เป้าหมายของการบำเพ็ญ
ใช้ปัญญาสอนใจ ให้รู้เท่าทันความอยาก
เวลาอยากอะไรก็ให้คิดว่าเป็นเหมือนกับอยากได้ยาพิษ
ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราอยากได้เป็นยาพิษนี้เราจะไม่กล้า
เราจะไม่อยากได้ทันที
ถ้ารู้ว่ากินเครื่องดื่มชนิดนี้แล้วต้องตาย
เราไม่กินมัน ไม่ดื่มกัน
ถ้าเรารู้ว่าดื่มแล้วจะทำให้เราทุกข์ เราก็จะไม่ดื่มกัน
นี่คือหน้าที่ปัญญา ที่จะคอยสอนใจเตือนใจให้รู้ว่า
ทุกครั้งที่เกิดความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
ความอยากในลาภยศสรรเสริญนี้
เป็นการหาความทุกข์กัน ไม่ใช่เป็นการหาความสุข
ถ้ามีปัญญาที่รู้ทันตัณหาความอยาก
ความอยากก็จะไม่สามารถดึงใจให้ไปหาสิ่งต่างๆ ได้
เมื่อความอยากไม่สามารถดึงไปได้
ความอยากก็จะหมดอิทธิพลไม่สามารถที่จะมาดึงใจ
ให้ไปทำตามความอยากอีกต่อไป
ความอยากก็หมดกำลังไปเอง
แล้วจิตก็จะไม่มีอะไรมาดึงจิต
ให้ออกไปข้างนอกอีกต่อไป
จิตก็จะอยู่ข้างในตลอดเวลา
ถ้าจะออกมาก็ออกมาด้วยปัญญา
มีปัญญาคอยควบคุม ให้ออกมาทำหน้าที่
เท่าที่จำเป็นต้องทำ เช่นถ้ายังมีร่างกายอยู่
ก็เลี้ยงดูร่างกายไป แต่ไม่ได้ทำด้วยความอยาก
ถ้ามีกินก็กิน ไม่มีกินก็อดไป
ถ้าจะต้องตายเพราะการอดตาย
ก็ต้องปล่อยให้มันอดตายไป
เพราะไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องตายอยู่ดี
มีกินหรือไม่มีกิน ถึงเวลาตายมันก็ต้องตายเหมือนกัน
แต่จะไม่ยอมไปทำตามความอยากโดยเด็ดขาด
เพราะไม่มีความอยาก
จิตไม่หิวกับอาหารของร่างกาย
ต่อให้ร่างกายอดอยากขาดแคลนกี่มื้อ จิตก็ไม่หิว
ดูพระพุทธเจ้าตอนที่บำเพ็ญเพียร อดข้าวถึง 49 วัน
แต่จิตไม่หิว จิตมีสมาธิ มีความสงบ
เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังไม่มีปัญญานั่นเอง
แต่พอออกจากสมาธิมา ก็หิวได้
พอหิวก็ต้องกลับเข้าไปในสมาธิใหม่
แต่ตอนหลังพระองค์ทรงเข้าใจว่า
ความหิวทางใจเกิดจากความอยาก
พอหยุดความอยากกินได้
ทีนี้ไม่หิวกับความหิวของร่างกายอีกต่อไป
อยู่กับความหิวได้ อยู่กับความทุกข์ของร่างกายได้
อยู่กับความอดอยากขาดแคลนของร่างกายได้
เพราะใจมีความสุข อยู่กับความว่าง
อยู่กับความไม่มีอะไร ความไม่ต้องการอะไร
อันนี้เป็นสิ่งที่ผู้ที่สามารถมีปัญญามีสติมีสมาธิแล้วนี้
จะสามารถควบคุมจิตให้อยู่กับความว่างได้ตลอดเวลา
จะไม่เดือดร้อนกับเรื่องของร่างกาย
เพราะจะไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ
ในการหาความสุขต่างๆ อีกต่อไป
เพราะจิต ความสุขภายในนี้ไม่ต้องใช้อะไร
เป็นความสุขที่ใช้ความว่าง
ที่เกิดจากการอยู่กับความว่าง ไม่ต้องมีอะไร
ไม่ต้องมีร่างกาย ไม่ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกาย
ไม่ต้องมีรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
ไม่ต้องมีลาภยศสรรเสริญ ไม่ต้องมีคนนั้นคนนี้
ไม่ต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ บรรดาผู้ที่บรรลุธรรมนี้แล้ว
ท่านอยู่ของท่านคนเดียว ท่านไม่ยุ่งกับใคร
ยุ่งก็ยุ่งด้วยความเมตตาเท่านั้นเอง
ยุ่งเพื่อการสงเคราะห์ แต่ไม่ได้ยุ่งเพื่อไปหวัง
จะต้องการอะไรจากเขา พระพุทธเจ้าพระสาวกนี้
ท่านไม่ต้องการอะไรจากใครทั้งนั้น
ที่ท่านเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะว่า
ท่านมีความเมตตาสงสาร
ที่จะต้องเอาความรู้ความจริงมาบอกให้รู้กัน
เพื่อที่จะได้รู้ แล้วจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
นี่คือการทำประโยชน์ของพระสาวกของพระพุทธเจ้า
ท่านไม่ได้ทำเพื่อตนเอง เพราะความสุขของท่านนี้
เป็นเหมือนน้ำที่เต็มแก้ว จะเทน้ำเข้าไปอีกเท่าไหร่
มันก็ได้ความสุขเท่านั้น มันจะไม่ได้มากไปกว่าที่มีอยู่
ความสุขใจนี้เมื่อมีอยู่เต็มที่แล้ว
ก็ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น การกระทำอะไรต่างๆ
ก็ไม่ได้ทำเพื่อความสุขของตนเอง
ทำเพื่อความสุขของผู้อื่น
สอนผู้อื่นให้รู้จักวิธีหาความสุขที่ถูกต้อง
คือหาวิธีจากการอยู่กับความว่างให้ได้
ให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างด้วยการทำทาน
การทำทานนี้ก็เป็นการปล่อยวาง
การหาความสุขจากสิ่งต่างๆ นั่นเอง
ให้เงินทองก็เป็นการทำทานอย่างหนึ่ง
ให้สามีให้ภรรยากับคนอื่นไป
ก็เป็นการทำทานอย่างหนึ่ง
เราอย่าไปหาความสุขจากสามีจากภรรยา
เพราะวันดีคืนดีสามีภรรยาก็อาจจะจากเราไปได้
ถ้าเราไม่ต้องมีสามีไม่ต้องมีภรรยา
เราก็จะไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน ถ้าเราไม่มีสมบัติ
เราไม่ต้องใช้สมบัติข้าวของเงินทอง
เวลาเราไม่มีเราก็จะไม่เดือดร้อน
เราต้องสละทิ้งไปให้หมด ลาภยศสรรเสริญ
ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย
และร่างกายของเราต้องสละทิ้งไปให้หมด
อย่าไปยุ่งกับมัน อย่าไปอาศัยมัน
เป็นเครื่องมือหาความสุข ให้อาศัยธรรม
ที่พระพุทธเจ้ามอบให้กับพวกเรา
เป็นเครื่องมือหาความสุขกัน ก็คือหาจากศีล
หาจากสมาธิ หาจากปัญญา นี่แหละก็คือเป้าหมาย
ของการบำเพ็ญการหาความสุขที่แท้จริง
เป็นการหาความสุขที่จะทำให้เราไม่ต้องกลับมา
เวียนว่ายตายเกิดกันอีกต่อไป.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
......................................
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๐
ฝึกจิตให้อยู่กับความว่างเปล่า
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ