การฝึกลูกๆ ให้มีทัศนคติและอุปนิสัยในการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง ทั้งเรื่องการเข้าสังคมและดูแลสุขภาพตั้งแต่อายุน้อยๆ จะทำให้สิ่งเหล่านี้ติดตัวเขาไปเป็นกำไรตลอดชีวิต และนี่คือ 10 เรื่อง สำคัญที่ควรสอนให้ลูกๆ ได้ปฏิบัติเป็นอุปนิสัยค่ะ 1. สั่งน้ำมูกให้หมดนะครับลูก ยิ่งสอนให้เด็กๆ สั่งน้ำมูกเป็นเร็วเท่าไหร่ก็จะลดปัญหาสุขภาพของเขาได้มากเท่านั้น เพราะจมูกที่คั่งด้วยน้ำมูกก็จะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหูและโรคอื่นๆ อีกมาก วิธีสอน หัดให้เด็กพ่นลมแรงๆ ออกจากปากก่อนในขั้นแรกเหมือนที่เล่นเป่าหมอกจากกระจก จากนั้นให้เขาพ่นลมแบบนั้นออกจากจมูกแต่ละข้างทีละครั้ง ไม่ช้าเขาก็ทำได้เอง แรกๆ ลูกอาจจะกลัว เมื่อเขาทำสำเร็จเขาจะรู้ว่ามันโล่งจมูกและจะทำได้เองเมื่อรู้สึกว่าน้ำมูกมันคาอยู่ในรู้จมูกค่ะ 2. อาหารเช้าทุกวัน…. เรื่องสำคัญของสมอง มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดเพราะจะช่วยให้เด็กๆ คิดและเรียนดีขึ้น เข้าทำนอง Breakfast is brain food วิธีสอน คิดเมนูอาหารเช้าแปลกๆ ใหม่ๆ ให้เด็กได้สนุกกับมันแทนที่จะจำเจ ลองเปลี่ยนแซนด์วิชแฮมที่เคยกินเป็นประจำเป็นกล้วยปั่นกับโยเกิร์ตบ้างก็ได้ สำคัญที่สุดพ่อกับแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีค่ะ 3. ปกป้องผิวตนเอง….ก่อนเล่นน้ำสนุก ผู้เป็นมะเร็งผิวหนังส่วนใหญ่มักเกิดจากการตากแดดสะสมตั้งแต่วัยเยาว์ สอนให้เด็กๆ รู้เรื่องนี้และทาครีมกันแดดก่อนทุกครั้ง ยิ่งช่วงหน้าร้อนโรงเรียนปิดเทอมการพาลูกไปเที่ยวทะเล หรือฝึกว่ายน้ำในสระละก็ ต้องทาโลชั่นกันแดดก่อนทุกครั้งเพราะเด็กทุกคนโตพอได้ลงน้ำไม่ค่อยคิดค่ะว่าแดดจะร้อนจนผิวเสีย ขอให้ได้สนุกเท่านั้นพอค่ะ วิธีสอน ชวนเขาเล่นทาครีมกันแดดด้วยกันหรือพกใส่กระเป๋าเด็กๆ ไว้ให้หยิบง่ายๆ 4. ฟันหลอ….ไม่หล่อ สอนเด็กๆ ว่าการไม่แปรงฟันหรือปล่อยให้ฟันผุจะมีโรคร้ายอื่นๆ ตามมา (ถ้าเป็นลูกชายเดี๋ยวหมดหล่อค่ะ) วิธีสอน ช่วงวัย 3-5 ขวบเป็นวัยค้นคว้าและเรียนรู้ สอนให้เขาหัดแปรงฟันให้ถูกต้องและพาไปซื้อแปรงสีฟันแบบที่เขาชอบเพื่อกระตุ้นให้เขาอยากแปรงฟันมากขึ้นเพื่อนำนาฬิกาทรายมาตั้งขณะที่ลูกกำลังแปรงฟัน ทรายหมดก็เสร็จพอดีค่ะ 5. ขยับร่างกายออกกำลังบ้าง… เดี๋ยวหัวโตเดินไม่ไหวนะครับ เด็กเดี๋ยวนี้มักชอบนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์หรือดูโทรทัศน์นานๆ โดยไม่ขยับไปไหนๆ ทำให้เจ็บป่วยบ่อยๆ ควรให้เขามีกิจกรรมด้านอื่นๆ บ้าง วิธีสอน เลือกของเล่นที่ต้องใช้การออกกำลัง เช่น จักรยาน บาสเก็ตบอล ปิงปอง ฯลน แลฃะสมาชิกในบ้านก็ควรร่วมเล่นกับเขาด้วย 6. ปิดปากและล้างมือเมื่อจาม มีเชื้อโรคหลายชนิดที่อยู่ในน้ำลายเวลาไอหรือจามออกมา เช่น เชื้อหวัด เชื้อโรคหัด โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฯลฯ วิธีสอน บอกเด็กๆ ให้ปิดปากเวลาไอหรือจาม และล้างมือทุกครั้งหลังไอหรือจาม เพื่อกันการถ่ายโอนเชื้อจากหน้าสู่มือและไปยังคนอื่นๆ ด้วย (ลองดูนะคะคุณแม่ เวลาที่ลูกเอามือน้อยๆ ปิดปากเวลาไอ….มันน่ารักมากค่ะ) 7. ไม่ต้องเก่งที่สุด….ขอให้เป็นเด็กดีก็พอครับ ในโลกการแข่งขันและความกดดันที่ไร้เหตุผล ไม่มีใครจะได้ทุกอย่างที่ตนต้องการให้เด็กๆ ได้รู้ว่าเขาได้ใช้ความชำนาญทำทุกอย่างเต็มที่ นั่นคือความภูมิใจไม่ใช่ที่ผลตัดสินจากคนอื่น พ่อแม่ทุกคนมักจะเข้าข้างลูกเสมอว่าลูกตัวเองเก่งที่สุด ทำให้เกิดนิสัยต้องเก่งกว่าคนอื่น เหนือคนอื่น แบบนี้โตขึ้นแย่ค่ะ วิธีสอน อย่าชมเชยกับผลของรางวัลมากเกินไป แต่ให้ความสำคัญกับพัฒนาการและผลของความพยายามของเขาแทน 8. อาหารที่อร่อยและมีประโยชน์มีอีกเพียบครับลูก อย่าให้เด็กติดอาหารขยะเป็นนิสัยทำให้เป็นโรคอ้วนและเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานเมื่อโตขึ้น หรือไม่สร้างนิสัยการกินอาหารเดิมๆ ซ้ำๆ วิธีสอน หาอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้หรือขนมทำเองที่มีส่วนผสมที่ดีแต่อย่าสอนให้เด็กบริโภคขนมเป็นประจำจนติดนิสัยถ้าลูกทานอาหารซ้ำๆ ต้องฝึกให้ลองอาหารอื่นๆ ก่อน ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้เมนูที่ชอบเพิ่มขึ้นค่ะ 9. เข้าห้องน้ำทุกเช้า….จัดระเบียบให้ระบบขับถ่าย เด็กควรถูกฝึกหัดเรื่องกิจวัตรการขับถ่ายประจำวัน แพทย์ระบุว่าอาการเตือนเกี่ยวกับระบบขับถ่ายของร่างกายจะเกิดขึ้นมากที่สุดคือช่วงหลังอาหารเช้าและเด็กๆ ควรจะได้มีเวลาว่างเข้าห้องน้ำในช่วงนั้น วิธีสอน หัดให้เด็กตื่นเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย โดยเปลี่ยนเวลาการนอนเพื่ออนามัยที่ดีของเขา ที่สำคัญเป็นการจัดระเบียบร่างกายที่ดีตั้งแต่เด็ก จะได้ไม่กังวลว่าวันนี้ลูกถ่ายหรือยังค่ะ 10. เอะอะโวยวาย ว้ายกรี๊ด ไม่ดีค่ะ ไม่ว่าจะเป็นอาการเกรี้ยวกราดหรือการแสดงสีหน้าอารมณ์แทนที่จะระเบิดมันออกมา เพื่อให้เด็กได้มีเกราะป้องกันตัวและหัดประนีประนอมกับชีวิตในวันข้างหน้า เมื่อพบกันเหตุการณ์คับขัน การควบคุมความโกรธต้องฝึกตั้งแต่เด็กค่ะ วิธีสอน บอกเด็กๆ ว่าอารมณ์เหล่านั้นเป็นเพียงสัญญาณอย่างหนึ่งที่ต้องพิจารณาให้ปล่อยออกมาในระดับที่เหมาะสมหรืออาจละทิ้งไปไม่ให้คิดถึงมันก็ได้…. (เห็นไหมทำแบบนี้เพื่อนหนีหมดเลย) มาสร้างนิสัยดีๆ ในการใช้ชีวิตให้เด็กๆ ตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตที่ดีของเด็กทุกคนค่ะ [ ที่มา..นิตยสารบันทึกคุณแม่ No.167 June 2007] |