|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ครูศิลป์ พีระศรี

ภาพจาก picuki.com
อัพบล๊อคฉลองวันคล้ายวันเกิดให้ครูศิลป์ พีระศรี แต่กว่าจะอัพได้ก็เกือบหมดวันแล้ว อ่านนสพ.เมื่อสองวันก่อน เจอข่าวของครูเลยรีบเขียนอย่างด่วน นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว ทีแรกก็หาข้อมูลในเวบได้เยอะมาก แต่นึกได้ว่ามีหนังสือเกี่ยวกับศิลปินชาวอิตาเลียนที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย ไปค้นมาเปิดดู มีเรื่องของครูอยู่ด้วย ข้อมูลไม่ยาวมาก รูปก็สวยเฉียบ (แต่สแกนแล้วรูปไม่งามเท่าต้นฉบับ ) ก็เลยยกมาให้อ่านทั้งดุ้น ส่วนข้อมูลในเวบที่หาได้ก็แยกเป็นอีกบล๊อคนึง
เคยแต่อ่านเรื่องราวของท่าน รู้สึกได้ว่าท่านเป็นครูที่ดีมาก ทุ่มเทและให้ความรักแก่ลูกศิษย์อย่างจริงใจ ถึงจะเป็นคนต่างชาติแต่ก็รักความเป็นไทยมากกว่าคนไทยหลาย ๆ คนซะอีก ขอกราบดวงวิญญาณของครูศิลป์ด้วยจิตคารวะค่ะ

คอร์ราโด เฟโรชี (พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๕o๕)
คอร์ราโด เฟโรชี หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ศิลป์ พีระศรี เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ที่เมืองฟลอเรนซ์ บิดาเป็นคนหัวรุนแรง จึงไม่สามารถจุนเจือครอบครัวได้ดีนัก ในวัยเด็ก แทนการหย่อนใจด้วยวิธีการที่สิ้นเปลืองเงินทอง บิดาจะพาไปชมวิหารและพิพิธภัณฑ์เมืองฟลอเรนซ์ ทำให้เฟโรชีซาบซึ้งและแสดงพรสวรรค์ทางด้านศิลปะมาแต่เยาว์วัย ครอบครัวจึงพยายามสนับสนุนและส่งเสริมอย่างเต็มความสามารถ จนเฟโรชีสามารถเข้าเรียนที่สถาบันวิจิตรศิลป์ได้เมื่ออายุได้ ๑๖ ปี

เฟโรชีศึกษาที่สถาบันนี้รวมเวลา ๗ ปี และเมื่อบวกกับสิ่งที่เรียนรู้จากผลงานทางศิลปะประดามีที่อยู่ในเมืองฟลอเรนซ์ ก็นับว่าเฟโรชีมีพร้อมทั้งความรู้และเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในการเรียนการสอนที่กรุงเทพฯ ในภายหลัง

ศาสตรจารย์ประหยัด พงษ์ดำ จิตรกรและอาจารย์มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นศิษย์ของเฟโรชีเมื่อ ๔o ปีมาแล้ว เล่าถึงวิธีการสอนของเฟโรชีไว้ว่า "เราเรียนโดยยึดการฝึกฝนทุกวันเป็นพื้น ปีแรกเรียนเรื่องโครงสร้างร่างกายมนุษย์ ปีที่ ๒ เรื่องกล้ามเนื้อตามภาพวาดของเลโอนาร์โด ดา วินซี ปีที่ ๓ เรียนเกี่ยวกับสัตว์ และปีสุดท้ายเรื่องแสงและเงา โดยเรียนจากธรรมชาติ
 ศาสตราจารย์ประหยัด พงษ์ดำ
อาจารย์ศิลป์ พีระศรี มักพาเราไปตามชายทะเล ภูเขา และพวกเราก็ดีอกดีใจตามอาจารย์ไปทุกแห่ง อาจารย์สอนเรื่องศิลปะโรมัน กอธิค ศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา สอนเกี่ยวกับสไตล์และรสนิยมของยุคสมัยที่ล่วงเลยเนิ่นนานมาแล้ว..." และยังกล่าวถึงบุคลิกของคอร์ราโดในขณะนั้นว่า "อาจารย์เฟโรชีรูปหล่อ เป็นเทพบุตรกรีกสำหรับลูกศิษย์สาว ๆ และเป็นครูสำหรับพวกเราทุกคน"
 คอราโด เฟโรชี สุภาพบุรุษจากฟลอเรนซ์ ถ่ายภาพนี้ไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ ครูศิลป์ปั้นอนุสาวรีย์ผู้กล้าหาญ ณ เกาะเอลบาก่อนเดินทางมาประเทศสยาม
 รูปปั้นครูในสวนของมหาวิทยาลัยศิลปากร
โรมาโน บุตรชายซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยฟลอเรนซ์ กล่าวถึงความเป็นครูของบิดาในลักษณะเดียวกัน "คุณพ่อจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกศิษย์ แต่ก็ต้องการให้พวกเขาพยายามเรียนรู้อย่างมากที่สุดเป็นการตอบแทน..."
 ห้องทำงานของครูศิลป์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์
 พิมพ์ดีดตัวเก่งของครูศิลป์
ก่อนหน้าลูกศิษย์คนไทย เฟโรชีมีลูกศิษย์อิตาเลียนด้วยเช่นกัน เนื่องจากได้เข้าสอนสถาบันวิจิตรศิลป์ที่ฟลอเรนซ์ แต่ขณะเป็นอาจารย์ที่นี่เอง เฟโรชีได้รับการว่าจ้างให้เข้ารับราชการ ในตำแหน่งช่างปั้นสังกัดกรมศิลปากรที่กรุงเทพฯ ในพ.ศ. ๒๔๖๖ ขณะอายุได้ ๓๑ ปี
 ตราประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
เมื่อเริ่มทำงานที่กรมศิลปากรใหม่ ๆ เฟโรชีประสบปัญหาทั้งทางกายซึ่งเกิดจากห้องทำงานที่คับแคบ เพราะต้องใช้ร่วมกับช่างปั้นชาวไทยอีก ๒ คน และในทางปัญญาอันเนื่องมาแต่วิธีคิดที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับศิลปะ เพราะในเมืองไทยขณะนั้นยังยึดติดอยู่กับประเพณี และรูปแบบที่เคยปฏิบัติตาม ๆ กันมาโดยไม่ยอมรับของใหม่
 Feroci and his School, interior decorations, Villa Norasing
ในช่วงนี้เองที่เฟโรชีได้สร้างผลงานชิ้นสำคัญ ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียง คือการปั้นพระบรมรูปสัมฤทธิ์ครึ่งองค์ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านริศรานุวัตติวงศ์ พระบรมรูปนี้แลดูมีพลัง เอาการเอางาน แต่ในขณะเดียวกันก็บ่งบอกถึงพระปรีชาญาณอันแรงกล้าขององค์ต้นแบบอย่างพอเหมาะอีกด้วย
 พระบรมรูปสัมฤทธิ์ครึ่งองค์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์
หลังจากนั้น เป็นการปั้นพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ ซึ่งล้วนครองราชย์ในยุคที่ประเทศประสบความวิกฤต คือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย
 พระบรมรูปรัชกาลที่ ๑
 รูปปั้นพระบรมรูปทรงม้า
 พระราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สวนลุมพินี
เพียงชั่วเวลา ๑o ปี เฟโรชีก็มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะศิลปิน ผลงานชิ้นสำคัญคือการก่อตั้งโรงเรียนศิลปากรขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๗๗ โดยเป็นทั้งผู้บริหารและอาจารย์ จากเดิมที่เป็นอาจารย์และช่างปั้น อันเป็นบทบาทที่กระตุ้นให้มีการศึิกษาศิลปะในรูปแบบใหม่ นักศึกษารุ่นแรกมีด้วยกันทั้งหมด ๗ คน ที่ภายหลังมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างสรรค์ศิลปะไทยสมัยใหม่ คือ เฟื้อ หริพิทักษ์, พิมาน มูลประมุข และสิทธิเดช แสงหิรัญ ซึ่งสำเร็จการศึกษาในพ.ศ. ๒๔๘๑

แต่แม้จะมีชื่อเสียง ก็ใช่ว่าเฟโรชีจะมีฐานะร่ำรวย ความร่ำรวยเพียงประการเดียวที่เขาเห็นจะเป็นความรักที่มีต่อลูกศิษย์เท่านั้น ในห้องทำงานนั้นมีสิ่งของเครื่องใช้อยู่เพียงไม่กี่ชิ้น คือพิมพ์ดีดเก่า ๆ ๑ เครื่อง เครื่องเล่นแผ่นเสียง ๑ เครื่อง ลูกโลก ๑ อัน และพระพุทธรูป ๑ องค์ เท่านั้น พิมพ์ดีดโอลิมเปียเครื่องเก่า ๆ นี้เองที่เฟโรชีพิมพ์บรรดาตำราต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะของประเทศไทย ได้แก่ "ทฤษฎีสี" (พ.ศ. ๒๔๘๘) "ทฤษฎีแห่งองค์ประกอบ" (พ.ศ. ๒๔๘๗) "คู่มือศัพท์" "ศิลปะอังกฤษ - ไทย" (พ.ศ. ๒๔๘๗) "ศิลปกับวัฒนธรรม" (พ.ศ. ๒๔๙๖) "ศิลปะเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่" (พ.ศ. ๒๕o๑) "สุดโต่งในศิลปะ" (พ.ศ. ๒๕o๓) "รูปเปลือยและศิลปะอนาจาร" (พ.ศ. ๒๕o๔)
 ครูศิลป์เขียนบทความศิลปะโดยพิมพ์ดีดด้วยตัวเองภายในห้องทำงาน
นอกจากผลงานเกี่ยวกับศิลปะตะวันตกเหล่านี้แล้ว ยังมีงานเขียนเกี่ยวกับศิลปะไทยอีกหลายเล่ม เช่น "จิตรกรรมไทย" "ประติมากรรมพุทธศาสนา" "ที่มาและพัฒนาการจิตรกรรมฝาผนังของไทย" และ "การเข้าถึงศิลปะสุโขทัย" ซึ่งแสดงถึงแนวคิดพื้นฐานที่ว่า ค่านิยมทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมจะต้องอยู่ร่วมกับลักษณะสร้างสรรค์ของศิลปะสมัยใหม่ ๆ ผลงานของศิลปินไทยจะต้องเป็นไทยอยู่ ต่างจากงานศิลปินชาติอื่น ๆ ที่มีวัฒนธรรมผิดแผกออกไป งานเขียนเหล่านี้แสดงว่าเฟโรชีสามารถเข้าถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง โดยที่มิได้ขาดจากวัฒนธรรมเดิมของตน แน่นอนว่าปัญหาที่ยังโต้เถียงกันอยู่ก็คือ การก่อให้เกิดความกลมกลืนกันระหว่างโลกศิลปะที่ต่างกันจนยากที่จะรวมกันได้เช่น ตะวันออกกับตะวันตกนี้ ในทางปฏฺิบัติแล้วสามารถทำได้หรือไม่
ผลงานของครู


 รูปปั้นบรอนซ์คุณมาลินี พีระศรี ภริยาของครู
อนุสาวรรีย์ประชาธิปไตยเป็นตัวอย่างของงานในลักษณะนี้ เฟโรชีได้รับมอบหมายให้ออกแบบอนุสาวรีย์นี้ ซึ่งสร้างประมาณช่วงท้ายของพุทธศตรวรรษที่ ๒๔ รายละเอียดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ลูกศิษย์ของเฟโรชีเองเป็นแบบสำหรับการปั้นรูปบุคคลที่เป็นส่วนหนึ่งของอนุสาวรีย์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การให้ศิลปินเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยและมีบทบาทในสังคม อันเป็นสิ่งที่เฟโรชีพยายามให้เกิดขึ้นนับแต่มาถึงเมืองไทย พ.ศ. ๒๔๖๗ นั้น ได้บรรลุผลอย่างแท้จริงในการสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้เอง ศิลปินและสังคมได้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน และนำไปสู่ความสูงส่งทางด้านจิตวิญญาณ
 อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

 ลายปูนปั้นนูนต่ำ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
 ลวดลายน้ำพุอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
 อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
 "พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์" พระพุทธรูปยืนปางลีลาขนาดใหญ่ ประดิษฐาน ณ ใจกลางพุทธมณฑล
ในพ.ศ. ๒๔๘๖ โรงเรียนประณีตศิลปกรรมได้รับการยกสถานะเป็นมหาวิทยาลัย และเฟโรชีได้ประกาศให้ปีนี้เป็นปีแห่งกำเนิดศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย ในพ.ศ. ๒๔๘๗ เฟโรชีเปลี่ยนชื่อเป็น ศิลป พีระศรี กลายเป็นคนไทยซึ่งมีความผูกพันกับประเทศไทยเช่นเจ้าของประเทศคนหนึ่ง
 โลโก้วันงานครบรอบร้อยปี ศิลป์ พีระศรี
ศิลปะในประเทศไทยก็ได้พัฒนา ต่อมามีการจัดงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติใน พ.ศ. ๒๔๙๒ ครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๙๓ ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การยูเนสโกใน พ.ศ. ๒๔๙๖ และใน พ.ศ. ๒๕o๓ ศิลปินไทยก็ได้เข้าร่วมงานนิทรรศการประติมากรรมนานาชาติ ที่หอศิลป์แห่งลอนดอน ร่วมกับศิลปิน "ใหญ่" เช่น มัวร์ คัลเดอร์ ฟอนตานา และมารีนี
 โปสเตอร์จัดงานวันครบรอบร้อยปีศิลป์ พีระศรี
 แสตมป์ครบรอบร้อยปีศิลป์ พีระศรี
 ของที่ระลึกวันฉลองครบรอบร้อยปี ศิลป์ พีระศรี
ศิลปินไทยมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั้งที่นิวยอร์คและโตเกียวด้วยเช่นกัน และศิลป์ พีระศรี ก็คงต่อสู้เพื่อให้ศิษย์เด่นดังในระดับนานาชาติจนถึงวาระสุดท้ายในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕o๕ ขณะกำลังเตรียมโครงการจัดตั้งหอศิลป์สมัยใหม่ ร่างของศิลป์ พีระศรี ถูกนำไปยังเมืองฟลอเรนซ์ มีนักศึกษาและศิลปินจากมหาวิทยาลัยศิลปากรไปคารวะอยู่เป็นเนืองนิจ ในฐานที่ศิลป์ พีระศรี คือบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทยและเป็นบิดาของพวกเขาด้วย
ภาพและข้อมูลจากหนังสือ Italiani alla Corte del Siam (ชาวอิตาเลียนในราชสำนักไทย) และอาจารย์ศิลป์กับลูกศิษย์
บีจีจากคุณเนยสีฟ้า
Free TextEditor
Create Date : 15 กันยายน 2552 |
Last Update : 15 กันยายน 2563 22:48:38 น. |
|
33 comments
|
Counter : 22842 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: หยุ่ยยุ้ย วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:18:59:31 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:20:42:59 น. |
|
|
|
โดย: มัยดีนาห์ วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:20:59:00 น. |
|
|
|
โดย: chubedu วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:21:11:32 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:22:31:16 น. |
|
|
|
โดย: ลุงแอ๊ด วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:22:56:49 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:5:35:53 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:6:02:19 น. |
|
|
|
โดย: JewNid วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:9:22:21 น. |
|
|
|
โดย: ต๊ายตาย..นี่มัน..!!! (อสัญแดหวา ) วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:10:31:15 น. |
|
|
|
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:14:46:30 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:6:52:59 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:10:27:53 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:11:48:04 น. |
|
|
|
โดย: "ผู้รับใช้ที่ต้อยต่ำต่องานศิลปะของฉัน" (ใบไม้ต้องลม ) วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:11:49:23 น. |
|
|
|
โดย: แอบมาเยี่ยมคุณไฮกุเจ้าค่ะ (yoja ) วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:12:18:32 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:15:21:50 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:5:56:49 น. |
|
|
|
โดย: yosa วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:11:49:53 น. |
|
|
|
โดย: baam IP: 91.108.73.2 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:16:28:01 น. |
|
|
|
โดย: ชายผู้หล่อเหลา..กว่าแย้นิดนึง.. (อสัญแดหวา ) วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:22:04:39 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:6:06:17 น. |
|
|
|
โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:8:13:12 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:18:47:49 น. |
|
|
|
โดย: 9domengi วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:22:06:16 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:17:35:35 น. |
|
|
|
โดย: ตาพรานบุญ วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:22:41:12 น. |
|
|
|
โดย: haiku วันที่: 30 กันยายน 2552 เวลา:19:36:42 น. |
|
|
|
|
|
|
|
อาจารย์เป็นคนรูปโฉมงามนะคะ
แต่เหนือความงดงามของรูปโฉม คือ คุณความดีที่ท่านมอบแด่แผ่นดินไทย
ว่าแต่ภริยาของท่านเป็นคนไทยเหรอคะ คุณไฮกุ