www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Pan’s Labyrinth , คือจินตนาการแสนสวยงาม หรือ คือความจริงที่เจ็บปวดและขมขื่น

ถึงมิตรรักผู้อ่านทุกท่าน ก่อนอ่านบทความนี้ ขอเชิญชวนมาร่วมกันที่นี่จ้า


ท่านเห็นด้วยหรือไม่ กับ 'การเซ็นเซอร์' ในหนังหรือในทีวี ปัจจุบัน (ทั้งกรณี 'เบลอ' และ 'แบน')
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5310223/A5310223.html

และก็มาช่วยระดมพลไปที่นี่ด้วยจ้า

//www.petitiononline.com/nocut/petition.html






กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ...

ในยุคสมัยสงครามกลางเมืองของสเปน เด็กหญิงโอฟีเลีย ผู้กำพร้าพ่อตั้งแต่ยังเยาว์ ต้องเดินทางขึ้นไปบนหุบเขา เพราะท่านผู้กองวีดัล ต้องการให้แม่ของเธอ ที่กำลังตั้งท้องกับท่านผู้กอง ไปคลอดลูกบนนั้น ท่านผู้กองผู้เหี้ยมโหดหมายมั่นปั้นมือว่าตัวเองจะได้ลูกชายมาสืบสกุล ท่ามกลางบรรยากาศสงครามต่อเนื่องของทหารกลุ่มฟาสซิสต์และประชาชน

ระหว่างการเดินทาง โอฟีเลีย พบ แมลงปีกแข็งลักษณะประหลาด ตามมาถึงที่พักแล้วชี้ชวนให้เธอเดินทางเข้าสู่ดินแดนเขาวงกต ณ.ที่นั้น เธอได้พบ ฟอน สัตว์ในเทพนิยายครึ่งแพะครึ่งคน พร้อมกับเหล่านางฟ้าตัวน้อยๆ

ฟอน บอกเธอว่า เธอคือ องค์หญิง โมนน่า แห่งอาณาจักรแห่งนี้ และ เธอจะมีโอกาสได้กลับไปอยู่ในดินแดนของตัวเอง เพียงแค่เธอต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน

โอฟีเลียจะได้กลับไปเป็นเจ้าหญิงหรือไม่ , แม่ของเธอจะคลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้ชายอย่างที่ท่านนายพลคาดหวังหรือเปล่า ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นเช่นไร

นิทานเรื่องนี้ คือ หนังที่มีชื่อว่า Pan’s Labyrinth

....เรื่องราวของ โลกสองใบ (โลกของผู้ใหญ่ และ โลกของโอฟีเลีย) ที่หมุนไปพร้อมๆกัน ในวันเวลาที่แสนจะโหดร้ายของการเข่นฆ่าของผู้คน



Spoiler area : ข้อความถัดจากนี้ บอกเล่าจุดสำคัญและจุดหักมุมและตอนจบ (รวมถึงหนังเรื่อง Life is beautiful) พร้อม วิเคราะห์เรื่องราวในหนัง หากยังไม่อยากรู้ เลื่อนไปอ่านเฉพาะตรง สิ่งที่ชอบ กับ สิ่งที่ไม่ชอบ ด้านล่างเลยครับ


...บ้างก็ว่า โลกของโอฟีเลีย มีอยู่จริง มี เหล่าสัตว์ในเทพนิยายจริงๆ เพียงแต่ พวกผู้ใหญ่ในเรื่องไม่เห็นมัน

...แต่บ้างก็ว่า โลกของโอฟีเลีย เป็นเพียงจินตนาการที่เธอสร้างมันขึ้นมา

ความสำคัญของหนังเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่ว่า ฟอนและเขาวงกต มีอยู่จริงหรือไม่

เพราะไม่ว่าจะมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงแค่ความฝัน

สุดท้ายแล้ว โอฟีเลีย ก็ไม่อาจหลีกหนีความจริงที่เป็นโลกของผู้ใหญ่นี้ไปได้พ้น


...มีคนบอกผมก่อนดูหนังว่า ถ้าดูเรื่องนี้ ต้องคิดถึง Bridge to Terabithia หนังที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้ ดูไปผมก็เห็นพ้อง แต่ ทันทีที่ฉากสุดท้ายของหนังเรื่องปิดฉากลง ผมกลับเห็นภาพของหนังเรื่อง Life is beautiful ขึ้นมาซ้อนทับแทน

หนังสองเรื่องนี้ แทบจะไม่ต่างกันเลยในมุมที่ผมเห็น

การนำเสนอภาพความชั่วร้ายโหดเหี้ยมของ สงคราม ที่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ ผลของสงคราม กลับลุกลามทำร้าย เด็กๆ ที่ไม่เคยเกี่ยวข้องใดๆแม้แต่น้อย

และ สงคราม ก็ไม่เคยมีความงดงามแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

เด็กสองคนจากหนังทั้งสองเรื่อง เติบโตท่ามกลางความโหดร้ายของสงคราม และ ต้องเผชิญกับ ความจริงอันเจ็บปวด



...ในภาวะสงคราม ทุกคนล้วนต้องต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงผู้แก่ผู้เฒ่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ร้ายหรือผู้ดี ทุกคนต้องหาทางมีชีวิตรอด ด้วยวิธีที่แตกต่างกันออกไป

สำหรับคนเป็นผู้ใหญ่ อย่าง แม่ของโอฟีเลีย ต้องยอมพินอบพิเทาและเอาใจ กัปตันจอมโหด เพื่อความอยู่รอดของตนและลูกๆ

หมอ ต้องคอยดูแลคนทั้งสองฝ่าย เพื่อให้อีกฝ่ายไว้เนื้อเชื่อใจ

เมอเซเดส ต้องยอมเป็นทาสรับใช้ให้กัปตันและลูกน้องโขกสับ แลกกับการเป็นหูเป็นตาและหาหยูกยาอาหารช่วยคนของตัวเอง

ประชาชนบนหุบเขา ต้องป้องกันตัวและต่อสู้กับเหล่าทหารของนายพลฟรังโก้ที่ตามมากำจัดผู้ต่อต้าน

กัปตันที่แสนจะชั่วร้าย ต้องคอยปราบปรามฝ่ายตรงข้าม และต่อสู้ภายในใจ กับ ภาพของพ่อที่หลายคนชื่นชมยกย่อง

ฯลฯ

นั่นคือวิธีการของผู้ใหญ่ การต่อสู้ด้วยการเข่นฆ่า ใช้เล่ห์กลมารยา ใช้อำนาจ ใช้ยุทธวิธี ฯลฯ

...วิธีการของเด็กต่างออกไป

อาวุธหนึ่งที่ พวกเด็กๆมีเหลือล้น แต่ผู้ใหญ่มีอยู่น้อยนิด นั่นคือ การมองโลกผ่านสายตาแห่งจินตนาการ

เด็กๆยังคงเชื่อและมีความสุขกับ fantasy ในขณะที่ เหล่าผู้ใหญ่ต่างค่อยๆสูญเสีย จินตนาการ ตามอายุที่เติบโต และจินตนาการหรือ fantasy นี้เอง คือ วิธีการที่เด็กสองคนจากหนังทั้งสองเรื่อง ใช้มันเป็นอาวุธเอาตัวรอดจาก สงครามที่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่

...ลูกชายของกุยโด้ ใน Life is beautiful อาศัย โลกที่พ่อวาดภาพขึ้นมาราวกับเป็นเกมส์ที่สนุกสนานให้เล่นผ่านด่านในแต่ละวัน

....เด็กหญิงโอฟีเลีย ใช้ชีวิตใน โลกแห่งจินตนาการที่มีเหล่าตัวละครในเทพนิยายปะปนเข้ามาในชีวิตจริงให้รับมือกับเรื่องร้ายๆในแต่ละวัน


แต่ในท้ายที่สุด โลกแห่งจินตนาการ ก็มิอาจ หลีกหนี ความจริงอันโหดร้ายของสังคมและสงคราม ต่อให้เด็กๆ จะ วิ่งเข้าไปหลบอาศัยอยู่ในโลกของจินตนาการนานเพียงใด สุดท้าย โลกของความเป็นจริง ก็ย่อมหมุนไล่ตามจนทัน


ลูกชายของกุยโด้ ต้องพบว่า พ่อไม่อาจเดินออกมาจากตรอกนั้นอีกตลอดกาล พ่อของเขาตายจากไปแล้ว

โอฟีเลีย ต้องพบว่า เลือดที่ออกมาจากท้องของตัวเองคือการโดนยิงจริงๆ เธอกำลังจะหมดลมหายใจและตายไปจากโลกใบนี้


... แล้วเราจะมีจินตนาการไปเพื่ออะไร เมื่อสุดท้าย เราทุกคนก็ต้องถูกกระชากกลับมาพบกับ โลกของความเป็นจริงที่ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น


ผมไม่มีคำตอบให้ แต่ หนังเรื่องนี้ มีคำตอบให้ โอฟีเลีย


...เมื่อดูจบ หนังสร้างข้อถกเถียงชวนให้ขบคิดว่า โลกของโอฟีเลียที่มีทั้งฟอน นางฟ้า คางคกยักษ์ ปีศาจจ๊ะเอ๋ ชอล์ควิเศษ รากไม้วิเศษ และดินแดนลึกลับ พร้อมเรื่องเล่าเจ้าชายเจ้าหญิง เป็น เรื่องจริงที่เธอเห็นเพียงคนเดียว หรือ เป็นเพียง จินตนาการที่เธอสร้างขึ้นมา

จากที่เกริ่นไปแล้วตอนต้นว่าไม่สำคัญเลยที่ โลกใบนั้นจะมีจริงหรือไม่ เพราะ การมีอยู่จริงของมัน ไม่ช่วยให้เปลี่ยนความโหดร้ายของสงคราม แต่ การมีอยู่ของโลกใบนี้ เปลี่ยนแปลง โลกภายในของโอฟีเลีย



1. หากโลกและเหล่าตัวละคร มีอยู่จริง มันคือ โลกของความฝัน โลกของความหวัง


...เหตุที่มีเพียง โอฟีเลีย เพียงผู้เดียวที่มองเห็น เพราะ ฟอน เลือกที่จะปรากฎเฉพาะแค่ให้เธอได้เห็น เธอได้รับรากวิเศษช่วยเยียวยาแม่ สามารถใช้ชอล์กวิเศษขีดเขียนไปยังทุกที่ที่อยากจะไป สามารถเข้าไปสัมผัสคางคกยักษ์และกินอาหารในบ้านปีศาจจ๊ะเอ๋ ฯลฯ

และ สุดท้าย ทางที่เธอเลือก คือ ตัดสินใจเสียสละ ก็สามารถทำให้เธอได้โอกาสกลับไปสู่ดินแดนของเธอ ในวินาทีสุดท้ายหลังโดนยิง ก่อนที่จะสายเกินไป เธอได้กลับไปเป็นเจ้าหญิงอยู่กับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ที่รอคอย ในดินแดนที่ฟอนเคยกล่าวถึง และนี่คือ ความเชื่อที่งดงาม คือ นิทานที่จบลงด้วยความทรงจำที่แสนดี คือ การมองโลกใบนี้ด้วยสายตาแห่งจินตนาการ




2.หากโลกและเรื่องราวเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง ทุกสิ่งเป็นเพียงจินตนาการของเธอ


...โลกของโอฟีเลีย เป็นเพียง จินตนาการ ความฝันที่ใช้เอาตัวรอดในภาวะสงคราม(escape fantasy)ของเธอเพียงผู้เดียว ฟอนและดินแดนเขาวงกตไม่มีอยู่จริง บนโลกใบนี้

อธิบายได้จาก

จิตใต้สำนึกของเธอ ดึง ความจริง มาแต่งเติม ตัดต่อ ดัดแปลง จนกลายเป็น โลกแห่งจินตนาการของโอฟีเลีย หลายสิ่งในโลกของโอฟีเลีย ไม่ว่าจะเป็น ตัวประหลาด , ภารกิจ ฯลฯ ล้วนเป็น สัญลักษณ์(symbol)ที่มาจากโลกของความเป็นจริง

....คำว่า illusion หรือ ภาพลวง เป็น คำอธิบายของอาการเห็นสิ่งหนึ่งที่มีอยู่จริง แต่การรับรู้ของเราบิดเบือนไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เช่น มองสายน้ำเกลือแล้วเห็นเป็นงู ฯลฯ ในหนังมี ชอล์กจริง มีรากไม้จริง มีต้นไม้จริง แต่มันเป็นเพียง ชอล์ก รากไม้ และ ต้นไม้ธรรมดา

...คำว่า hallucination หรือ ประสาทหลอน คือ อาการเห็นภาพหรือได้ยินเสียงจากความว่างเปล่าไม่มีตัวตน เช่น เห็นฟอน ได้ยินฟอน เห็นปีศาจจ๊ะเอ๋

และ นั่นอาจเป็น อาการส่วนหนึ่งของ โอฟีเลีย ผสมปนเปไปกับ แฟนตาซีที่เธอสร้างขึ้นมา จากพื้นฐานเดิมที่เธอรักการอ่านเทพนิยาย และ การมองด้วยสายตาแห่งความเป็นเด็กของเธอ เธอจึงเห็นในสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่อาจเห็นได้ เพราะ เลนส์จินตนาการของผู้ใหญ่ ถูกทำลายตามอายุที่มากขึ้น ผู้ใหญ่ จึงถูกจำกัดให้มองเห็นอะไรแต่ ข้อเท็จจริง

ดังนั้น แม่จึงไม่เชื่อ โอฟีเลีย ในสิ่งที่เธอเล่า

ดังนั้น กัปตัน มองด้วยสายตาที่ไร้จินตนาการ ก็จะเห็น รากไม้วิเศษเป็นแค่รากไม้เน่าๆ เห็นเพียง ซากปรักหักพังและความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าโอฟีเลีย ซึ่งเธอมองเห็นเป็นดินแดนเขาวงกตและฟอน

... แมลงปีกแข็งเป็นแค่แมลงธรรมดาที่บินผ่าน แต่เธอเห็นภาพเป็นภูติหรือนางฟ้า , รากไม้คือรากไม้ธรรมดา แต่บังเอิญว่าแม่เธอจะหายพอดีจากยาของหมอ เลือดที่ต้องหยด 2 หยด ก็แต่งเติมเสริมมาจากคำพูดที่หมอบอก หยอดยา 2 หยด

...บริเวณซากปรักหักพังกับรูปปั้นเหล่านั้น เป็น สถานที่ร้างเก่าแก่ แต่ จินตนาการของเธอสร้างมันขึ้นมาให้มีรูปร่างดินแดนเก่าแก่ตามที่เธอคิดเธอฝัน

... คางคกยักษ์ใต้ต้นไม้ ก็เป็นเพียง ป่าธรรมดาที่เธอเข้าไปคลุกเคล้าจนชุดเลอะเทอะเปรอะเปื้อน

.... การเดินทางโดยอาศัยชอล์กวิเศษ แท้จริงแล้ว อาจเป็นเธอที่เดินไปตามทางธรรมดา ขึ้นบันได เข้าไปในห้อง แล้วแอบอยู่ เพียงแต่ช่วงเวลานั้นไม่มีใครเห็นและเธอคิดเอาเองว่า ใช้ ชอล์ควิเศษ

โลกและตัวละครเหล่านั้นเป็นแค่จินตนาการ ที่ โอฟีเลีย สร้างมันขึ้นมา เช่นเดียวกับ ลูกชายของกุยโด้ ใน Life is beautiful อาศัย จินตนาการที่พ่อวาดขึ้นราวกับว่า เขากำลังเล่นเกมส์ที่แสนสนุกสนาน

และสุดท้ายเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่นิทานหรือเทพนิยาย แต่คือ ความจริงที่เจ็บปวดและขมขื่น คือ เรื่องจริงที่โหดร้ายที่ถูกเล่าผ่านช่วงเวลาสงคราม



....หากจะเป็นเช่นนั้น หากแม้การมีโลกใบนี้ ของ โอฟีเลีย มิอาจเปลี่ยนแปลงสงคราม แต่ หากเรามองดูเนื้อความในโลกแห่งจินตนาการของโอฟีเลีย

เราจะพบเห็นว่าโลกใบนี้ช่วยเหลือโอฟีเลียให้เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อด้วยความหวัง ตรงกันข้ามกับ ความหวังของผู้ใหญ่หลายคนที่มอดมลายไปท่ามกลางไฟสงคราม

สำหรับเธอแม้จะการได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่อย่างสงบสุข เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ พ่อตัวจริงของเธอก็จากไปแล้ว และ สงครามก็ยังคุกรุ่น แถมดูจากหน้ากัปตันจอมโหด เราคนดูก็แทบจะหมดหวังตั้งแต่นาทีแรกที่ลงจากรถ

แต่ fantasy ที่เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงและดินแดนในเทพนิยาย มันทำให้จุดประกายการมีชีวิตอยู่เพื่อความหวังของ การได้เป็นเจ้าหญิงกลับไปอยู่กับบิดา มารดา ในดินแดนอันสงบสุข (ภาพแม่บนบัลลังค์ตอนจบก็คือแม่จริงๆของเธอที่เสียชีวิตไป)

และ เนื้อความในจินตนาการนั้น หากเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตในโลกของความจริง

เราก็จะพบว่า



...ฟอน ผู้กุมชะตาชีวิตของ โอฟีเลีย ในโลกจินตนาการ ก็ไม่ต่างอะไรจาก กัปตัน ที่กุมชะตาชีวิตของโอฟีเลีย ในโลกของความเป็นจริง

ทั้งฟอนและกัปตัน มอบโอกาสในการมีชีวิตอยู่โดยมี 'เงื่อนไข' ที่เธอต้องทำตาม

และ ภาพของฟอน กับ กัปตัน ก็มาซ้อนทับกันในภารกิจสุดท้ายคือ ทั้งคู่ล้วนต้องการน้องชายของเธอ

และ เมื่อเธอปฏิเสธ

ก็ถึงเวลาที่ โลกของความเป็นจริง หมุนมาซ้อนทับ โลกจินตนาการอย่างเต็มตัว

กัปตัน กลับมาปรากฎตรงหน้า พร้อมๆกับ ฟอน ที่หายไป

ฟอนในจินตนาการสลายตัวหลอมรวมไปเป็น กัปตัน ที่ยืนอยู่เพียงผู้เดียว

...ยังมีสัญลักษณ์ที่น่าสนใจ นั่นคือ หากมองเข้าไปในเนื้อแท้ของภารกิจทั้งสาม เราจะพบความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ว่า 3 ภารกิจในหนัง

การเผชิญหน้ากับคางคก ก็คือ บททดสอบของความกล้าหาญ

การอดใจไม่กินอาหารที่ยั่วยวนชวนลองบนโต๊ะ ก็คือ บททดสอบของความอดกลั้น

การขโมยน้องมามอบให้ฟอน ก็คือ บทพิสูจน์ความเห็นแก่ตัวเอาตัวรอด และ บททดสอบของความเสียสละ

...คุณสมบัติทั้งสามข้อ นั้น ไม่ใช่ใช้เฉพาะในโลกของฟอน

แต่ เป็นคุณสมบัติสำคัญที่เด็กคนหนึ่งพึงมีในโลกของความเป็นจริง สำหรับการก้าวผ่านช่วงวัยตัวเอง เป็นบทพิสูจน์การต่อสู้ของมนุษย์ทุกคนทุกวัย เมื่อต้องรับมือกับสภาวะสงครามรอบตัว ว่า

จะกล้าหาญเพียงพอในการต่อสู้กับปัญหาที่ไม่อาจทำนายทายทักเข้ามาเผชิญได้หรือไม่ จะอดทนอดกลั้นหยัดยืนกับความลำบาก ความโหดร้ายของสงครามได้หรือไม่ และ จะเห็นแก่ตัวเอาตัวรอดทิ้งพวกพ้องหรือพร้อมจะเสียสละในยามคับขันจำเป็น

แน่นอนว่า ถ้าสำเร็จ ก็ย่อมมีโอกาสยืนหยัดท่ามกลางไฟสงครามจนสงบ เช่นเดียวกัน ถ้า โอฟีเลีย ประสบความสำเร็จ เธอก็สามารถกลับไปยังดินแดนของเธอดั่งที่ ฟอน บอกไว้


...ไม่ว่าโลกของฟอนและดินแดนเขาวงกต จะมีอยู่จริง หรือ เป็นเพียงจินตนาการ

แต่มันก็ทำให้ โอฟีเลีย ได้ใช้ชีวิตช่วงที่มีลมหายใจอย่างมีความหวัง ได้ช่วยแม่ให้พ้นภัย ได้ปกป้องน้องของตัวเอง ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวเลวร้ายของจริง และ ก็ทำให้ โอฟีเลีย ได้จากโลกไปอย่างสงบสุขพร้อมกับ ความเข้าใจที่งดงามว่าเธอจะได้กลับไปพบพ่อและแม่ในดินแดนที่ใฝ่ฝัน

เมื่อเรามองจากสายตาภายนอก โลกของโอฟีเลีย ปิดฉากลงแล้ว แต่ เมื่อมองโลกผ่านสายตาของโอฟีเลีย โลกของเธอกำลังเริ่มต้น ในดินแดนแห่งเขาวงกต ภายใต้ชื่อ เจ้าหญิงโมนนา



...ลองไล่ชื่อผู้กำกับที่สร้างสรรตัวประหลาดได้น่าเอ็นดูแบบหยองๆมาซักชื่อหนึ่ง ชื่อแรกที่คุณต้องคิดถึงไม่น่าจะพ้นกีลเลอโม่ เดล โทโร่ จาก Hellboy , Cronos , Mimic โลกจินตนาการของ เดล โทโร่ ไม่เคยหวานชื่นเหมือนในหนังเทพนิยายนาร์เนีย ที่ผ่านมา หนังของเขามักจะไม่พาคนดูให้ต้องชวนฝัน แต่จะฝากความน่ากลัวโหดร้ายสอดแทรกอยู่ใน ความประหลาดพิสดาร

ยิ่งมาถึง Pan’s Labyrinth เดล โทโร่ ยิ่งไม่ยั้งมือ เหมือนกับจะบอกให้รู้ว่า หนังแฟนตาซีของเขาไม่ได้สร้างมาให้เด็กดู เป็น Dark side of fairy tale หนังไม่กั๊กความรุนแรงใดๆทั้งสิ้น ชนิดที่ดูหนังเรื่องนี้ ยังจะโหดร้ายกว่าหนังสงครามพันธุ์แท้หลายต่อหลายเรื่อง คนดูจะได้พบทั้งฉากโหดๆจะๆชัดๆ ประมาณมีดกรีดปากเป็นรอยฉีกขาดยาวถังหู ปืนยิงจ่อหัวเลือดกระเซ็น

ความไม่ยั้งมือของสงคราม ยังตามมาด้วยความหยดหยองของตัวละครในจินตนาการหนูๆ ที่จะมีทั้ง ฟอนหุ่นอัปลักษณ์ที่ตอนร้ายก็แสนจะน่ากลัว , ปีศาจจ๊ะเอ๋ที่อยู่ใกล้ก็ชวนขนลุก และ ฉากเคี้ยวหัวนางฟ้าหยับๆ ก็แสนจะบดขยี้เทพนิยายแสนดีของเหล่าเด็กๆ



ความโหดร้ายเหล่านี้เอง มาพร้อมๆกับ งานด้านกำกับศิลป์ที่แสนจะอัศจรรย์ การออกแบบตัวละครเลอเลิศยอดเยี่ยมกระเทียมดอง ทั้งตัวละครในจินตนาการ (ผมชอบ ฟอน และ ปีศาจจ๊ะเอ๋ มากๆ ซาดิสต์ได้ใจเหลือเกิน) และ ตัวละครคนจริงทุกคน ต่างก็ฝากฝีไม้ลายมือที่เข้มข้น เพิ่มความกดดันให้กับคนดูได้ตลอดเวลา

...แถมดนตรีประกอบก็ช่างติดหูเหลือเกิน เพราะ จนถึงตอนนี้ เสียงฮัมเพลงกล่อมเด็กที่เป็นธีมในหนัง ยังดังวนเวียนในหูของผม จนผมต้องไปตามล่าหาแผ่น OST มาเก็บและก็ฮัมวันละสองรอบชนิดแทบจะเจอฟอนอยู่รอมร่อ


สิ่งที่ชอบ

1.ตัวหนังทั้งเรื่อง ... สมบูรณ์พร้อมเหลือเกินจนยากจะหาข้อตำหนิติเตียน นอกจากคนตั้งชื่อหนังของไทยที่ดันตั้งซะสวยหรูราวกับหนังอย่างนาร์เนีย จนอาจทำให้ผู้ใหญ่หลายคนเผลอจูงลูกตัวน้อยๆเข้าไปดู

2.บทหนัง ... ผมชอบบทหนังเรื่องนี้ที่จับ โลกของเด็ก โยนเข้าไปใน โลกของผู้ใหญ่ที่เลวร้าย โดยอาศัยจินตนาการมาเป็นตัวเล่าเรื่อง ก่อนจะทิ้งท้ายในฉากจบแบบชวนให้คิด

3.งานด้านกำกับศิลป์และเอฟเฟกต์

4.ดนตรีประกอบ ... ฮื๊อ ฮือ หื่อ ฮือ ฮือ ฮื๊อ ฮือ ฯลฯ ผมฮัมจนคนข้างๆนึกว่าผมออกมาจากเขาวงกตแล้ว ธีมนี้ช่างจับคู่กับหนังได้อย่างลงตัวดีเหลือเกิน

5.ตัวละคร ... เยี่ยมทั้งคนแสดง ไม่ว่าจะเป็น กัปตัน , หมอ , เมอเซเดส (จำเธอได้หรือเปล่า หญิงสาวที่สองหนุ่มแย่งกันระหว่างการเดินทาง ในหนังสเปนที่ชื่อหนังแปลได้ว่า “แม่แกด้วยนะแหละ” หรือ Y tu mama tambien) , แม่ , โอฟีเลีย , เชลยที่ถูกทรมาน ฯลฯ ภาพตัวละครเหล่านั้นยังคงติดตาอยู่เรื่อยมา หากต้องให้ย้อนคิดถึง เช่นฉากกัปตันสอบสวนเชลยจับกระต่าย , ฉากหมอล้มสุดเท่ , ฉากเมอเซเดสกรีดปาก ฯลฯ ทุกคนเล่นกันชนิดสุดยอด เช่นเดียวกับการออกแบบตัวละครในดินแดนเขาวงกต ทั้งฟอน และ ปีศาจจ๊ะเอ๋


สิ่งที่ไม่ชอบ

1.โดนแต่ยังไม่โดนแบบสุดๆ ... แหะๆ อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว คือ รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้สมบูรณ์แบบและผมก็ชอบ แต่มันยังขาดอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ มันไม่จี๊ดดดด เหมือนกับตอนที่ได้ดู Bridge to Terabithia หนังจินตนาการที่ไม่อาจหนีพ้นโลกความจริงคล้ายๆกัน หรือ ตอนที่ได้ดู The Lives of Others ผู้แซงเข้าวินรางวัลหนังออสการ์ต่างประเทศยอดเยี่ยม


สรุป … ไม่น่าแปลกใจที่ หนังจะกวาดรางวัลกันมาแบบว่าเล่น และ ได้รับการชื่นชมยกย่องด้วยการ standing ovation ถึงยี่สิบนาทีที่เมืองคานส์ เป็น ผลงานที่อุดมไปด้วยจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ มีบทที่น่าทึ่งซึ่งจะนำคนดูไปสู่โลกใบใหม่ที่สะกดเราไว้ไม่ให้คลาดสายตาตลอดสองชั่วโมงที่หนังฉาย เป็นหนังที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายห้ามพลาดที่จะรับชม แต่ อย่าพาเด็กเข้าไปดู


ป.ล. เมื่อพูดถึง เด็กและสงคราม ไม่ว่าจะเป็น สงครามโลก สงครามอ่าว หรือ แม้แต่ข่าวสามจังหวัดภาคใต้บ้านเรา

ไม่เก่าไปเลย ไม่เชยแต่อย่างใด กับบทเพลงของเฉลียงที่เขียนเนื้อไว้ว่า

“เกิดสงครามพันครั้ง เด็กก็ยังสวยงาม

เป็นเพียงแค่สงคราม ความเดียงสาเท่าเดิม”


น่าเศร้าใจ ที่หลายครั้ง สงครามของผู้ใหญ่ ก็เข้ามาทำลาย ความเดียงสาของเด็กๆ เด็กที่ไร้เดียงสาต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อแสนสาหัสอยู่แล้ว แต่ ผู้ใหญ่ยังม่าสาแก่ใจ ยังเริ่มนำความชั่วร้ายเลวระยำตำบอนเข้าไปแปดเปื้อนเด็กๆที่เหมือนผ้าขาว ไม่ว่าจะเป็นในหนังที่เราได้เห็น การจับเด็กมาล้างสมองเป็นทหารเช่นใน Blood diamond ที่มีอยู่จริงในหลายๆมุมบนโลกใบนี้

ป.ล. 2

แจ้งข่าว เจ้าของ blog จะไม่ได้อยู่เฝ้าบล็อกตั้งแต่ ศุกร์นี้ถึงอังคารหน้า เนื่องจากจะหนีไปรับร้อนที่ เกาะมุก ทะเลตรัง นอนริมหาดรอรับแสงศตวรรษ ดังนั้น หากมีคำถามอาจไม่ได้เข้ามาตอบช่วงนั้นเน้อ

อ้อ กลัวเขียนถึงไม่ทัน

ขอเชียร์ก่อนไปกับ Meet the Robinson แอนิเมชั่นจากวอลต์ ดีสนี่ย์ ที่ตัวหนังจริงดีกว่า หนังตัวอย่างประมาณ ล้านเท่า ชอบบทของเรื่องนี้มากๆ เป็นเรื่องที่ดีกว่า Chicken run และ พอไปสู้กับ Pixar ได้สบายๆ




ขอฝาก"หนังสือรัก"ไว้กับผู้อ่านด้วยเน้อ กับ พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนัง แต่คือการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



(วางขายตามร้านหนังสือทั่วไป หาไม่เจอถามจากพนักงานขายได้เลยจ้า)






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 16 เมษายน 2550
Last Update : 16 เมษายน 2550 21:43:56 น. 68 comments
Counter : 17996 Pageviews.

 
ชอบบทวิจารณ์นี้เหลือเกิน โดยเฉพาะการวิเคราะห์ถึงบททดสอบทั้ง 3 ของตัวฟอน

อย่างไรก็ตามผมกลับคิดถึงแนวทางที่ 3 ของหนังเรื่องนี้

นั่นคือ นิทานเรื่องนี้หฤโหด และไม่เป็นมิตรกับเจ้าหญิง เด็กหญิงโอฟิเลียนั้น ถูกตัวฟอนมาหลอกล่อลวงให้ไปผจญภัยในแดนฝันจนกระทั่งถึงแก่ความตาย


โดย: Aynap IP: 58.64.100.183 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:2:20:21 น.  

 
เข้ามาให้กำลังใจคับ ผมอ่านแล้วทำให้ปะติดปะต่อเรื่องราวที่สับสนปนเปจากการชมภาพยนตร์ได้มากเลยคับ ต้องขอบคุณที่เขียนบทความดีดี และจะรออ่านงานครั้งหน้าต่อไปคับ



โดย: Fragile Boy IP: 58.8.167.166 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:2:20:56 น.  

 
พึ่งดูจบเมื่อกี้คับ สนุกดีชอบ น่ามีส่วนของเด็กเยอะๆหน่อยชอบดู fantasy ลุ้นดี
โดยรวมผมว่ามันสยองๆดี ชอบคับ

เข้าใจคิดนะคับ ปีศาจจ๊ะเอ๋ = = เจอจิงๆ คงไม่เข้าใกล้มันแน่ๆ บรื้อ


โดย: CaFe NEs วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:6:38:37 น.  

 
มาติดตามคุณคับ...อ่านแล้วรู้สึกอยากไปดูอ่ะ...ไงก็ขอบคุณนะคับ...พักผ่อนให้หนุกๆนะคับบบบ


โดย: Kurt Narris วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:9:10:50 น.  

 
Love yr comment:)


โดย: เด็กซาปอย IP: 165.21.154.8 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:9:24:57 น.  

 
หลังจากคืนที่เจอฟอน โอฟีเลียถามเมอซิเดสว่าคุณเชื่อเรื่องนางฟ้าไหม เธอตอบว่า "สมัยเด็ก ๆ ฉันเคยเชื่อในเรื่องต่าง ๆ มากมาย แต่ตอนนี้ฉันไม่เชื่อมันอีกแล้ว"
ทำให้ผมนึกถึงคำที่ว่า ทุกครั้งที่เราพูดว่า "ฉันไม่เชื่อว่านางฟ้ามีจริงหรอก" ณ ที่แห่งหนึ่งจะมีนางฟ้าตัวน้อยตายลง 1 ตน


โดย: ตาอิน วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:10:33:43 น.  

 
อ่านแล้วเลยทำให้อยากดู

สุขสันต์วันสงกรานต์ค่า


โดย: ดอกรักเร่ (ดอกรักเร่ ) วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:10:35:23 น.  

 
เหมือนเคยได้ยินเพื่อนบอกว่า ถ้าเดลโทโร่ได้กำกับนาร์เนีย .. Aslan อาจจะไม่ฟื้น 55555

ยังมีหลายฉากที่ติดตาอยู่เลยค่ะ ตอนดูครั้งแรกนี่ มีอึ้งกับความโหดของกัปตัน ส่วนเจ้าปีศาจจ๊ะเอ๋นี่ ไม่ไหวค่ะ สยองจริง ๆ

อิจฉาคนได้เที่ยวจังเลย


โดย: BeeJang วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:12:08:33 น.  

 
เป็นอีกเรื่องในรอบต้นปีครับ ที่ผมดูแล้วชอบมากๆ

แม้เนื้อเรื่องจะโหดร้ายมากมาย ถึงขั้นทำให้ผมต้องหลับตาปี๋เป็นระยะ แต่ก็ยังกดดันและลุ้นอยู่ตลอดเวลา ว่าน้องหนูนางเอกจะสามารถผ่านภารกิจในโลกจินตนาการและโลกแห่งความเป็นจริงได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า ตัวโก่งเลยครับ เวลาไอ้ตัวจ๊ะเอ๋ วิ่งไล่น่ะ โหย อย่างกับไปวิ่งหนีข้างๆ น้องหนูเลยทีเดียว

สงครามไม่เคยมีคำว่าสวยงาม เห็นด้วยทุกประการครับ


โดย: เข็มขัดสั้น IP: 124.120.240.215 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:14:50:26 น.  

 
ดูตอนจบนึกถึงคำที่บอกว่า "ตอนตายจะไปไหนขึ้นอยู่กับความนึกคิดก่อนตาย" น่ะค่ะ
ถ้าแบบนั้นก็ถือว่าน้องหนูเค้าไปดีนะคะ
อาจจะดีกว่าต้องมีชีวิตอยู่กับสงครามต่อไปอีกด้วยซ้ำ


โดย: underhill IP: 58.9.164.216 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:16:28:40 น.  

 
โคตรชอบเลยครับ หนังเรื่องนี้ พอหนังจบ แล้วเพลงขึ่น ผมขนลุกเลย เป็นด้านมืดของหนังแฟนตาซีที่สนุก ตื่นเต้น หนังเจ๋งมากเลยที่สามารถนำความจริงที่โหดร้าย เข้ามารวมกับแฟนตาซี ยอดเยี่ยมมาก !!!!!


โดย: SSM IP: 58.8.171.152 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:17:29:40 น.  

 
เพิ่งไปดูมาค่ะ ชอบมากจนต้องมาตามหาบทความที่ จขบ review หนังเรื่องนี้เลย

ฮื๊อ ฮือ หื่อ ฮือ ฮือ ฮื๊อ ฮือ .. ติดหูจนบัดนี้เหมือนกัน ^^

((จากนี้ไป สปอยนะคะ))

เห็นด้วยว่าคล้าย life's beautiful ค่ะ แต่แว่บแรกที่ดูจบ กลับคิดไปถึง ทิราบิเธีย ขึ้นมา
ในแง่ว่า จบที่ความตายของเด็กเหมือนกัน ถึงแม้ทิราบิเธีย จะทำเอาร้องไห้มากกว่า (ร้องจนตาบวมอยู่ในโรงเลย )
แต่รวมๆแล้ว ทิราบิเธียดูสดใสกว่าเยอะ ขณะที่pan's labyrinth หม่นตั้งแต่เริ่มจนจบ เหมือนตื่นจากฝันร้ายมาเจอห้องมืดๆ
ขนาดว่าหนังจบแล้วยังมิวายเดินคิดมาตลอดทาง
คือส่วนตัวคิดว่า โอฟีเลียน่าจะเอาเหตุการณ์ในชีวิตจริงไปผสมปนเปกับจินตนาการนะคะ ดูได้จาก
1. ภารกิจแรก ตามหากุญแจ -- น้าเมอเซเดสก็มีเรื่องกับกุญแจเหมือนกัน อาจเป็นไปได้ว่าเธอรู้เหตุการณ์และเอามาสร้างเป็นภารกิจ
2.ภารกิจสอง ได้มีดมา -- น้าเมอเซเดสก็มีมีด เอ๊ะยังไง (หรือว่าอิชั้นเริ่มสร้างจินตนาการโยงมันมาเอง )

สุดท้าย .. สัตว์ในจินตนาการของเธอมืดหม่นได้ใจมากค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าโลกใสๆของเด็กจะสร้างตัวประหลาดน่ากลัวได้ขนาดนี้ (แต่ชอบชื่อ "ปีศาจจ๊ะเอ๋" นะคะ 555)
หรือว่ากัปตันพ่อเลี้ยงจะโหดร้ายมากเสียจน เธอเอามาผูกเป็นสัตว์ประหลาดแต่ละภารกิจเสียเลย
และภารกิจสุดท้าย สัตว์ประหลาดก็คือกัปตันตัวจริงนั่นเอง..

หนังพาลให้คิดต่อซะยืดยาว .. ชอบแบบนี้จังค่ะ ดูจบ แต่ยังไม่จบ
ว่าแต่.. จขบ. หรือท่านผู้รู้อื่นๆ พอจะทราบมั้ยคะว่าทำไมชื่อหนังต้องเป็น pan's เกี่ยวอะไรกับ pan หรือว่าเป็นเจ้าของบทประพันธ์คะ



โดย: มนัสวีร์ IP: 58.8.123.134 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:21:17:43 น.  

 
แฮ่ๆ.. ขออนุญาตต่ออีกนิดนะคะ

ถึงว่า.... ทำไมเห็นหน้าน้าเมอร์เซเดส แล้วดั๊นคิดถึง Y tu mama tambien ขึ้นมาตะหงิดๆ อ่านบล็อกนี้แล้วถึงรู้ว่า ที่แท้เธอก็คือสาวคนนั้นนั่นเอ๊งงงง !!!! (ตบเข่าฉาด)
เล่นดีนะคะ อาจเพราะวัยด้วยแหละ เลยลบภาพเซ็กซี่ๆ ไปจนหมดเลย ^^


โดย: มนัสวีร์ IP: 58.8.123.134 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:21:24:11 น.  

 
ยอดหญิงเมอร์เซเดส เท่ห์ โคด ๆ

แอบนึกว่าเรื่องนี้เป็น Y tu mama ภาคโหด เพราะคัวรอนมาเป็น producer ให้ด้วย

สำหรับเรา ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า ถ้าโลกที่เป็นอยู่จริงมันโหดร้ายอย่างนี้ ก็ขอเชื่อว่าเธอได้อยู่ในโลกแห่งจินตนาการจริงละกันค่ะ



โดย: Dabadee วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:21:57:34 น.  

 
...กลับมาแก้ไขบทความเล็กน้อยให้สมบูรณ์ครับ เมื่อคืนง่วงไปนิดยังเก็บประเด็นไม่ครบ

ขอบคุณทุกๆความเห็นครับที่แวะเวียนเข้ามาคุย มาแชร์ความรู้สึกกันครับ

อ้อ ตอบคุณ มนัสวีร์ ก่อนว่า ผมไม่รู้ครับเหะๆแต่ผมไปหาคำตอบมาจากเว็บ imdb ที่ส่วน FAQ ของหนังเรื่องนี้ครับ เขาว่าไว้ว่า


Why is the English title of this movie not the same as the Spanish?

El Laberinto del Fauno literally translated means The Labyrinth of the Faun. Since in English faun (a satyr) and fawn (a baby deer) are both pronounced the same, it was believed that there would be some confusion so the English title is Pan's Labyrinth even though the faun is not the god Pan.

... ส่วน pan ก็เป็นเทพเจ้ากรีก ครับผมเอาข้อมูลบางส่วนจาก วิคิพีเดียมาฝาก

Pan is the Greek god of shepherds and flocks, of mountain wilds, hunting and rustic music: paein means to pasture. He has the hindquarters, legs, and horns of a goat, in the same manner as a faun or satyr.


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:22:02:42 น.  

 
และต่อไปนี้คือ รูป Pan จากเว็บวิคิพีเดียครับ ต้องขออภัยที่ Blog นี้ยาหม่องหมด ไม่อาจทำหน้าที่กองเซ็นเซ่อร์ที่ดีได้ จึงไม่อาจเบลอจุดต้องห้าม



โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:22:16:46 น.  

 
..

แวะมาอ่านครับ ความเห็นตรงกันเรื่องจินตนาการของเด็กครับ ... แต่ในกระทู้พันทิปมีคนเถียงกันนัวเลย ฮ่าๆ ชอบจริงๆ

ดูแล้วคุ้มเนอะ ^^"

..


โดย: POGGHI IP: 210.246.75.27 วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:1:33:18 น.  

 
ดูจบ ผมนั่งซึมอยู่เป็นชม. ทั้งเนื้อเรื่อง บรรยากาศ ตอนจบ เพลงประกอบ มันช่างระทมดีจริงๆ
ความรุนแรงที่งดงามแบบนี้เนี่ยผมค่อนข้างพอใจมากกว่าหนังที่คิดจะขายแต่ฉากแรงๆ แบบจะๆอย่างHostelนะ รู้สึกว่าคนสมัยนี้นิยมเสพความรุนแรงกันตรงๆมากเกินไปแล้ว
ผมว่าคุณaortaน่าจะลองวิเคราะห์ปมของกัปปิตันดูหน่อยนะครับ เหมือนเป็นคนที่มีปัญหากับปมอิดิปัสเหมือนกันนะ
แม้ว่าต่อหน้าคนอื่น เค้าจะไม่ยอมรับพ่อของตนเอง แต่การกระทำมันดูขัดๆกันน่ะ ผมเองก็อธิบายไม่ถูก

รู้สึกเหมือนกันนะ ว่ามันขาดอะไรสักอย่าง ที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก สิ่งที่มันขาดไป


โดย: the red IP: 203.155.247.21 วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:3:30:51 น.  

 
comment ผิดหน้า เผลอไปบ่นไว้ที่หน้าแรก สปอยส์รึเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าลบได้ก็ลบไปนะคะ

บ่นเหมือนเดิม หดหู่ และชวนฝันร้ายซะจริง ดูแล้วเครียด มันช่างโหดร้ายต่อเด็กช่างฝันอย่างเราซะจริงๆ


โดย: ban_ri IP: 125.25.81.164 วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:11:10:42 น.  

 
ตั้งใจรอคอยหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่ดูรายการมอบรางวัลออสการ์แล้ว
ดูแล้วชอบมาก มาก เลยมาหาข้อมูลต่อใน pantip ว่าใครจะคิดและชอบเหมือนเราบ้างไหมหนอ มาอ่าน ข้อเขียนของคุณ โดนใจอย่างแรง โดยเฉพาะชื่อ ปีศาจจ๊ะเอ๋ เพราะ เราตั้งชื่อเค้าทันที ที่เค้าเอามือชึ้นมากางออก เจ๋งอะ อาจเป็นเพราะเราชอบ และ ชื่นชม ความงามแบบน่ากลัว และหม่นๆ เหมือนงานของ Tim Burton ใครเคยดูบ้างเรื่อง Stain Boy อะ เป็นรูปแบบ การ์ตูนเงียบ สั้นๆ ชอบที่สุดเลย ผู้เชียนเคยชมบ้างมั้ยค่ะ..
จะคอยติดตามผลงานต่อไปนะคะ


โดย: redrosa99 IP: 58.8.90.236 วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:14:07:19 น.  

 
เพิ่งไปดูมา ชอบมากๆครับ เป็นหนังในดวงใจเรื่องนึงเลยครับ

ชอบชื่อปีศาจจ๊ะเอ๋


โดย: นายกาเมศ วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:15:25:27 น.  

 
โดน คุณมนัสวีร์ spoil Bridge to Terabithia ซะแล้ว
เรามันผิดเอง ที่ไปเหลือบตาอ่าน


โดย: ohแม่เจ้า IP: 58.8.44.243 วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:0:02:19 น.  

 
ดูจบ น้ำตาซึม

สำหรับภารกิจสุดท้าย ถ้ามองในแง่ว่าเป็นจินตนาการก็พาให้คิดไปได้ว่า ในตัวโอฟิเลียมีปมขัดแย้งอยู่ว่าเธอเกลียดน้องตัวเองรึเปล่า เพราะน้องคนนี้เหมือนเป็นตัวปัญหาที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่, ทำให้แม่ป่วย, ทำให้พ่อใหม่เกลียดเธอ ฯลฯ
โอฟิเลียจึงสร้างปมขึ้นมาว่า ที่สุดแล้วเธอจะทำร้ายน้องเพื่อประโยชน์ของตนเองได้หรือไม

เป็นหนังเรื่องแรกของปีนี้เลยที่ทำให้อินขนาดนี้และยังอินไม่เลิก


โดย: ติดเชื้อในกระแสเลือด IP: 202.28.180.201 วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:0:39:24 น.  

 
มาลงชื่อไว้ก่อนครับ เย็นนี้ ผมไม่พลาดแน่ๆ กับเรื่องนี้ ... ไว้ดูเสร็จแล้วจะมาเขียนใหม่เน้อ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:11:40:57 น.  

 
เขียนวิจารณ์ได้สุดยอดมากๆ ค่ะ

บททดสอบทั้ง 3 อย่างขอฟอน ... วิเคราะห์ได้ลึกซึ้งดี ชอบจัง

เป็นหนังในดวงใจอีกเรื่องนึงเลย


โดย: ลูกตาล (Galadriel ) วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:13:48:14 น.  

 
เป็นหนังแนวแฟนตาซีที่ดูสนุกและได้ใจมากเพราะมันคู่ขนานกับความเป็นจริงไม่ได้สวยงามเพ้อฝันเหมือนเรื่องอื่นๆ
ชอบพวกตัวละครที่อยู่ในเขาวงกตโดยเฉพาะตัวฟอนที่ดูทั้งน่ารักและน่าชังในเวลาเดียวกัน

ยิ่งมาอ่านบทวิจารณ์คุณหมอยิ่งรู้สึกชอบเข้าไปใหญ่


โดย: tokidoki IP: 58.8.188.70 วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:15:44:27 น.  

 
ชอบ!!!!


โดย: kumikase วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:23:00:01 น.  

 
ชอบ!!!!
ดูแล้วรู้สึกเหมือนมี aneurysm มาจุกที่คอหอย กลืนไม่เข้า คายไปออก ไม่แตกอีกตะหาก

ชอบโคด!!!


โดย: kumikase วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:23:01:00 น.  

 
ผมเองก็ชอบเรื่องนี้ แต่มันไม่ประทับใจเหมือน Bridge to Therabithia คงเพราะมันโหดร้ายเกินไป

บทวิเคราะห์นี้ค่อนข้างตรงใจผมมากเลยครับ ผมเองก็คิดเหมือนกันว่านี่เป็นเรื่องของจินตนาการอันสวยงามหรือความจริงที่แสนโหดร้ายกันแน่

ปล.พูดถึงเรื่องจินตนาการที่ไม่มีใครเห็นแล้ว สงสัยจะต้องต้องไปดู Miss Potter ซะแล้วสิ
ปล.2 เพลงประกอบเรื่องนี้โดนใจผมเหมือนกันครับ


โดย: Mr.Learning IP: 124.121.61.48 วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:23:20:50 น.  

 
ผมชอบนะ แม้ว่าตอนเข้าโรง จะง่วงเหลือเกิน จนเผลอหลับไปช่วงแรกๆ ตื่นตอนได้ยินเสียงปืน แล้วก็ดูต่อจนจบ

เยี่ยม
**** โดยไม่มีข้อแม้


โดย: Joe IP: 124.121.10.23 วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:23:41:06 น.  

 
ยิ่งอ่านยิ่งเข้าใจ และชอบหนังเรื่องนี้ขึ้นมา

แต่เราเป็นคนนึงที่ไม่รุ้สึกประทับใจหนังเรื่อง Bridge to Terabithia สักเท่าไร เฉยๆอะคะ

ไปเที่ยวให้สนุกนะคะ ระวังตัวด้วยนะคะ


โดย: urbangalz IP: 58.64.103.182 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:0:38:35 น.  

 
\\\\(O*v*O)//

เหอๆ มาป่วนอีกแระ ผมเพิ่งไปดูมาเมื่อวานครับ

ขอบคุณ จขบ สำหรับเม้นท์เจ๋งๆ ว่าด้วยเรื่อง symbolic ของ 3 ภารกิจนะครับ

ส่วนประเด็นอื่นๆ บังเอิญว่าเราคิดเหมือนกัน เลยรู้สึกเหมือนว่า จขบ มานั่งเล่าเรื่องให้ฟังซ้ำอีกรอบมากกว่า



สำหรับประเด็นที่ชาวชุมชนเฉลิมไทยถกเถียงกันอยู่ว่า "ไอ้พวกตัวประหลาดมันมีอยู่จริงมั้ย" จนจะก่อม็อบ 2 ฝ่าย ตีกันตายเนี่ย

ประเด็นนี้ ถึง จขบ จะบอกว่าเป็นไปได้ทั้ง 2 ทางก็ตามที

แต่ไม่ว่าจะด้วยความเจตนาหรือไม่เจตนา ผมเชื่อว่าอันที่จริง จขบ ได้ให้คำตอบไว้กลายๆ แล้วอะครับ



ไม่ต้องใช้การสังเกตอะไรมากก็จะเห็นได้ว่า

กรณีที่ 1 จขบ เขียนไว้ 5 บรรทัด แล้วก็จบไปดื้อๆ ซะงั้น เหมือนไม่รู้จะหาอะไรมาเขียนต่อได้อีกแล้ว

ในขณะที่ กรณีที่ 2 พี่หมอแกล่อไป 50 กว่าบรรทัด นี่ถ้าไม่ต้องไปเลตรัง แกคงนั่งเล่าทุกฉากทุกตอนจนหมดทั้งเรื่องเป็นแน่

นี่ยังไม่นับรวมชื่อ Bridge to Terabithia กับ Life is beautiful ที่โชว์หราอยู่ตั้งแต่บรรทัดแรกๆ นะครับ

เพราะงั้นใครยังเถียงกันประเด็นนี้อยู่ โปรดเลื่อน mouse กลับขึ้นไปดูอีกครั้งหนึ่ง

(ไม่ได้ว่าไร จขบ นะครับ แค่จะมามอบรางวัล "นักสมานฉันท์ดีเด่น" ให้ ก็เท่านั้นเอง)

5...5...5...



ถึงจะฟันธงไปแล้วว่ามันเป็น "โลกในจินตนาการของโอฟีเลียเอง" แน่ๆ

แต่สุดท้ายผมก็ยังเห็นด้วยกับที่ จขบ บอกว่า

ความสำคัญของหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่า "โลกในจินตนาการของโอฟีเลีย มีอยู่จริงหรือไม่"

เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะผมเชื่อว่า



สำหรับโอฟีเลียแล้ว "จริงหรือไม่" มันหลุดออกไปไกลเกินกว่าจะใช้เพียงแค่คำว่า "สำคัญ"

แต่มันกลับ "จำเป็นอย่างยิ่ง" ที่จะต้อง "มีอยู่จริง"

โลกในจินตนาการใบนี้ของโอฟีเลีย มันจำเป็นต้อง exist อย่างน้อยที่สุดก็ในความคิดของเธอ



และยิ่งสิ่งที่ fake เหล่านี้ มันดู real มากขึ้นเท่าไหร่

เธอก็จะยิ่งรู้สึก "ปลอดภัย" "เป็นสุข" และ "มีความหวัง" มากยิ่งขึ้นเท่านั้น

เพราะสำหรับโอฟีเลียแล้ว "fairy tale" มันเป็นมากกว่า "หนังสือ" หรือ "ความสนุก" หรือกระทั่ง "จินตนาการ"

แต่มันเป็น "หลุมหลบภัย" จากโลกความจริงอันโหดร้ายที่เธอต้องเผชิญ



ที่เล่ามา ก็แค่อยากจะบอกว่า สำหรับผมแล้ว

ผมกลับชอบ Pan’s Labyrinth มากกว่า Bridge to Terabithia หรือหนังแฟนตาซีเรื่องไหนๆ ในช่วงที่ผ่านมา

ด้วยเพราะคุณค่าและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหนังเรื่องนี้ ที่ไม่เหมือนแฟนตาซีเรื่องอื่นๆ

ซึ่งดูมากี่เรื่องๆ ก็ล้วนแต่พยายามมุ่งฉายภาพ ความสนุกสนานสดใส ความหวัง ความฝัน และ จินตนาการ ของวัยเด็ก แต่เพียงเท่านั้น



พูดให้ชัดก็คือผมคิดว่า

คุณค่าของ Pan’s Labyrinth อยู่ที่ความแตกต่างใน "คำนิยามการดำรงอยู่ของ fairy tale"

ซึ่งโดดเด่นออกมาจากหนังแฟนตาซีเรื่องอื่นๆ อย่างชัดเจน

มันเหมือนกับเป็นการไขโจทย์ปัญหาที่ว่า "fairy tale มีอยู่ทำไม" ด้วยการใช้ "Life is beautiful ฉบับแฟนตาซี" เป็นคำตอบ



สำหรับตัวผมแล้ว หนังเรื่องนี้ทั้งเรื่อง จึงอาจถูกสรุปเป็นประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ได้ว่า


************************************************************

"เหตุผลของการมีเทพนิยาย เพราะความจริงมันโหดร้ายเกินจะทน"

************************************************************


\\\\(O*v*O)//


โดย: ผมอยากแอบเข้าข้างหลังคุณ (I Love หมอหญิงซินปี) IP: 202.28.181.10 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:10:16:06 น.  

 

\\(O*v*O)//

ป.ล.

ผมชอบแนวทางที่ 3 ของคุณ Aynap (ความเห็นที่ 1) มากๆ เลยอ่ะครับ ขอ copy มาให้คนอื่นอ่านอีกทีนะครับ

"นิทานเรื่องนี้หฤโหด และไม่เป็นมิตรกับเจ้าหญิง เด็กหญิงโอฟิเลียนั้น ถูกตัวฟอนมาหลอกล่อลวงให้ไปผจญภัยในแดนฝันจนกระทั่งถึงแก่ความตาย"

สุดยอดอ่ะครับ เข้าใจเลือกมุมมองจริงๆ เลย กลัวว่าหนังมันจะยังหดหู่ไม่พอหรือไงครับ

5...5...5...

เหอๆ คิดได้ไงอ่ะ จิตโคดๆ



ได้ครับ OK เลย เพื่อให้หนังมันหดหู่สุดๆ เนี่ย ผมขอเขียนบทเพิ่มอีกนิดแล้วกันนะครับ

v
v

ก่อนที่จะถึงแก่ความตาย

เด็กหญิงโอฟีเลียมองไปที่นางฟ้า เธอพบว่ามันค่อยๆ กลายร่างเป็นแมลง

ทันใดนั้น พระราชวังอันงดงาม ก็ค่อยๆ กลายสภาพเป็นเพียงซากสิ่งก่อสร้างปรักหักพัง ที่เกิดจากผลของสงคราม

เธอรีบหันไปหาฟอน แต่สิ่งที่เธอพบกลับกลายเป็นเพียงรูปปั้นหินที่อยู่ใจกลางเขาวงกต

ณ เวลานี้ เด็กหญิงโอฟีเลียทราบแล้วว่า ทุกสิ่งเป็นเพียงจินตนาการของเธอเอง

เธอค่อยๆ ผ่อนลมหายใจสุดท้าย อย่างคนที่ไร้ซึ่งความหวัง

แล้วจากโลกนี้ไปอย่างโศกสลดและทุกข์ระทม

ฮื๊อ ฮือ หื่อ ฮือ ฮือ ฮื๊อ ฮือ ............................



เหอๆ จบอย่างงี้ ซาดิสม์ได้ใจสุดๆ อ่ะครับ

คุณ Aynap (ความเห็นที่ 1) ครับ เรามาร่วมด้วยช่วยกัน ทำหนังโรคจิตเถื่อนๆ ซักเรื่องดีปะครับ

\\(OTvTO)//


โดย: ผมอยากแอบเข้าข้างหลังคุณ (I Love หมอหญิงซินปี) IP: 202.28.181.10 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:10:17:35 น.  

 
+ ดูมาแล้วครับ เมื่อวานนี้สดๆ ร้อนๆ แต่ไม่รู้จะเขียนความรู้สึกที่อยู่ในหัวออกมาได้ทั้งหมดรึเปล่านะ ...
+ ปกติอย่างที่เคยบอกไว้ว่าผมเป็นพวก "แฟนตาซีอิสซึ่ม" อยู่แล้ว ซึ่งนิยมทั้งแฟนตาซีเด็ก น่ารัก ใสๆ ชวนฝัน อย่าง Narnia, แฟนตาซีอลังการจริงจังอย่าง LOTR และแฟนตาซีมืดหม่นในบรรยากาศทมึนโกธิคแบบทิม เบอร์ตัน ... ซึ่งไอ้แนวหลังเนี่ยแหละที่มีให้ชมค่อนข้างน้อย เพราะผกก.ที่ 'มือถึง' สำหรับแนวนี้ก็มีอยู่ไม่กี่คน ... และเดล โตโร่ ก็นับว่าเป็นผู้หนึ่งที่ประกาศตัวว่าชื่นชอบที่จะทำหนังในแนวทางนี้ เห็นได้ชัดจากผลงานเรื่องก่อนๆ ของเค้า (ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยดูเลยสักเรื่องก็ตาม) ... ดังนั้น พอรู้ว่าเรื่องนี้จะได้เข้าฉายในโรงเมืองไทยแน่ๆ ก็เลยถึงกับ "ตั้งตารอชม" เลยทีเดียว ... แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ครับ

+ หนังมันชวนสพรึงตั้งแต่บรรยากาศเปิดเรื่อง รวมถึงเพลงประกอบ (ที่ภายหลังมารู้ว่าเป็นเพลงกล่อมเด็ก เลยยิ่งอิน) นั่นแล้ว และก็สามารถควบคุมให้อยู่ในโทนนั้นได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ไม่มีหลุดเลยทีเดียว
... การดำเนินเรื่องคู่ขนานระหว่างโลกแห่งความจริงของสงครามกลางเมืองสเปน (ที่เป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์จริง ช่วงนายพลฟรานซิสโก ฟรังโก ผู้เป็นเผด็จการครองเมือง และมีการกวาดล้างผู้ต่อต้านอย่างทารุณ) และโลกแห่งจินตนาการของโอฟีเลีย รวมทั้งสัญลักษณ์ที่ใส่เข้ามาให้ซ้อนทับกัน ทำได้ดีอย่างไร้รอยต่อ
...ความรุนแรงโหดร้ายที่มีในเรื่อง ถึงแม้จะใส่เข้ามาอย่างไม่บันยะบันยัง แต่ก็มีความสมเหตุสมผล ... นับเป็น Dark side of Fantasy จริงๆ ครับ
+ เดล โตโร่ เคยให้สัมภาษณ์ว่าเรื่องนี้เป็นแฟนตาซีมืดหม่นของเด็กผู้หญิง ... และมีงานชิ้นก่อนหน้าของเค้าที่เป็นแนวคล้ายๆ แบบนี้แต่เป็นของเด็กผู้ชาย ชื่อเรื่อง The Devil's Backbone (2001) ...ไว้ต้องไปหามาดูหน่อยแล้ว ชักติดใจ ว่าจะเจ๋งเหมือนเรื่องนี้รึเปล่าง่ะ


*** Spoiler alert นะจ๊ะ ***
+ ภาพในหนังมันติดตา และเสียงเพลงกล่อมเด็กก็ติดหู ... มีหลายตอนที่ผมนั่งน้ำตาซึม กับความโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับเด็กตัวเล็กๆ คนนึง โดยที่ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้ นอกจากจินตนาการของตัวเอง (ใน Life is beautiful ยังไงลูกชายก็ยังมีพ่อที่แสนดีคอยปกป้อง) ... พอตอนหนังจบ ไฟสว่าง ผมก็ยังนั่งซึมกระทืออินกับหนังต่ออีกพักใหญ่ๆ เลยทีเดียว
+ จริงๆ คงไม่สำคัญหรอกว่า เทพฟอน (หรือ Pan - ซึ่งจริงๆ ถ้าเทียบกับเทววิทยาฝั่งไทย น่าจะจัดได้เป็นสัตว์หิมพานต์ คือเป็นกึ่งเทพ กึ่งอสุรกาย มีร่างกายบางส่วนเป็นของสัตว์ ชอบอยู่ตามป่าเขา) รวมทั้ง เขาวงกต, อาณาจักรใต้ดินและ ฯลฯ ที่โอฟิเลียเห็นนั้นจะมีจริง หรือเป็นเพียงจินตนาการที่เธอสร้างขึ้นมาเอง ... แต่สิ่งสำคัญคือ ผกก. สามารถนำโลกคู่ขนานทั้งสองมาหลอมรวมกันได้อย่างกลมกลืน จนคนดูรู้สึกระทึก และร่วมลุ้นไปด้วยจนถึงฉากสุดท้าย ... รวมทั้งการปลุกจินตนาการ (หรืออาจเป็นฝันร้าย หุๆ) ในวัยเด็กของคนดูที่หลับใหลอยู่ให้ตื่นขึ้นมา (อย่างน้อยก็ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงกว่าที่นั่งลุ้นระทึกไปกับหนังเรื่องนี้) ต่างหาก ที่นับได้ว่าหนังทำได้ประสบความสำเร็จ
+ ขอชื่นชมมากๆ กับงานกำกับศิลป์ และกำกับภาพ (จำไม่ได้แล้วว่าได้รางวัลไหนมาบ้าง) รวมทั้งเสียงและดนตรีประกอบ ... หลอน สพรึง โหดร้ายได้ใจ ชวนฝันร้ายดีเหลือเกิน แต่ก็มีความงดงาม(แบบเซอร์ๆ)แฝงอยู่
+ อีกอย่างที่น่าชื่นชมคือการแคสติ้ง
... Ivana Baquero - เลือกเด็กมาแสดงได้เหมาะเหม็งมาก ทั้งหน้าตาน่ารักแต่อมเศร้า บุคลิกและการแสดงที่แข็งแรง สามารถนำพาหนังทั้งเรื่องให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างตลอดรอดฝั่ง
... Maribel Verdú - ที่เห็นตั้งแต่แรกก็รู้ได้ทันทีว่าเธอต้องมีความสำคัญอย่างใดอย่างนึงต่อเนื้อเรื่องแน่ๆ ... และก็รู้สึกคุ้นหน้าเธอมั่กๆ พอมาอ่านบล็อกนี้ถึงได้ถึงบางอ้อว่า ที่แท้ก็เป็นแม่สาวผู้โชคดีใน Y tu mama tambien (ถ้าผมแปล ... อยากแปลชื่อเรื่องนี้ว่า "แมร่ม มรึงสิ!!!") นั่นเอง ... และเธอก็แสดงได้ดีทั้งด้านเข้มแข็งและด้านอ่อนโยน ... และกะแล้วว่าเธอต้องใช้มีดที่เหน็บพุงเล่มนั้นแน่ เพราะสะดุดตากิริยาตั้งแต่ตอนที่เอาซุกไว้ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ... ตอนเชือดผู้กอง (=กัปตัน) สะใจสุดๆ จริงๆ อยากให้ทำมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เหอะๆ
... Sergi López - เป็นผู้กองวิดาลได้สะใจโรคจิต โหดร้ายได้ใจเจงๆ แค่ตอนเอาเศษขวดทิ่มหน้าเด็กหนุ่มตอนต้นๆ เรื่องนั่น ผมก็เหวอแตกแล้ว ... ตอนเย็บปากฉีกของตัวเอง ผมแทบจะต้องหลับตาเลยทีเดียว
... ส่วนคุณหมอ, แม่โอฟิเลีย และแม้แต่ ฟอนอมนุษย์กึ่งเทพ (Doug Jones) และตัวประกอบอื่นๆ ทุกตัว ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีไม่แพ้กัน
+ 555 ชอบคำว่า "ปิศาจจ๊ะเอ๋" ด้วยคนครับ (แต่ขออย่าเจอเองเลยน้า)
********************************

+ สรุปว่าหลอนได้ชวนฝัน (จนอยากอยู่ในฝันตลอดไป ไม่อยากตื่นขึ้นมาเผชิญความเป็นจริง) ... และไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ... แต่สำหรับคนขวัญอ่อน คนที่ไม่ชอบดูหนังในบรรยากาศกดดัน อารมณ์น่าสพรึง ก็จงเตรียมใจของคุณไว้ให้ดีก่อนดูแล้วกันครับผม


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:10:40:03 น.  

 
อยากดูเหมือนเคย
ชอบ บทวิจารณ์ ของคุณจริง ๆค่ะ


โดย: ขวดเขียว IP: 125.24.160.127 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:15:03:23 น.  

 
ไปดูมาแล้ว

พูดไม่ออกอ่ะ


โดย: กิ๊บ IP: 58.8.21.220 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:22:38:00 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์ที่ช่วยให้เข้าใจเนื้อหามากขึ้นครับ



โดย: FU IP: 124.120.222.50 วันที่: 20 เมษายน 2550 เวลา:0:02:03 น.  

 
ชอบที่เขียนมาก ๆครับ
หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ผมชอบมาก ๆ ตั้งแต่ที่ได้ดูมาในปีนี้


โดย: angel of music วันที่: 20 เมษายน 2550 เวลา:0:24:47 น.  

 
เพิ่งไปดูมาเมื่อบ่ายนี้เองครับ

ไปดูแบบรู้แค่ว่าเป็นหนังจินตนาการ หนังรางวัลแค่นั้นเอง
ไม่ได้อ่านวิจารณ์ที่ไหนมาก่อนเลย

มาอ่านบลอคคุณแล้วเข้าใจอะไรได้อีกเยอะว่า เออ..มันซ้อนทับกันทุกสิ่งจริงๆด้วย

แต่ผมเห็นขัดแย้งเรื่องหนึ่งนะครับ เรื่องบททดสอบที่ 2
การที่ฟอนบอกว่า เข้าไปในบ้านแล้วห้ามกินดื่มสิ่งใดๆเลย นั่นช่างเหมือนกับที่ผู้พัน ห้ามเมอซิเดสเข้าเสบียง ทั้งๆที่รู้ว่าเธอคุมห้องเสบียง
โดยมีข้อต้องห้ามเดียวกัน
แต่ทั้งคู่ก็ละเมิดด้วยกัน โอฟิเลียแอบกินอาหาร ส่วนเมอซิเดสแอบเก็บกุญแจไว้ขโมยของ
และทั้งคู่ก็เกือบจะถูกจับได้ ทั้งจากปีศาจ และผู้พัน
ผลของภารกิจ โอฟิเลียถูกฟอนทอดทิ้ง ส่วนเมอซิเดสก็เลยรู้ว่ากำลังจะถูกฆ่า ต้องชิงหนีไปเสียก่อน...
ไม่รู้เหมือนกันว่าเข้าใจถูกหรือปล่าว แต่ตีความได้เท่านี้..



ปล. ชอบเพลงประกอบมากๆเหมือนกันเลย ส่งไฟล์เพลงให้ได้ไหมครับ


โดย: ArMKunG IP: 202.28.180.130 วันที่: 20 เมษายน 2550 เวลา:20:15:08 น.  

 
เพิ่งดูจบแล้วน้ำตาซึมอ่ะ

ไม่ว่าจะโลกไหนๆ เด็กก็ยังเป็นเหยื่ออยู่ดี


โดย: tapum IP: 61.214.144.146 วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:11:04:59 น.  

 
ถึงArMKunG
เข้าไปที่
www.panlabyrinth.com มีsoundtrack(เต็มเพลง ทั้งalbum)ให้ฟังฟรีๆ แต่จิงๆแล้วก็อยากได้OST.เป็นแผ่นแท้เหมือนกัน พี่จขบ.ไปหาได้ที่ไหนอ่ะครับ
-ตอนที่Opheliaเข้าไปเอามีด แล้วแหงนไปดูจิตรกรรมบนเพดาน กับOSTตอนหนังจบเล่นเอาขนลุก
-ปล.เจอข่าว"Oldboy แรงบันดาลใจ! มือปืนโสม 33ศพ" เลยมาร่วมโหวตกระทู้แบบสิบทีนเหยียด


โดย: สาวกท่านปัก(สติยังดีอยู่) IP: 58.8.133.68 วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:17:40:24 น.  

 
ขอบคุณมากสำหลับบทวิจารณ์ดีๆครับ


โดย: gorpor IP: 125.25.1.251 วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:15:50:01 น.  

 
แว๊กกก เพิ่งได้กลับมาอ่านใหม่ ต้องขอโทษคุณ ohแม่เจ้า ด้วยจริงๆ ค่ะ (ไม่รู้จะกลับมาอีกมั้ย Y_Y) คราวหน้าจะพยายามระวังกว่านี้นะคะ

ขอบคุณ จขบ มากๆด้วยค่ะที่ช่วยอธิบาย + แปะรูปประกอบของ pan ตอนนี้เอาไปบิ๊วเพื่อนๆ ให้มาดูเรื่องนี้หมดแล้วค่ะ แต่ไม่รู้จะออกโรงไปรึยัง

CD Soundtrack ของหนังเรื่องนี้ ได้ไปตั้งกระทุ้ถามในเฉลิมกรุงเหมือนกันค่ะ (ชอบเหมือนกัน อยากซื้อเก็บ) แต่ดูเหมือน จะต้อง import มาโดยตรงเท่านั้น ท่านใดที่อยากฟังก็คงต้องฟังเว็บทางการของหนังแทนค่ะ มีให้ฟังทั้งอัลบั้มเลย (แต่โหลดไม่ได้ T_T)


โดย: มนัสวีร์ วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:18:20:16 น.  

 
สนุกค่ะ ตื่นเต้นมาก+หดหู่มากเช่นกัน


โดย: pep IP: 124.120.186.57 วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:9:16:55 น.  

 
ตามมาจากห้องเฉลิมไทยค่ะ
เพลงประกอบชอบมาก หาได้ที่ไหนคะ
ปล ไม่ได้ดูเรื่องนี้ แต่เพลง แค่ฟังก็เห็นภาพเลยแหละ


โดย: อิอิ IP: 203.151.15.242 วันที่: 24 เมษายน 2550 เวลา:11:07:55 น.  

 
มันโหดมากๆ


โดย: SFFC IP: 125.25.35.128 วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:15:48:02 น.  

 
เขียนได้ดีมากๆค่ะ ชอบมาก ขอบคุณนะคะ เราเองก็ชอบหนังเรื่องนี้มากๆเลยเหมือนกัน


โดย: Sasapin IP: 161.200.255.162 วันที่: 26 เมษายน 2550 เวลา:14:09:35 น.  

 
ผู้กำกับเขียนบทเองด้วย
ต่างจาก hellboy ราวฟ้ากับเหว


และเขียนวิเคราะห์จิตวิทยาตัวละครได้สัมพันธ์กันดีเช่นเคยนะครับ


โดย: mayhem IP: 58.147.66.166 วันที่: 27 เมษายน 2550 เวลา:23:18:51 น.  

 
ถ้าเป็นอย่างแนวทางที่ 1 ก็ถือว่าเด็กน้อยแกจินตนาการได้ซาดิสต์เข้าเส้นดีเหลือเกิน สงสัยแอบโหดนะเนี่ย 555


โดย: Killy IP: 58.181.205.49 วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:2:09:12 น.  

 
ตอนแรกที่เห็นตัวอย่างหนัง ก้อยากไปดู คิดว่าจะได้ดูหนังเด็กใสๆ ซักเรื่องนึง

แต่หลังจากดูจนจบ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
แต่ก็อิน และก็ประทับใจ กับหนังเรื่องนี้

โชคดี่ได้ดูหนังเรื่องนี้

และเมื่อมาได้อ่านบทวิจารณ์ ก็ยิ่งรู้สึกโชคดีเข้าไปใหญ่

ขอบคุณสำหรับบทวิจารณ์ดีๆ ที่ช่วยเปิดแง่มุมความคิดให้กว้างขึ้น

ป.ล. ชอบคำนี้จัง "เหตุผลของการมีเทพนิยาย เพราะความจริงมันโหดร้ายเกินจะทน"


โดย: l2equiem IP: 125.25.68.125 วันที่: 29 เมษายน 2550 เวลา:2:56:18 น.  

 
เพิ่งไปดูมาครับ
วิเคราะห์หนังได้ตรงประเด็นเช่นเคย ชอบที่วิจารณ์ข้างบนมากๆ
Pan’s Labyrinth แก่นเรื่องเหมือนจะตีแผ่ความชั่วร้ายของผู้เป็นใหญ่ บางครั้งการตัดสินใจทำอะไรซักอย่างลงไปโดยไม่มองภาพรวมหรือความถูกต้อง ผลกระทบช่างใหญ่หลวงนัก
สอนใจว่าจะทำอะไรให้หันหลังกลับไปมองคนที่อยู่เบื้องหลัง หรือคนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวแต่ต้องมารับเคราะห์แบบโชคร้าย
ซึ่งตัวแทนคนที่โดนหางเลกไปด้วยก็คือโอฟีเลียนั่นเอง
อย่างที่หลายท่านได้กล่าวไปแล้วว่าการโฆษณาเชิญชวนนั้นเชื่อไม่ได้เสมอไป ตอนแรกผมคิดว่าจะเป็นหนังที่ระเบิดจินตนาการตามแบบฉบับเด็กน่ารักๆใสซื่อ แต่ที่ไหนได้... เลือดครับเลือด โหดร้ายทารุณ สะท้อนภาพสังคมและการต่อสู้อย่างเลวร้าย แต่ในความโหดเหี้ยมนั้นยังมีความดีงามเล็กๆซ่อนอยู่
อย่างไรตาม นี่คือเป็นหนังอีกเรื่องที่ผมประทับใจครับ ... ขอยืนยัน


โดย: Nunbu Nubnu Bunnu~ IP: 58.8.192.58 วันที่: 30 เมษายน 2550 เวลา:16:49:27 น.  

 
สุดยอดมากค่ะ พออ่านจบ
ตั้งใจว่าจะไปเก็บรายละเอียดหนังเรื่องนี้อีกรอบ
วิเคราะห์ได้ตรงมากๆ ชอบอย่างแรงเรยค่ะ


โดย: nakaza IP: 58.8.129.19 วันที่: 4 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:11:16 น.  

 
เพิ่งมีโอกาสไปดูวันนี้ค่ะ
ดูจบ คิดถึงเพลงเดียวกันเลยค่ะ
"เกิดสงครามพันครั้ง เด็กก็ยังสวยงาม เป็นเพียงแค่สงคราม ความเดียงสาเท่าเดิม"


โดย: kcpt IP: 58.64.46.64 วันที่: 6 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:36:07 น.  

 
ชอบปิศาจจ๊ะเอ๋มากเหมือนกันค่ะ ฟอนก้อชอบ
แล้วเพลงอีก ที่ติดหูสุดๆ
ดูแล้วหม่นข้ามวันเลย



โดย: My Dog is a Gangster วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:19:41:08 น.  

 
ในมุมมองของผม ขอคิดว่าเธอได้กลับไปโลกของเธอ ดีกว่านะ
ไม่งั้นมันเศร้าเกิน


โดย: gorpor IP: 125.27.72.234 วันที่: 22 มิถุนายน 2550 เวลา:22:52:37 น.  

 
ชอบเหมือนกันครับ


โดย: Bossanii IP: 58.9.170.57 วันที่: 24 มิถุนายน 2550 เวลา:20:46:03 น.  

 
เยี่ยมค่ะ ทั้งเจ้าของบล็อกและหลายๆ คอมเมนท์
เจ็บใจตัวเองจริงๆ ดูหนังมาก็เยอะ ทำไมเพิ่งมาเจอบล็อกนี้


โดย: Lady IP: 125.25.75.143 วันที่: 3 กรกฎาคม 2550 เวลา:16:25:57 น.  

 
ชอบที่เรื่องนี้มีการเล่าเรื่องแบบคู่ขนานหลายคู่ด้วยกัน
1 โลกความเป็นจริงที่โหดร้าย-โลกนิยายที่น่าสะพรึงกลัวไม่แพ้กัน
2 เรื่องของโอฟิเลีย-เรื่องของเมอซิเดส (ทั้งคู่มีการก้าวข้ามสลับไปมาระหว่าง 2 โลกอย่างน่าหวาดเสียวพอๆกัน ต่างกันที่โลกของเมอซิเดสเป็นโลกจริงๆของผู้ใหญ่ที่ขัดแย้งกัน ภารกิจของทั้งคู่จะมีบางสิ่งที่ซ้อนทับกันตลอด เช่น กุญแจ มีด การหลบหนี ความเมตตา และ การเสียสละ )
3 กัปปิตันจอมโหด (ซึ่งถอดแบบมาจากนายพลฟรังโก้อีกที) กับ ฟอน ที่ชอบกำหนดชะตาชีวิตผู้อื่นอยู่เสมอๆ ตัวผู้กองเป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก เพราะดูจะเป็นคนเดียวที่ร้ายสมบูรณ์แบบ ไม่หลงเหลือความอ่อนโยนในจิตใจอยู่เลย อาจเป็นจากการที่เวลาแห่งความเป็นเด็กได้หยุดลงตั้งแต่เหตุการณ์ที่เห็นพ่อทุบนาฬิกาก่อนตาย และ ความต้องการการยอมรับจากผู้อื่นยังมีตลอดแม้ตอนใกล้ตาย ยังมิวายอยากให้ลูกตนได้รับรู้ถึงเวลาตายของตนเองซะอีก แต่โชคร้ายที่มันไม่เป็นอย่างนั้น
4 แม่ กับ แผ่นดิน(แม่) ที่ได้รับความบอบช้ำจากสงครามพอๆกันจนยากจะเยียวยา
5 เด็กทารก กับ หมู่ประชาชนในตอนท้ายเรื่องที่ต้องเริ่มต้นชีวิตกันใหม่หลังสงคราม
เรื่องนี้ผู้กำกับคงคิดว่าในส่วนโลกนิยายควรจะสะท้อนความจริงที่โหดร้ายแบบที่ควรจะเป็น คือเป็นส่วนที่รับใช้ความเป็นจริงมากกว่าที่จะไว้หลีกหนีความเป็นจริง ดังนั้น มันจึงออกมาในโทนมืดหม่นขนาดนี้ แต่ก็ยังใจดีทิ้งท้ายไว้ให้มีความหวังบ้างทั้งในส่วนโลกนิยายและดลกความเป็นจริง


โดย: ฉิกซิงแซ IP: 125.24.110.6 วันที่: 6 กรกฎาคม 2550 เวลา:18:30:29 น.  

 


โดย: daknoy IP: 222.123.102.10 วันที่: 7 กรกฎาคม 2550 เวลา:1:55:32 น.  

 
สุดยอดมากๆเลย ทั้งหนัง ทั้งบทวิจารณ์
ขอบคุณมากครับ


โดย: สยาม IP: 58.10.84.191 วันที่: 19 กรกฎาคม 2550 เวลา:6:53:54 น.  

 
ยอดเยี่ยมครับ


โดย: Kato_nd IP: 202.91.18.192 วันที่: 22 สิงหาคม 2550 เวลา:11:10:44 น.  

 
ปกติไม่ชอบเรื่องแนวหดหู่แบบนี้เลย
แต่เพราะมาแอบอ่านตอนต้นๆของบทวิจารณ์ก็เลยลองดูซะหน่อย
แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ ประทับใจมาก (แต่ไม่คิดจะดูซ้ำแน่ๆ...หดหู่เกิน)
โอฟิเลียที่น่าสงสาร ชีวิตเธอช่างหม่นหมองเสียจริง
ขนาดนิทานที่เธอเล่าให้น้องฟัง(ตอนยังอยู่ในท้อง)
ก็ยังฟังดูเศร้าๆอึมครึมไงไม่รู้


โดย: tabby girl IP: 202.122.130.31 วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:12:13:04 น.  

 
เพิ่งจะได้ดูตอนมาอยู่ที่อเมริกา รอบแรกก็ดูผ่านๆสลับกับหนังช่องอื่น รอบที่สองตั้งใจดูมากถึงได้รู้ว่ามันโหดร้ายและทำร้ายความรู้สึกมาก แต่ชอบตอนจบค่ะ เราคิดว่าเด็กคงได้เป็นเจ้าหญิงอยู่กับพ่อแม่บนสวรรค์แล้ว ไม่ชอบใจอย่างเดียวที่กัปตันตายง่ายไปหน่อย คนแสดงเล่นได้โหดมากๆ


โดย: Absolutely Love IP: 206.240.25.173 วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:7:10:24 น.  

 
ส่วนตัวคิดว่า คางคกที่นั่งทับรากไม้จนต้นไม้ใกล้ตาย กับฉากที่ต่อมาคือฉากของคนรวยๆนั่งกินอาหารฟุ่มเฟือยๆมันเกี่ยวข้างกันนะฮะ

หรือคิดว่าไง?


โดย: Kiru IP: 58.9.163.16 วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:14:13:21 น.  

 
โดยส่วนตัว เรายังไม่ตัดสินว่าสรุปแล้ว เรื่องราวของโอฟิเลียจะเป็นจินตนาการหรือว่าเรื่องจริง

เราคิดว่าขึ้นอยู่กับ คนดูแต่ละบุคคล ที่จะ 'เชื่อ' ไปทางด้านไหนเสียมากกว่า

ตัวละครทุกตัวในเรื่องมี 'Labyrinth' เป็นของตัวเอง หรือจะพูดง่ายๆก็คือ ต่างคนต่างมี 'เขาวงกต' ในจิตใจอยู่ ต่างฝ่ายก็ต่างเชื่อไปในทางที่ 'เขาวงกต' ของตัวเองนำไปสู่

ซึ่งก็เสมือนกับคนดูทุกคนที่ "Labyrinth" ของตัวเอง จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่า เป็นแค่ 'จินตนาการ' หรือ 'ความเป็นจริง'

Everybody have their own labyrinth.


โดย: เอม IP: 58.8.99.6 วันที่: 14 ตุลาคม 2550 เวลา:21:44:36 น.  

 
8/10 คะแนน

ดูแผ่นครับเรื่องนี้ ผมเห็นด้วยนะครับที่เรื่องนี้ควรเซ็นเซอร์ เพราะเท่าที่ทราบมา มีครอบครัวไปดูกันและพาเด็กไปดูด้วย

คนที่ผิดหวังกับ Bridge of Terrabitia มาคงชอบหนังเรื่องนี้ เพราะมีความเป็นแฟนตาซีค่อนข้างชัดเจน องค์ประกอบหนังรวมทั้งดนตรีประกอบ อยู่เรียกได้ว่า สุดยอด

จบได้หดหู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ เพราะเธอเลือกที่จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการเอง ถึงเธอจะจบชีวิตจากโลกแห่งความจริง แต่เธอก็มีความสุขได้นโลกแห่งจินตนาการ (ซึ่งโลกแห่งจินตนาการมีจริงหรือป่าวก็ไม่รู้ แต่หนังทำให้มันมี)

สำหรับผม Bridge of Terrabitia ซึ่งกว่า และสามารถเรียกน้ำตาผมได้ แต่เรื่องนี้ ดูสนุกกว่า


โดย: นักวิจารณ์สมัครเล่น IP: 125.24.181.222 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2550 เวลา:15:21:50 น.  

 
ยังไม่ได้ดุเรื่องนี้เลยคะ

แต่พออ่านบลอคแล้วอยากดุขึ้นมาก

ตัดสินใจหลาย ทีแต่ชอบหนังแนวนี้จัง

คงไดก้ซื้อหามาดุ แน่ๆคะ

เขียนได้ดีมากคะ


โดย: กิ้กกิ IP: 58.9.94.85 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2550 เวลา:1:17:13 น.  

 
เพิ่งดูจบครับ
ชอบมากๆ
ตอนแรกนึกว่าจะเป็นแนวสนุกๆ ซะอีก
เล่นกันซะโหดซะ


โดย: noomz IP: 161.246.1.37 วันที่: 12 มกราคม 2551 เวลา:13:19:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
16 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.