:: ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 280 ::
:: ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 280 ::โจทย์ --- มหาลัยวัยซนผู้คิดโจทย์ --- nonnoiGiwGiw
:: วัยชน ::ผลงาน : กะว่าก๋า
เห็นโจทย์ตะพาบครั้งแรก ผมอ่านโจทย์เป็น “มหาลัยวัยชน” แทนที่จะเป็น “มหาลัยวัยซน” แล้วก็ย้อนนึกถึงเรื่องราวของตัวเองสมัยเป็นนิสิต ผมมีวีรกรรมเรื่องความซนน้อยมาก แต่มีเรื่องราวที่จดบันทึกไว้มากมายขณะเรียนในมหาวิทยาลัย และในภายหลังมันกลายเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเขียนหลังจากเรียนจบ นั่นคือ หนังสือเรื่อง “สองปีที่ฝันร้าย”
ผมเลือกตอนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้มาให้เพื่อนๆได้อ่าน เป็นความทรงจำที่ผมชอบมากที่สุดขณะที่ได้เรียนอยู่ที่นี่
: เป็นครูไม่กี่วัน เป็นครูตลอดชีวิต :ปี 2 เทอมสุดท้ายนักศึกษาครุศาสตร์ทุกคนจะต้องไปทำการฝึกสอนในสถานศึกษาจริง ผมเลือกสมัครสอนที่วิทยาลัยศิลปะใกล้บ้าน เป็นวิทยาลัยเก่าแก่มีชื่อเสียงมายาวนาน ผมชวนเพื่อนไปสมัครสอนด้วยกันที่นี่รวมทั้งหมด 4 คน เช้านั้นเราเดินไปที่ตึกอำนวยการ ผมยื่นจดหมายแจ้งความจำนง สมัครเป็นครูฝึกสอนวิชาสถาปัตยกรรมไทย ขณะยืนรอเจ้าหน้าตรวจสอบเอกสาร มีอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งเดินผ่านมาพอดี ท่านเอ่ยถามผมว่า “พวกคุณเป็นใคร มาทำอะไรกันคะ ?”
“พวกผมมาสมัครเป็นครูฝึกสอนครับ” ผมตอบอย่างสุภาพ
“มาจากสถาบันอะไร ?” ท่านมองหน้าผมแล้วถามอย่างจริงจัง พอผมบอกชื่อสถาบันของเราไปเท่านั้น หน้าของท่านก็เปลี่ยนไปทันที อาจารย์ตอบกลับมาด้วยเสียงฉุนเฉียวไม่พอใจว่า
“มาทำไมอีก พี่บอกแล้วไงว่าจะไม่รับนักศึกษาจากสถาบันนี้มาฝึกงานอีกแล้ว”
ผมและเพื่อนยืนงงอยู่ตรงนั้น เจ้าหน้าที่หันมามองทำหน้าไม่ถูก
“ไป...ไป...ออกไปเลย ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาอีก มาทำไม” เสียงท่านเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนผมที่มาด้วยกันขยับตัวเตรียมเดินหันหลังกลับไป อีกคนดึงแขนผมไว้เหมือนจะบอกว่าไปเถอะ
“เดี๋ยวครับอาจารย์ ผมอยากได้คำอธิบายว่าเพราะอะไร อาจารย์ถึงไม่รับพวกผม”
ผมจ้องหน้าอาจารย์โดยไม่เกรงกลัว ผมอยากรู้ ทำไมอาจารย์ถึงพูดกับพวกผมแบบนี้ ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
“ปีที่แล้วพวกรุ่นพี่คุณมาฝึกสอนที่นี่ แล้วก็ไม่มีความรับผิดชอบเลย นอกจากไม่ตั้งใจสอน พอช่วงธีสิสก็ทิ้งห้อง ไม่ยอมสอนให้จบหลักสูตร ไม่ทำข้อสอบไม่มาตัดเกรดให้เด็กด้วย พี่แจ้งไปที่แผนกของพวกคุณแล้ว ว่าไม่ต้องมาสอนที่นี่อีก คุณกลับไปได้เลย”
“อาจารย์ครับ” ผมพูดขึ้นมา ในขณะที่เพื่อนผมเตรียมตัวกลับกันหมดแล้ว “นั่นเป็นเรื่องของรุ่นพี่ ไม่ใช่เรื่องที่ผมทำไว้ ทำไมปลาเน่าตัวเดียว อาจารย์ถึงเหมาว่ามันจะต้องเน่าเหมือนกันหมด ไม่ยุติธรรมเลยครับ”
อาจารย์นิ่งไปชั่วขณะ จ้องตาผมแล้วถามว่า “แล้วคุณจะเอายังไง ?”
“ผมอยากขอโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ว่าผมไม่ได้เป็นอย่างรุ่นพี่พวกนั้นครับ” ผมพูดโดยไม่หลบตา
“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่เป็นอย่างรุ่นพี่พวกนั้น”
“ครับ” ผมยืนยันอย่างมั่นใจ
“ได้...งั้นพี่จะให้โอกาสพวกคุณ วันจันทร์เข้ามานั่งคุยกันเรื่องการเตรียมตัวสอน”
ผมยกมือไหว้และกล่าวคำขอบคุณที่อาจารย์หัวหน้าแผนกให้โอกาส ตอนเดินกลับมาจากวิทยาลัยแห่งนั้น ผมบอกเพื่อนทุกคนว่า
“ได้โอกาสนี้มาแล้ว อย่าทำให้อาจารย์ท่านผิดหวังนะ ช่วยกันนะ ทำให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้เป็นอย่างเขาว่า”
การสอนเด็กช่างศิลป์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง ยังอยู่ในวัยรุ่นอายุ 15-16 บางคนย้อมผมสีม่วง เรื่องแต่งกายไม่ต้องพูดถึง ผิดระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ผมใช้เวลาเพียงคาบแรกก็สามารถสร้างความคุ้นเคยกับเด็กได้ ผมบอกนักศึกษาว่า
“ผมมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่ ตั้งใจอยากมามอบสิ่งที่ผมรู้ให้พวกคุณรู้ ผมไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แค่มีอายุมากกว่านิดหน่อย เรียนรู้ตำรามามากกว่านิดหน่อย ถือว่าเรามาเรียนรู้ร่วมกัน เรื่องกฎระเบียบ ผมไม่สนใจ คุณจะย้อมผมสีอะไรก็ได้ เอาเสื้อออกนอกกางเกงก็ได้ ใส่รองเท้าแตะมาเรียนก็ได้ ขอให้มาเรียน แต่เวลาเดินอยู่นอกห้องเจออาจารย์ฝ่ายปกครองก็หลบ ๆ หน่อยละกัน แล้วอย่าบอกว่าครูเป็นคนบอกล่ะ”
เด็กฟังแล้วก็ฮาครืน รู้สึกว่าผมเหมือนพี่ เหมือนเพื่อนซึ่งพูดคุยกันได้ มากกว่าจะมาเป็นครูที่คอยสั่งคอยบังคับพวกเขา คาบแรกที่ผมเข้าสอน อาจารย์หัวหน้าแผนกมายืนนิเทศด้วยตัวเองที่หลังห้อง เมื่อผมสอนจนจบคาบ อาจารย์เดินมาบอกกับผมว่า
“คุณทำได้ดีมาก พี่จะเข้านิเทศครั้งนี้ครั้งเดียวพอ ต่อไปก็ขอให้ตั้งใจสอนแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะ”
ผมอยู่กับเด็กนักศึกษาตลอดทั้งเทอม ตั้งใจสอนเต็มที่ ว่างจากการเรียนที่มหาวิทยาลัยก็เข้าไปที่วิทยาลัย นั่งทำงานเอกสารต่าง ๆ ในห้องพักครูช่วยทำงานอื่น ๆ เท่าที่ทำได้ ผมไม่เคยขาดสอนแม้แต่ครั้งเดียว ช่วยพาเด็กไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ทำข้อสอบ ตรวจข้อสอบ ตัดเกรด รับผิดชอบงานสอนของตัวเองตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายของการฝึกสอน วันที่ผมเดินไปกล่าวคำขอบคุณและกล่าวลาหัวหน้าแผนก ท่านยังเมตตาเดินพาผมไปที่หอพักของวิทยาลัย ผมเดินตามไปด้วยแบบงง ๆ ท่านชี้มือไปที่ห้องพักของอาจารย์
“เลือกไว้เลย คุณชอบห้องไหน จองไว้ เรียนจบแล้วมาทำงานกับพี่ พี่จะรับคุณเป็นอาจารย์ที่นี่ มาช่วยกันทำงานนะ”
ผมตอบรับด้วยความขอบคุณ แต่บอกอาจารย์ไปว่า ผมอยากกลับบ้านที่เชียงใหม่ก่อน ยังไงจะลองรับข้อเสนอและตัดสินดูอีกครั้ง แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้กลับไปที่วิทยาลัยแห่งนี้อีกเลย
-------------------------------------------------------
หลังจากเขียนหนังสือ “สองปีที่ฝันร้าย” จบ ผมส่งหนังสือทำมือ 10 เล่มนี้ให้กับอาจารย์ที่ผมเคารพรัก ส่งให้กับเพื่อนสนิทบางคนให้ได้อ่านและรับรู้ความรู้สึกของผม
สองสามปีหลังจากนั้น มีรุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่งโทรศัพท์มาหาผม
“พี่..หนูชอบหนังสือสองปีที่ฝันร้ายของพี่มาก ๆ เลย พี่เขียนได้ตรงใจหนูมากๆเลยค่ะ”
ผมกล่าวคำขอบคุณและบอกเธอไปว่า “ขอบคุณครับน้อง แต่พี่ไม่ได้คิดแบบนั้นอีกแล้วกับที่นี่ พี่ไม่โกรธอาจารย์เหล่านั้นแล้วครับ”
น้องดูจะผิดหวังในคำตอบของผมไม่น้อย แต่ผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ใช่ --- เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ดูเหมือนความเกรี้ยวกราดในใจผมจะค่อย ๆ จางลง ความเกลียดที่เคยมีเหมือนมันค่อย ๆ คลายตัว ผมมองอาจารย์เหล่านั้นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป มีผิดมีถูก มีดีมีผิดพลาด ความโกรธที่เคยรู้สึก เปลี่ยนไปเป็นความชาเฉย ผมไม่อยากรับรู้เรื่องราวอะไรอีกแล้ว ที่นั่นจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะสนใจอีกต่อไป
หลังเรียนจบผมกลับมาทำงานที่เชียงใหม่กับที่บ้าน หลายปีผ่านไป อาจารย์และนักศึกษาจาก “สถาบันเทคโนโลยีฯ” แห่งนี้ ได้ขึ้นมาจัดงานนิทรรศการที่เชียงใหม่ ผมได้เดินไปดูผลงานน้อง ๆ ด้วย เมื่อพบอาจารย์รุ่นพี่ซึ่งรู้จักกัน ประโยคแรกที่อาจารย์รุ่นพี่ทักทายผมคือ
“นายยังแรงเหมือนเดิมรึเปล่า ?”
ผมอดขำไม่ได้ หลายปีผ่านไป ผมเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเองอย่างมากมาย ไม่มีใครเป็นเหมือนเดิมได้ตลอดเวลาหรอก เราต่างได้เรียนรู้ ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เห็นตัวเองชัดเจนขึ้น ทุกฝันร้ายจะจบลงเมื่อเราตื่นลืมตามาพบกับความจริง เช้าวันใหม่ของชีวิตเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเรายอมรับว่า “ฝันร้าย คือ ฝันร้าย” แต่วันหนึ่งมันจะผ่านไป ไม่หลงเหลืออะไรติดค้างในใจอีกต่อไป
ผมพิมพ์ต้นฉบับหนังสือ “สองปีที่ฝันร้าย” จบลงในวันที่ 28 มกราคม 2540 เคยเซฟไฟล์ต้นฉบับงานไว้ในแผ่น floppy disk (ปัจจุบันเลิกใช้ไปนานแล้ว) และมันหายไปไหนก็ไม่รู้
เดือนเมษายน 2564 ผมกลับไปค้นเจอต้นฉบับหนังสือเล่มนี้ที่ผมถ่ายเอกสารเก็บไว้ เหลืออยู่กับตัวเองเพียงเล่มเดียวจากชั้นหนังสือในบ้าน จึงนำกลับมานั่งพิมพ์และเรียบเรียงต้นฉบับใหม่อีกครั้ง ถ้อยคำใดที่รุนแรงเกินไปก็ตัดออก เรื่องราวใดที่เวิ่นเว้อฟูมฟายก็ลบทิ้ง ตัดทอนเพิ่มเติมจนกลายมาเป็นต้นฉบับล่าสุดนี้อีกครั้ง
แม้ในวันนี้ผมอาจไม่ได้คิดอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว อาจารย์หลายท่านที่เคยมีปัญหากันก็ลาจากโลกนี้ไป มหาวิทยาลัยซึ่งผมเคยเรียนแห่งนี้ ตอนนี้คงเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ทั้งตัวอาคาร ผู้คน หลักสูตร อาจารย์และนักศึกษาที่เปลี่ยนเวียนหน้ากันใหม่ตลอดเวลา
ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป เหลือไว้เพียงความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตและตัวตนของผมในช่วงวัยนั้น ไม่มากก็น้อยสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นจะตกตะกอนนอนก้นอยู่ในความทรงจำของผม เพื่อรอวันลืมเลือน
Create Date : 24 มิถุนายน 2564 |
Last Update : 24 มิถุนายน 2564 5:49:03 น. |
|
20 comments
|
Counter : 945 Pageviews. |
|
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณเริงฤดีนะ, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณหอมกร, คุณตะลีกีปัส, คุณโอพีย์, คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณnonnoiGiwGiw, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณtuk-tuk@korat, คุณThe Kop Civil, คุณtoor36, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณนายแว่นขยันเที่ยว |
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 24 มิถุนายน 2564 เวลา:7:18:20 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 24 มิถุนายน 2564 เวลา:7:18:57 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 24 มิถุนายน 2564 เวลา:8:16:13 น. |
|
|
|
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 24 มิถุนายน 2564 เวลา:8:45:04 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 24 มิถุนายน 2564 เวลา:9:07:19 น. |
|
|
|
โดย: โอพีย์ วันที่: 24 มิถุนายน 2564 เวลา:9:11:40 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 24 มิถุนายน 2564 เวลา:15:29:00 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 24 มิถุนายน 2564 เวลา:15:55:15 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 24 มิถุนายน 2564 เวลา:15:55:42 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 24 มิถุนายน 2564 เวลา:23:32:08 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 25 มิถุนายน 2564 เวลา:0:21:46 น. |
|
|
|
| |
ไม่กลัว (ค่อนข้างห่าม แหะ ๆ)
ปรับตัวเข้ากับคนที่เกี่ยวข้องเป็นการซื้อใจได้ดี.. เมื่อน้อง ๆ
ศรัทธาแล้วก็ โน้มน้าวให้เขาคล้อยตาม
ผมว่านี่ใช่เลยครู.. และนำประสพการณ์ไปใช้ในการประกอบ
อาชีพอื่นได้ดี