Group Blog
All Blog
<<< "อุปสรรคสำหรับพวกเรา" >>>










"อุปสรรคสำหรับพวกเรา"

ไม่ว่าจะเกิดมากี่ภพกี่ชาติ

ก็ไม่สามารถที่จะดับความทุกข์

ได้อย่างราบคาบอย่างถาวร เพราะว่าเราไม่ได้ดับมัน

 เราเพียงแต่เอาความสุขไปกลบมันไว้เท่านั้นเอง

 พอตอนมีความสุขกลบมันไว้ก็เหมือนกับว่า

เราได้ดับความทุกข์ไปแล้ว

 เดี๋ยวพอความสุขที่เราเอามากลบมันดับไปมันหมดไป

 ความทุกข์ก็โผล่ขึ้นมาใหม่

นี่คือวิธีที่ทำให้พวกเราไม่ได้เข้ามาหา

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงจัง

 มาหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เพื่อที่จะมาดับความทุกข์อย่างจริงจังกัน

 เราเลยไม่ได้มาดับความทุกข์กัน

 เราเพียงแต่ไปหาความสุขมากลบความทุกข์กัน

 เพราะการที่เราจะใช้การปฏิบัติตามคำสอน

ของพระพุทธเจ้ามาดับความทุกข์นี้

เราต้องผ่านความทุกข์กัน ซึ่งเป็นอุปสรรค

สำหรับพวกเรา เพราะพวกเรานี้ไม่ต้องการความทุกข์กัน

 ไม่ต้องการความทุกข์ที่เกิดจากการปฎิบัติกัน

แต่การปฏิบัตินี้มันจะต้องทุกข์

 เพราะเราจะต้องฝืนต่อสิ่งที่ทำให้เรา ปฏิบัติกัน

 เพราะเขาจะต่อต้าน สิ่งที่ต่อต้านก็คือต้นเหตุ

ของความทุกข์นั่นเอง คือกิเลสตัณหา

ความโลภความอยากต่างๆ เขาจะต่อต้านเรา

 เวลาที่เรามาปฏิบัตินี้เราต้องหยุดกิเลสตัณหา

 กิเลสตัณหามันก็เลยสร้างความทุกข์ทรมานใจ

ให้กับพวกเรา เราจึงไม่ค่อยอยากที่จะเข้ามาศึกษา

เข้ามาปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ากัน

 เพราะมันจะต้องฟันฝ่าความทุกข์ที่เกิดจาก

การต่อต้านของข้าศึกศัตรูของพวกเรา

ที่พวกเราต้องการจะทำลาย มันก็จะต่อสู้กับเรา

 เวลาที่เราไปกำจัดมันนี้มันจะต่อสู้กับเรา

 มันจะสร้างความทุกข์สร้างความทรมานใจให้กับเรา

เราจึงไม่ค่อยอยากที่จะเข้ามาสู้กับมัน

 เราจึงใช้วิธีสู้กับมันด้วยการไปหาความสุขมาสู้กับมันดีกว่า

 แทนที่จะมาปฏิบัติธรรม แทนที่จะมาถือศีลกัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 สิงหาคม 2560
Last Update : 21 สิงหาคม 2560 9:57:56 น.
Counter : 620 Pageviews.

0 comment
<<< "สังสารวัฏ" >>>










"สังสารวัฏ"

ความอยาก ๓ ประการ คือกามตัณหา

 ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น อันนี้เป็นความอยาก

ที่ทำให้ใจของเรานั้น

ยังต้องกลับมาเกิดแก่เจ็บตายอยู่เรื่อยๆ

ถึงแม้ได้ไปถึงขั้นของพระอริยบุคคล

ก็คือขั้นพระโสดาบัน แต่ความอยาก

ก็ยังไม่ได้ถูกทำลายไปหมด

ถูกทำลายไปเพียงบางส่วน

พระโสดาบันก็ยังต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

แต่ไม่เกิน ๗ ชาติเป็นอย่างมาก

ก็จะสามารถทำลายความอยากต่างๆ

 ที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไปได้ ถ้าขึ้นไปสู่ขั้นที่สองได้

 คือขั้นพระสกิทาคามี ก็ยังจะต้องกลับ

มาเกิดเป็นมนุษย์อีกไม่เกิน ๑ ชาติเป็นอย่างมาก

 แล้วถ้าขึ้นไปสู่ขั้นที่สามได้ คือขั้นพระอนาคามี

ก็จะไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป

 เพราะสามารถตัดความอยาก

ในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไปได้หมด

 เมื่อไม่ต้องการมีรูปเสียงกินรสโผฏฐัพพะ

 ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีตาหูจมูกลิ้นกาย

 ก็จะไปเกิดในสวรรค์ชั้นพรหมแทน

 เหลืออีกชาติเดียว พอไปอยู่ในสวรรค์ชั้นพรหมแล้ว

ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ต่อไป

ไปตัดความอยากที่ยังเหลืออยู่คือ

 ภวตัณหา และวิภวตัณหา ที่ยังตัดไปได้ไม่หมด

 ตัดไปได้บางส่วน บางส่วนก็ยังมีหลงเหลืออยู่ในใจ

 ก็ต้องไปชำระในสวรรค์ชั้นพรหมต่อไป

 จนกว่าความอยากทั้งหมดที่เหลืออยู่ในใจ

จะถูกทำลายหมดไป เมื่อถูกทำลายหมดไป

ด้วยวิปัสสนาด้วยปัญญา

ใจก็จะไม่มีความอยากหลงเหลืออยู่ในใจอีกต่อไป

 ใจก็จะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด

เหมือนอย่างที่พวกเราทั้งหลาย

ยังกำลังเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่

เพราะเรายังไม่ได้กำจัดความอยากทั้ง ๓

ที่มีอยู่ในใจของพวกเราให้หมดไปนั่นเอง

ใจของพวกเรากับใจของพระพุทธเจ้านี้ต่างกันแค่ตรงนี้

 ต่างกันตรงที่มีความอยากหรือไม่มีความอยาก

ใจที่ไม่มีความอยากหลงเหลืออยู่ในใจเราก็เรียกว่านิพพาน

 ส่วนใจที่ยังมีความอยากอยู่ในใจเราก็เรียกว่าสังสารวัฏ

 เป็นใจที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในไตรภพ

ในสังสารวัฏนี้เอง ในกามภพ ในรูปภพ และในอรูปภพ

 กามภพก็คือภพที่ใจยังมีกามตัณหา

 ใจยังเสพกามอยู่ คือภพของเทวดา

ของมนุษย์ ของเปรต ของเดรัจฉาน ของอสุรกาย

 และของสัตว์นรก อันนี้เป็นภพของ

ผู้ที่ยังมีกามตัณหาอยู่ภายในใจ

 ถ้ายังมีความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ก็ยังต้องกลับมามีตาหูจมูกลิ้นกาย

 ถ้าหาด้วยการทำบาปก็จะมาเป็นเดรัจฉาน

มาเป็นเปรตมาเป็นอสุรกายหรือมาเป็นสัตว์นรก

ถ้าหาได้ด้วยการไม่ทำบาปก็จะมาเป็นมนุษย์

แล้วถ้าได้ทำบุญด้วยก็จะได้ไปเป็นเทวดา

นี่คือภพชาติของผู้ที่ยังมีกามตัณหาอยู่

 และยังทำบุญทำบาปอยู่ ก็จะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในกามภพนี้

ถ้ารักษาศีลได้ทำบุญได้ก็จะไปเป็นเทวดา

 กลับจากเทวดาลงมาก็มาเป็นมนุษย์

มาทำบุญมารักษาศีลใหม่ แล้วพอตายไป

ก็กลับขึ้นไปเป็นเทวดาใหม่

แต่ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วเผลอไปทำบาปเข้า

ก็จะไม่ได้ขึ้นไปเป็นเทวดา ก็จะลงไปเป็นเดรัจฉานบ้าง

เป็นเปรตบ้างแล้วก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่แล้วไม่ทำบาปทำแต่บุญ

ตายไปก็ได้ไปเป็นเทวดาใหม่

 นี่คือจิตใจของผู้ที่ยังมีกามตัณหามีความอยาก

ในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะอยู่

จะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐

"การพัฒนาชีวิต"








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 สิงหาคม 2560
Last Update : 20 สิงหาคม 2560 9:17:54 น.
Counter : 704 Pageviews.

0 comment
<<< "การพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น" >>>










"การพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น"

ถ้าเรามาพบกับพระพุทธศาสนา

แต่ไม่ได้มาพบในรูปของความเป็นมนุษย์

 เช่นเรามาเกิดเป็นเดรัจฉานอยู่ในป่านี้

 เดรัจฉานนี้เขาอยู่ในป่านี้เขาก็ได้พบ

กับพระพุทธศาสนาเหมือนพวกเรา

 แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะเอาประโยชน์

ของพระพุทธศาสนาทำประโยชน์ให้กับเขาได้

 เพราะเขาไม่เข้าใจภาษาของมนุษย์

 มนุษย์นี้พระพุทธศาสนานี้ปรากฏขึ้นในคราบของมนุษย์

 คือพระพุทธเจ้านี้เป็นมนุษย์พูดภาษามนุษย์

 สัตว์เดรัจฉานนี้เขาไม่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้

 เขาจึงไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้

เรื่องของการพัฒนาแบบถาวรแบบยั่งยืนได้

 เขาจึงไม่ได้รับประโยชน์จากการที่เขาได้มาเกิด

มาพบกับพระพุทธศาสนาคือไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง

พวกเรานี้จึงถือว่าโชคดีมากที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

และได้พบกับพระพุทธศาสนา ได้ยินได้ฟังพระธรรม

คำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า

 ที่จะสอนให้เรารู้จักวิธีการพัฒนาแบบยั่งยืนแบบถาวร

 คือการพัฒนาจิตใจ พัฒนาจิตใจของพวกเรา

ซึ่งตอนนี้อาจจะเป็นมนุษย์อยู่

หรืออาจจะเป็นต่ำกว่ามนุษย์ก็ได้

 ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา

ถ้าเรากระทำบาปอยู่เรื่อยๆ จิตใจของเรานี้

ก็จะเสื่อมลงไปไม่ได้เจริญขึ้นมา

จะเสื่อมลงไปสู่ความเป็นเดรัจฉานก็ได้

เป็นเปรตก็ได้ เป็นอสุรกายก็ได้ เป็นสัตว์นรกก็ได้

ขึ้นอยู่กับการกระทำบาป ๕ ข้อด้วยกัน

ถึงแม้ว่าร่างกายจะเป็นร่างกายของมนุษย์

แต่จิตใจนี้สามารถเปลี่ยนจากการเป็นมนุษย์ได้

ด้วยการกระทำบาป และเปลี่ยนไปในขณะที่

มีร่างกายเป็นมนุษย์อยู่นี้ จึงมีคำพูดว่า

ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นเดรัจฉานไปแล้ว

 ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นเปรตไปแล้ว

 ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นอสุรกายเป็นสัตว์นรกไปแล้ว

 ใจนี้เปลี่ยนไปตามบุญตามบาปที่ได้กระทำในขณะนั้นเลย

ถ้าทำบาปด้วยความหลงด้วยความไม่รู้

ใจก็จะเป็นเดรัจฉานไป ถ้าทำบาปด้วยความโลภ

ใจก็จะเป็นเปรต ถ้าทำบาปด้วยความกลัว

ใจก็จะเป็นอสุรกาย ถ้าทำบาปด้วยความอาฆาต

พยาบาทโกรธเกลียดเคียดแค้นอันนี้ก็จะเป็นสัตว์นรกไป

 ทั้งๆ ที่ยังมีร่างกายของมนุษย์อยู่

แต่ใจนี้ไม่ได้เป็นมนุษย์แล้ว

คนที่ทำบาปจึงมักจะถูกจับไปขังคุกขังตาราง

เพราะเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉานนั่นเอง

 เวลาที่เรามีสัตว์ป่าหลงเข้ามาอยู่ในบ้านในเมือง

 เช่นมีเสือสิงห์กระทิงแรดหลงเข้ามาอยู่ในบ้านเมือง

เราก็ต้องจับมันเข้าไปขังไว้ในกรงกัน

เพราะถ้าปล่อยให้มันอยู่ข้างนอกกรง

มันก็จะไปทำร้ายผู้อื่นได้จิตใจของผู้ที่ทำบาป

ก็เป็นเหมือนพวกที่เป็นเสือสิงห์กระทิงแรดนี่เอง

 ถึงต้องจับไปขังไว้ในคุกในตาราง

คนที่ไปติดคุกติดตารางนี้ก็แสดงว่า

ร่างกายนี้เป็นมนุษย์แต่ใจนี้ไม่ได้เป็นมนุษย์แล้ว

 เป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง

เป็นสัตว์นรกบ้างขึ้นอยู่กับเหตุผลของการกระทำบาป

ว่าทำมากทำน้อยทำด้วยเหตุผลอันใด

นี่คือการปล่อยให้สภาพจิตใจเสื่อมลงไม่ได้พัฒนา

 ถ้าปล่อยให้ใจก็ทำบาปอยู่เรื่อยๆ

พระพุทธศาสนาจึงสอนให้พวกเราละเว้น

จากการกระทำบาปทั้งปวง

 เพื่อที่จะได้ป้องกันจิตใจของพวกเราไม่ให้ตกต่ำ

ลงไปสู่ภพของเดรัจฉาน ของเปรต ของอสุรกาย

 ของสัตว์นรกนั่นเอง ถ้าพวกเราสามารถรักษาศีล ๕

 ได้อย่างต่อเนื่อง ใจของเราก็จะไม่ตกต่ำ

ใจของเราก็จะเป็นมนุษย์ตามที่ร่างกายของเราเป็นอยู่

 ร่างกายเป็นมนุษย์ใจก็เป็นมนุษย์ เพราะใจมีศีล ๕

 เป็นที่คุ้มครองป้องกัน คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่รักทรัพย์

ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดปด ไม่ดื่มสุรายาเมา

 ใจก็จะปลอดภัยจากการที่จะเสื่อมลงไปเป็นเปรต

เป็นอสุรกาย เป็นเดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก

แล้วถ้าอยากจะพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น

กว่าการเป็นมนุษย์คือขึ้นไปเป็นเทวดาชั้นต่างๆ

 พระพุทธศาสนาก็สอนให้พวกเราทำบุญทำทานกัน

 นอกจากรักษาศีลแล้วก็ต้องทำบุญทำทานกัน

 เราถึงจะพัฒนาจิตใจของเราให้สูงขึ้น

จากการเป็นมนุษย์ให้ขึ้นไปสู่การเป็นเทวดา

 เทวดานี้ก็มีหลายชั้นด้วยกัน มีชั้นต่ำถึงชั้นสูง

 เหมือนกับโรงเรียนที่มีชั้นต่างๆ

 มีชั้นประถม ชั้นอนุบาล ชั้นมัธยม ชั้นอุดมศึกษา

 เทวดาก็มีชั้นต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่า

ได้ทำบุญมากทำบุญน้อย ถ้าทำบุญมากกว่า

จะได้ขึ้นสู่ชั้นที่สูง ทำบุญน้อยก็จะอยู่ชั้นต่ำ

 นี่คือการพัฒนาจากการเป็นมนุษย์ไปสู่การเป็นเทวดา

และถ้าอยากจะไปสู่สวรรค์ที่สูงกว่าสวรรค์ของเทวดา

 คือสวรรค์ชั้นพรหม ก็จำเป็นที่จะต้องมีการบำเพ็ญ

สมถะภาวนา คือการนั่งสมาธิทำใจให้สงบ

 ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระด้วยการบริกรรมพุทโธๆ

ด้วยการดูลมหายใจเข้าออก

เพื่อยุตติความคิดปรุงแต่งของใจ ถ้าใจหยุดคิดได้

ใจก็จะสงบนิ่ง แล้วก็จะมีความสุข

มากกว่าความสุขที่ได้จากการทำบุญทำทาน

 จากการรักษาศีล ก็จะขึ้นสู่สวรรค์ชั้นพรหม

 ที่มีอยู่สองระดับด้วยกัน รูปพรหม กับ อรูปพรหม

 นี่คือการพัฒนาจิตใจขึ้นไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับ

 จากขั้นพรหมนี้เราก็สามารถพัฒนาให้สูงกว่านี้ได้

สวรรค์ชั้นพรหมสวรรค์ชั้นเทพ

 ยังถือว่าเป็นการพัฒนาที่ยังเสื่อมได้

เพราะยังไม่ได้ขึ้นไปสู่ระดับที่เรียกว่ามรรคผลนิพพาน

 คือระดับของพระอริยเจ้า หรือระดับที่เรียกว่าโลกุตรธรรม

สวรรค์ชั้นต่างๆ นี้ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ชั้นเทพ

สวรรค์ชั้นพรหมนี้ยังถือว่าอยู่ในโลกีย์อยู่

 เป็นโลกียธรรม คือธรรมที่ยังตกอยู่ภายใต้กฎ

ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่

คือมีการเจริญได้แล้วก็ยังต้องมีการเสื่อมลงมา

 แต่มันก็เป็นทางผ่านที่เราจะดำเนินไป

เพื่อให้เราได้ก้าวเข้าสู่ธรรมระดับโลกุตระ

คือธรรมระดับที่ไม่มีวันเสื่อม

คือระดับของพระอริยเจ้าขั้นต่างๆ

 ถ้าเราได้เข้าสู่ขั้นโสดาบันไป การพัฒนาจิตใจของเรานี้

จะไม่เสื่อมลงมา ถ้าเป็นโสดาบันแล้ว

ก็จะไม่เสื่อมลงมาเป็นพรมหรือเป็นปุถุชน

 เป็นโสดาบันก็จะมีแต่จะขึ้นไปสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

จะไม่กลับลงมาต่ำกว่าที่เป็นโสดาบันอยู่

ฉะนั้นถ้าเราอยากจะพัฒนาให้ไปถึงจุดที่ยั่งยืนที่ถาวร

นอกจากการรักษาศีลนอกจากการทำบุญทำทาน

นอกจากการนั่งสมาธิทำใจให้สงบแล้ว

 เราก็ยังต้องปฎิบัติธรรมขั้นสูงต่อไปอีกขั้นหนึ่ง

ก็คือการวิปัสสนา หรือขั้นปัญญา

 ขั้นวิปัสสนานี้คือการศึกษาความเป็นจริง

ของสภาวะธรรมทั้งหลาย ที่ใจของเราได้มาสัมผัสกับรู้

 และมาเกี่ยวข้องมาครอบครอง เช่นลาภยศสรรเสริญ

 รูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ และตาหูจมูกลิ้นกาย

สภาวะธรรมเหล่านี้อยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์

 คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ถ้าไปอยากให้มันเที่ยง เป็นอนัตตา

ไม่ใช่เป็นของใครไม่ใช่เป็นของเราเป็นของธรรมชาติ

 ทุกสิ่งทุกอย่างสภาวะธรรมทั้งปวงนี้เป็นของธรรมชาติ

ไม่ได้เป็นของเรา เป็นของที่ทำมาจากธาตุทั้ง ๔

คือดินน้ำลมไฟ มารวมตัวกันให้เป็นร่างกาย

เป็นตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 เป็นลาภยศสรรเสริญ รวมตัวแล้วเดี๋ยวมันก็เสื่อมลง

 มันก็แยกกลับไปสู่ที่เดิม คือกลับไปสู่ธาตุดินน้ำลมไฟ

ฉะนั้นการพัฒนาสิ่งเหล่านี้
จึงเป็นการพัฒนาแบบชั่วคราว

 ถ้าเห็นด้วยปัญญาก็จะได้ไม่ไปมีความอยาก

ที่จะได้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะได้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มาแล้ว

แทนที่จะให้ความสุขไปตลอดก็ต้องพบกับความทุกข์

 เพราะความสุขที่ได้นี้จะเป็นความสุขชั่วคราว

จะต้องมีวันสูญไปหมดไป จะต้องมีวันพลัดพรากจากกัน

 นี่คือธรรมขั้นวิปัสสนาที่จะสอนให้ใจตัดความอยากต่างๆ

 ตัดความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ตัดความอยากได้ลาภยศสรรเสริญ

ตัดความอยากที่จะได้ความสุขในระดับต่างๆ

ให้หมดไปจากใจ ถ้าตัดความอยากได้หมดไปจากใจ

 ใจก็พัฒนาขึ้นไปจากขั้นโสดาบัน

ก็ขึ้นไปสู่ขั้นสกิทาคามี ขึ้นไปสู่ขั้นอนาคามี

 และขึ้นไปสู่ขั้นพระอรหันต์

ตามความสามารถในการกำจัดความอยากต่างๆ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐

"การพัฒนาชีวิต"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 สิงหาคม 2560
Last Update : 19 สิงหาคม 2560 6:23:37 น.
Counter : 721 Pageviews.

0 comment
<<< "การเข้าหาพระธรรมคำสอน" >>>










"การเข้าหาพระธรรมคำสอน"

การฟังเทศน์ฟังธรรมเป็นกระบวนการที่สำคัญ

ในการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์

ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษา

มีการฟังธรรมไปจนกว่าจะได้บรรลุถึงธรรมขั้นสูงสุดได้

ถ้ามีครูบาอาจารย์ ก็จะเป็นโชคเป็นวาสนา

เพราะจะมีผู้คอยนำทางให้ไปจนถึงจุดหมายปลายทาง

ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องเสียเวลาไม่หลงทาง

 แต่ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์แต่ได้ปฏิบัติมาจนถึงจุด

ที่เรียกว่า จุดของพระอริยบุคคลแล้ว

ก็ยังสามารถที่จะปฏิบัติได้ด้วยตนเอง

 แต่อาจจะช้าหน่อย ยากหน่อย

 เพราะว่าไม่มีผู้ที่คอยบอกทาง

 แต่ผู้ที่ได้บรรลุขั้นพระโสดาบันขึ้นไปนี้จะเห็นทางแล้ว

 แต่เป็นทางที่ตนเองยังไม่ได้ไป

 ก็ยังต้องไปลองผิดลองถูกอยู่ แต่ก็รู้ว่า

ต้องอยู่ในแนวทางนี้อย่างแน่นอน

 คือแนวทางของการระงับความคิดปรุงเเต่ง

ไม่ให้ไปทางกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา

 และสิ่งที่จะทำให้ใจไม่คิดไปในทางตัณหาทั้ง ๓ ก็คือ

ความจริงของสภาวะธรรมทั้งหลาย

ที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่เอง

นี่คือสิ่งที่ผู้ปฏิบัติถ้าได้เข้าสู่กระแสธรรมแล้ว

จะรู้หน้าที่ของตน จะรู้วิธีการดับทุกข์ของตน

ว่าจะต้องทำอย่างไร ก็คือจะต้องพิจารณา

สภาวธรรมต่างๆ ที่ใจยังไปหลงรักหลงชอบ

ที่ยังคิดไปในทางตัณหาอยู่

ก็จะต้องใช้การพิจารณาไตรลักษณ์ของสิ่งต่างๆ

 ถ้าเห็นสิ่งต่างๆ ที่หลงไหลชอบอยากได้

 อยากมี อยากเป็น ถ้าพิจารณาเห็นว่า

เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะสามารถยุติความคิด

ไปในทางตัณหาความอยากได้

นี่คือการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก

 เพราะว่าถ้าไม่ได้ยินได้ฟังแล้ว

จะไม่รู้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง

 ถ้าไม่รู้จักวิธีที่ถูกต้องก็เหมือนกับ

คนที่เอาผ้าผูกตาปิดตาของตนแล้วก็เดินไปหาสิ่งต่างๆ

 ต้องคลำไป คลำผิดคลำถูก

 สิ่งที่คลำก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่

โอกาสที่จะได้ในสิ่งที่ตนเองปรารถนาก็จะเป็นไปไม่ได้

 แต่ถ้าได้มีการฟังเทศน์ฟังธรรม

ก็เหมือนกับมีคนนำทางมีคนบอกทาง

 บอกให้รู้ว่าทิศทางที่เราต้องการจะไปนั้นไปทางไหน

 ไปข้างหน้าแล้วจะมีอะไร จะพบอะไร

และจะต้องปฏิบัติกับสิ่งที่ได้พบอย่างไร

ถ้ามีคนคอยบอกทางก็จะสามารถเดินไป

จนถึงจุดหมายปลายทางที่ปรารถนา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 18 สิงหาคม 2560
Last Update : 18 สิงหาคม 2560 11:47:56 น.
Counter : 641 Pageviews.

0 comment
<<< "ทุกข์" >>>











"ทุกข์"

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์นี้

ท่านก็ยังอยู่เหมือนพวกเรา

 แต่ท่านอยู่กับความสงบ

 ท่านก็เลยไม่ต้องมีร่างกายเหมือนพวกเรา

พวกเราอยู่กับความอยากก็เลยต้องมีร่างกาย

พอมีร่างกายก็ต้องมีปัจจัย ๔

พอมีความอยากไปไหนมาไหนก็ต้องมีรถยนต์

 มีรถยนต์ก็ต้องมีน้ำมัน มีน้ำมันก็มีรถติด

 มีรถชนกันมีอุบัติเหตุ มีอะไรต่างๆ

 ที่กำลังมีอยู่ขณะนี้มันเกิดจากความอยาก

ไปไหนมาไหนเท่านั้นเอง

 ถ้ามันไม่อยากไปไหนมาไหนมันก็ไม่ต้องมีรถยนต์

 คนที่ไม่เข้าใจฟังแล้วก็คิดว่า ถ้าไม่มีความอยาก

ก็โลกนี้ก็ไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไร มีไปทำไม

 มีแล้วมันทุกข์ทั้งนั้น แต่ก็เขาไม่เห็นความทุกข์

จากสิ่งที่มีกัน กลับไปเห็นว่ามีความสุขกัน

 มีบ้านก็มีความสุข มีรถยนต์ก็มีความสุข

 มีสามีมีภรรยามีบุตรมีธิดามีอะไรต่างๆ มีความสุข

 จะไม่มีไปทำไม เวลามันมีก็สุข

 เวลามันไม่มีซิ จะทำอย่างไร

 เวลาไม่มีก็กระโดดตึกตาย มันไม่คิดตอนที่มันไม่มี

 เวลามีมันก็มีความสุขกัน แต่เวลามันไม่มี

หรือว่ามีแล้วมันเบื่อจะทำอย่างไร

เบื่อก็ต้องหาสิ่งใหม่ สิ่งนี้เบื่อแล้วก็ต้องไปหาสิ่งใหม่

 หามาเท่าไรเดี๋ยวมันก็เบื่ออีก

นี่คือความหลง หลงไปคิดว่า

ความสุขอยู่ที่การมีสิ่งต่างๆ มองไม่เห็นความทุกข์

ที่เกิดจากการมีสิ่งต่างๆ เพราะสิ่งต่างๆ

มีมาก็ต้องมีไปเป็นธรรมดา มีได้ก็ต้องมีเสีย

 มีเกิดก็ต้องมีดับ ต้องมีการพลัดพรากจากกัน

 มองไม่เห็นความทุกข์มองเห็นแต่ความสุขในสิ่งต่างๆ

 มองไม่เห็นความทุกข์ในสิ่งต่างๆ

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน

ให้เราหัดมองว่าสิ่งต่างๆ มันเป็นทุกข์

 ทุกข์เพราะว่ามันต้องมีการจากกัน

 ทุกข์เพราะว่ามันเบื่อกัน

คนถึงมีภรรยามีสามีหลายคน

ทำไมมีคนเดียวไม่ได้ เวลาอยากจะได้

เวลาเจอกันตอนที่ยัง ไม่ได้ก็อยากจะได้กันเหลือเกิน

 อยากจะไปอยู่ด้วยกัน อยากจะเป็นของกันและกัน

 พอเป็นแล้วเป็นอย่างไร เบื่อแล้ว

เป็นไปไม่นานก็เบื่อแล้ว เบื่อขี้หน้ากันแล้ว

ของต่างๆ ที่เราคิดว่าจะให้ความสุขกับเรานี้

 เดี๋ยวมันก็ทำให้เราเบื่อ

เบื่อแล้วก็ต้องทำให้เราไปหาสิ่งใหม่มา

 หาสิ่งใหม่มาเดี๋ยวมันก็เบื่ออีก

พออะไรมันจำเจซ้ำซากมันดีขนาดไหนก็เบื่อ

 ไม่เชื่อลองกินอาหารจานโปรดทุกวันดูซิ

กินวันละ ๓ มื้อ กินอาหารจานโปรด

 ดูซิจะกินได้สักกี่วัน

นี่คือสิ่งต่างๆ ที่เราคิดว่าจะให้ความสุขกับเรา

มันจะกลายเป็นความทุกข์เวลาที่เบื่อมัน

 หรือเวลามันจากเราไป หรือเวลามันเสียไป

มันเสื่อมไปมันเปลี่ยนไป นี่คือธรรมชาติของสิ่งต่างๆ

 ที่มีอยู่ในโลกนี้ มีการเปลี่ยนแปลงมีการเสื่อมมีการหมด.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๙








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 สิงหาคม 2560
Last Update : 17 สิงหาคม 2560 5:38:54 น.
Counter : 855 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ