:: การศึกษาเพื่อความพ่ายแพ้ ::
:: การศึกษาเพื่อความพ่ายแพ้ ::
เรื่องและภาพ : กะว่าก๋า
ผมไม่ชอบระบบการศึกษาแบบ “แพ้คัดออก” เมื่อสมัยเรียนอยู่ในระดับมัธยม 3 ผมจึงปฏิเสธการเรียนต่อในสายสามัญ ด้วยการไปเลือกเรียนสายอาชีพ เหตุผลที่คิดได้ตอนนั้นคือ
“ไม่อยากเอนทรานซ์”
ตั้งแต่เด็กจนเรียนจบระดับอุดมศึกษา ผมไม่เคยเรียนพิเศษ ไม่เคยเรียนกวดวิชาแม้แต่ครั้งเดียว
นับจากมัธยม 3 ผมสอบแข่งขันเรียนต่อเพียงแค่ครั้งเดียว คือการสอบเข้าเรียนต่อในระดับ ปวช.
จากปวช. เข้าเรียนต่อ ปวส. ผมได้สิทธิพิเศษเรียนต่อเนื่องโดยไม่ต้องสอบเนื่องจากผลการเรียนดี
และจากระดับ ปวส. ไประดับปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) ผมก็ได้สิทธินั้นอีกครั้งด้วยคะแนนสูงที่สุดของรุ่น
ผมจึงไม่เคยกดดันในการเตรียมตัวสอบ ไม่เคยเครียดเรื่องการสอบแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการสอบปลายภาค สอบกลางภาค
ผมมอง “การสอบ” เป็นแค่เพียงการ “วัดจำนวนความรู้” แต่ไม่ได้วัด “คุณภาพของความรู้”
การสอบเอนทรานซ์เป็นเพียงสนามสอบวัด “ปริมาณสิ่งที่เรารู้” แต่ไม่ได้วัด “คุณภาพทางความคิด” หรือ “คุณภาพในการใช้ชีวิต” แต่อย่างใด
คนที่สอบเอนทรานซ์ผ่าน อาจหมายถึงการที่คุณรู้เยอะ จำได้เยอะกว่าคนอื่น จริงจัง มุ่งมั่นกว่าคนอื่น (ในช่วงเวลาที่สอบ) มีโอกาสในการเข้าถึงความรู้มากกว่าคนอื่น (เช่นสามารถเรียนกวดวิชา)
แต่มันไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่า คุณรู้แจ้งหรือรู้จริงในสิ่งที่คุณรู้....
หลายคนสอบผ่านได้ แต่ไม่สามารถเรียนจนจบได้ เหมือนคนเดินขึ้นเขาด้วยความเหน็ดเหนื่อย พอถึงยอดเขา (สอบผ่าน) แล้วหมดไฟที่จะเดินต่อไปยังเขาลูกอื่น....
เช่นเดียวกัน.... ผมไม่เคยให้ค่ากับปริญญาบัตรเลย ผมสนใจว่าผมได้เรียนรู้อะไรบ้าง หลังเรียนจบกระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียน มากกว่าจะสนใจว่าตัวเองจะจบการศึกษาด้วยเกรดเท่าไหร่
ขณะเป็นนักศึกษาผมจึงสนใจกิจกรรมนักศึกษา และให้น้ำหนักในการทำกิจกรรมนักศึกษา มากพอๆกับการเรียนในห้องเรียนด้วยซ้ำ
ชีวิตคือการเรียนรู้… จึงไม่ควรจบแค่ในห้องเรียนและการสอบแข่งขัน แต่ควรเรียนรู้ชีวิตในด้านมุมต่างๆ และออกไปสนุกกับการใช้ชีวิต....
การเรียนรู้ไม่ใช่การแข่งขัน แม้มันจะมีการแข่งขันอยู่บ้าง แต่ควรเป็นการแข่งขันเพื่อที่จะ “รู้จักตัวเอง”
ผมไม่ใช้คำว่า “แข่งกับตัวเอง” ด้วยซ้ำ ความรู้ไม่ได้เป็นเรื่องของการเอาชนะ แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจ
เข้าใจเนื้อหาวิชาไปเรื่อยๆ จากพื้นฐานไปสู่การประยุกต์และใช้งานจริง ไม่ว่าวิชาใด ศาสตร์ใด สาขาใด ถ้าเราคิดแบบนี้ได้ เราจะไม่เครียดเวลาเรียนเลย เราจะสนุกกับการคิดค้นและหาคำตอบด้วยวิธีการต่างๆ จนรู้ เข้าใจและถ่องแท้ในเนื้อหาวิชานั้นๆอย่างแท้จริง
การศึกษา การเล่าเรียน จึงเป็นเพียงการได้รู้ในสิ่งที่คนอื่นรู้แล้ว แล้วนำบอกสอนเรา อย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่ความรู้ที่แท้จริงต้องไม่หยุดอยู่เพียงคำว่ารู้ แต่ต้องนำ “ความรู้” ที่ได้รู้นั้น ไปพัฒนาต่อยอดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้น
การศึกษาในระบบแพ้คัดออก คัดเลือกคนที่มีโอกาสและความพร้อมมากกว่าเข้าเรียน แต่กลับสะท้อนออกมาเป็นปัญหาการว่างงาน ของบัณฑิตที่จบการศึกษาออกมามากมายในแต่ละปี
เรามีคนที่มีความรู้สูงเต็มประเทศ แต่ทำไมเราถึงออกจากวงจรปัญหาซ้ำซากที่มีอยู่ไม่ได้เสียที
ผมกำลังพูดถึง “คุณภาพ” ของบัณฑิต โดยไม่ได้สนใจ “ปริมาณ” ตัวเลขบัณฑิตที่ถูกผลิตออกมาในแต่ละปี
ใช่หรือไม่ว่า... การคัดกรองคนเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้วป้อนวิชาความรู้ ใส่เข้าไปด้วยวิธีการเดิมๆ ทำให้คนของเรามีคุณภาพที่ด้อยลง คิดมักง่ายมากขึ้น เรียกร้องตัวช่วยมากขึ้น อ่อนแอ คิดน้อย และไม่ค่อยสนใจสิ่งต่างๆนอกจากตัวเอง
วันนี้เรามีปัญหาในสังคมมากมายที่รอการแก้ไข สุดท้ายเราก็แก้ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้ ตราบใดที่เรายังไม่เปลี่ยนแปลงระบบการเรียนการสอน และวิธีการแสวงหาความรู้
“วิธีคิด” เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ทำอย่างไรเราจะพัฒนาวิธีคิด และติดอาวุธทางปัญญาให้กับนักเรียนนักศึกษาของเราได้
ทำอย่างไรเราจึงจะได้ปัญญาชนผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ในแบบที่ตลาดแรงงานต้องการ และสามารถพัฒนาตนเองเพื่อความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
ใครคนใดคนหนึ่งไม่สามารถคิดเรื่องแบบนี้ได้หรอกครับ ต้องช่วยกัน ต้องเริ่มต้นที่ “ครอบครัว” ก่อนเป็นอันดับแรก
ผมเชื่อในการเรียนรู้อย่างสนุกและมีความสุข
ผมไม่เชื่อในระบบการแข่งขันแบบแพ้คัดออก ที่คนเก่งกว่าเท่านั้นถึงจะมีที่ยืนอยู่บนแท่นของความสำเร็จ
ผมเชื่อในการทำงานหนัก มีวินัย รักในการเรียนรู้
ดังนั้น.... “การศึกษา” ในความหมายของผม ต้องเป็นการศึกษาที่ทำให้ผู้เรียน “รู้จัก” ตัวเอง รู้จุดอ่อน จุดแข็งของตนเอง รู้ว่าตัวเองชอบอะไร รักอะไร แล้วจะเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจได้อย่างไร โดยมีผู้ปกครองและคุณครูเป็นแรงสนับสนุน.....
“การศึกษา” ก็เหมือนเกมฟุตบอลนะครับ ต่อให้นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง โรนัลโด หรือเมสซี่ หากถูกจับมาเล่นในทีม อบต. เขาก็ไม่สามารถแสดงความสามารถที่มีอยู่ในตัวออกมาได้ หรือเลวร้ายกว่านั้น... หากผู้จัดการทีมซื่อบื้อ จับกองหน้าระดับโลกไปเฝ้าเสาประตู ทีมก็มีแต่แพ้กับแพ้ ทั้งๆที่นักเตะมีศักยภาพระดับโลก....
การศึกษาไทยกำลังเป็นเช่นนี้หรือเปล่า ฝากไว้เป็นคำถามและช่วยกันคิดนะครับ.
Create Date : 13 ธันวาคม 2554 |
|
124 comments |
Last Update : 13 ธันวาคม 2554 5:18:58 น. |
Counter : 2290 Pageviews. |
|
|
สว้สดีค่ะ คุณน้องก๋า
การศีกษาเมืองไทย แข่งกันจริงๆ เด็กๆไม่ได้พ้กเลย เสาร์ อาทิตย์ ก็ต้องกวดวิชา สงสารเด็กๆ ไม่มีเวลาเป็นเด็กเลย
น้อง หมิง หมิง มีความสุขจัง