมาชัดๆ เต็มสองตา ไม่ใช่ใครอื่นไกลเขาคือธีรัชเพื่อนซี้ของเธอนั่นเอง




 

Create Date : 09 กันยายน 2557    
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:46:43 น.
Counter : 842 Pageviews.  

กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๒๔

บทที่  ๒๔

“อะไรนะน้ำท่วม”ทุติตกใจกับข่าวที่เขาได้ยินมา

“ครับน้ำท่วมแถวนั้น เราคงเดินเท้าเขาไปที่นั่นไม่ได้ คงต้องรอให้น้ำลงลงอีกสักหน่อย” คนงานรายงานสภาพที่เขาเห็นกับทุติอีกรอบ

“ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยค่ะนาว่าเราคงต้องรอให้ฝนหยุดตกก่อน แล้วค่อยเข้าไปไม่อย่างนั้นจะอันตรายกับคนของเรานะคะจารย์”

“นั่นสิคะมุจว่าพวกเราอย่างเพิ่งเข้าไปที่นั่นจะดีกว่า สภาพอากาศอย่างนี้ทะแม่งๆอยู่นะคะจารย์”

“ตรีเห็นด้วยกับคุณนาคุณมุจนะคะพวกเรารอไปอีกสักหน่อย น่าจะดีกว่า ฝนตกๆ อย่างนี้ทางในป่าก็ลื่นพวกสัตว์น่าจะหนีน้ำไปอยู่บนที่สูง บนนั้นคงอันตรายหากเราขืนบุ่มบ่ามเข้าไป”

“เฮ้อ..อะไรกันนักหนา อุปสรรค์เยอะจริง” ทุติบ่น

“เราต้องบวงสรวงหรือเปล่า”ตรีทิพย์คิดอย่างนั้น

“นั่นสิเจ้าป่าเจ้าเขาคงไม่พอใจที่เราไปขุดแถวนั้น เราลืมข้อนี้ไปเลยนะคะจารย์”นาลันทาเห็นด้วย”

“อย่าบอกว่าต้องบูชายัญอีกนะผมไม่เอาด้วยหรอก” ทุติทำท่าขยาด เหตุการณ์เมื่อวานเขาลุ้นระทึกแทบลืมหายใจหากต้องนำสัตว์มาผูกเสาเอาไว้อีกรอบ เขาว่าอย่าทำเลยดีกว่า เมื่อวานก็แปลกไม่มีสัตว์ตัวใดอยู่ใต้เงาของหลักเลยสักตัวเขาถามคนงานว่าเคยมีเรื่องแบบนี้บ้างไหม คนงานตอบเป็นเสียงเดียวกันว่านานๆจะมีสักครั้ง ถ้าไม่ใช่ไก่ก็เป็นเป็ด ห่าน หรืออะไรสักอย่างที่เข้าไปอยู่ในเงานั้นบางทีสัตว์ทั้งสิบสามตัวไปกองรวมอยู่ใต้เงาทั้งหมดก็ยังเคยเกิดขึ้นมาแล้ว

“จารย์ไม่ได้ยินที่มารีบอกกับเราหรือคะที่นี่มีเทพรัตติกาล แถมยังมีนกยมทูตอีก ตรีว่าถ้าพวกเราลองติดต่อกับเทพเราอาจจะได้รับการเปิดทางให้เข้าไปง่ายๆ ก็ได้เนอะ พวกคุณว่ายังไง”

ตรีทิพย์พยักพเยิดให้กับนาลันทาและมุจลินทร์

“แล้วใครจะเป็นตัวกลางติดต่อเทพให้พวกเราล่ะ”ทุติพยักหน้ารับรู้ เขาเริ่มคิดโน้มเอียงไปทางสามสาวแล้วเหมือนกัน

“มารี”ทั้งสามสาวพูดเป็นเสียงเดียวกัน

“ต้องลอง”ทุติบอก เขาคงต้องติดต่อกับมารี ให้ทำเรื่องที่พวกเขาตกลงกันในครั้งนี้

“ทำให้พวกเราด้วยเถอะนะมารีพวกเราขอร้อง”

ตรีทิพย์เป็นฝ่ายเปิดประเด็นกับมารีก่อน

“แต่...”มารีอึกอัก เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นการติดต่อกับเทพรัตติกาลซึ่งกำลังหลับใหลเท่ากับเป็นการปลุกเทพให้ตื่นขึ้นมาก่อนเวลาอันควร ที่สำคัญไปกว่านั้นไม่เคยมีใครในเผ่าติดต่อกับเทพรัตติกาลได้ ยกเว้นติดต่อกับกอร่า นกยมทูตตัวนั้น

“น่านะถือว่าพวกเราขอร้องก็ได้” นาลันทาช่วยอ้อนวอนอีกคน

“ฉันทำไม่ได้จริงๆค่ะ ไม่ได้เล่นตัวอะไร พวกเราในที่นี้คงไม่มีใครกล้าปลุกเทพรัตติกาลขึ้นมาแน่นอน”มารียังยืนยันคำเดิม

“ไม่มีจริงๆหรือคะ” นาลันทายังไม่เชื่อในคำพูดของมารีมากนัก คนที่ทาคานาลาหรือทาคานาคาน่าจะมีใครสักคนที่กล้ามากพอ

“ค่ะไม่มี ต่อให้คุณจะเอาเงินมากองไว้ตรงหน้า พวกเราคงไม่มีใครยอมทำนอกจากพวกที่เห็นแก่เงิน ไม่คิดถึงความปลอดภัยของคน ในเผ่าแต่ถ้าพวกเรารู้ว่าใครยอมทำงานนี้ให้กับพวกคุณ คนนั้นคงไม่มีชีวิตรอดอีกต่อไป”

“ร้ายแรงถึงขั้นนั้นเลยหรือคะ”ตรีทิพย์ชักหวั่นใจ เมื่อมารียืนยันหนักแน่นเช่นนี้ พวกเธอคงไม่สามารถขัดขืนได้

“ค่ะถือเป็นโทษสูงสุดสำหรับเผ่าของเรา”

“ทำไมถึงได้โหดร้ายอย่างนั้น”

มุจลินทร์ข้องใจเพียงแค่ปลุกเทพสักองค์ขึ้นมา ทำไมถึงต้องฆ่าแกงกันให้ตายด้วยหรือคนเผ่าทาคาเป็นพวกป่าเถื่อนโหดร้าย

“เราไม่ได้โหดร้ายหรอกค่ะตำนานกล่าวเอาไว้ว่า หากวันใดเทพรัตติกาลตื่นจากหลับใหลวันนั้นคือวันสูญสิ้นของทาคา ผู้ที่สามารถปราบเทพรัตติกาลได้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นคือเทพสุริยาซึ่งพวกเราไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ใดเรารู้เพียงแค่เทพรัตติกาลโดยจองจำให้หลับใหลอยู่ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่เทพสุริยาเป็นผู้สร้างขึ้น”

“ทำไมพวกคุณถึงได้กลัวเทพรัตติกาลกันนักในเมื่อท่านเป็นเทพ”

นาลันทาแปลกใจคำว่าเทพหมาถึงสิ่งที่ผู้คนนับถือเทพต้องเป็นผู้ให้ไม่ใช่สิ่งโหดร้ายในสายตามนุษย์

“อดีตท่านเคยเป็นค่ะแต่เพราะอำนาจมืดครอบงำจิตใจ เทพรัตติกาลจึงกลายเป็นปีศาจร้าย ล่าหัวมนุษย์เพื่อทำให้ตนมีชีวิตอมตะ”

“โหโหดมาก” อัปสรถึงกับตาโตอ้าปากค้าง เธอให้พวกผู้ใหญ่พูดคุยกันมาสักพักใหญ่โดยไม่สอดแทรกเพราะโดนนาลันทาห้ามเอาไว้ แต่พอมารีพูดว่าล่าหัวมนุษย์ทำให้เธอคิดถึงปีศาจพรีเดเตอร์ หน้าตา น่าเกลียดน่ากลัว จับมนุษย์มาถลกหนังศีรษะเพื่อเอาหัวกะโหลกไปเก็บสะสม คิดแล้วถึงกับขนลุก

“เทพผู้ล่าไม่ใช่เทพผู้ให้ จึงกลายเป็นปีศาจร้ายในสายตามนุษย์”

มุจลินทร์สรุปความ

“ค่ะพวกเราจึงไม่มีใครกล้าปลุกขึ้นมาก่อนเวลาที่ทำนายเอาไว้”

“คำทำนายมีว่าอะไรคะ”

“วันแห่งการตื่นฟื้นจากหลับใหล ผู้มาใหม่ มาจากแดนไกลโพ้น มาพร้อมกับ งูยักษ์ร่างเป็นคน ให้สับสนอลหม่านกันมากมาย ผู้ที่หลับ จะตื่น มิต้องปลุก นำความทุกข์ แสนสาหัส กลับมาให้ไม่มีใครลบล้าง เรื่อง อันใด นอกจากใจ ปลดแอกจากตนเอง”

“คุณบอกว่าจะตื่นเพราะงูยักษ์ร่างเป็นคนอย่างนั้นหรือคะ”

“ค่ะ”มารียืนยัน

“ตายโหง”มุจลินทร์สบถออกมาเอาเบาๆ เธอสะกิดนาลันทา

ทั้งสองสบตากันหากสิ่งที่มารีพูดคือความจริง หนึ่งในคำทำนายคือพวกเธอ งูยักษ์ร่างเป็นคนหมายถึงพญานาคกลับชาติมาเกิด เช่น พวกเธอหรือเปล่าหนอ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆอย่างที่พวกเธอคิดเอาไว้

“ยังมีอีกตำนานค่ะเล่ากันต่อๆ มาว่า วันใดที่งูใหญ่พาดผ่านจากยอดทาคาลงมายังเบื้องล่าง เมื่อนั้นทาคาจะล่มสลายพวกเราจึง ลงความเห็นกันว่ากระเช้าไฟฟ้าของคุณหมอศรรักคืองูใหญ่พวกนั้น ส่วนเรื่องงูร่างเป็นคนเรายังไม่เข้าใจว่าคืออะไร” มารีเล่าต่อ

“ที่ผ่านมามีเพียงแค่คำบอกเล่าต่อๆกันแค่นั้นหรือคะ หรือว่า มีอะไรเขียนบอกเอาไว้บ้างหรือเปล่า”มุจลินทร์ไม่คิดว่าการบอกกันต่อๆ ไปเรื่อยๆจะทำให้มีข้อความสื่อสารต่อกันมาจนครบถ้วน

“ไม่มีค่ะเราบอกกันต่อมารุ่นสู่รุ่น แต่รับรองว่าไม่มีเพี้ยนแน่นอน”

“น่าแปลกนะคะอินคาเจริญมากมาย แต่กลับไม่มีตัวหนังสืออะไรบอกกับคนรุ่นหลังเอาไว้เลย”นาลันทาตั้งข้อสังเกต ไม่ใช่แต่เธอเท่านั้นแม้แต่ชาวสเปนที่เข้ามาในดินแดนนี้ยังตั้งข้อสงสัยเหมือนกับที่เธอเป็น

“เป็นความเชื่อของเราค่ะหากเราเขียนบันทึกเอาไว้ ถ้าศัตรู ของเรามาพบ ความลับของเผ่าจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปแต่ถ้าเราบอกกับคนที่ไว้ใจได้ ความลับนั้นยังคงอยู่ และบอกกล่าวกันจากรุ่นสู่รุ่น”

“จะรู้ได้ยังไงคะว่าเล่าเรื่องความลับทั้งหมดได้ครบ ถ้ามันมีเป็นพันๆ เรื่อง ล่ะคะไม่เพี้ยนไปกันใหญ่เหรอ” มุจลินทร์ไม่มั่นใจนัก คนที่ ผูกปมอาจจะผูกคลาดเคลื่อนไปก็ได้หากเป็นอย่างที่มารีบอกจริงๆ แค่หนึ่งมิล เคลื่อนไปสิบคนก็หนึ่งเซ็น ความหมายจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า

“เรามีเชือกปมบอกเอาไว้ค่ะเราจะบอกกันตามลำดับความสำคัญของแต่ละเรื่อง เช่นเรื่องการทำการเกษตรการเลี้ยงสัตว์ พิธีกรรมตามเดือนต่างๆ ที่สำคัญๆ ของเรา สำหรับเรื่องเทพเจ้างูฉันคิดว่าอาจจะเกี่ยวโยงกับดาวหางที่กำลังจะเข้าใกล้โลกของเรามากกว่าค่ะคนในสมัยนั้นอาจจะรู้ว่าจะมีดาวหางมาเยือนอีกครั้งจึงพูดให้คนเข้าใจไปในเรื่องของเทพเจ้าเพื่อให้คนไม่ต้องตกใจกลัวในปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่อาจ คาดเดาได้พวกคุณอย่าคิดมาเลยค่ะ” มารีพยายามพูดให้แขกผู้มาเยือนของเธอเบาใจ ส่วนตัวเธอหนักใจเสียยิ่งกว่าใคร

เธอพยายามไม่คิดถึงเรื่องงูสองตัวที่พุ่งเข้าหาเธอกับมารีเมื่อหลายวันก่อน จากนั้นมันหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนนั่นเท่ากับว่าเธอหาผู้หญิงอีกคนในตำนานพบแล้วส่วนเทพเจ้างูกลายร่างเป็นคนเธอยังไม่รู้ว่าคือใคร

“เคยได้ยินชื่ออนันนาคีไหมคะ”นาลันทาเอ่ยถาม

“ไม่เคยค่ะ”มารีส่ายหน้า

“อนันนาคีคือชื่อของเทพเจ้าในสมัยสุเมเรียนบางคนบอกว่าท่านเป็นมนุษย์ต่างดาวมาที่โลกเพื่อขุดทองเอาไปสร้างชั้นบรรยากาศในดาวของท่านบางคนก็บอกว่าท่านมาจากสวรรค์ เราเป็นคนที่รับฟังมาจาก คนรุ่นโบราณเราไม่มีทางรู้หรอกค่ะว่าท่านคือใคร ที่รู้แน่ๆ คือ ตำนาน น้ำท่วมโลกและผู้ที่มาจากฟากฟ้านั้นมีทุกชนชาติ แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกตำนานเหล่านั้นยังมีความเหมือนกันได้ที่สำคัญคือพวกสุเมเรียนมีอักษรที่ทำจากแผ่นดินเผาเล่าเรื่องราวต่างๆเอาไว้ในนั้นเราจึงมีหลักฐานพอเชื่อถือได้ แต่สำหรับอินคาหรือทาคาแห่งนี้ไม่มีของพวกนั้นอยู่เลย”

“จริงๆแล้วพวกเรามีค่ะ เรามีหุ่นทองคำบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่ชาวสเปนเอาหุ่นพวกนั้นไปหลอมเป็นทองแท่งจนหมดเรื่องเล่าจากอดีตของพวกเราจึงหายไปจากโลกใบนี้”

“น่าเสียดายมาก”นาลันทาครางออกมา

“ทาคายังมีเหลือบ้างไหมคะสักชิ้นหรือสองชิ้นก็ยังดี”

มุจลินทร์เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ ต้องมีหลงเหลือหลุดรอดมาบ้างสิน่าคงไม่มีใครยอมเอาสมบัติของตัวเองไปให้กับต่างชาติจนหมดตัวหรอกนะ

“มีค่ะเป็นเครื่องประดับของผู้นำเผ่า สร้อยคอเส้นนั้นตกทอดมานานมากฉันไม่แน่ใจว่าจะสักกี่ร้อยหรือกี่พันปี”

“ถ้าจะขอดูได้ไหมคะผู้นำจะให้พวกเราถ่ายรูปได้หรือเปล่า”

“ต้องลองสอบถามดูค่ะท่านอาจจะใจดีให้คุณดูก็ได้”

“แล้วลองขอให้ผู้นำเผ่าทำพิธีให้พวกเราไปด้วยเลยนะคะนะๆ คุณมารี พวกเราขอร้อง” ต่อให้อย่างไร นาลันทาไม่ยอมหลงประเด็นแม้จะรู้ว่ามีสร้อยทองของผู้นำเผ่ามาล่อตาล้อใจแต่เรื่องการทำพิธีก่อนจะเปิดพีระมิดนั้น เธอต้องหาคนมาทำให้ได้

“ไม่รับปากนะคะแต่จะลองดู” มารีเริ่มรู้สึกอ่อนใจ นาลันทาและมุจลินทร์ช่างตื้อเหลือเกินให้ตายเถอะ...

ธีรัชนั่งคิดถึงทาฬิดาเขารู้สึกเหงาที่ไม่มีทาฬิดามาบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้เขาฟังใจเขาคิดอยู่ว่านาฬิกาเรือนนั้นคงสำคัญมากสำหรับอดีตนายพล เขาจึงลองวาดรูปคร่าวๆลงบนแผ่นกระดาษ

เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยช่วยก๋งรื้อนาฬิกาเรือนนั้นเขาสังเกตเห็นว่าที่เข็มสั้นของนาฬิกามีลวดลายบางอย่างซึ่งเขาไม่สามารถรู้ว่าคืออะไรเขาค่อยๆ วาดลวดลายนั้นลงบนแผ่นกระดาษตรงหน้า

หัวลูกศรตรงหน้าเขานี้มีขนาดใหญ่กว่าเข็มนาฬิกาเรียกได้ว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าเขาวาดเสร็จจึงวางมันลงบนโต๊ะข้างๆ ตัวเขาจากนั้นจึงนั่งเล่นเกมบนมือถือของเขาไปเรื่อยๆ ลมพัดมาจากที่ไหนสักแห่งทำให้กระดาษที่ธีรัชวางเอาไว้ปลิวว่อนไปไกล ด้วยนิสัยของเขาหากไม่มีรายงานที่เขาเพิ่งจะเขียนเสร็จปนอยู่ในนั้นด้วยเขาคงไม่ต้องลุกขึ้นวิ่งไปเก็บกระดาษพวกนี้แน่

ชายคนหนึ่งเดินผ่านมาบริเวณนั้นพอดีเขาก้มลงเก็บกระดาษให้กับธีรัช สิ่งที่เขาเห็นคือรูปวาดปลายลูกศรลวดลายประหลาดของธีรัชเขาถึงกับอึ้ง

“ขอบคุณครับๆ”ธีรัชบอกกับชายคนนั้น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจึงรู้ว่าคนที่ช่วยเขาเก็บประดาษแผ่นนั้นไม่ใช่คนไทย

“อ้าว”เขาอึงไปพักหนึ่ง

“ไม่เป็นไรครับรูปนี้ของคุณหรือครับ”

ชายคนนั้นถามเป็นภาษาไทยน้ำเสียงแปล่งๆ

“ครับ”ธีรัชพยักหน้ารับ

“เคยเห็นของจริงไหม”

“ครับเป็นเข็มนาฬิกาของเพื่อนผม”

“โอ้วมายก็อด...ขอบคุณพระเจ้า ผมเจอแล้ว”

ชายคนนั้นตะโกนลั่นธีรัชคิดว่าเขาคงเพี้ยน

“คุณพาผมไปหาเจ้าของได้ไหมครับ”

เขาเข้ามาจับต้นแขนทั้งสองข้างของธีรัชเอาไว้แน่น

“เพื่อนผมไม่อยู่ครับไปเปรู”

“โอ้วสวรรค์” ใบหน้าของเขาสลดลงจนเหลือสองนิ้ว

“แต่ผมพาไปหาพ่อของเพื่อนได้ครับ”

“ไปเวลานี้เลยได้ไหมครับผมใจร้อน”

เขาเร่งธีรัชทันทีด้วยแววตาลิงโลด

“ครับๆผมขอไปเก็บกระเป๋าก่อน แล้วจะพาไป”

ธีรัชชักงงอยู่ๆ ชายต่างชาติเข้ามาหาเขา อยากจะตามหาเจ้าของนาฬิกา โลกช่างกลับกันเสียจริงทาฬิดาพกนาฬิกาไปเปรู ส่วนชายคนนี้มาจากไหนเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำมาตามหานาฬิกาเรือนนั้น

บังเอิญมากไปหรือเปล่าที่เขาอยากเขียนรูปของมันขึ้นมาในวันนี้แถมยังบังเอิญซ้ำซ้อนที่ลมพัดรูปของเขาไปตกอยู่ต่อหน้าชายแปลกหน้า

“ผมลืมไปขอโทษครับ ผมชื่อเซปัสเตียน คัลเซอร์ มาจากสเปนครับ” เขายื่นมือมารอรับมือของธีรัช

“ครับเรียกผมง่ายๆ ว่าธีรัชครับ” ธีรัชจับมือของเขาเบาๆ

“ป๋าผมมีเพื่อนมาหาป๋า”

ธีรัชพาเซปัสเตียนเดินเข้าไปในร้านขายนาฬิกาของเขา

“อะไรตี๋”ผู้สูงวัยกว่าเงยหน้าจากการซ่อมนาฬิกาขึ้นมามองหน้าลูกชายของเขา

“เพื่อนผมป๋าบอกว่าเป็นคนทำนาฬิกาของไอ้ทามมันปู่ของเขาเป็นคนประกอบเรือนที่ผู้หญิงคนหนึ่งเอามาให้แล้วบอกว่าให้ทำเป็นนาฬิกาให้ด้วย ผมดีใจแทบตายที่เจอเขา โคตรบังเอิญเลยป๋า”

“รอเดี๋ยวนะจะไปเรียกก๋งแกให้” เขาดีใจจนทำอะไรไม่ถูกทางเดียวที่เขาทำได้คือเดินเข้าไปพาบิดาของเขามาพบกับแขก ไม่ใช่สิฝรั่ง ผู้มาเยือนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาสมควรดีใจใช่ไหม

เฮงเดินออกมาพร้อมกับลูกชายของเขาเขานั่งบนเก้าอี้ด้านหลังเคาเตอร์วางขายนาฬิกาจากนั้นธีรัชจึงแนะนำให้เขารู้จักกับเซปัสเตียน

“นี่ก๋งผมครับท่านเป็นคนรับซื้อนาฬิกาจากผู้หญิงที่เอามาขายให้ท่าน ก๋งครับนี้เซปัสเตียนครับเขาบอกว่าปู่ของเขาเป็นคนทำนาฬิกาเรือนนั้น แต่ต้องมาทำสงครามแล้วหนีทหารญี่ปุ่นไม่รู้จะเอาเงินที่ไหน ก็เลยเอานาฬิกามาขายให้คนไทยพอกลับไปปู่เขารู้สึกผิด พยายามกลับมาหาผู้หญิงที่เขาขายนาฬิกาให้แต่ปรากฏว่าบ้านของผู้หญิงคนนั้นถูกระเบิดพังราบ สืบมารู้ว่าเธอย้ายครอบครัวหนีสงครามไปอยู่ที่อื่นไม่สามารถจะตามตัวพบ เขามาเมืองไทยทุกปี เพื่อตามหานาฬิกาแทนปู่ของเขา”

“ไปเจอกันได้ยังไง”ผู้สูงวัยเอ่ยถาม

“เขาคิดว่าที่มอผมมีพิพิธภัณฑ์นาฬิกาอาจจะมีนาฬิกาเรือนของปู่เขาอยู่ด้วย แล้วบังเอิญผมวาดรูปนาฬิกาเรือนนั้นพอดีเขายังมีรูปตอนที่ปู่เขานั่งทำนาฬิกาด้วยครับก๋ง เขาถ่ายมันตอนทำเสร็จเรียบร้อย เพื่อเป็นแบบให้กับลูกค้าคนอื่นๆนี่ไงครับปู่”

ธีรัชยื่นภาพถ่ายเก่าๆหลายใบให้กับก๋งของเขา

เฮงหยิบรูปพวกนั้นขึ้นมาดูเขารู้ได้ทันทีว่าชายในรูปที่เขาเห็นเป็นคนทำนาฬิกาเรือนนั้นขึ้นมาจริงๆ

“น่าเสียดายนาฬิกาเรือนนั้น คุณหนูทามใส่ไปเปรู”

“นั่นสิครับผมเสียดายมาก ผมมีบางอย่างจะเอามาให้กับเจ้าของนาฬิกาด้วย”

“อะไรครับ”ธีรัชรีบถามทันที

“ผมคงบอกอะไรพวกคุณไม่ได้ถ้าไม่ได้พบกับเจ้าของนาฬิกา”

เซปัสเตียนอึกอักเล็กน้อย

“ได้ๆผมจะพาคุณไปหาเจ้าของที่แท้จริง เดี๋ยวนี้เลย”

เฮงรีบเดินออกมาจากหลังเคาเตอร์

“ไปเอารถมาพาก๋งไปหาท่านนายพลที่โรงพยาบาล ท่านจะได้สบายใจเสียที” เฮงสั่งหลานชายของเขา

“ครับปู่”ธีรัชรีบทำตามคำสั่งนั้น เขารู้ดีพอๆ กับก๋งของเขาอดีตนายพลใหญ่รอคอยที่จะได้พบกับคนทำนาฬิกาเรือนนี้มาทั้งชีวิตในเมื่อทายาทมายืนอยู่ตรงหน้า ทำไมพวกเขาจะไม่รีบพาไปพบก่อนที่คนป่วยจะไม่มีแรงหายใจ

ทรงธรรมยังนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้มีปราชญ์ยุทธ์ลุกชายของเขานั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง

เฮงเข้าไปพร้อมกับธีรัชและเซปัสเตียนผู้อ่อนวัยกว่าแม้จะมียศเป็นถึงนายพล ยกมือไหว้เฮงทันทีที่เห็นหน้าเขา

“หลับหรือครับ”เฮงเอ่ยถาม

“ครับคุณอามีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผมพาหลานของคนทำนาฬิกาเรือนนั้นมาพบท่านครับ”เฮงบอกด้วยความเกรงใจ เขารู้ว่าทรงธรรมอาการไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

“เหรอครับ”ปราชญ์ยุทธ์ดีใจจนหาอะไรเปรียบไม่ได้พ่อของเขาพยายามตามหาคนทำนาฬิกาเรือนนั้นมานานบทจะพบแทบไม่น่าเชื่อว่าจะง่ายดายอย่างนี้

“ผมเซปัสเตียนครับ”

ชายหน้าตาฝรั่งจ๋าทักทายนายพลใหญ่แห่งกองทัพไทย

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณพ่อผมท่านคงดีใจมากที่รู้ว่าคุณมาพบท่าน น่าเสียดายท่านหลับอยู่ว่าแต่คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงได้มาพบกับท่าน”

“ผมมีของบางอย่างที่จะให้ท่านครับ”เซปัสเตียนล้วงกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกของเขา หยิบถุงกำมะหยี่เล็กๆสีน้ำเงินใบหนึ่งออกมา

“อะไรครับ”

“มันเป็นสายเก่าครับก่อนที่จะเปลี่ยนสายเป็นสายปัจจุบัน”

เขายื่นถุงเล็กๆให้กับปราชญ์ยุทธ์

ในนั้นมีสายหนังเก่าๆเส้นหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าทำจากหนังสัตว์อะไร บริเวณตรงปลายสายด้านหัวเข็มขัดนั้นมีวัตถุสีทองสลับแดงหรืออาจจะเป็นสีเลื่อม มองต่างมุมทำให้เกิดการเปลี่ยนสีระหว่างกลางสายทั้งสองเส้นมีแป้นคล้ายกับเป็นเครื่องกันกระแทกหรือกันไม่ให้เหงื่อของผู้ใส่สัมผัสกับตัวเรือนตรงปลายนั้นมีที่สำหรับสอดสายให้ลอดออกไป

เขาหยิบมันออกมาพลิกดูด้านหลังของแป้นนั้นมีข้อความและรูปภาพที่เขาไม่สามารถเข้าใจมันเลยสักนิด

“ขอบคุณครับ”

“น่าเสียดายนะครับที่มันไม่ได้กลับไปอยู่กับนาฬิกา”

“ครับผมต้องขอโทษด้วยจริงๆลูกสาวผมใส่มันไปเปรู”

“ผมทราบแล้วครับธีรัชบอกกับผม ผมต้องรีบนำมาให้คุณก่อนที่มันจะสายเกินไป”




 

Create Date : 09 กันยายน 2557    
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:46:01 น.
Counter : 460 Pageviews.  

กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๒๓

บทที่  ๒๓

“ขำล่ะสิเรา”โกกนทหันไปถามมารี

“ค่ะ”มารีตอบสั้นๆ

“แบบนี้แหละลูกคนเดียวไม่มีเพื่อนเล่น พ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยอยู่กับคุณยายก็เลยติดผ้าเน่าตั้งแต่ยังเล็กๆ”

“ค่ะ”คำตอบนั้นแม้จะสั้นแต่แฝงไปด้วยความขบขัน แววตาของมารีบอกกับโกกนทเช่นนั้น

“ต้องฝากอีกสักคืนนะคะรบกวนคุณด้วย บอกตามตรงนะคะ หมอเกรงใจคุณเหลือเกินที่ทามรบกวนคุณให้ต้องมาลำบาก”

“ด้วยความยินดีและเต็มใจค่ะที่ฉันทำยังน้อยกว่าที่คุณหมอทำให้กับเผ่าของฉัน”

“เป็นหน้าที่ของหมอค่ะที่ต้องดูแลคนเจ็บคนป่วย”

“หมอคะคืนนี้อย่าออกจากที่พักนะคะ ถ้าไม่จำเป็น”

“ทำไมหรือคะ”

“มีบางอย่างซึ่งไม่สามารถอธิบายได้กำลังคืบคลานเข้ามาในหมู่บ้านค่ะฉันและท่านหมอประจำเผ่ารวมถึงหัวหน้าเผ่ากำลังจะจัดการกับมัน”

“เสียงนกเมื่อคืนตัวนั้นหรือเปล่ามันทำร้ายคนในหมู่บ้านหรือคะ”

“มันไม่ได้ต้องการทำร้ายใครเลยค่ะนอกจากทาฬิดา”

“คุณว่าอะไรนะมันจ้องทำร้ายทามจริงหรือคะ”

“ค่ะเมื่อคืนมันสะกดทาฬิดาให้อยู่ใต้อำนาจของมัน ทั้งๆที่ฉันพาเธอไปนอนในเขตเทพเจ้าแล้ว พลังของมันแรงเกินกว่าที่จะต้านเอาไว้ได้จริงๆค่ะ”

“ทามรู้เรื่องนี้ไหมคะ”

“ไม่ค่ะฉันไม่ได้บอกเธอ แต่กว่าจะทำให้สงบลงได้ ต้องลงไม้ลงมือกันนิดหน่อย”

“หมายความว่าที่ทามปวดต้นคอเป็นฝีมือของคุณ” โกกนทเลิกคิ้วถาม แววตาขบขันของเธอนั้นพลิ้วไหวมิน่าล่ะระหว่างที่เธอสอบถามอาการของทาฬิดา มารีจึงนั่งกลั้นหัวเราะเอาไว้

“ค่ะฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำรุนแรงเกิดกว่าเหตุ”

มารีก้มหน้ายอมรับผิดในสิ่งที่เธอทำไปโดยพละการหากไม่ทำเช่นนั้นคนที่จะได้รับอันตรายน่าจะเป็นทาฬิดา สู้ให้เจ็บตัวเพราะเธอดีกว่าไปเจ็บตัวเพราะเจ้านกกอร่าตัวนั้น

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะฉันเข้าใจคุณ แต่ครั้งหน้าเบามือลงอีกนิดก็ดีนะคะ เหมือนจะระบมไปทั้งไหล่ทั้งคอมือหนักเอาการเหมือนกันนะคุณ”

มารียิ้มและหัวเราะออกมาไม่ต้องปิดบังอีกต่อไปช่างโชคดีเหลือเกินที่หมอโกกนทเข้าใจในสิ่งที่เธอทำหากเป็นคนอื่นคงต้องอธิบายกันอีกยาว

ทุติและพรรคพวกกลับมาถึงหมู่บ้านในเวลาเกือบค่ำงานเปิดหน้าดินชั้นแรกของเขาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แถมด้วยการตัดต้นไม้รกๆให้ออกไปจากแนวการขุดสำรวจของเขา

หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงที่พักกำลังจะเดินไปยังโรงอาหารของเผ่า ฝนตกลงมาทั้งๆ ที่ไม่มีเค้าว่าจะตกทำให้พวกเขาต้องตากฝนไปยัง โรงอาหาร

“ฝนตกหนักไม่เป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ”ทุติบ่น

“นั่นสิคะทำไมตกหนักอย่างนี้ไม่รู้ น้ำจะท่วมหรือเปล่า”

“นั่นสิน่ากลัวจัง ที่นี่เคยมีน้ำท่วมไหมมารี”

มุจลินทร์หันไปถามเจ้าถิ่น

“เคยค่ะแต่ลดระดับเร็ว แถวนี้มีถ้ำใต้ดิน รองรับน้ำได้มาก หากน้ำไม่ไหลมาเร็วจนเกินไป”

“ที่นี่มีถ้ำด้วยเหรอพวกเราเข้าไปดูได้ไหม”

“ถ้ำเป็นสถานที่ต้องห้ามของคนนอกเผ่าค่ะเราไม่เคยให้ใครเข้าไป ถ้าไม่จำเป็น”

“แย่จริง”ทุติบ่น เขามักจะอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นแต่ถ้าเป็นการล่วงล้ำสิ่งที่คนในพื้นที่หวงห้ามเขาจะไม่ทำ

“นาว่าจารย์ขุดพีระมิดของจารย์ให้เสร็จก่อนดีกว่าค่ะเรื่องถ้ำค่อยว่ากันทีหลัง กว่าเราจะทำพีระมิดเสร็จน่าจะเกือบปี ไหนจะต้องขุดหน้าดินเข้าไปสำรวจด้านในแค่นี้นาว่าจารย์คงไม่มีเวลาเหลือแล้วล่ะ”

นาลันทาพยายามดึงความสนใจของทุติกลับมา

“นั่นสิแค่เดือนเดียวคงทำไม่เสร็จ”

“แล้วเราจะกลับมาใหม่ค่ะ”มุจลินทร์ว่า

“ทำไมฝนถึงได้ตกหนักอย่างนี้นะตกแบบนี้น่ากลัวจังว่าไหม”

ทุติไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่เขาพูดค้างเอาไว้อีกเรื่องสำคัญกว่าตรงหน้าคือ ฝนตกไม่หยุดตั้งแต่พวกเขากลับมา จนกระทั่งถึงตอนนี้

“อยู่ในหุบเขาอย่างนี้อันตรายเหมือนกันนะดินถล่มโคลนถล่ม เราไม่มีทางรู้ได้เลย”

“ปากหรือนั่นไอ้ศรพูดเรื่องดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไงแก”

“แกจะให้ฉันพูดไปทำไมล่ะในเมื่อมันเห็นๆ กันอยู่ว่าอันตราย ระวังเอาไว้ก่อนน่าจะดีรู้เขารู้เรารบร้อยชนะร้อยนะไอ้นท ถ้าเราอพยพชาวบ้านออกไปทันเราอาจจะไม่มีอันตรายอะไรก็ได้”

“จริงของหมอศรนะนทจำวันที่เรามาคืนก่อนได้ไหม วันนั้นก็ฝนตกหนักอย่างนี้ ตกไม่ลืมหูลืมตาพี่ยังกลัวว่าน้ำป่าจะไหลมาเหมือนกัน โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“แสดงว่าเคยตกหนักอย่างนี้มาแล้วหรือคะ”นาลันทาเอ่ยถาม

“ค่ะครั้งก่อนที่พวกเราลงมาทำคลอดฝนก็ตกหนักอย่างนี้แหละค่ะคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกอย่างแม่น้ำอยู่ต่ำกว่าหมู่บ้านมาก ถ้าที่นี่มีถ้ำใต้ดินระบายน้ำจริงๆอย่างที่มารีบอก คิดว่าพวกเราคงไม่เป็นอะไร”

โกกนทให้กำลังใจอีกหลายๆคนที่อยู่ร่วมกับเธอ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราก็เบาใจค่ะคุณหมอ เรากลัวน้ำหลากมากกว่าฝนตกค่ะ”

“หมอเข้าใจค่ะบางครั้งเราก็อย่าตื่นตูมไปก่อนที่เรื่องจะเกิดค่ะ บางทีเรื่องคงไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดอีกอย่างคือ หากเราจะเดินทางขึ้นไปที่ทาคานาคาในเวลานี้คงลำบาก ต้องรอให้ฝนซาลงอีกสักนิดเรามีเด็กมาด้วย การเดินทางน่าจะลำบากกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เราก็นอนสูงๆเอาไว้ก่อน เผื่อเหลือเผื่อขาด”

“แล้วอย่างนี้พี่ทามจะไปนอนที่ไหนล่ะคะ”พิมมาดาเอ่ยถาม สองคืนมาแล้วที่ทาฬิดากางเต็นท์นอนที่ลานกลางหมู่บ้านคืนนี้ฝนตกหนัก ทาฬิดาจะไปนอนที่ไหนกันหนอ

“นั่นสิทามเราจะไปนอนที่ไหนล่ะ” โกกนทเกิดคำถามเหมือนกับพิมมาดา

“นอนเปลค่ะ”

“หือเราจะไปนอนเปลที่ไหน”

“เอาเรือมาผูกเป็นเปลมังคะ”

“บ้าน่าทามไม่คิดจะนอนปกติ เหมือนมนุษย์ทั่วไปเขาบ้างเลยหรือไง จะใช้ชีวิตพิสดารไปถึงไหนกัน”

“ทามเปล่าใช้ชีวิตพิสดารสักหน่อยมีคนบอกทามอย่างนั้นนี่คะ ว่าคืนนี้ทามต้องนอนเปลทำจากเรือ”

“ใคร”โกกนทขึ้นเสียงสูง เป็นอันรู้กันว่าเธอกำลังโกรธ

ทาฬิดาชี้ไปที่มารีอีกคนจึงก้มหน้างุด ไม่ยอมสบตากับโกกนท

“ที่คุณบอกว่าทามกำลังมีอันตรายฉันพอเข้าใจ แต่ไอ้ความคิดบ้าๆ นั่นบอกฉันหน่อยไหมมันจะเป็นถึงขนาดนั้นเลยหรือไงคะ”

“ค่ะจำเป็นมาก ถ้าคุณทาฬิดาไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กับหินเทพเจ้าสุริยา เธอจะมีอันตรายเจ้านกกอร่าจะมาเอาชีวิตเธอ”

“นกอะไรจะบุกเข้าไปในบ้านได้”

“คุณรู้จักกอร่าน้อยเกินไปมันเป็นนกที่มีสมอง ฉลาดพอๆ กับมนุษย์ ที่สำคัญไปกว่าสิ่งอื่นใด กอร่าเป็นนกยมทูตเจ้านายของมันคือเทพรัตติกาล มันจะทำตามคำสั่งของเจ้านายมันเท่านั้น” มารีจริงจังกับสิ่งที่เธอพูดเธอไม่บังคับให้ใครเชื่อคำพูดของเธอ ความเชื่อกับความเป็นจริงบางครั้งอาจเป็นสิ่งที่สวนทางกัน ความจริงคือสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้แต่ความเชื่อไม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้ในทันทียกเว้นว่าจะเกิดเหตุการณ์ให้เห็นกันจะๆ คาตา ความเชื่อนั้นจึงจะกลายเป็นความจริง

“หา..”อัปสรถึงกับร้องออกมาจนอ้าปากค้าง

“กอร่าไม่ได้เป็นอันตรายกับมนุษย์ทุกคนหรอกค่ะอย่างที่บอก มันจะทำตามคำสั่งของนายมันเท่านั้น กับมนุษย์คนอื่นๆ มันจะไม่สนใจหากนายของมันไม่ได้สั่ง ยกเว้นว่า...”

มารีหยุดไปนิดหนึ่งทำให้ทุกคนที่รอฟังอยู่ถึงกับลืมหายใจ

“ยกเว้นนายของมันจะสั่งให้ฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องพวกเราจะต้องตายกันหมด”

“โหใจร้ายจัง” อัปสรถึงกับโอดครวญทันทีที่มารีพูดจบ

“ถ้าอย่างนั้นเราสมควรที่จะไปนอนที่ลานกันให้หมดเลยดีไหมคะเพื่อความปลอดภัย” เด็กน้อยพิมมาดาเสนอ

“ไม่ได้หรอกลูกหนูเราอย่าไปทำให้มารีเดือดร้อน พวกเรามาดี ไม่ได้มาร้ายมาเพื่อรักษาคนป่วยคนเจ็บ หากเทพเจ้าท่านรู้ ท่านคงไม่ ทำอะไรพวกเรา อีกอย่างคือ เรามาที่นี่ทุกปีเราไม่เคยทำอะไรลบหลู่ท่าน ท่านอาจจะเห็นใจเราก็ได้น้าว่าพวกเรากลับไปนอนที่บ้านพักเหมือนเดิม ส่วนทาม ทามกลับไปพร้อมกับมารีพี่ไม่รู้หรอกนะว่าทามไปทำอะไร กับใครเอาไว้พี่ว่า ทามต้องเป็นคนแก้ไขเรื่องทั้งหมดของทามเอง ทามเลือกเอาว่าจะหนีไปตลอดหรือจะเลือกเผชิญหน้ากับปัญหา”

โกกนทตัดสินใจแทนทุกคนเพื่อตัดปัญหาที่จะตามมา

ทุติพยักหน้าเห็นด้วยทุกคนจึงทยอยกันกลับไปยังบ้านพัก โดยมีผ้าพลาสติกผืนใหญ่ที่มารีเอามาแจกให้กับทุกคนใช้สำหรับคลุมตั้งแต่ศีรษะไปถึงปลายเท้าเพื่อป้องกันน้ำฝนและลมกระโชก

“ตกลงเราต้องกลับไปนอนที่นั่นจริงๆหรือคะ” ทาฬิดาเอ่ยถาม

“ค่ะแต่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันให้คนทำที่พักชั่วคราวเอาไว้ให้เราแล้วฉันคิดว่าการนอนในเต็นท์อาจจะทำให้คุณอึดอัด ที่พักชั่วคราวไม่ได้แข็งแรงอะไรมากนักแต่คิดว่าเราสองคนนอนกันได้สบายๆ และอบอุ่นด้วย”

“อยากเห็นแล้วสิคะว่าเป็นยังไง”

“มาค่ะตามมา” มารีเดินนำทาฬิดากลับไปยังลานกลางหมู่บ้าน แม้จะมืดไปสักนิดเพราะไม่มีแสงไฟส่องสว่าง แต่แสงจากตะเกียงเจ้าพายุในมือของมารีช่วยส่องทางเดินให้กับทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี

ทาฬิดาเห็นสถานที่ซึ่งเธอต้องใช้สำหรับนอนพักในคืนนี้ลักษณะนั้นคล้ายกับกระโจมของพวกอินเดียนแดง ใช้ไม้ขนาดสูงราวๆ สักสามเมตรสี่ท่อนนำมาผูกติดกันตรงปลายสุด รัดด้วยเชือก หุ้มด้วยผ้าพลาสติกอย่างหนาส่วนบนสุดนั้นมีอุปกรณ์ลักษณะคล้ายหมวก ปิดครอบเอาไว้ป้องกันน้ำฝนหยดลงไปด้านในกระโจม ที่สำคัญไปกว่านั้นคือที่นอนของพวกเธอเป็นเหมือนเปลกลมๆ ผูกเอาไว้กับไม้ด้านบนสุด ปล่อยทิ้งลงมาแต่ไม่ถึงพื้นดินมันสูงกว่าพื้นราวๆ สักฟุตกว่าๆ มันจึงสามารถแกว่งไปมาได้

บนเปลนั้นยังมีผ้านวมอย่างดีปูรองเอาไว้ชั้นหนึ่ง มีหมอนและ ผ้าห่มให้กับพวกเธอทั้งสองคน

“เป็นไงคะพอใจไหมที่พักของเรา”

“ทำไมไม่ทำแบบนี้แต่แรกล่ะคะปล่อยให้นอนในถุงนอนมาตั้ง สองคืน”

“คุณเป็นคนบอกเองว่านอนเต็นท์ฉันก็เลยต้องจัดตามที่คุณบอก แต่วันนี้ฉันคิดว่าฝนจะตก ก็เลยให้คนมาทำที่พักชั่วคราวตามแบบของ เผ่าเราเอาไว้ให้ พอจะนอนได้ไหมคะ”

“ใครว่าพอนอนได้คะนอนได้สบายเลยแหละ ว่าแต่รับน้ำหนักสองคนได้หรือเปล่าเนี่ย”

ทาฬิดาเข้าไปจับสายเชือกเปลนั้นดึงดูความแข็งแรง

“สิบคนยังไหวเลยค่ะ”

มารีนั่งลงเพื่อให้ทาฬิดาเห็นว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นแข็งแรงจริงๆ

“ลมมาแรงๆมันจะปลิวไหมคะ”

“ไม่หรอกค่ะเราทำสองชั้น อีกอย่างไม้สี่ท่อนนี้ก็หนักมาก คิดว่าคงไม่ปลิวง่ายๆเมื่อก่อนพวกเรานอนในกระโจมแบบนี้แหละค่ะแต่เราจะมุงด้วยหญ้าไม่ได้คลุมด้วยพลาสติกอย่างนี้ฝนที่นี่บทจะตกก็หนักจนน้ำเจิ่งนองไปทั่ว พวกเราจึงต้องยกที่นอนให้สูงเข้าไว้ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมบ้านของพวกเรา”

“แล้วทำไมถึงเปลี่ยนรูปแบบไปล่ะคะ”

“มีคำสั่งไม่ให้ตัดไม้จากที่เคยต้องใช้ไม้ต้นใหญ่มาทำเสา พวกเราก็เลยเปลี่ยนมาใช้หินและไม้ไผ่แทนบ้านจึงเป็นแบบที่พวกคุณเห็น”

“เห็นที่นอนชักจะง่วงแล้วสิค่ะ”

“หนาวหรือเปล่าคะจะได้เติมไฟ”

มารีหยิบท่อนไม้เล็กๆมาถือเอาไว้ในมือ

“ถ้าคุณหนาวตามสบายเลยค่ะว่าแต่ควันจะไม่รมพวกเราตายในนี้หรือคะ”

“ไม่หรอกค่ะเราทำปล่องให้ควันออกไปทางด้านนี้เห็นไหมคะ ควันจะไม่รบกวนเราเตาไฟให้ความอบอุ่นและน้ำร้อนๆ แค่นั้น ดื่มชาโคคาสักนิดดีไหมคะ”

“ดื่มแล้วไม่ตาค้างแน่นะ”

“ดื่มให้หลับสบายผ่อนคลายค่ะตาไม่ค้างหรอก”

มารีรินน้ำชาจากกาในเตาไฟยื่นให้กับทาฬิดา

น้ำชาร้อนๆช่วยให้ทาฬิดาไม่รู้สึกเย็น เหมือนครั้งแรกที่เธอเดิน ฝ่าฝนมาที่นี่ดื่มแล้วรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่มารีบอกเอาไว้จริงๆ

“ดีขึ้นจริงๆค่ะ ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าจะหนาวตายแล้วเสียอีก”

“ถ้าแค่นี้บ่นหนาวหากคุณมาฤดูหนาวคงบ่นยิ่งกว่านี้”

“ฤดูหนาวหนาวมากเลยหรือคะ”

“หนาวจับใจบนยอดเขาหนาวจนจะแข็ง บางวันมีหิมะตก”

“ที่นี่ดูไม่น่าจะหนาวได้ขนาดนั้นเลยนะคะ”

“มองดูเหมือนไม่หนาวทั้งๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากเส้นศูนย์สูตร แต่ที่นี่เป็นที่ราบสูง ภูเขาแถวๆนี้สูงจากระดับน้ำทะเลสามพันกว่าเมตร ที่ทาคานาคาสูงสามพันเมตร ส่วนที่นี่ สูงราวๆสองพันห้าร้อยเมตร ทั้งๆ ที่เป็นหุบเขา คุณก็เห็นแล้วนี่คะ ว่าแถวนี้มีช่องลมหากลมพัดมาจากทิศตะวันตก เราจะหนาวมาก ยิ่งถ้าวันไหนมีเมฆบนท้องฟ้า ปิดบังแสงแดดเรายิ่งหนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวทั้งๆ ที่เป็นฤดูร้อน”

“ความสูงอย่างนี้ทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนไปได้เหมือนกันเนอะตอนแรกคิดว่าที่นี่จะเป็นเหมือนป่าฝนทั่วๆ ไป ที่เมืองไทยของฉันบนยอดดอยอินทนนท์อย่างมากก็มีแค่น้ำค้างแข็งเท่านั้น ไม่ถึงกับมีหิมะตก”

“ฉันว่าเมืองไทยของคุณมีอากาศดีที่สุดแล้วค่ะไม่ร้อนมากจนถึงกับเป็นทะเลทราย ไม่หนาวมากจนแข็ง ทางตอนใต้ของเรา เวลามีพายุทรายทุกคนจะต้องหลบอยู่แต่ในบ้าน ไม่ให้ทรายร้อนๆ พัดโดนตัว เพราะมันจะเผาเราได้”

“ถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ”

“ใช่ค่ะคุณลองคิดดูก็แล้วกัน ไข่ยังสุก ประสาอะไรกับผิวคนจะทนความร้อนอย่างนั้นได้อย่างไร”

“พอหนาวก็หนาวจับใจพอร้อนก็ร้อนจนไหม้ว่างั้นเถอะ”

“ค่ะพร้อมที่จะนอนหรือยังคะ พรุ่งนี้ฉันคิดว่าพวกเราคงต้องมีอะไรทำกันอีกแน่ๆพักผ่อนให้มากๆ จะได้มีแรงค่ะ”

มารีรับแก้วน้ำชาจากมือของทาฬิดาไปวางเอาไว้ใกล้ๆกับเตาไฟ จากนั้นจึงมานั่งบนชิงช้าซึ่งแปรสภาพเป็นเตียงคู่กับทาฬิดา

“ขอนอนกอดอีกคืนนะคะ”

ทาฬิดาล้มตัวลงนอนพร้อมกับบอกความต้องการของเธอ

“อย่าเห็นฉันเป็นผ้าเน่าของคุณก็แล้วกันค่ะนอนน้ำลายยืดอย่างนั้น ไม่ไหวเหมือนกันนะ ฉันกลัวเป็นสิว” มารีหัวเราะกับคำพูดของเธอส่วนทาฬิดาหน้าร้อนผ่าว มารีได้ยินที่เธอพูดกับโกกนทด้วยหรือ แย่ชะมัด




 

Create Date : 09 กันยายน 2557    
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:45:16 น.
Counter : 280 Pageviews.  

กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๒๒

บทที่  ๒๒

ทาฬิดายังข่มตาให้หลับลงไม่ได้เธอจึงถอนหายใจออกมาแรงๆ จนทำให้มารีพลิกกายหันไปทางด้านที่ทาฬิดานอนอยู่

“ยังไม่ง่วงหรือคะ”แสงไฟริบหรี่จากกองไฟ ทำให้มารีเห็นเสี้ยวหน้าของอีกคนได้บ้าง

“นอนไม่หลับค่ะมีอะไรให้คิดนิดหน่อย”

“เรื่องความฝันอีกหรือเปล่า”

“ค่ะเรื่องนั้นนั่นแหละ ฉันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเรื่องมันไปจบลงตรงไหนทำไมถึงได้มีสุสานพรหมจารีแห่งรัตติกาล ทำไมต้องมีเทพแห่งความมืดแล้วทำไมอีกสองเทพไม่ต่อสู้ให้ชนะ ส่งรัตติกาลกลับไปเมืองฟ้า เอาเธอมาขังไว้ทำไมมันน่าแปลก”

“อยากรู้มากไหมคะ”

“ค่ะอยากรู้มาก”

“หลับค่ะแล้วฝันต่อ จะได้รู้ความจริง”

“อ้าว”ทาฬิดาอึ้งอีกรอบ วันนี้มารีออกอาการกวนโอ๊ยกับเธอถึงสองครั้ง

“เฮ้อ”ทาฬิดาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

“หลับสิคะจะได้รู้คำตอบ นอนถอนหายใจอยู่อย่างนั้น ไม่มีทางรู้หรอกค่ะ”เสียงนั้นไม่ได้บ่งบอกอะไร น้ำเสียงราบเรียบจนเดาทางไม่ออก

“ค่ะๆนอนๆ ว่าแต่ขอนอนกอดได้ไหมคะ ฉันติดหมอนข้าง ไม่ได้กอดหมอนนอนไม่หลับ

“เฮ้อ”เสียงถอนหายใจออกมาจากมารี ในความมืดทาฬิดารู้สึกว่าอีกคนกำลังขยับเข้ามาใกล้เธอทั้งๆ ที่ตัวยังอยู่ในถุงนอน

“ขอบคุณค่ะ”ทาฬิดาบอกอย่างนั้น เธอโอบแขนไปกอดถุงนอนของมารีเอาไว้

“นอนอย่างนี้มือแข็งตายว่าไง”

เสียงดุๆของมารีบ่นออกมา ความรู้สึกของทาฬิดาคืออีกคนกำลังขยับออกห่างจากเธอเสียงรูดซิบถุงนอนดังขึ้น จากนั้นจึงมีเสียงสั่งมาเบาๆ

“ลุกขึ้นสิจะได้จัดที่นอนใหม่” ทาฬิดาลุกนั่งอย่างว่าง่ายมารีจัดแจงนำถุงนอนสองถุงเข้ามาประกบหากันแม้จะมีแสงเพียงริบหรี่มารียังสามารถทำอะไรได้ราวกับตาเห็นจากนั้นจึงมีเสียงสั่งออกมาอีกครั้ง

“นอนได้ค่ะเสร็จแล้ว” มารีล้มตัวลงนอน ทาฬิดาจึงนอนตาม

“คราวหลังอย่าเอาแขนออกมาจากถุงนอนอีกนะอากาศเย็นจะทำให้คุณป่วย”

“ค่ะกอดได้หรือยังคะ” ทาฬิดาทวงสิทธิ์ของเธอทันที น่าเสียดายเธอไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆของอีกฝ่าย อยากรู้เหลือเกินว่าอีกคนจะทำหน้ายังไง ช่างเถอะต่อให้ทำหน้าเป็นยักษ์เธอไม่สนหรอก ขอแค่ให้ได้กอดอุ่นๆ เท่านี้คงพอหากทาฬิดารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้สึกอย่างไร เธอคงไม่นอนกอดนิ่งๆ อย่างที่กำลังทำอยู่ในเวลานี้ใบหน้าของมารีร้อนผ่าว ราวกับโดนแดด แผดเผาไม่ใช่แค่ใบหน้าเท่านั้นที่ร้อน ร่างทั้งร่างของมารีร้อนทั่วตัว ฝ่ามือเย็นๆของทาฬิดาวางทาบอยู่ตรงบั้นเอวของเธอความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านจากความเย็นของฝ่ามือนั้นมายังตัวเธอ จนทำให้เธอต้องนอน แข็งทื่อ ไม่สามารถกระดิกหรือขยับตัวไปไหนได้

ลมหายใจอุ่นๆนั้นอีกเล่า ทำให้เธอไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ ความรู้สึกแบบนี้คืออะไรกันนะเธอไม่เคยรู้สึกแปลกประหลาดอย่างนี้ มาก่อน เป็นความรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว วางตัวไม่ถูก เล่นเอาเธอ ทำอะไรไม่เป็น ครั้นจะผละตัวออกห่างจากอีกคนทำไมร่างกายของเธอ จึงหมดเรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะขยับกายยังไม่สามารถทำได้ น่าแปลกพิลึก จริงเชียว

“แกว๊กๆ”เสียงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ ทำให้ทาฬิดาสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที

“กอร่า”ทาฬิดาขยับตัวหมายจะออกไปดูว่า แขกในยามวิกาลของเธอคือเจ้ากอร่านกกายักษ์ตัวที่อยู่ในความฝันของเธอหรือเปล่า

“อย่าออกไป”มารีรีบคว้าตัวทาฬิดาเอาไว้ เสียงของเจ้านกตัวนั้นมารีฟังแล้วรู้ว่ามันมาเพื่อทำอะไรบางอย่างสิ่งที่มันทำส่งผลกระทบกับทาฬิดาโดยตรงไม่บ่อยครั้งนักที่นกในตำนานจะออกมาบินส่งเสียง ทุกครั้งที่มันร้องจะต้องมีคนตายหากเธอไม่หยุดทาฬิดาเอาไว้ ผู้หญิงคนนี้อาจจะต้องตายในคืนนี้แน่นอน

“ฉันจะออกไปดูว่าใช่กอร่าหรือเปล่า”ทาฬิดากระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด เธอปัดมือของมารีที่คว้าแขนของเธอออก

“อันตรายอย่าออกไปเด็ดขาด” มารีสั่ง

“มีอะไรหรือคะ”เสียงของมุจลินทร์ดังมาจากเต็นท์ติดๆ กัน

“อย่าออกมานอกเต็นท์ค่ะข้างนอกมีสัตว์ร้าย” มารีตะโกนบอกออกไปทำให้มุจลินทร์และคนที่อยู่ในเต็นท์อีกหลังถึงกับหวาดระแวง

“กอร่าไม่ใช่สัตว์ร้ายกอร่าเป็นเพื่อนฉัน”

ทาฬิดาไม่รู้ว่าเหตุใดเธอจึงพูดออกไปเช่นนั้นความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอคุ้นกับเสียงของเจ้านกกาตัวเขื่องนั้นเหลือเกิน

“อดีตเคยเป็นค่ะแต่เวลานี้ไม่ใช่แน่ๆถ้ามันยังเป็นเพื่อนของคุณมันคงไม่ส่งเสียงสะกดคุณเอาไว้อย่างนี้ เชื่อฉันเถอะทามอย่าออกไปหามัน คุณจะเป็นอันตราย” มารีให้เหตุผลกับคนดื้อหัวรั้น เมื่อไม่ยอมฟังเธอจึงตัดสินใจกอดทาฬิดาเอาไว้จนแน่นจากนั้นจึงผลักร่างของทาฬิดาให้ล้มตัวลงนอนประกบปากของเธอกับปากของทาฬิดาเอาไว้ อีกคนจะได้ไม่ต้องส่งเสียงเถียงอะไรกับเธออีก

ทาฬิดาพยายามปัดป้องไม่ให้มารีทำอะไรกับเธอใจของเธอ ในเวลานี้ต้องการเพียงอย่างเดียวคือออกไปหากอร่าเสียงของมันยังคง ดังก้องในสมองของเธอหากเธอไม่ออกไป มันอาจจะได้รับอันตราย

“ปล่อยฉัน”ทาฬิดาส่งเสียงดังออกมาเมื่อเธอสามารถหลบ ริมฝีปากของมารีจนเป็นอิสระ

“พูดดีๆห้ามดีๆ ไม่ฟังกันใช่ไหม ก็ได้” มารีฟันสันมือไปที่ลำคอของทาฬิดาทันทีที่สันมือนั้นกระทบกับลำคอ ทาฬิดาหมดฤทธิ์ทันทีเช่นกัน

“ขอโทษนะฉันทำดีที่สุดแล้ว” มารีบอกกับร่างไร้สติของทาฬิดา

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ”คราวนี้เป็นเสียงของนาลันทา

“ไม่มีอะไรค่ะนอนต่อเถอะค่ะ ฉันจัดการเรียบร้อย”

มารีตะโกนออกไปเช่นนั้นเธอนั่งกอดเข่าอยู่ในเต็นท์ คิดว่าพรุ่งนี้ทาฬิดาคงเกิดอาการเคล็ดขัดยอกหรือบางทีอาจจะปวดคอไปทั้งวัน

วันนี้เป็นวันที่ทุติต้องทำตามแผนที่เขาวางเอาไว้เขาต้องขอบคุณศรรักการส่งเครื่องมือทางอากาศของศรรักทำให้เขาทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นคนงานจากต่างถิ่นเริ่มทยอยกันมายังทาคานาลา แม้จะมีจำนวนคนไม่มากนักแต่พอกล้อมแกล้มทำงานในวันแรกได้

ทุติสั่งให้คนงานขุดเอาหน้าดินออกเผยให้เห็นพื้นหินด้านล่าง ต้นไม้ใหญ่ถูกสั่งให้โค่นทิ้งเพื่อปรับพื้นที่ให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวก

“วันแรกคงทำได้แค่นี้ถ้าเราขุดจนเห็นทางเข้า จะง่ายขึ้น”

ทุติบอกกับทีมงานงานขุดหน้าดินออกไม่ใช่เรื่องง่ายๆทาคานาลาแห่งนี้ไม่สามารถขนเครื่องมือหนักลงมาได้หนทางที่จะเดินทางเข้ามาค่อนข้างลำบาก แค่คนเดินมายังยากเอาเครื่องมือหนักลงมายิ่งยากกว่า หากไม่ได้ศรรักช่วยส่งของลงมาให้ คนของเขาต้องแบกเครื่องมือลงมาคงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน

“แค่เอาหน้าดินออกใช้เวลาอีกหลายวันค่ะจารย์”นาลันทามองดูหน้างานคร่าวๆ เธอคิดว่าด้วยแรงคนเท่าที่มี อาจจะต้องใช้เวลานับสิบวัน

“เอาพอหอมปากหอมคอดีกว่าผมคิดว่าจะเปิดหน้าดินจาก ชั้นบนสุดลงมาก่อนไม่อย่างนั้นถ้าฝนตกหนักๆ ดินมันอาจถล่มลงมาทับด้านล่างได้ คุณเห็นว่าไง”

“ดีแล้วค่ะจารย์จะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย”

“ผมยังว่าแปลกเลยนะที่อยู่ๆ มีพีระมิดมาโผล่ที่นี่”

“ไม่แปลกหรอกค่ะพีระมิดมีทุกที่ ดูอย่างพีระมิดที่บอสเนียสิคะ มีตั้งสาม คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามันคือพีระมิด คิดว่าเป็นภูเขาทั่วๆ ไป ที่ไหนได้มีตั้งสามองค์แถมยังกว้างและใหญ่กว่าที่กีซ่าซะอีก ฐานกว้างตั้งสามร้อยหกสิบห้าเมตร ทำมุมเอียงตั้งหกสิบองศา”

“นั่นสิผมได้ข่าวมาว่าที่จีนก็พบพีระมิดเหมือนกัน”

“งั้นก็ไม่แปลกอะไรที่ทาคานาลาจะมีพีระมิดจริงไหมคะจารย์”

“ถูกของคุณที่ผมแปลกใจไม่ใช่เรื่องที่พบพีระมิด ผมแปลกใจตรงที่ แถวนี้เป็นหุบเขาคนโบราณจะมาสร้างพีระมิดในที่อย่างนี้ไปเพื่ออะไร ที่บอสเนีย ตั้งชื่อกันว่า พีระมิดแห่งสุริยาพีระมิดแห่งจันทรา พีระมิดแห่งมังกร พีระมิดแห่งความรัก และพีระมิดโลกคุณว่าห้าอย่างนี้เกี่ยวข้องกันหรือเปล่าล่ะ มันน่าเป็นไปได้อย่างนั้นเหรอ”

“คนท้องถิ่นบอกเอาไว้นี่คะว่าเป็นคำเล่าต่อมาจากบรรพบุรุษ เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นว่าภูเขาที่ตั้งอยู่หน้าบ้านตนเป็นพีระมิดไม่เหมือนกับภูเขาไฟ ถ้าเป็นภูเขาไฟ ต้องมีอะไรบางอย่างที่บ่งบอกว่ามันมีอยู่อย่างเช่นน้ำพุร้อน โคลนเดือด หรือแม้กระทั่งหินลาวา แม้บางลูกจะสงบไปนับหมื่นๆ ปีก็ยังมีสิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายเกลื่อนไปทั่ว แต่พีระมิด ถ้าโดนดินทับถมมันจะมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ว่าเคยมีมันอยู่ อย่างที่เราเห็นกันนี่ไงคะมองไม่ออกเลยสักนิดว่ามันคือพีระมิด ถ้าไม่มีคนขุดเจอหินด้านล่างพวกเราก็คงไม่รู้ว่าภูเขาลูกที่เตี้ยที่สุดในหุบเขาแห่งนี้คืออะไรจริงไหมคะ”

“นับว่าเป็นความโชคดีบนความบังเอิญของพวกเราต่างหาก เอาเถอะเรามาเลือกกันดีกว่าว่าจะเปิดหน้าดินทิศไหนดี”

“ทิศเหนือสิคะกีซ่ามีประตูทางเข้าทางด้านทิศเหนือ ที่นี่ก็น่าจะ

เป็นอย่างนั้น”นาลันทาเสนอ

“ตกลงเราเปิดหน้าดินทางทิศเหนือก่อน”

ทุติตกลงตามที่นาลันทาบอกเขาคิดเช่นเดียวกับนาลันทา พีระมิดที่กีซาหรือที่อื่นๆทางเข้าจะอยู่ทางทิศเหนือทั้งสิ้น หากที่นี่คือพีระมิดที่ ทำมาเพื่อใช้ในเรื่องเดียวกันทางเข้าน่าจะอยู่ทางทิศเหนือเช่นกัน

อัปสรสังเกตเห็นทาฬิดานั่งคอเอียงมองเนินดินมาตั้งแต่เช้า นี่ปาไปเกือบสิบโมงทาฬิดาไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนท่านั่งคนช่างสงสัยอย่างเธอจึงเดินเข้าไปถาม

“พี่ทามๆพี่กำลังวัดมุมอะไรอยู่เหรอ”

“วัดมุมวัดทำไมกัน”

ทาฬิดาเริ่มงงอยู่ๆ อัปสรเข้ามาถามในเรื่องซึ่งเธอไม่เข้าใจ

“จิ๊ดเห็นพี่นั่งคอเอียงมาตั้งแต่เช้าเหมือนพี่กำลังเล็งอะไรสักอยู่ เลยลองถามดูเผื่อจิ๊ดจะช่วยอะไรพี่ได้บ้าง”

“เปล่าพี่นอนตกหมอนตั้งแต่เมื่อคืนคอมันเคล็ด ปวดไปหมด”

ทาฬิดาบอกพร้อมกับยกมือของเธอขึ้นนวดลำคอของตัวเองไปด้วย

“นอนละเมออีกอะดี้”

“พี่นอนละเมอเหรอเมื่อคืน”

“ช่ายแล้วเมื่อคืนพี่นอนละเมอ ตอนนกส่งเสียงร้อง พวกเราตื่นกันหมดยกเว้นพี่คนเดียว”อัปสรตอบไปตามที่เธอเข้าใจ เมื่อคืนเธอได้ยินทาฬิดาบ่นๆ อะไรสักอย่างสักพักเสียงเงียบไป พอเธอถามนาลันทา ได้รับคำตอบว่าพี่ทามคงนอนละเมอเธอจึงเข้าใจไปเช่นนั้น

“เมื่อคืนนกมาอีกแล้วเหรอ”

“อ้าวพี่ไม่รู้จริงๆ เหรอเนี่ย สงสัยจะหลับสนิทจริงๆ ขนาดละเมอพี่ยังไม่ตกใจตื่น”

“อย่าเฉไฉเมื่อคืนนกมาจริงๆ หรือเปล่า”

“มาจริงๆสิพี่ ส่งเสียงจนแสบแก้วหู ดีนะที่จิ๊ดนอนกอดอากลาง ไม่อย่างนั้นคงนอนไม่หลับคืนนี้จิ๊ดไม่มานอนเต็นท์อีกแล้ว จะกลับไปนอนที่บ้านพัก ดงดาวอะไรไม่ดูแล้วล่ะหนาวก็หนาว กลัวก็กลัว” อัปสรเริ่มบ่นเธอไม่สนุกเหมือนครั้งแรกที่ได้รู้ว่าจะต้องมานอนเต็นท์ เมื่อคืนหนาวก็หนาวแถมยังหายใจไม่ออก หยดน้ำเกาะอยู่บนผ้าใบเต็นท์ หยดลงแหมะๆ ตรงที่เธอนอนพอถามนาลันทา คำตอบคือ ไอน้ำกลั่นเป็นหยดน้ำเพราะอากาศด้านนอกเย็นส่วนด้านในนั้นอุ่นกว่า จึงทำให้มีหยดน้ำมาเกาะอยู่ด้านในและหยดลงมาใส่ตัวเธอจนเปียกไปหมดคืนนี้เธอจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่นอนเต็นท์อีกต่อไปกลับไปนอนที่บ้านพักสบายกว่ากันเยอะ

ทาฬิดานั่งฟังเงียบๆจากที่อัปสรเล่า แสดงว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้ฝันไป นกตัวนั้นมาเรียกเธอจริงแต่ทำไมเธอถึงหลับไม่รู้เรื่อง ตื่นขึ้นมายังรู้สึกปวดหลังคอปวดระบมอย่างกับโดนอะไรทุบหรือว่าเมื่อคืนเธอละเมอเดินออกมาจากเต็นท์และโดนนกตัวนั้นทำร้ายโดยไม่รู้ตัว

แล้วใครล่ะพาเธอกลับมานอน

“เมื่อคืนพี่ออกไปนอกเต็นท์หรือเปล่า”

“เปล่านะจิ๊ดไม่เห็นพี่ออกไปนะ พอเสียงนกหายไป พี่คงหลับแหละ จิ๊ดก็หลับเหมือนกันตื่นมาเช้าเลย”

“เหรอแปลกจัง แล้วทำไมพี่ปวดคออย่างนี้ล่ะ” ทาฬิดาบ่นงุมงำ

“ไปหาหมอไหมพี่ทามพี่หมอนทน่าจะอยู่ไม่ไกล จะได้รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่เดี๋ยวตั้งคอตรงไม่ได้ขึ้นมาจะแย่เอา”

“ก็ดีเราวิ่งไปบอกอากลางของเราก่อนดีกว่า เดี๋ยวเธอจะตามหาพวกเราอีก” ทาฬิดาพูดจบอัปสรรีบวิ่งไปบอกกับนาลันทาเรื่องที่เธอกับทาฬิดาจะกลับไปที่หมู่บ้านกันก่อนเพราะจะพาทาฬิดาไปหาหมอ

โกกนทตรวจคนไข้เสร็จแล้วพวกหมอจึงนั่งจับกลุ่มถกปัญหาเรื่องการเจ็บป่วยของคนในหมู่บ้านซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรคไข้หวัด และปวดเมื่อยตามร่างกาย

ทาฬิดากับอัปสรเดินเข้าไปหาโกกนทท่าทางของทาฬิดาบ่งบอกว่ากำลังเป็นอะไรสักอย่าง โกกนทจึงเอ่ยถาม

“เป็นอะไรไปทาม”โกกนทรีบเดินมาหาทันทีที่เห็นอาการ

“ปวดคอค่ะพี่หมอสงสัยว่าทามจะนอนตกหมอน”

“ไหนพี่ดูหน่อย”โกกนทจับลำคอของทาฬิดา เธอกดไปบริเวณหัวไหล่และสะบัก

“โอ๊ย”ทาฬิดาร้องลั่น

“เจ็บมากเลยเหรอ”

“เจ็บสิพี่ถามได้”ทาฬิดาโอดครวญ

“สงสัยจะนอนตกหมอนจริงๆเอายากินหรือยานวดล่ะ”

“ยาฉีดมีไหมพี่”

“แค่ตกหมอนไม่ต้องถึงกับฉีดยาหรอกเจ็บนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นสำออยไปได้” โกกนทบ่นทันที

“ทามนั่งคอเอียงมาตั้งแต่เช้ายังนิดหน่อยอีกเหรอพี่” ทาฬิดาโวย

“ใครใช้ให้เรานอนท่าพิสดารเล่าไปนอนขดอยู่ในเต็นท์หนาวก็หนาว มันก็ต้องเกิดอาการกันบ้างแหละ เอายาไปกินนี่ยานวดร้อนหน่อยแต่น่าจะดี” โกกนทบอกพร้อมกับยื่นซองยาและหลอดยานวดให้กับทาฬิดาหางตาของเธอเหลือบไปเห็นใครบางคนนั่งอมยิ้ม ราวกับสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องน่าขบขัน

“ทามไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมพี่หมอ”

ทาฬิดามองซองและหลอดยาในมือของเธอ

“ย่ะไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากนอนตกหมอน คืนนี้กลับมานอนที่บ้านพักสิ จะได้ดีขึ้น”

“ไม่ได้พี่”ทาฬิดารีบปฏิเสธทันที

“ตามใจถ้าอยากจะไปนอนตากน้ำค้างหนาวๆ ก็ตามใจเรา ใครจะไปห้ามเราได้ ชอบทำตัวยุ่งยากลำบากคนอื่นเขาต้องไปนอนเฝ้า แล้วนี่เราเอาผ้าเน่ามาหรือเปล่าล่ะ”โกกนทคิดถึงผ้าขนหนูผืนเก่า ทาฬิดาติดผ้าผืนนี้ยิ่งกว่าอะไรเวลานอนหากไม่มีผ้าเน่าๆ เก่าๆ แต่กลิ่นสะอาดผืนนั้นอยู่ด้วยทาฬิดามักจะนอนไม่หลับ เจ้าตัวมักจะบ่นธีรัชว่าติดผ้าเน่า ตัวเอง ไม่ต่างกันนักหรอก จากผ้าขนหนูผืนใหญ่เธอจำได้ว่าคุณน้าของเธอ ต้องตัดออกเป็นสี่ส่วน เอาไว้ให้ทาฬิดานอนกอดสาเหตุที่ต้องตัดเป็นสี่ส่วนแล้วเย็บใหม่เพราะทาฬิดามักจะนอนน้ำลายยืดจนเปียกผ้าถ้าไม่เอาไปซัก จะมีกลิ่นตุๆ ติดผ้า จึงต้องจำใจแบ่งให้เป็นสี่ส่วนจะได้มีผ้าเอาไว้เปลี่ยนเวลาทาฬิดาทำสกปรก

“เปล่าพี่”ทาฬิดาส่ายหน้า

“มิน่าถึงได้นอนดิ้น”โกกนทพูดเสียงดัง ไม่กลัวว่าทาฬิดาจะอายใครอัปสรคงไม่ใส่ใจเรื่องที่เธอกำลังสนทนากับทาฬิดารายนั้นกำลังเล่นเกมเชือกร้อยมืออยู่กับพิมมาดา แต่อีกคนนี่สิ หางตาของเธอบอกว่านั่งยิ้มแถมยังตัวสั่นๆราวกับกำลังกลั้นหัวเราะสุดกำลัง

“ทามเลิกติดผ้าตั้งนานแล้วค่ะติดหมอนข้างแทน”

“อ้าวเหรอดีนะที่เลิกได้ เราน่ะติดผ้าเน่ายิ่งกว่ายาเสพติดพวกพี่นึกว่าตอนแต่งงานต้องเอาผ้าเน่าส่งตัวไปพร้อมกับเจ้าสาว โชคดีไปวันเราแต่งงานพี่จะได้ส่งหมอนข้างเข้าไปเป็นมือที่สามแทน”

“พี่นทเบาๆ สิคะ อายเขา” ทาฬิดายกมือขึ้นปิดปากโกกนทเอาไว้ เธอหันซ้ายหันขวาเห็นมารีนั่งพับผ้ากรอสอยู่ไม่ไกลนัก เพียงแต่นั่งหันหลังให้ เธอจึงไม่เห็นใบหน้าของมารี

“เอามืออกไปเลยนะเค็มชะมัด” โกกนทปัดมือของทาฬิดาออก

“ไปแล้วนะพี่จะไปกินยา ไม่ไหว โคตรปวดเลย”

หลังจากที่เธอปล่อยโกกนทเป็นอิสระเธอรีบเดินออกมาจากเพิงชั่วคราวซึ่งเป็นที่ทำงานของหมอ ขืนอยู่นานกว่านี้คนทั้งเพิงคงได้ยินความลับของเธอน่าอายจะตายไป




 

Create Date : 09 กันยายน 2557    
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:44:35 น.
Counter : 362 Pageviews.  

กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๒๑

บทที่  ๒๑

ทาฬิดาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะอัปสรมุดเข้ามาในเต็นท์ของเธออัปสรเห็นเธอกับมารีนอนกอดกันกลมอยู่ในถุงนอน จึงรีบมุดออกไป

“งานปักษ์ใต้เมืองเลยเราได้เจอะกันฝากสัมพันธ์รักแน่น”

อัปสรแหกปากร้องเพลงผิดๆถูกๆ ไปตามประสา

“งานปักษ์ใต้อะไรของตัวไปอยู่เมืองเลย เลยไม่ได้อยู่อีสานเหรอจิ๊ด” พิมมาดาเอ่ยถามเพลงนี้เธอเคยได้ยินมาก่อน แต่เนื้อร้องไม่ใช่อย่างที่เธอได้ยินจากปากของอัปสร

“เออน่าเราอยากร้องอย่างนี้มีอะไรปะล่ะ หรือตัวจำเนื้อร้องได้ ตัวร้องเลยดิ”อัปสรโบ้ยให้อีกคนทันที

“ใครจะไปจำได้หมดเล่าเคยได้ยินพี่แม่บ้านเปิดวิทยุครั้งสองครั้งเท่านั้นแหละ” พิมมาดาว่า เธอไม่ได้โกหกแค่เคยได้ยินเพลงนี้มาสองหรือสามครั้งเท่านั้น ตอนที่เธอเดินไปในห้องครัวเพื่อช่วยคุณยายปลอกผลไม้ เธอแทบฟังภาษาไม่ออกด้วยซ้ำไปว่านักร้องร้องเพลงอะไร

“เห็นปะล่ะฉะนั้นอย่ามาว่าเรา ถ้าเราจะร้องผิดๆ ถูกๆ เพราะเราร้องไม่เป็น แต่อยากร้องเฉยๆ”อัปสรแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ เธอแค่นึกไม่ออกเท่านั้นว่าจะร้องเพลงอะไรแซวทาฬิดากับมารีคิดถึงเพลงนี้ขึ้นมาจึงร้องเท่านั้น ภาพที่เธอเห็นสองคนกอดกันกลมอยู่ในเต็นท์ยิ่งกว่าคู่รักกันเสียอีก ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าทั้งสองคนเพิ่งจะรู้จักกันเธอคงจะคิดไปว่าทั้งคู่เป็นคู่รักกันมานานแสนนาน คิดแล้วน่าอิจฉาจริงๆสักวันเธอจะต้องมีคนรักมานอนกอดยามอากาศหนาวๆ บ้าง ตอนนี้เธอคงต้องร้องเพลงต้องมีสักวันไปพลางๆ ก่อน

“ถามจริงๆเถอะร้องทำไมกัน ไม่เห็นเข้าท่าเลย” พิมมาดา ส่ายหน้า อัปสรมักทำเรื่องประหลาดๆ ให้เธอเห็นบ่อยๆ

“จะร้องแซวพี่ทามเมื่อคืนคงฝากสัมพันธ์รักกับพี่มารีมาเยอะ ดูดิ ตาโหลเลยไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าจะนอนดูดาวกันทั้งคืน” อัปสรบุ้ยปากไปทางทาฬิดาที่กำลังมุดออกมาจากเต็นท์พร้อมกับมารี

“ใครว่าล่ะหนาวจนนอนไม่หลับต่างหาก ต้องนอนซุกกันสองคน หนาวจะตายอยู่แล้ว”

“อ้าวแล้วทำไมพี่ทามไม่กลับไปนอนในบ้านพักล่ะคะ มานอนหนาวอยาแถวนี้ทำไมกัน”

“เรื่องของพี่เราอย่าถามมากเรื่องนักเลย ไปล้างหน้าก่อนดีกว่า อยากดื่มอะไรอุ่นๆ รองท้องจะแย่”

“นอนหิวกันทั้งคืนเลยเหรอพี่”

“ก็ใช่น่ะสิยะหล่อน”ทาฬิดาเขกไปที่ศีรษะของอัปสรโป๊กใหญ่ ก่อนที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ พร้อมกับมารี

“แปลกคนทนกันอยู่ทำไม หนาวก็กลับไปนอนในบ้าน หิวก็เดินไปโรงครัวได้นี่นาไม่มีใครห้ามเอาไว้สักหน่อย ตัวว่าปะลูกหนู พวกพี่ๆ ชอบทำอะไรประหลาดๆไม่เข้าใจเลยจริงๆ ” อัปสรพูดไปพร้อมกับเอามือจับบนศีรษะของตนเองไปด้วยโชคดีที่เธอฉลาด สวมหมวกเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคนเจ็บกว่านี้แน่นอน

“ไม่ว่าล่ะพวกพี่ๆ ต้องมีอะไรสักอย่างที่ไม่บอกเด็กๆ อย่างเรา”

“เฝ้าสมบัติแน่ๆเลย” อัปสรคิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นในเวลานี้

“คืนนี้ถ้าพวกพี่ๆมานอนเต็นท์อีก พวกเราแอบย่องมาดูดีไหม” อัปสรนึกเรื่องสนุกของเธอขึ้นมาได้

“จะดีเหรอจิ๊ด”พิมมาดากึ่งกล้ากึ่งกลัว

“อย่าบอกพวกคุณอาดิเรามาเดี๋ยวเดียวเราก็กลับ คงไม่มีอะไรหรอกน่า นะๆ มากับเรานะลูกหนู”

“ก็ได้ๆไปปลุกเราด้วยก็แล้วกัน”

“ได้ๆสัญญานะ” อัปสรยกนิ้วก้อยยื่นให้กับพิมมาดา เป็นอันตกลงทำสัญญาเกี่ยวก้อยกัน

“สองคนนั่นต้องคิดทำอะไรกันอีกแน่ๆเลยมุจ”

นาลันทาเห็นท่าทางของอัปสรและพิมมาดาจึงเอ่ยกับคนรัก

“ปล่อยไปเถอะเด็กๆ จะมีอะไรนอกจากเล่นซนๆ ที่นี่ก็แปลกนะ จะสิบโมงแล้วแดดยังไม่ออกเลย”

“เขาลูกนั้นสูงมากก็อย่างนี้แหละค่ะ กว่าจะโผล่พ้นยอดเขา คงเกือบสิบเอ็ดโมง”นาลันทาชี้ไปที่ยอดเขาทาคา บนยอดนั้นสูงจนเกือบจะเสียดเมฆไม่แปลกอะไรที่พื้นดินด้านล่างจะไม่มีแสงแดดส่องผ่าน อย่าว่าแต่แสงแดดเลยเมฆบางก้อนยังปะทะกับยอดเขานั้นด้วยซ้ำ

“ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเปรูมุจคงจินตนาการไปว่าที่นี่เป็นซัมบาลลาเลยนะคุณ ดูสิ เทือกเขาทอดยาวสุดลูกหูลูกตามองแทบไม่เห็นขอบฟ้า”

มุจลินทร์ชี้ให้นาลันทาดูเทือกเขาแห่งนี้เทือกเขาสูงลิบบนยอดเขายังมีหิมะปกคลุม แม้ฤดูนี้จะเป็นฤดูร้อน หิมะยังละลายไม่หมดและหิมะนี่แหละที่เป็นต้นกำเนิดลำน้ำสายเล็กๆ ที่กำลังไหลผ่านหมู่บ้านทาคานาลาหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้

“นั่นสิถ้าที่นี่มีตำนานเหมือนเทือกเขาคุนลุนตามจินตนาการของ เจมส์ฮิลตันคงน่าสนุกพิลึกเลยแหละ”

“อย่าให้เหมือนเรื่องตำนานลึกลับใต้พิภพก็แล้วกันนั่นอะน่ากลัว”

มุจลินทร์คิดถึงภาพยนตร์ฝรั่งเรื่องหนึ่งเธอจำชื่อเรื่องได้ไม่แม่นยำนักเนื้อเรื่องนั้นพูดถึงโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งอยู่ซ้อนกับโลกปัจจุบัน ลึกลงไป ใต้พิภพพระเอกบังเอิญร่วงลงไปในช่องเขาพร้อมกับพรรคพวกอีกสองหรือสามคน จากนั้นเขาต้องผจญภัยอยู่ในดินแดนแห่งนั้นซึ่งมีสัตว์หายสาบสูญไปจากพื้นโลกลงไปอาศัยอยู่ในดินแดนนั้นจำนวนมากเช่นสัตว์ยุคไดโนเสาครองโลก สุดท้ายเมื่อต้องผจญชะตากรรมเขาได้เพชรเม็ดเป้งกลับออกมาจากดินแดนนั้น กลายเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยไม่น่าเชื่อถ้าให้เธอต้องเข้าไปเสี่ยงอย่างกับพระเอกในหนังเรื่องนั้น แล้วกลับขึ้นมารวยเธอขอนั่งๆ เดินๆ ยืนๆ อยู่บนโลกนี้ดีกว่า แค่คิดยังรู้สึกปวดกระดูกขึ้นมาทันใด

“อะไรน่ากลัวคะอามุจ”

จู่ๆอัปสรโผล่ขึ้นมาทำเอามุจลินทร์อกสั่นขวัญหาย

“ไอ้บ้าจิ๊ดมาไม่บอกไม่กล่าว” มุจลินทร์ดุ

“ใครว่าล่ะจิ๊ดเดินมายืนตั้งนานแล้ว อาสองคนไม่หันหลังมาดูจิ๊ดเองต่างหาก มาโทษกันอีกแล้วนะว่าแต่หนังเรื่องอะไรเหรออามุจ จิ๊ดจะได้กลับไปดูบ้าง”

“ไม่รู้จำไม่ได้ไปถามอากลางของเราโน่น อาไม่เคยจำชื่อหนัง”

“อ้าวตกลงซัมบาลลามีจริงหรือเปล่าล่ะคะ” อัปสรเกาศีรษะพูดอยู่เมื่อสักครู่ไหงลืมได้ง่ายๆ ไม่รู้ คนแก่นี่นะ ความจำเสื่อมง่ายเหลือเกิน

“ซัมบาลลาอาจจะมีจริงหรือไม่มีก็ได้เป็นเพียงชื่อเมืองในตำนาน เท่านั้น ตำนานของชาวอาการ์ทาซึ่งอาศัยอยู่ใต้โลกตามทฤษฎีโลกกลวงลวงโลกของไซรัสรีทีดเมื่อหลายสิบปีก่อน พอมีคนอ่านเรื่องพวกนั้นบางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ นักสร้างหนังก็เลยเอาไปทำเป็นหนังออกมาฉายคนชอบเรื่องลี้ลับก็เลยชอบดู แค่นี้แหละไม่มีอะไร”

“โหอย่างนี้น่าสนใจแฮะอากลาง”

อัปสรชักรู้สึกอยากดูขึ้นมาจับใจเรื่องสนุกๆ ลุ้นๆ ระทึกไม่มีผีอย่างนี้ขอให้บอกเถอะ เธอจะไปตามล่าเอามาดูให้ได้

โกกนทและพวกหมอไม่ยอมปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆพวกเธอเข้าไปตรวจรักษาคนไข้ตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่ายของวันนั้น คนไข้ต่อคิว ทำการรักษาเริ่มบางตาลง จนเหลือคนสุดท้าย

หลังจากที่ไม่มีคนไข้แล้วโกกนทจึงไปหาภัทรมลและศรรักซึ่งนั่งพักอยู่ที่เพิงชั่วคราวไม่ไกลจากเพิงของเธอมากนัก

“หิวหรือยัง”โกกนทเอ่ยถาม จ้องไปที่ใบหน้าของศรรัก

“แกอย่ามามองฉันอย่างนี้นะไอ้นทฉันไม่ใช่กระสือนะยะหล่อน จะได้ร้องหิวข้าวตลอดเว”

“ฉันว่าอะไรแกหรือยังหือไอ้ศร”

“แกไม่ได้พูดแต่แกมองหน้าฉันอย่างนั้น หรือแกจะเถียง”

“พอเลยๆทั้งสองคน เถียงกันตั้งแต่สมัยเรียน ทำงานแต่งงาน จนจะมีลูกยังจะเถียงกันอยู่นั่นแหละ พี่ปวดหัว จะไปกินข้าวก็รีบๆ ไปซะ บ่ายนี้หัวหน้าเผ่าจะจัดงานต้อนรับพวกเราอย่างเป็นทางการจะได้เตรียมตัวไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวจะกินไม่ลง”

“ปีที่แล้วก็จัดต้อนรับปีนี้ยังจะจัดอีกหรือคะพี่บิว”

“เขาบอกว่าต้องจัดต้อนรับ ไม่อย่างนั้นผีป่าจะรบกวนพวกเรา เขาจะช่วยปัดเป่าผีร้ายให้พี่ไม่อยากขัดใจ ก็เลยต้องยอม”

“ยังจะเชื่ออะไรงมงายอยู่อีกเนอะโลกถึงยุคสองพันเข้าไปแล้ว จัดงานแต่ละทีไก่ตาย แกะตาย ยังไม่รวมถึงสัตว์อื่นๆอีกตั้งเยอะ แกทนให้พวกนั้นทำกับสัตว์ได้ยังไงวะ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ”

“หรือแกจะตายแทนไก่แทนแกะล่ะไอ้ศร”

“ไอ้บ้านทแกแช่งฉันหรือไง”

ศรรักส่งเสียงแหลมสูงปี๊ดจนคนรับฟังแสบแก้วหู

“เปล้าฉันแค่ถามเฉยๆ”

โกกนทเสียงสูงตามไปด้วยอีกคนเป็นการล้อเลียน

“ไปๆพี่หิวข้าว ใครจะฆ่าจะแกงกันเชิญตามสบาย ไปก่อนนะ”

ภัทรมลรีบเดินปลีกตัวออกไปจากการถกเถียงกันของรุ่นน้องเธอว่าต่อให้เถียงกันไปอีกวันเต็มๆ คงหาคนชนะได้ยาก หากจะจัดโต้วาทีให้กับรุ่นน้องทั้งสองคน เธอว่าต้องมีข้อจำกัดให้สองข้อ

ข้อแรกคือสรุปความตรงประเด็น ไม่เช่นนั้นทั้งสองจะหาข้ออ้างแถไปได้เรื่อยๆข้อที่สองคือกำหนดเวลา ห้ามโต้กันเกินห้านาที ใครเกินให้ปรับแพ้ไปโดยปริยายเธอไม่อยากฟังเสียงสูงๆ ของศรรักให้ระคายแก้วหู

ลานพิธีถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบสัตว์ที่จะนำมาบูชายัญเพื่อขับไล่ภูตผีถูกผูกติดเอาไว้กับหลักกลางลาน

พิธีกรรมของที่นี่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นสัตว์ทั้งหมดสิบสามชนิด ถูกจับมามัดเอาไว้เมื่อถึงเวลาแสงแดดสุดท้ายส่องมายังหลักและเงาไปทาบทับที่สัตว์ตัวใดสัตว์ตัวนั้นจะถูกจับมาบูชายัญให้กับเทพเจ้า

“จะฆ่าพวกมันทั้งหมดนี่เลยหรือคะ”

ทาฬิดาเอ่ยถามเมื่อเห็นสัตว์สิบสามชนิดถูกผูกอยู่กลางลาน

“ไม่หรอกค่ะเทพเจ้าจะเป็นผู้เลือกว่าต้องการตัวไหน”

มารีหันไปตอบคำถามนั้น

“เลือกยังไงคะไม่เข้าใจ แล้วทำไมต้องมีสัตว์มากมายอย่างนี้”

“สัตว์ทั้งสิบสามตัวเป็นตัวแทนของราศีทั้งสิบสามของเผ่าเรา หากเงาสุดท้ายของหลักทาบทับไปบนสัตว์ตัวใดหมายความว่าเทพเจ้าจะเลือกสัตว์ตัวนั้น”

“แล้วถ้าเงาไม่ทาบไปบนตัวสัตว์ล่ะคะ”

“เท่ากันเทพเจ้าไม่ต้องการชีวิตพวกมันค่ะเราจะปล่อยพวกมัน”

“ขอให้ไม่มีการตายเกิดขึ้นในครั้งนี้เถอะฉันไม่อยากให้อะไร ต้องมาตายแทนพวกเราไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือคน” ทาฬิดาบอก

ใกล้จะถึงเวลาแล้วเงาสุดท้ายของหลักไม่ได้ทาบทับสัตว์ตัวใดเลยแม้แต่ตัวเดียวงานในครั้งนี้จึงไม่จำเป็นต้องฆ่าอะไรเพื่อบูชาเทพเจ้า เหมือนทุกคนจะโล่งใจต่างพากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

สัตว์ทุกตัวโดนปล่อยให้เป็นอิสระพิธีกรรมอื่นจึงเริ่มต้นขึ้น หมอผีประจำหมู่บ้านเผากำยาน และนำมันมาวนรอบๆตัวของหมอและคนอื่นๆ

กำยานส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วลานไม่ใช่แต่เพียงกลุ่มคนต่างถิ่นเท่านั้น คนในหมู่บ้านทั้งหมดเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย

หลังจากรมกำยานเสร็จหมอผีใช้ใบโคคาทั้งกิ่ง ปัดรังควานให้กับทุกคน เป็นอันเสร็จพิธีกรรมในครั้งนี้ งานรื่นเริงจึงเริ่มต้นขึ้น

เสียงดนตรีจากนักดนตรีพื้นเมืองดังขึ้นทุกคนออกมาเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน

“ไปเต้นด้วยกันไหมคะ”มารีเอ่ยชวน คนอื่นๆ นั้นออกไปเต้นกันจนหมดเหลือเพียงทาฬิดายังนั่งปรบมือไปตามจังหวะดนตรี

“ไมดีกว่าค่ะรู้สึกเหนื่อยๆ ยังไงไม่รู้” ทาฬิดาปฏิเสธ

เธอไม่ได้หาข้ออ้างเธอเหนื่อยอย่างที่พูดจริงๆ อาการหายใจขัดๆ ราวกับหายใจไม่ทั่วปอดเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อเช้า จนถึงเวลานี้อาการนั้น ยังไม่หายไปเธอคิดว่าหากยังมีอาการนี้อยู่ในวันรุ่งขึ้น เธอคงต้องปรึกษากับหมอคนใดคนหนึ่งในทีม

“บอกอาการฉันได้ไหม”มารีถามด้วยความเป็นห่วง

“เหนื่อยค่ะเป็นอาการเดียวที่ฉันเป็น”

“คุณคงแพ้ความกดอากาศแต่ก็น่าแปลกคุณน่าจะมีอาการตั้งแต่มาถึง ทำไมถึงเพิ่งจะเป็น”

“นั่นสิคะหรือไม่เมื่อคืนคงจะหนาว ฉันอาจจะกำลังเป็นหวัดก็ได้”

“อาจจะใช่ค่ะคืนนี้คุณควรกินยากันเอาไว้ก่อน”

“เลิกงานแล้วฉันจะไปขอที่คุณหมอค่ะไม่ต้องห่วง”

ทาฬิดายิ้มให้กับความหวังดีของมารีไม่บ่อยครั้งนักที่คนแปลกหน้าจะแสดงความห่วงใยในตัวเธอ

“อย่าลืมนะคะคืนนี้เราต้องนอนที่ลานนี้กันอีกคืน ถ้าคุณเป็นหวัดคงไม่ดีแน่ๆ” มารีกำชับอีกครั้ง

“รับรองค่ะฉันกินยาง่ายอยู่แล้ว”

“ดีแล้วค่ะฉันจะได้ไม่ติดหวัดจากคุณ”

“อ้าว...”ทาฬิดาหน้าเหวอ จากที่คิดว่ามารีเป็นห่วงเธอ ที่ไหนได้กลับกลายเป็นห่วงตัวเองกลัวว่าจะติดหวัดจากเธอซะงั้น

คืนนี้มีเต็นท์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งมีกองไฟก่อเอาไว้ด้านหน้า ทาฬิดากับมารีจึงออกมานั่งผิงไฟอยู่ข้างๆ กองไฟนั้นโดยมีมุจลินทร์ นาลันทาและอัปสรนั่งถัดไป

“อามุจเล่าเรื่องโลกซ้อนโลกให้ฟังหน่อยสิคะ”

อัปสรยังคงมีความอยากรู้ในเรื่องที่มุจลินทร์เล่าค้างเอาไว้เมื่อกลางวันสบโอกาสเธอจึงเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไรหรอกเป็นแค่ทฤษฎีลวงโลกของผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้นแหละ แต่ดันมีคนหลงเชื่อก็เลยเป็นเรื่องเล่าสนุกๆ กันเท่านั้น”

“ลวงโลกแบบไหนล่ะคะอามุจเล่าครึ่งๆ กลางๆ จิ๊ดจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า อามุจต้องเล่าละเอียดๆ สิคะจิ๊ดจะได้คิดเองว่าลวงโลกจริงหรือเปล่า บอกแต่ลวงโลกๆ มันลวงตรงไหนยังไง ไม่ยอมบอกแย่ชะมัด”

อัปสรบ่นกระปอดกระแปดผู้ใหญ่มันชอบสรุปความเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วบอกว่า ไม่ดี แต่ไม่ยอมอธิบายเด็กสมัยใหม่อย่างเธอมีหรือจะยอมเชื่ออะไรง่ายๆ เธอชอบคำโบราณอยู่คำหนึ่งสิบปากว่าไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าลงมือทำด้วยตัวเอง

“แรงไปไหมแม่คุณเป็นเด็กเป็นเล็ก ไปว่าอามุจอย่างนั้นได้ยังไง”

ทาฬิดารีบออกปากปรามถึงจะรู้ว่ามุจลินทร์ไม่โกรธอัปสร เธอเป็นคนนอกยังมองว่าอัปสรพูดแรงไปนิดหากคนในห้ามไม่ได้ คนนอกคงต้องเป็นคนลงมือเอง

“แรงไปเหรอพี่จิ๊ดขอโทษค่ะอามุจ จิ๊ดแค่พูดไปตามที่จิ๊ดคิด”

“ไม่เป็นไรอาชินแล้ว”

มุจลินทร์ยกมือขึ้นลูบผมของอัปสรด้วยความเอ็นดู เธอไม่เคยโกรธอัปสรเลยสักครั้งชอบด้วยซ้ำที่อัปสรเป็นเด็กช่างสงสัย

“เรื่องมันมีอยู่ว่าสมัยโบราณเราเคยเรียนมากันแล้วใช่ไหมว่ามนุษย์คิดว่าโลกเรานั้นแบนราบพระอาทิตย์พระจันทร์หมุนรอบโลก ต่อมาพอเรารู้ว่าโลกกลม เพราะมีการแล่นเรือรอบโลกได้จึงเกิดแนวความคิดขึ้นมาว่า โลกของเรานั้นไม่ได้ตันแต่มีโลกอีกโลกหนึ่งหมุนอยู่ในโลกของเราอีกทีถึงขนาดที่มีนักวิทยาศาสตร์ของโลกคนหนึ่งบอกว่า โลกเรามีสองชั้น ชั้นนอกกับชั้นในเขาให้เหตุผลว่าขั้วแม่เหล็กโลกเอียงไปทางตะวันตกปีละนิดละหน่อยจากนั้นก็มีคนเชื่อตามมาอีกมากมาย พยายามพิสูจน์ว่าโลกของเรานั้นกลวงโดยมีทางเข้าอยู่ที่ขั้วโลกเหนือทางออกอยู่ที่ขั้วโลกใต้ พอมนุษย์เรามีเครื่องบินนักบินคนหนึ่ง บินไปทางขั้วโลกเหนือ แต่พอมาอีกวันหนึ่งไปโผล่ที่ขั้วโลกใต้จึงมีคนบอกว่า เขาบินทะลุแกนกลางของโลกไปโผล่ขั้วโลกใต้หลังจากที่เขาตายไปสี่สิบกว่าปี มีคนเอาบันทึกของเขามาพิมพ์เผยแพร่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า บางคนบอกว่าเขาโกหก ทุกอย่างในบันทึกเกี่ยวกับทางเข้าแกนกลางโลกเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้นแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าโลกเรากลวงหรือตันยังไม่เคยมีใครขุดลงไปในโลกได้ถึงแกนกลางของโลกเลยสักคนหฤษฎีโลกกลวงจึงยังเป็นที่ถกเถียงกันต่อไป ต่อมาในสมัยใหม่ วิวัฒนาการก้าวหน้าสำรวจโลกด้วยการแผ่รังสีความร้อน โดยใช้ดาวเทียมถ่ายภาพ เราจึงรู้ว่าโลกของเราจริงๆ แล้วไม่ได้กลวง แต่มันเป็นเพียงแผ่นบางๆ ห่อหุ้มเอาไว้เมื่อเทียบกับปริมาณมหาศาลของแมกมาร้อนใต้แผ่นโลก พอเข้าใจหรือยัง”

“อ๋อเป็นอย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้วค่ะ ละเอียดยิบเลยเชียวแหละแล้วหนังที่อามุจเล่าล่ะคะ เป็นยังไง ทำไมเขาถึงได้เพชรกลับขึ้นมาได้”

“เราเคยเรียนแล้วใช่ไหมว่าเพชรคืออัญมณีล้ำค่า ซึ่งก่อนหน้านั้นมันก็คือฟอสซิล ของสัตว์ดึกดำบรรพ์เมื่อมันโดนแรงดัน ความร้อน หรืออะไรก็ตามแต่ มันจะเปลี่ยนเป็นเพชร ทีนี้พอพ่อพระเอกเดินทางเข้าไปในแกนกลางของโลกเขาบังเอิญไปเห็นไอ้เพชรพวกนี่มันผุดขึ้นมาจากพื้น พอดีกับที่เขาวิ่งหนีไดโนเสาจึงหักมันมาเป็นอาวุธ ซึ่งจริงๆ ไม่น่าทำได้ เพราะว่าเพชรแข็งมากจากนั้นก็เลยใช้แท่งเพชรแทนมีดดาบ พกติดตัวมาตลอดเวลา จนกลับขึ้นมายังผิวโลก”

“เข้าใจแล้ว”

“เข้าใจก็ไปนอนได้แล้วดึกๆ น้ำค้างแรง จะไม่สบาย” มุจลินทร์เป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกจากนั้นจึงหันมาบอกกับทาฬิดา

“ไปนอนก่อนนะคะฝันดีค่ะ”

“ค่ะฝันดีค่ะ”ทาฬิดาไม่อยากบอกเลยว่า เธอไม่อยากฝัน อยากจะนอนหลับโดยไม่ฝันอะไรสักวันจะได้ไหมเธอหันไปพยักหน้าให้กับมารี อีกคนเติมฟื้นไปอีกสองท่อนใหญ่จากนั้นจึงเดินตามทาฬิดาเข้าไปใน ที่พักของพวกเธอ




 

Create Date : 09 กันยายน 2557    
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:43:49 น.
Counter : 391 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.