Group Blog
All Blog
<<< "เราต้องเป็นผู้สร้างผลเอง " >>>









"เราต้องเป็นผู้สร้างผลเอง "

หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นหลักของเหตุผล

 ถ้ามีเหตุ ผลก็จะต้องตามมา

 ถ้าไม่มีเหตุผลก็จะไม่ตามมา

ถ้าตอนนี้เรายังไม่มีผลกัน ยังไม่มีมักผลนิพพาน

 ก็แสดงว่าเรายังไม่ได้สร้างเหตุ

ให้ทำให้เกิดผลขึ้นมานั่นเอง

เราต้องหมั่นพยายามสร้างเหตุ

ให้มากขึ้นไปตามลำดับ

 ให้มากไปจนถึงทำให้เกิดผลขึ้นมา

 ถ้าเราหยุดเพราะว่าเราเห็นว่าทำไปแล้วไม่ได้ผล

 ถ้าหยุดมันก็จะยิ่งไม่ได้ผลใหญ่

แต่ถ้าเรารู้ว่าการที่เรายังไม่ได้ผล

เพราะเรายังทำน้อยไป ยังทำไม่มากพอ

เราก็ต้องเพิ่มการปฎิบัติเพิ่มการกระทำของเรา

ให้มีมากเกินไป แล้วผลก็จะปรากฏมากขึ้นไป

มากขึ้นไปตามลำดับ  ผลนี้ไม่ได้เกิดจากคนอื่น

คนอื่นมาสร้างผลให้กับเราไม่ได้

พระพุทธเจ้าพระอรหันตสาวก

ท่านมาสร้างผลให้เราไม่ได้

 เราต้องเป็นผู้สร้างผลเอง ถ้าเรายังไม่มีผล

ก็แสดงว่าเรายังไม่ได้สร้างมันขึ้นมา

 หรือสร้าง แต่ยังสร้างน้อยไป ยังสร้างไม่มากพอ

 เราก็ต้องเพิ่มความเพียรให้มีมากขึ้นนั่นเอง

 เพิ่มการปฏิบัติของเราให้มีมากขึ้น

ในระยะเริ่มต้นเราอาจจะปฏิบัติได้น้อย

 เพราะเรายังไม่มีกำลังมากพอ

 แต่ถ้าเราเริ่มปฏิบัติไปแล้ว

เราจะมีกำลังมากขึ้นไปตามลำดับ

 จะทำให้เราเพิ่มการปฎิบัติให้มีมากขึ้นไปได้เรื่อยๆ

 และจะทำให้เราปฏิบัติได้เต็มรูปแบบ

 แบบเต็มที่เต็มร้อย

ตอนต้นเราอาจจะเริ่มที่ร้อยละสิบ

 แล้วก็เพิ่มเป็นร้อยละยี่สิบ ร้อยละสามสิบ

 เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แต่มันจะไม่เพิ่มขึ้นไปเอง

 เราต้องเป็นผู้บังคับตัวเราเอง

ให้เพิ่มการปฏิบัติให้มากขึ้น ถ้าเราไม่บังคับ

มันก็อาจจะยังปฏิบัติเท่าเดิม

 หรืออาจจะปฏิบัติน้อยกว่าเดิมก็ได้

 ถ้าเราปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึก

ตามอารมณ์ของเรา

 วันไหนอารมณ์ดีอาจจะปฏิบัติมาก

วันไหนอารมณ์ไม่ดีก็ปฏิบัติน้อย

ถ้าเราปล่อยให้อารมณ์เป็นผู้มากำกับการปฏิบัติ

การปฎิบัติของเราก็จะไม่เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ

ก็จะขึ้นๆ ลงๆ ไปตามอารมณ์

 อารมณ์ของเราก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

 บางทีก็มีอารมณ์อยากปฏิบัติมาก

 บางทีก็มีอารมณ์ไม่อยากจะปฏิบัติ

 แต่เราอย่าให้อารมณ์นี้

มาเป็นตัวกำกับการปฎิบัติของเรา

 เราต้องเอาการบังคับ เราต้องมีการตั้งกฎกติกา

บังคับการปฏิบัติของเรา เช่นกำหนดตารางเวลา

ของการปฏิบัติของเราว่า

 วันหนึ่งเราจะปฏิบัติสักเท่าไหร่ดี สักกี่ชั่วโมงดี

 จะนั่งสมาธิกี่ชั่วโมง จะเดินจงกรมกี่ชั่วโมง

 เราต้องกำหนดเวลาขึ้นมา แล้วก็ต้องมีความจริงใจ

ต่อการตั้งใจของเรา คือเรากำหนดเวลาแล้ว

เราก็ต้องทำตามเวลาที่เรากำหนดไว้

 เช่นเวลากี่โมง เวลากี่โมงเวลานี้จะให้ทำอะไร

 เวลาต่อไปจะให้ทำอะไรเราก็ต้องทำ

ถ้าเรามีการกำหนดตารางเวลา

เราก็จะได้มีการปฏิบัติได้นั่นเอง

ถ้าเราไม่กำหนดตารางเวลาปล่อยให้เหตุการณ์ต่างๆ

 ปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ

เป็นผู้กำหนดเวลาการปฏิบัติของเรา

 เราอาจจะไม่มีเวลาปฏิบัติ หรือมีก็น้อยมาก

 ถ้าเราปล่อยให้เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการงาน

 การกระทำอะไรต่างๆ ถ้าเราไม่มาใช้เหตุใช้ผล

พิจารณาแยกแยะดูว่า การกระทำต่างๆ

ที่เรากระทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้มันมีประโยชน์หรือไม่

 เราควรจะทำอันหรือไม่

 ระหว่างการไปทำกิจกรรมอย่างอื่น

กับการมาปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน

เราต้องรู้จักชั่งน้ำหนักดูว่า

อันไหนมีความสำคัญกว่ากัน

 ถ้าเราไม่เห็นความสำคัญของการปฎิบัติธรรมแล้ว

 เราเห็นความสำคัญของกิจกรรมอย่างอื่น

 เราก็จะไม่สามารถมาปฎิบัติธรรมกันได้

 เราจะไม่มีเวลาให้กับการปฎิบัติธรรม

แต่ถ้าลองชั่งน้ำหนักดูแล้วเห็นว่า

การกระทำกิจกรรมต่างๆ กับการปฎิบัติธรรมนี้

 ไม่มีอะไรจะดีเท่ากับการปฎิบัติธรรม

 เราก็จะได้เลือกเอาระหว่างการไปทำกิจกรรมอื่นๆ

 กับการมาปฏิบัติธรรม ถ้าเราสามารถเลือกได้

เราก็จะได้เลือกมาปฏิบัติธรรมกัน

เพราะกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำกันนี้

มันให้ผลชั่วคราวเท่านั้นเอง

มันให้ความสุขชั่วคราว

มันไม่ได้ให้ความสุขอย่างถาวร

เหมือนจากการปฎิบัติธรรม

 นี่คือผลที่เราควรที่จะวิเคราะห์กันพิจารณากัน

 เพื่อเราจะได้เลือกกระทำเหตุที่เราควรจะกระทำกัน

เหตุก็คือการปฎิบัติธรรม.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๐

"ปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น"







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 กันยายน 2560
Last Update : 12 กันยายน 2560 8:38:26 น.
Counter : 432 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ