"สมถะ และ วิปัสสนา"
การปฎิบัติธรรมมี ๒ ขั้น ขั้นแรกเรียกว่า สมถะ
ขั้นที่สองเรียกว่าขั้น วิปัสสนา
สมถะก็เนี่ยทำใจให้สงบ
ทำใจให้หยุดความอยากชั่วคราว
พอหยุดความอยากได้ชั่วคราว
พอเกิดความอยากใหม่ขึ้นมา
ใจที่ได้หยุดความอยากแล้ว
มันจะไม่ทรมานเหมือนกับใจที่ไม่ได้หยุดความอยาก
เพราะใจมันมีความสุขหล่อเลี้ยงอยู่
มีสมาธิมีความสงบหล่อเลี้ยงอยู่
เพราะมันอยากก็เพียงแต่ใช้ปัญญา
บอกมันว่าอย่าทำตามความอยาก
มันก็ฝืนได้มันก็อยู่เฉยๆ ได้ มันจะไม่ทรมาน
เหมือนกับใจที่ไม่มีสมาธิ
ตอนต้นต้องใช้สมาธิสร้างเป็นฐานกำลังของใจ
ไว้ต่อสู้กับความอยาก
เวลาที่เราจะต้องใช้ปัญญาสอนใจ
ให้ไม่ทำตามความอยาก ปัญญาเราต้องเห็นว่า
การทำตามความอยากนี้นำไปสู่ความทุกข์ต่างๆ
ขั้นต้นก็เกิดความไม่สบายใจแล้ว
พอเกิดความอยากขึ้นมาก็อยู่ไม่เป็นสุขแล้ว
แล้วพอไปทำตามความอยาก ถ้าไม่ได้ก็เสียใจ
ก็ทุกข์อีก ถ้าได้มามันก็ได้มาเดี๋ยวเดียว
มันก็หมดอีก ดื่มกาแฟถ้วยหนึ่งเดี๋ยวพอความสุข
ที่ได้จากการดื่มกาแฟหมดไป
ความอยากจะดื่มกาแฟใหม่ก็กลับขึ้นมาอีก
มันก็จะทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกไปเรื่อยๆ
ถ้าเราทำตามความอยาก
แต่ถ้าเราไม่ทำตามความอยาก ถ้าเรามีสติมีสมาธิ
เราก็จะฝืนมันได้ เรามีความสุขใจที่เกิดจากสมาธิ
เวลาเกิดความอยากเราก็ไม่เดือดร้อน
พูดง่ายๆ เหมือนคนที่อิ่มข้าวแล้ว
อยากกินอีกไม่กินก็ได้ใช่ไหม
เพราะเรารู้ว่ากินแล้วอ้วน
กินแล้วน้ำหนักเกินกลายเป็นตุ่ม ไม่เอาดีกว่า
เราอิ่มแล้วไม่ต้องกินอีก
พวกอิ่มแล้วแต่ยังอยากกินอีกเนี่ย
แล้วไม่ใช้ปัญญามันก็จะกินต่อ
มันก็คิดว่ากินแล้วมีความสุข
แต่มันไม่มองเห็นโทษที่จะตามมาต่อไป
ร่างกายน้ำหนักเกิน
ความสวยงามของทรวดทรงก็หายไป
จากร่างขวดก็กลายเป็นร่างตุ่มไป
สองโรคภัยต่างๆ ก็จะเข้ามา
โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ ตายเร็ว
ความสุขชั่วไปลิ้น แต่ต้องนำความทุกข์มาให้
ทำให้ชีวิตสั้นลง ทำให้มีโรคภัยเบียดเบียน
ทำให้ไม่มีใครรักใครชอบ ไม่มีใครชอบตุ่ม
ชอบแต่ร่างกายที่เป็นขวด ขวดมันมีทรวดทรง
นี่คือปัญญา ต้องใช้ให้เห็นโทษ
เห็นว่าการทำตามความอยากนี้นำไปสู่ความทุกข์
นำไปสู่การเกิดแก่เจ็บตายอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
นี้เรียกว่า วิปัสสนา
ตอนต้นก็เอา สมถะ ก่อน พุทโธๆ ทำใจให้สงบ
ให้รวมเป็นหนึ่ง ให้สักแต่ว่ารู้ ให้เป็นอุเบกขา
แล้วใจจะมีความสุข พอมีความสุขแล้ว
พอออกจากสมาธิมา พอมีความอยากก็สู้กับมันได้
ถ้าสู้ไม่ได้ก็กลับไปสมาธิต่อ ไปเติมกำลัง
เพราะสมาธินี้ก็เป็นเหมือนน้ำที่เราแช่ไว้ในตู้เย็น
เวลาออกมาใหม่ๆ มันจะเย็นเจี๊ยบ
เวลาออกมาใหม่ๆ จิตมันจะอิ่ม
แต่ถ้าทิ้งไว้สักพักแล้วเดี๋ยวเริ่มหิวแล้ว
ความสุขเริ่มจางไปแล้ว พอเกิดความอยาก
มันก็จะรู้สึกทรมาน ถ้าสู้ไม่ไหว
ก็กลับเข้าไปในสมาธิต่อ พุทโธๆ ต่อ
คือทำยังไงก็ได้แต่อย่าไปทำตามความอยากเท่านั้น
แล้วต่อไปความอยากนั้นมันก็จะหมดกำลังไป
แต่ถ้าเรากลับไปในสมาธิไม่ได้ เราจะต้องทำยังไง
เราก็ต้องไปทำตามความอยาก
มันจึงจะหายทรมานใจ ใช่ไหม แต่ถ้าเราทำสมาธิได้
เวลาเราอยากกาแฟก็กลับไปในสมาธิ
ถ้าเราอยู่เฉยๆ ฝืนมันไม่ได้จริงๆ ก็กลับไป
แสดงว่ากำลังฝืนหมด กำลังของอุเบกขาหมด
ก็กลับไปเติมอุเบกขาใหม่ แต่ทำยังไงก็ได้
อย่าไปดื่มกาแฟก็แล้วกัน แล้วต่อไปความอยากดื่ม
มันก็จะเบาลงไปๆ แล้วก็หายไปในที่สุด
นี่เรียกว่า วิปัสสนา
ภาวนามี ๒ ส่วน สมถะภาวนาทำใจให้สงบ
ให้มีความสุขก่อน แล้วก็เจริญวิปัสสนาปัญญา
วิปัสสนา คือ ปัญญา รู้ความจริงว่า
ความทุกข์เกิดจากความอยาก
ถ้าทำตามความอยากแล้วจะไม่มีวันสิ้นสุด
ความทุกข์จะไม่มีวันหมด
การเกิดแก่เจ็บตายจะไม่มีวันหมด
ถ้าหยุดความอยากแล้วความทุกข์จะหมด
การเกิดแก่เจ็บตายจะหมด ไม่ต้องกลับมาเกิด
มาแก่ มาเจ็บ มาตายอีกต่อไป
ดูพระพุทธเจ้าของพวกเรา
ดูพระอรหันตสาวกของพวกเรา
ท่านเหล่านี้ท่านหยุดความอยาก
ท่านฝืนความอยากได้หมด
ท่านก็เลยไม่ต้องกลับมาเกิด มาแก่
มาเจ็บ มาตายอีกต่อไป ท่านยังอยู่
เพียงแต่อยู่แบบไม่มีร่างกายเท่านั้นเอง
อยู่แบบเทวดา อยู่แบบกายทิพย์
แต่เทวดานี้ก็สู้อยู่แบบพระพุทธเจ้าไม่ได้
เพราะเทวดาก็ยังต้องตกสวรรค์
เดี๋ยวบุญหมดก็ต้องตกสวรรค์กลับมาเกิดใหม่
แต่พระพุทธเจ้าพระสาวกนี้ไม่ตกสวรรค์
อยู่สวรรค์ชั้นนิพพานไม่มีวันตกลงมา
อยู่สวรรค์ตลอดไปตลอดอนันตกาลไม่มีวันสิ้นสุด
นี่คือสิ่งที่เราจะได้รับ
จากการที่เรามาศึกษาวิธีการปฏิบัติ
วิธีการภาวนากัน ถ้าเรามีธรรม ๔ ข้อ
คือ ๑. มีความตั้งใจ
๒. มีความแน่วแน่จริงใจต่อความตั้งใจ
๓. มีความเพียรพยายาม
๔. มีความอดทน
เราจะสามารถที่จะทำภารกิจที่เราต้องการ
ที่จะทำสำเร็จลุล่วงได้
ก็คือภารกิจของการบำเพ็ญจิตตภาวนา
เจริญสมถะภาวนาเพื่อความสงบ
เพื่อความสุขที่เกิดจากความสงบ
แล้วก็เจริญวิปัสสนาเพื่อสอนใจ
ไม่ให้หลงไปทำตามความอยากอีกต่อไป.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.........................
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ