Group Blog
All Blog
<<< "ต้องแก้ที่ตัวเรา อย่าไปแก้ที่คนอื่น" >>>










"ต้องแก้ที่ตัวเรา อย่าไปแก้ที่คนอื่น"

เราต้องแก้ที่ตัวเรา เราอย่าไปแก้ที่ดินฟ้าอากาศ

 เราอย่าไปแก้ที่คนอื่น อย่าไปแก้ที่สามี แก้ที่ใจเรา

 แก้ที่ความอยากของเรา ความทุกข์ของเรา

เกิดจากความอยากของเรา อยากให้สามีไม่ดื่มเหล้า

 พอเขาไม่เลิกดื่มก็ทุกข์ก็ไม่สบายใจ ไม่พอใจ

แต่ถ้าเรากลับมาเปลี่ยนดูว่า เขาเป็นเหมือนลมพัด

เราไปสั่งลมไม่ให้พัดไม่ได้ ก็เหมือนกับ

เราสั่งให้สามีไม่ไปดื่มเหล้าไม่ได้ พอเรารู้

สั่งเขาไม่ได้ เราก็หยุดสั่ง หยุดอยาก

พอเราหยุดความอยาก เขาจะดื่มก็เรื่องของเขา

เราก็ไม่เดือดร้อน นี่คือเรื่องวิธีที่เราจะทำให้

เราดับความไม่สบายใจ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ได้หมด

เพราะเรื่องของความไม่สบายใจของเรา

 เกิดจากความอยากของเรา

 ที่จะไปอยากให้คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้

เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ

 ถ้าเราไม่มีความอยาก มันก็จะไม่มีปัญหาเลย

นี่ถ้าเรามีสมาธิแล้วมีปัญญา

 เราก็จะหยุดความอยากได้ แต่ถ้าเราไม่มีสมาธิ

 ถึงแม้รู้ว่าเป็นความอยากของเราที่ทำให้เราทุกข์

เราก็ยังห้าม ยังอดอยากไม่ได้

ก็ยังอยากให้เขาไม่ดื่มสุราอยู่ ทั้งๆ ที่รู้ว่า

อยากไปก็ไม่ได้ดั่งใจอยาก แต่ก็ยังอยากอยู่นั่น

 พออยากทีไร ไม่สบายใจทุกที

จนกว่าสักวันหนึ่งมีสมาธิ พอจิตมีสมาธิ

จิตนิ่งสงบแล้ว ทีนี้ก็จะหยุดได้ มันจะดื่มก็ดื่มไป

 ฉันไม่มีความอยากด้วย ฉันไม่อยากจะทุกข์ด้วยล่ะ

 ฉันเฉยๆ ดีกว่า นี่คือปัญญากับสมาธิ

ถ้ามีสองอย่างแล้ว ก็จะสามารถทำลาย

ความทุกข์ต่างๆให้หมดไปจากใจได้

ถ้ามีเพียงสมาธิก็หยุดได้ชั่วคราว

 เวลาไม่สบายใจกับเรื่องสามี ก็ไปนั่งสมาธิ

พอนั่งสมาธิแทนที่จะคิดถึงสามี

ก็คิดถึงพุทโธ พุทโธแทน

พออยู่กับพุทโธ พุทโธแทน

 ก็ลืมเรื่องสามีไป พอลืมเรื่องสามีไป

 ความทุกข์กับสามีก็หายไป

 แต่ถ้าอยากจะไม่ทุกข์กับสามีเลย

 เวลามองหน้าสามี ก็มองให้เขาเป็น

เหมือนดินฟ้าอากาศไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 03 สิงหาคม 2560
Last Update : 3 สิงหาคม 2560 17:09:50 น.
Counter : 850 Pageviews.

0 comment
<<< "การฝึกสติ" >>>










"การฝึกสติ"

ถ้าไม่ได้ทำอะไร นั่งเฉยๆ ก็นั่งหลับตาดูลมหายใจไป

ก็ยังอยู่กับร่างกายอยู่ หายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า

 หายใจออกรู้ว่าหายใจออก ลมสั้น ลมหายใจสั้นก็รู้ว่าสั้น

 ลมหายใจยาวก็รู้ว่ายาว ลมหายใจหยาบก็รู้ว่าหยาบ

 ลมหายใจละเอียดก็รู้ว่าละเอียด

ไม่ต้องไปควบคุมบังคับลม

ไม่ต้องไปบังคับให้มันหายใจยาวๆ

อย่างบางคนสอนว่า

หายใจยาวๆ ลึกๆ อันนี้ไม่ใช่อานาปานสติ

 เพราะจิตต้องบังคับลมจิตต้องทำงาน

เราไม่ต้องการให้จิตทำงาน ไม่ให้จิตปรุงแต่ง

 ให้จิตนิ่ง ไม่ให้คิดไม่ให้บังคับไม่ให้ทำอะไร

ให้ดูเฉยๆ ให้รู้เฉยๆ ถ้าดูลมก็ดูเฉยๆ

ลมจะเป็นอย่างไรก็รู้ตามลมไปตามเรื่องของลมไป

 เหมือนเราดูหนัง หนังจะพาให้เราไปถึงไหน

เราก็ดูมันไป เราไปกำกับหนังไม่ได้

ไปเปลี่ยนบทหนังไม่ได้ หนังตอนนี้ไม่ดีเลย

 เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนไม่ได้ก็ต้องดูไป

ดูลมเหมือนดูหนัง ดูไป

ตอนต้นมันก็จะหายใจหยาบ

แล้วต่อไปมันก็จะละเอียดลงไป

 ตอนต้นก็อาจจะสั้น ต่อไปก็จะยาว

เพราะเมื่อจิตเริ่มสงบเริ่มเบา เริ่มคิดน้อยลงไป

 จิตก็จะสงบ ลมก็จะเบาตามความละเอียดของจิตไป

 ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงไม่ต้องไปบังคับลม

แล้วถ้าเกิดมันละเอียดจนไม่สามารถจับได้ว่า

กำลังหายใจหรือเปล่า ก็ไม่ต้องตื่นเต้นตกใจ

ก็ให้รู้ว่าตอนนี้ลมละเอียดจนไม่สามารถที่จะจับลมได้

 ก็ให้อยู่กับความว่างไป อยู่กับความรู้ไป

อยู่กับผู้รู้ไป อยู่กับผู้ดูลมไป ไม่ต้องไปกังวลกับลม

 ถ้าไม่มีลมให้ดูก็ให้รู้เฉยๆ ให้รู้ว่าตอนนี้ไม่มีลม

 ก็ให้รู้อยู่กับความไม่มีลมนั้น อย่าให้คิด

ถ้าจิตคิดจะวิ่งไปหาอะไรก็ดึงกลับมา

จะวิ่งหาลมก็ดึงกลับมาไม่ต้องไปหามัน

 ถ้าไม่มีลมให้ดูก็ไม่ต้องวิ่งไปหาลม

ไม่ต้องไปบังคับให้ร่างกายหายใจแรงๆ

ขึ้นมาเพื่อจะได้เห็นลมได้ลมต่อ

ถ้าไม่มีลมให้ดูก็ไม่ต้องดูมัน

 เหมือนกับดูหนังแล้วหนังมันขาด

สมัยก่อนหนังมันใช้ฟิล์ม

หนังขาดก็มีแต่จอว่างเปล่าๆ

ก็ดูจอว่างไป เดี๋ยวเขาซ่อมเดี๋ยวเขาต่อฟิล์มเสร็จ

เขาก็จะมีภาพขึ้นมาใหม่ เราไม่ต้องทำอะไร

เราฝึกให้ใจรู้เฉยๆ ให้ดูเฉยๆ

 ไม่ให้คิดไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์

ไม่ให้คิดถึงคนนั้นคนนี้

ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้

นี่คือการฝึกสติ ถ้าเรามีสติอยู่อย่างต่อเนื่อง

 เวลานั่งสมาธิจิตก็จะนิ่งสงบจิตก็จะมีความสุข

พอมีความสุขจากความสงบ ก็จะไม่อยาก

ไม่มีความอยากกับรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ

เพราะหนึ่งใจไม่ได้ไปคิดถึงรูปเสียงกลิ่นรส

สองใจที่สงบมันมีความอิ่มในตัวของมัน

มีความสุขในตัวของมัน

มันจึงไม่ต้องไปหาความสุขภายนอก.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 02 สิงหาคม 2560
Last Update : 2 สิงหาคม 2560 5:07:12 น.
Counter : 932 Pageviews.

0 comment
<<< "ความรู้เรื่องบาปเรื่องบุญ" >>>











"ความรู้เรื่องบาปเรื่องบุญ"

ภพของมนุษย์นี้เป็นภพที่

เรามาสร้างบุญสร้างบาปกัน

ส่วนภพของเทวดา ภพของเดรัจฉาน

ภพของเปรต ภพของอสุรกายของนรกนี้

เป็นที่เราไปรับผลบุญผลบาปกัน

 นี่คือเรื่องจิตใจของพวกเรา

ที่เป็นอย่างนี้มาเป็นเวลาอันยาวนาน

เราเวียนว่ายตายเกิดในภพต่างๆ

 ตามอำนาจของบุญของบาปที่เราทำ

ในขณะที่เรามาเกิดเป็นมนุษย์กัน

พอตายไปเราก็ไปรับผลบุญผลบาป

พอผลบุญผลบาปหมดไป

เราก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

มาทำบุญทำบาปใหม่

แล้วก็กลับไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดต่างๆใหม่

หลังจากที่ตายไปแล้ว

 นี่คือเรื่องของกฎแห่งกรรม

 ที่กำกับควบคุมใจของพวกเราอยู่กันในขณะนี้

พวกเราก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิด

ไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่รู้ว่า

เราจะทำอะไรอย่างไร พอเราเกิดมา

เราก็มาทำบุญทำบาปกัน

 เพราะเรามีความอยากต่างๆอยู่ในใจ

เราอยากจะได้ข้าวของเงินทอง

เราก็ไปหากัน ถ้าหาโดยวิธีที่ไม่ไปทำบาปไม่ได้

 ก็ทำบาปกัน เพราะความอยากได้

มันจะเป็นตัวกดดันให้ต้องไปทำบาปกัน

 เพราะถ้าไม่ได้แล้วมันทุกข์

วิธีที่จะทำให้มันหายทุกข์ก็ต้องไปทำบาป

 เพื่อที่จะได้สิ่งที่อยากได้กัน

ถ้าสามารถหาได้โดยที่ไม่ทำบาปก็รอดตัวไป

ไม่ต้องทำบาป เราก็เลยตกอยู่ในสภาพ

ที่ไม่แน่นอน บางโอกาสก็ต้องทำบาป

 เพราะบางโอกาส บางจังหวะเวลา

ที่เราอยากได้อะไร แต่เราไม่สามารถหามาได้

โดยไม่กระทำบาป เราก็ต้องไปกระทำบาปกัน

 พอเรากระทำบาป เราก็จะสะสม

ความเป็นสัตว์ชนิดต่างๆขึ้นมาทันที

พอเราทำบาปเพราะเราจำเป็นจะต้องทำ

 เช่นเราต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

 แล้วเราไม่สามารถที่จะทำงานทำการมีเงินเดือน

 มีรายได้เพื่อไปซื้ออาหาร

ซื้ออะไรมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

เราก็อาจไปขโมยเงินขโมยทอง

หรืออาจจะไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไปตกปลาไปยิงนก

 ไปหาสัตว์มาเป็นอาหาร เราก็คิดว่า

เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องของการอยู่รอด

 เราก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นบาป

อันนี้ก็คือการทำบาปด้วยความหลง

ด้วยความไม่รู้ เราก็จะเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉาน

 สัตว์เดรัจฉานเขาก็ไม่รู้เวลาเขาทำบาป

 เขาเพียงแต่รู้ว่าเขาหิวเมื่อเขาเห็นว่า

มีสัตว์ที่เขากินได้

 เขาก็จะตะครุบมันมากินทันที

เพื่อดับความหิวของเขา

นี่เป็นสัญชาตญาณของสัตว์เดรัจฉาน 

ถ้าเราเป็นมนุษย์แล้วไม่มีใครสั่งสอนเรา

 ว่าการทำบาปแม้แค่การยังชีพก็บาป

เป็นเหมือนเดรัจฉาน

 เราก็จะทำ แต่ถ้าเราโชคดี

เราได้มาเกิดในครอบครัว

ที่มีความรู้เรื่องบาปเรื่องบุญ

เขาก็จะห้ามเราไม่ให้ทำบาป

สอนเราให้ไปหาด้วยวิธีไม่ทำบาป

เราก็จะปลอดภัยจากการเป็นเดรัจฉาน

 หรือเป็นเปรต หรือเป็นอสุรกาย หรือเป็นสัตว์นรก

 การที่เราจะได้พบกับผู้ที่มีความรู้

เกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรมนี้

เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยาก

 เพราะนานๆจะมีคนที่รู้เกี่ยวกับ

เรื่องกฎแห่งกรรมมาเกิดในโลกนี้สักครั้งหนึ่ง

เช่นคนอย่างพระพุทธเจ้านี้

เป็นคนที่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม

 รู้เรื่องบุญเรื่องบาป รู้เรื่องนรกเรื่องสวรรค์

 รู้เรื่องเวียนว่ายตายเกิด และรู้เรื่องวิธี

ที่จะทำให้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด .

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐




ขอบคุณที่มา  fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

ขอบคุณเจ้าของถาพค่ะ




Create Date : 31 กรกฎาคม 2560
Last Update : 31 กรกฎาคม 2560 18:52:29 น.
Counter : 829 Pageviews.

0 comment
<<< "การสิ้นสุดของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย" >>>










"การสิ้นสุดของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย"

เวลาที่ร่างกายเราตายไป เวลานั้นใจของเรา

จะมีบุญและบาปมาดึงให้ไปทางใดทางหนึ่ง

ถ้าบุญของพวกเรามีมากกว่าบาป

บุญก็จะดึงเราไปทางสวรรค์

ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ

ก็จะดึงใจของเราไปทางอบาย

 ดึงไปจนกว่าบาปกับบุญมีกำลังเท่ากัน

 คือไม่สามารถดึงใจของเราให้อยู่ในอบาย

หรือดึงให้ไปสวรรค์ได้ เวลานั้นใจของเรา

ก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

 เกิดมาทำบุญทำบาปใหม่

 กลับมาแก่ มาเจ็บ มาตาย มาทุกข์ใหม่

จิตใจของพวกเราเป็นอย่างนี้

จนกว่าพวกเราจะได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

มาพบกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เราจะรู้จักวิธีที่จะสามารถส่งจิตส่งใจของเรา

ให้ไปอยู่ในชั้นที่ไม่ต้องกลับมา

เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป

ไม่ต้องกลับไปเกิดในอบาย

ไม่ต้องไปเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต

ไม่ต้องไปตกนรก

มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว

 ที่รู้จักวิธีจะช่วยเหลือจิตใจของเรา

 ให้หลุดพ้นจากวัฏฏะ

แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้

จำนวนภพชาติของพวกเรา

ที่ได้มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้นับไม่ถ้วน

 ถ้าอยากจะรู้ว่ามากน้อยเพียงไร

ท่านบอกว่าให้เอาน้ำตาที่เราหลั่ง

ในแต่ละภพแต่ละชาตินี้ มารวบรวมเอาไว้

น้ำตาของเราที่ร้องห่มร้องไห้กันนี้

 ท่านบอกว่ามีมากกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก

 คิดดูก็แล้วกันว่าเราต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์

 มาร้องห่มร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจกันกี่ครั้ง

ถึงจะได้ขนาดน้ำตามากกว่าน้ำในมหาสมุทร

นั่นแหละคือจำนวนของภพชาติของพวกเรา

 คือจำนวนของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของพวกเรา

 แล้วยังจะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

จนกว่าเราจะได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

มาพบกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

ที่จะบอกวิธีให้พวกเราไม่ต้องกลับมาเกิด

 มาแก่ มาเจ็บ มาตาย อีกต่อไป

นี่แหละคือความประเสริฐ

ของพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

ธรรมะในศาลา

วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๘

"การสิ้นสุดของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 30 กรกฎาคม 2560
Last Update : 30 กรกฎาคม 2560 17:30:23 น.
Counter : 912 Pageviews.

0 comment
<<< "ปฏิบัติเพื่อดับความทุกข์" >>>










"ปฏิบัติเพื่อดับความทุกข์"

ที่เราปฏิบัตินี้ เพื่อดับความทุกข์ใจเท่านั้นเอง

 เราดับสังขารไม่ได้ เราดับนามขันธ์ไม่ได้

ร่างกายเราดับมันไม่ได้ ต้องปล่อยมันดับเอง

ถ้าดับด้วยฆ่ามันก็ผิดอีก

มันไม่จำเป็นต้องไปฆ่ามัน

มันไม่มีโทษเข้าใจไหม ตัวที่เป็นโทษไม่ใช่ขันธ์

ตัวที่เป็นโทษก็คือตัณหาความอยากของเรา

 ที่เป็นตัวสร้างความทุกข์ให้กับเรา

 ร่างกายมันไม่ได้สร้างความทุกข์ให้กับเรา

 เวทนา สัญญา สังขาร

มันไม่ได้สร้างความทุกข์ให้กับเรา

ตัวที่สร้างความทุกข์ให้กับเราก็คือความอยาก

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ที่เกิดจากความหลง ความหลง ที่ไปคิดว่า

ขันธ์ ๕ เป็นตัวเราเป็นของเรา

เราก็เลยมาแก้ความหลงด้วยการใช้ปัญญา

 พิจารณาสอนว่ามันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา

 แล้วปล่อยมัน ร่างกายมันจะแก่ก็ปล่อยมันแก่

มันจะเจ็บก็ปล่อยมันเจ็บ

 มันจะตายก็ปล่อยมันตาย เวทนามัน

จะสุขก็ปล่อยมันสุข มันจะทุกข์ก็ปล่อยมันทุกข์

มันจะไม่สุขไม่ทุกข์ก็ปล่อยมันไม่สุขไม่ทุกข์

อย่าไปยุ่งกับมันให้รู้เฉยๆ สักแต่ว่ารู้

เวทนาก็เกิดจากภาพที่ได้เห็น เสียงที่เราได้ยิน

 กลิ่นที่เราได้ดม รสที่เราได้สัมผัสด้วยลิ้น

แล้วก็อาการเเข็งเจ็บก็ผ่านทางร่างกายเท่านั้นเอง

 มันเป็นธรรมชาติที่ใจมารับรู้ แต่ใจไม่รับรู้เฉยๆ

 ไปเกิดความอยาก เกิดความรัก ความชัง

ในสิ่งที่รับรู้ เวทนาแบบนี้รัก

 เวทนาแบบนี้ไม่รัก พอสุขเวทนาก็รัก

ก็อยากจะให้อยู่ไปนานๆ พอหายไปก็ทุกข์แล้ว

 ทุกขเวทนายังไม่ทันเกิดเลย

 เพียงแต่สุขเวทนาหายไปก็ทุกข์แล้ว

เวลาบ๊ายบายจากกันอย่างนี้

เวลาเห็นคนที่เรารักเราก็ดีใจ

อยู่ด้วยกันก็มีความสุข พอเขาต้องไปทำงาน

ไปต่างจังหวัดไปต่างประเทศ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

 แล้วก็สุขเวทนาหายไปแล้ว ใจก็ทุกข์ขึ้นมาแล้ว

 เพราะอยากให้สุขเวทนาอยู่ต่อไป

 แต่ถ้าเราไม่มีความอยากให้สุขเวทนาอยู่

 หายก็หายไป เขาไปก็ไป เราก็เฉย

 มันก็ไม่เดือดร้อน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙








ขอบตุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 29 กรกฎาคม 2560
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 6:22:02 น.
Counter : 620 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ