Group Blog
All Blog
|
<<< "พรที่แท้จริง" >>>
เป็นวันที่พวกเรา มาขอพรมาให้พรกัน พร คืออะไร พรก็คือความสุขและความเจริญ แต่การให้พรนี้ เป็นเพียงแต่การแสดง ความปรารถนาดีต่อกันและกันเท่านั้น เพราะพรนี้เป็นสิ่งที่ให้ต่อกันไม่ได้ เป็นสิ่งที่เราจะต้องทำกันสร้างกันขึ้นมา ความสุขความเจริญนั้น เป็นผลที่เกิดจากการกระทำของเรา ทางกายทางวาจา และทางใจ ถ้าเราต้องการความสุขความเจริญ เราก็ต้องคิดดี พูดดี ทำดี ถ้าเราไม่คิดดีพูดดีทำดี เราจะไม่ได้รับความสุขความเจริญ ต่อให้มีใครให้พรมากน้อยเพียงไรก็ตาม การให้พรนั้นไม่ได้เป็นเหตุ ที่ทำให้เกิดความสุขความเจริญขึ้นมา เกิดจากการกระทำของเรา คือเราต้องคิดดี พูดดี ทำดี และละเว้นจากการคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี เพราะการคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี จะนำความทุกข์ความเสียหายมาให้กับเรา ไม่มีใครอยากจะมีความทุกข์ ไม่มีใครอยากจะมีความเสียหายกัน ก็ต้องละการคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี นี่สำหรับพรที่แท้จริง เวลาเราให้พรผู้อื่นจึงขอให้มีความสุขความเจริญ เป็นเพียงแสดงความหวังดี ความปรารถนาดี เท่านั้นเอง แต่ความสุขความเจริญไม่ได้เกิดขึ้น กับบุคคลที่เราให้พรไป บุคคลที่จะรับพรนั้น จะต้องเป็นผู้สร้างพรขึ้นมาเอง สร้างด้วยการคิด การพูด การกระทำที่ดี และละเว้นการคิด การพูดการกระทำที่ไม่ดี แล้วผลก็จะเกิดขึ้นตามมา คือความสุขและความเจริญ. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต ...............................
ธรรมะบนเขา <<< "สติ" >>>
ต้องดึงจิตเข้าไปสู่ความสงบ ที่เรียกว่าอัปปนาสมาธิ คือ สักแต่ว่ารู้ แล้วก็ไม่มีอะไรให้รับรู้ มีแต่อุเบกขา มีแต่ความว่าง สมาธิแบบนี้แหละเป็นประโยชน์ เพราะว่าจะทำให้จิตใจมีกำลัง เพราะว่าเวลาอยู่ในสมาธิแบบนี้ จิตสามารถที่จะกดตัณหาต่างๆ ไม่ให้ออกมาทำงานได้ อัปปนากับขณิกสมาธิก็เป็นสมาธิแบบเดียวกัน ต่างกันตรงที่ขณิกสมาธินี้ สงบเพียงเดี๋ยวเดียว ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในระยะเเรกในเวลาที่นั่งสมาธิ พอจิตรวมลงไปปั๊บก็สงบแล้ว ก็เกิดความตกใจ เพราะว่าไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน แล้วก็จะถอนออกมา แต่ถ้าทำต่อไปก็จะรู้ว่า มันไม่มีอะไรเสียหาย เวลาที่รวมลง ก็ใช้สติประคับประคองอย่าปล่อยให้ตกใจ อย่าปล่อยให้ถอนออกมา แล้วพยายาม เข้าไปอยู่ในอัปปนาสมาธินี้ให้นานๆ ให้บ่อยๆ เหมือนกับการเอาน้ำเข้าไปเเช่ในตู้เย็น ให้แช่นานๆ น้ำถึงจะเย็น น้ำเย็นจะได้มาดับความร้อนต่างๆ ได้ ถ้าเข้าไปแป๊บเดียวแล้วเอาออกมา นี้ยังไม่มีความเย็นพอ ยังไม่มีอุเบกขาพอ จะหยุดตัณหาความอยากไม่ได้ เวลาที่ปัญญาพิจารณาว่าสิ่งต่างๆ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถึงแม้จะรู้ว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ถ้าไม่มีอุเบกขา กิเลสก็จะออกมาตัณหาก็จะออกมา แล้วก็พาจิตให้ไปทำตามสิ่งที่ตัณหาต้องการ พาไปเสพรูป เสียง กลิ่น รส พาไปหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ถ้าจิตมีอุเบกขามีอัปปนาสมาธิ จิตก็จะมีกำลังที่จะต่อต้าน เพราะจิตที่เป็นอัปปนานี้เป็นจิตที่มีความสุข เป็นจิตที่ไม่หิวโหยกับอารมณ์ต่างๆ แต่ต้องพยายามทำให้มากๆ ขอให้มีสมาธิก่อนเถิด ยังไม่มีสมาธิบางคนก็กลัวจะไปติดสมาธิแล้ว ถ้าไม่มีสมาธิแล้วไปกลัวติดสมาธิ มันก็เป็นทางของตัณหากิเลสนี่เอง ที่ไม่อยากให้ใจมีสมาธิ เพราะถ้ามีสมาธิแล้ว มันจะฆ่ากิเลสตัณหามันจะกดกิเลสตัณหา ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านได้ เวลาที่นั่งไปแล้วเกิดผลอะไร ก็ขอให้ระมัดระวัง เพราะว่าสมัยนี้ก็มีการสอนกัน บอกว่านั่งแล้วให้เห็นนรก ให้เห็นสวรรค์ ให้ไปเที่ยวตามภพภูมิต่างๆ การเห็นเหล่านี้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อการดับความทุกข์ ละตัณหาที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ ต้องเป็นสมาธิที่ว่าง สักแต่ว่ารู้ แล้วก็มีความสงบที่เป็นความสุขอย่างยิ่ง อันนี้ก็ต้องพยายามทำให้ได้ทำให้บ่อย แล้วต่อไปมันจะเป็นไปตลอดทั้งวันเลย พอเราออกมาปั๊บ เปลี่ยนอิริยาบถสักแป๊บ ก็กลับไปนั่งใหม่ แล้วต่อไปบางทียังไม่ทันเข้าไปนั่ง มันก็สงบมาโดยอัตโนมัติ มันมาของมันเอง เพราะจิตมันเคยเข้าไปเวลาใด มันก็จะเหมือนกับมีนาฬิกาปลุก ที่จะดึงให้จิตเข้าสู่ความสงบ บางทีไม่ต้องนั่งสมาธิ เพียงแต่อยู่เฉยๆ ตามลำพัง พอไม่คิดอะไรเท่านั้นเอง จิตมันก็สงบได้ อันนี้แหละเป็นผลที่จะเกิดขึ้น จากการเจริญสติ เพราะว่าถ้าไม่มีสตินี้ สมาธิจะไม่เกิด เมื่อสมาธิไม่เกิด ภาวนามยปัญญาก็จะไม่เกิด.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
....................................... ธรรมะบนเขา <<< "ต้องปฏิบัติ" >>>
คือ หลังจากที่เราได้ยินได้ฟังได้เรียนได้รู้แล้ว เรายังต้องทำอีกขั้นหนึ่ง ก็คือ เราต้องปฏิบัติตามความรู้ที่เราได้เรียนมา เพราะธรรมที่เราได้ยินได้ฟังได้เรียนรู้นี้ เป็นเหมือนยาที่เราได้รับมาจากหมอ ยังไม่สามารถรักษาร่างกายที่ไม่สบายนี้ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ เราต้องเอายาที่หมอนี้ให้เรามา เราต้องรับประทานยาตามหมอสั่ง หมอสั่งให้รับประทานวันละ ๓ เวลา ๔ เวลา เราก็ทำตามที่หมอสั่ง พอเรารับประทานไปแล้ว ยาเข้าไปในร่างกายแล้ว ยาก็สามารถทำหน้าที่ของยาได้ คือ ไปรักษาร่างกายไปทำลายเชื้อโรค ที่ทำให้ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา พอเชื้อโรคถูกยาทำลายไปหมดแล้ว โรคภัยไข้เจ็บก็หายไป พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเหมือนยารักษาโรคใจ โรคของใจก็คือความทุกข์ใจนี่เอง พวกเราทุกคนไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ไม่มีความทุกข์ใจ เราทุกคนมีความทุกข์ใจด้วยกัน ถ้าเราไม่รับประทานยาของพระพุทธเจ้า เราก็จะไม่มีวันที่จะรักษาโรคของความทุกข์ใจ ให้หายไปได้ แต่ถ้าเราน้อมนำเอาคำสอน ของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ ก็เหมือนกับ การที่เราเอายาของหมอมารับประทาน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ ต้องเข้าไปในใจ ตอนนี้มันไม่ได้เข้าไปถึงใจ เข้าไปถึงแค่ความจำ เข้าไปถึงเพียงสัญญา ที่สามารถที่จะจางหายไปได้ ธรรมะที่เราได้ยินได้ฟัง พอเราไม่ได้พิจารณา พอเราออกไปทำภารกิจอย่างอื่น ใจของเราก็เอาเรื่องอย่างอื่นเข้ามาภายในใจ ความรู้ที่เราได้เรียนรู้จากพระธรรมคำสอน ก็จะถูกความรู้อย่างอื่นมากลบไป ทำให้หายไป เราต้องเอาความรู้เหล่านี้ ให้เข้าไปผ่านตัวสัญญาสังขารวิญญานให้ได้ คือ ต้องให้เข้าไปถึงตัวใจเลย การที่จะให้เข้าไปถึงตัวใจได้นี้ ก็ต้องปฏิบัติเท่านั้นเอง ถ้าไม่ปฏิบัติ เดี๋ยวความรู้ต่างๆ ที่เราได้ยินได้ฟัง มันก็จะจางหายไป พอเวลาเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา เราก็จะไม่มียาไม่มีธรรมะ มาดับความทุกข์ภายในใจของเรา เราจึงต้องปฏิบัติ แล้วเราถึงจะได้รักษาโรคของใจ คือ ความทุกข์นี้ให้หมดไปได้. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต ...........................
ธรรมะบนเขา (จุลธรรมนำใจ ๔๑) <<< "ความสุขที่ดีกว่าความสุขทั้งปวง" >>>
ให้หยุดคิดปรุงเเต่ง เพราะความคิดปรุงเเต่งนี้ ทำให้ใจวุ่นวาย ทำให้ใจมีความทุกข์ ทำให้ใจมีความวิตกกังวลกับเรื่องราวต่างๆ ก็จะหายไปจากใจ ใจก็จะว่าง จะเย็น จะสงบ จะสบาย จะมีความสุขอีกแบบหนึ่ง ความสุขที่เกิดจากความว่าง ซึ่งเป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขของใจ เป็นความสุขที่จะอยู่กับใจคู่กับใจไปตลอด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ใจก็จะมีความสุขเสมอ ภายนอกใจ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส หรือบุคคลหรือวัตถุข้าวของเงินทองต่างๆ เราไม่ต้องพึ่งพาสิ่งต่างๆ เพราะสิ่งต่างๆ นั้น พึ่งพาอาศัยไม่ได้ เป็นของชั่วคราว เวลามีก็มีความสุข เวลาหมดไปก็จะมีความทุกข์ จากการเจริญสติทำใจให้หยุดคิดปรุงเเต่ง ใจก็จะมีความสุข โดยที่ไม่ต้องมีอะไร และก็จะมีความสุขแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ ไปตลอด เพราะใจไม่มีวันสิ้นสุด และความสุขที่เกิดจากความสงบของใจ ก็ไม่มีวันสิ้นสุดเหมือนกัน นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง สุขอื่นที่เหนือกว่าความสงบนี้ไม่มี. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต ............................
ธรรมะบนเขา <<< การได้ทำบุญมาในอดีตนี้เป็นมงคลอย่างยิ่ง >>>
นี้เป็นมงคลอย่างยิ่ง ก็จะติดไปกับใจของเรา ถ้าเรายังไม่ถึงการสิ้นสุด ของการเวียนว่ายตายเกิด ทุกภพทุกชาติที่เราจะเกิดนี้ เราจะเกิดด้วยทาน จะมีทานอยู่คู่กับใจของเรา เราจะชอบทำบุญทำทาน ถ้าเรารักษาศีลจนติดเป็นนิสัยไปกับเราได้ ทุกภพทุกชาติ เราก็จะรักษาศีล เวลาที่เราได้ไปเกิดใหม่ ถ้าเรานั่งสมาธิได้ เจริญปัญญาได้ ภาวนาได้ เราก็จะบำเพ็ญจิตตภาวนานั่งสมาธิ เจริญปัญญาไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าเราจะไม่ต้องกลับมา เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป และภพชาติของเราก็จะ มีความสุข เพิ่มมากขึ้นไปตามลำดับ มีความทุกข์น้อยลงไปตามลำดับ ด้วยอำนาจของทาน ศีล ภาวนานี่แล ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ก่อนที่จะทรงจากพวกเราไป ที่เป็นพระปัจฉิมโอวาท ที่ทรงตรัสไว้ว่า สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีเกิดย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา จงยังประโยชน์ของตนและของผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด นี่แหละการยังประโยชน์ ก็คือการทำกิจกรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรากระทำกัน ขอให้เราทำทานกันให้มากๆ รักษาศีลกันให้มากๆ ภาวนากันให้มากๆ แล้วเราก็จะได้ผลอันเลิศอันประเสริฐ ก็คือมรรคผลนิพพานนี่เอง มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ดูการกระทำของเราอยู่อย่างต่อเนื่อง ว่าวันเวลาผ่านไปๆ เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เรากำลังทำทานกันหรือเปล่า กำลังรักษาศีลกันหรือเปล่า กำลังภาวนากันหรือเปล่า เรากำลังทำอย่างอื่นหรือเปล่า เรากำลังหาเงินหาทองหาลาภหายศ หาสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายอยู่หรือเปล่า ถ้าเราหาเราก็ควรที่จะหยุดหาได้แล้ว ถ้าจะหาก็หาเท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ถ้าเรายังไม่มีทรัพย์พอที่จะเลี้ยงดูร่างกายของเรา ด้วยปัจจัย ๔ เราก็หาทรัพย์ มาเพื่อมาเลี้ยงดูร่างกายของเรา แต่เราไม่หามาก จนเกินต่อความต้องการของร่างกาย เราจะไม่ไปหายศถาบรรดาศักดิ์ เราจะไม่ไปหาสรรเสริญการยกย่องเยินยอ เราจะไม่ไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย แต่เราจะมาหาความสุขทางใจกัน ด้วยการทำทาน ด้วยการรักษาศีล ด้วยการภาวนา ทุกวันทุกเวลา เราจะได้ไม่หลงทางกัน เหมือนกับถ้าเราเปิดเเผนที่ดู เวลาที่เราเดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยไป ทุกครั้งที่เรามาเจอสี่แยก ทางเลี้ยว เราก็เปิดเเผนที่ดูว่าเราต้องไปทางไหน ถ้าเราไม่เปิดเราอาจจะเลี้ยวผิดทางไป แล้วเเทนที่จะไปถึงจุดหมายปลายทาง เราจะไปไม่ถึง เราจะต้องเสียเวลาวกกลับมาใหม่ มาเริ่มต้นใหม่ หรือบางที เราอาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่า เรากำลังไปผิดทาง อย่างนี้ยิ่งยากต่อการกลับมาสู่ทางที่ถูกได้ อย่างคนที่ไม่เคยฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่สนใจที่จะศึกษาพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าจะไม่รู้เลยว่า ภารกิจของตนที่เป็นประโยชน์กับตน อย่างแท้จริงนั้นเป็นอะไร ก็จะหลงคิดว่า สิ่งที่ควรจะหากันในโลกก็คือ ลาภยศสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน อย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่นี้จะทุ่มเทชีวิตจิตใจ ให้กับการหาสภยศสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย โดยไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องสูญเสียสิ่งต่างๆ ที่หามาได้นี้ไปหมด เมื่อเวลาที่ร่างกายนี้ตายไปแล้ว เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นร่างกาย เขาเป็นใจ เขาคิดว่าเขาเป็นร่างกาย พอร่างกายนี้ตายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็หมด ตัวเขาเองก็หมดไปกับร่างกาย จึงทำให้เขาต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจ ให้กับการหาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เพราะเป็นความสุขทางเดียว ที่เขาสามารถจับต้องได้เห็นได้ เพราะเขาไม่เคยได้สัมผัสจับต้อง กับความสุขทางใจนั่นเอง คือในอดีตชาติต่างๆ ได้มีโอกาสทำบุญ ทำทาน ได้มีโอกาสรักษาศีล ได้มีโอกาสภาวนา ได้มีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขทางใจ พวกนี้ก็ถือว่าเป็นพวกที่มีบุญ อย่างที่ในมงคลสูตรที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า การได้ทำบุญมาในอดีตนี้เป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เรานี้ได้สัมผัสกับความสุขอีกแบบหนึ่ง ความสุขทางใจแล้วก็จะเป็นเหตุ ที่จะทำให้เราได้มาสร้างความสุขทางใจต่อไป ถ้าเราไม่เคยได้สัมผัสรับรู้กับความสุขทางใจ ไม่รู้ว่าการทำบุญให้ทานนี้ให้ความสุขกับเรา ไม่รู้ว่าการรักษาศีลให้ความสุขกับเรา ไม่รู้ว่าการภาวนาให้ความสุขกับเรา เราก็จะทุ่มเทชีวิตจิตใจ ให้กับการแสวงหาลาภยศสรรเสริญ แสวงหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย โดยที่ไม่ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาเลยว่า เป็นความสุขอย่างไร ถ้าใช้ปัญญาพินิจพิจารณา ก็จะเห็นเลยว่ามันเป็นความสุขของเสพติดดีๆ นี่เอง. .....................................
ธรรมะบนเขา |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |