www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Blood diamond , "ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องมาฆ่ากันเอง"



...หลังเหตุการณ์ระเบิดกรุงเทพวันปีใหม่ ทำให้ผมรู้สึกว่า หนังที่เล่าเรื่องห่างไกลบ้านเราชนิดข้ามมหาสมุทรข้ามทวีปเรื่องนี้ มันน่ากลัวเหลือเกินเหมือนอยู่ใกล้ตัว เพราะ ถ้าย้อนกลับไปณ.จุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็นสงครามกลางเมือง ประชาชนของเซียร่า ลีโอน อาจไม่ต่างกับประชาชนบ้านเรามากนัก คือ เริ่มต้นจากความขัดแย้งเพียงเล็กน้อย ก่อนจะบานปลายเป็นความเลวร้ายที่ไม่อาจควบคุม อันเนื่องมาจาก แต่ละฝ่ายล้วนต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองจนถึงที่สุด

โดยเฉพาะคำพูดที่มันช่างซ้ำร้ายและทิ่มแทงตรงมายังคนดูบ้านเราคือ ประโยคที่ตัวละครชาวแอฟริกันคุยกันในหนังว่า

"ผมเข้าใจว่า ทำไมคนขาวต้องการเพชรพวกเรา แต่ ไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกเราต้องมาทำร้ายกันเอง"

เราจึงได้เห็น ภาพการเข่นฆ่าอันชวนหดหู่ชองคนชาติเดียวกัน เช่น การตัดแขนชาวบ้านเพื่อข่มขู่ให้เข้าพวกและหวาดกลัว การยิงเด็กๆและผู้หญิงที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน การใช้แรงงานคนชาติเดียวกันเยี่ยงสัตว์ ที่เลวร้ายเกินบรรยาย คือ การเพาะเชื้อพันธุ์ความชั่วร้ายส่งทอดต่อรุ่นถัดๆไป ด้วยกระบวนการ ล้างสมอง เด็กๆที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายให้กลายไปเป็น ทหารเด็ก



เพชร ถูกนำมาเป็นตัวเชื่อมโยงตัวละครและเรื่องราวในหนังเข้าด้วยกัน เมื่อครอบครัวและคนในหมู่บ้านของ โซโลมอน แวนดี้ โดนบุกรุก ยิงทิ้ง ตัดแขนประจาน โดยกลุ่มกบฎ RUF (Revolutionary United Front)เขาถูกจับไปเป็นคนงานเหมืองเพชร ก่อนที่จะพบกับ เพชรเจ้าปัญหาเม็ดโต นำมาซึ่งการต้องสูญเสียลูกชายไปให้กับกลุ่มกบฎ RUF ที่จับเอาลูกของเขาไปล้างสมอง และ เพชรเม็ดนี้ก็นำเขาได้มาพบกับ ชายหนุ่มอีกคนอย่างแดนนี่ อาร์เชอร์ อดีตทหารรับจ้างที่มีอาชีพค้าอาวุธแลกกับเพชร ก่อนจะนำเพชรผ่านตลาดมืดอย่างผิดกฎหมายผ่านนายทุนนักธุรกิจ แดนนี่ เพิ่งสูญเสียงานและเงินก้อนโตไป เขาจึงหวังว่าเพชรเม็ดนี้ จะกอบกู้ชีวิตเขากลับคืนมาและนำพาเขาไปสู่อิสรภาพ

ชายคนหนึ่งทุ่มทั้งชีวิตตามหาลูก เพราะ ลูกคือสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดและคือความหวังที่เขาเชื่อมั่นว่าจะเป็นคนที่ดีของสังคม

ชายอีกคนทุ่มสุดชีวิตไล่ล่าเพชร เพราะ เชื่อว่า เพชรคือสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดและคือความหวังที่เขาจะมีชีวิตดีกว่าเดิม





นำให้พวกเขาได้พบกับ แมนดี้ หญิงสาวอีกคนที่พยายามทำข่าวเพชรเจ้าปัญหา เพราะ เชื่อว่า ข่าวของเธอจะช่วยผู้คนได้อีกจำนวนมาก

แมดดี้ และ โซโลมอน คนสองคนนี้เหมือน คนแปลกหน้า ที่แตกต่างจาก ผู้คนนับร้อยนับพันที่แดนนี่เคยทำความรู้จักมาทั้งชีวิต เพราะสองคนนี้ ไม่ได้มีชีวิตที่ทำแต่เพื่อตัวเอง ทั้งคู่มีชีวิตที่คิดถึงคนอื่นๆ คิดถึงสังคม และ มีชีวิตเพื่อสร้างคนที่ดีขึ้นมาจากสังคมที่เสื่อมทราม

ในใจลึกๆของแดนนี่เอง ก็คงต้องการเป็นเช่นนี้ ต้องการพบคบหากับคนเช่นนี้ ความเป็นคนดีของเขาก็อยากได้ใครมาหนุนส่งและเติมเต็มความดีงาม น่าเสียดายที่วัยเด็กของเขาไม่มีโอกาสเช่นนั้น เขาเติบโตมาด้วยข้อจำกัดทางโอกาสที่ปิดกั้น

การมีโอกาสได้พบคนสองคนนี้ จึงเหมือนโอกาสที่เขาได้เรียนรู้ชีวิตอีกด้าน เป็นโอกาสที่พลิกชีวิตของเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นโอกาสที่เขาจะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้เป็นในสิ่งที่ลึกๆแล้วก็อยากจะเป็นเหมือนคนอื่นๆ นั่นคือ การเป็นคนดี แต่ด้วยข้อจำกัดมากมายที่มีมาในอดีต เขาจึงเป็นได้แค่ คนที่เอาตัวรอดทำเพื่อตัวเอง

นอกจากนี้หนังยังจะทำให้เห็นที่มาที่ไปและรายละเอียดของระบบวงจรเพชรเปื้อนเลือด ว่า กว่ามาประดับอยู่บนสร้อยคอหญิงสาวนั้น มันต้องผ่านอะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้แลกเปลี่ยนกับอาวุธเพื่อนำมาซึ่งการปลิดชีพคนบริสุทธิ์ หรือผ่านหยาดเหงื่อและหยดเลือดของคนอีกมากมายสมดั่งชื่อหนังและชื่อตัวมันเองว่า Blood diamond หรือ Conflict diamond



...Blood diamond เป็นหนังดราม่าที่หน้าหนังอาจหลอกให้คนดูเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหนังแอคชั่นมันส์สะใจ ความจริงแล้ว ฉากแอคชั่นของหนังมีอยู่ประมาณหนึ่งพอเป็นน้ำจิ้มไม่มากไม่น้อย อารมณ์ของหนังส่วนใหญ่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับThe Constant gardener กับ ความเป็นหนังดราม่าที่หนักแน่นจริงจังและดูสนุก ทั้งคู่ยังมีโครงสร้างของเรื่องที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือ มีส่วนผสมของทั้ง เรื่องผลประโยชน์ในระดับสังคม ( ทุจริตยา คอรัปชั่น จาก TC./ การเข่นฆ่าของคนชาติเดียวกัน การค้าอาวุธ เพชรเถื่อน จาก BD.) และ การสำรวจในระดับตัวบุคคล (ความรัก ความไว้เนื้อเชื่อใจ จาก TC./ ความดีงามในตัวมนุษย์ จาก BD.)



ปีนี้เป็นปีทองของ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ เมื่อบทบาทการแสดงของเขาขึ้นแท่นไปเป็นผู้ท้าชิงในหลายๆเวทีล่ารางวัลพร้อมกันถึง สองเรื่อง จาก The departed และ Blood diamond การตัดสินว่าเรื่องไหนที่เขาเล่นดีกว่ากันนั้นตอบยากอยู่ เนื่องจากผมเองก็มีอคติกับบทบาทของเขาใน The departed เพราะไม่ว่าเขาจะเล่นได้ดีเพียงใด ผมเองก็มีภาพของ เหลียงเฉาเหว่ย ซึ่งเล่นได้น่าจดจำกว่าทาบทับภาพของเขาอยู่ตลอด (เหมือนกับหนังที่ The departed ก็มีดีในตัวแต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมีภาพที่ดีกว่าของ Infernal affairs มาเปรียบเทียบแทบจะทุกช็อต) แต่กับบทบาท แดนนี่ อาร์เชอร์ ของลีโอ ถือว่าเป็นอีกบทบาทของเขาที่ทำให้คนดูได้เห็นพัฒนาการทางการแสดงที่มีรายละเอียดทางอารมณ์มากขึ้น เมื่อเทียบกับบทบาทล่าสุดอย่างใน The aviator ,Catch Me If You Can , Gangs of New York สำเนียงแอฟริกันกับเขาก็ดูเข้ากันได้ดี



ยิ่งเมื่อเขาต้องมาประกบกับ ดิจิมอน ฮาวน์ซู นักแสดงผิวสีที่มีพลังชนิดท่วมท้น เขาเองก็สามารถประลองพลังกับอีกฝ่ายได้ไม่ด้อยกว่าเลย ดิจิมอน ฮาวน์ซู เป็นนักแสดงที่เมื่ออยู่ในจอแม้จะไม่พูดอะไรซักคำ ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกับนักแสดงที่มีรัศมีมีพลังในตัวมากพอที่จะทำให้คนดูสัมผัสได้ ซึ่งก็ต้องขึ้นกับความสามารถของผู้กำกับด้วยว่าจะดึงศักยภาพของเขามาได้มากแค่ไหน จะมากเหมือนกับในหนัง In America หรือทำให้เขาเป็นแค่ตัวประกอบธรรมดาสามัญอย่างใน The Island , Constantine




สาวสวยเพียงคนเดียวในเรื่อง เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ เริ่มต้นให้การแสดงในระดับพื้นๆจนกระทั่งฉากในแค้มป์ที่เธอออกอาการ เอาจริง การตอกกลับ ในฉากนั้นฉายตัวตน ฉายเจตนารมย์ในการมีชีวิตอยู่และการทำงานของเธอให้เราได้เห็นความเป็นยอดหญิงชัดเจน นับตั้งแต่วินาทีนั้น เธอก็เป็นเหมือนเพชรที่เจิดจรัสอยู่ท่ามกลางชายหนุ่มสองคนที่ให้การแสดงเข้มข้นไม่แพ้กัน เพียงแค่สายตาของเธอที่ต้องการถ่ายทอดความมุ่งมั่นก็ถ่ายทอดความรู้สึกได้มากมาย และ ความอ่อนโยนในส่วนที่เธอมอบให้กับพระเอกก็ทำให้ หนังที่แข็งกร้าวดุดันเรื่องนี้ มีมุมที่อ่อนไหวดูดีขึ้นมาทันใด

... สังเกตว่า เอ็ดเวิร์ด ซวิค ผู้กำกับที่มีผลงานระดับขึ้นหิ้งอย่าง Glory และ legend of the fall ช่วงหลังๆเริ่มทำหนังเป็นสูตรเฉพาะตัวตามๆกันมาให้เราคนดูเดาได้ นั่นคือ งานสเกลใหญ่พร้อมร่วมงานกับดาราระดับแม่เหล็กอย่างน้อยหนึ่งคนด้วยความยาวชนิดจุใจ (The Last Samurai บวก ทอมครูส ใช้เวลาไป 154 นาที , The Siege บวก เดนเซล วอชิงตัน ใช้เวลาไป 116 นาที) Blood diamond เขายังคงใช้สูตรเดิมคือ หนังสเกลใหญ่ นักแสดงระดับแม่เหล็ก (ลีโอ) และ ความยาว 143 นาที

งานของเขาถือว่ามีค่าเฉลี่ยที่พอฝากผีฝากไข้ซื้อตั๋วไปดูได้แบบไม่น่าผิดหวัง เพราะจะดีจะชั่วอย่างไร มาตรฐานอย่างต่ำก็ระดับเกรด B เป็นอย่างน้อย หากไม่นับงานมาสเตอร์พีซสองเรื่องบนที่ว่าไว้ที่ผมยังไม่ได้ดูซักที งานในยุคหลังๆของเขาที่ผมชอบมากที่สุดกลับเป็นงานที่ไม่ประสบความสำเร็จมากนักอย่าง Courage under fire ที่ดูสนุกและกระชับลงตัว ในขณะที่ หนุ่มหล่อซามูไร กับ สงครามระหว่างชนชาตินั้น มันมีความ เยิ่นเย้อ ในหนังอยู่มากเกินไป

Blood Diamond ดีกว่าสองเรื่องล่าสุด คือ แม้จะยังยาวอยู่จริง แม้จะยังมีความเยิ่นเย้ออยู่บ้าง แต่ก็มีน้อย ความยาวของหนังไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการติดตาม หากคนดูเป็นคอดราม่าหนักๆจะไม่รู้สึกว่าหนังน่าเบื่อแต่อย่างใด และ จะว่าไปหนังเรื่องนี้มีความจำเป็นต้องยาวเพราะ โครงของหนังถือว่าทั้งกว้างและลึก นั่นคือ เล่าภาพกว้างของปัญหาระดับสังคมวิทยา และ ก็ลงลึกสำรวจจิตใจของผู้คนโดยเฉพาะตัวละครหลักอย่าง แดนนี่ อาร์เชอร์



แดนนี่ อาร์เชอร์ ทำให้ผมหวนคิดถึง Tsotsi


...สองคนนี้เติบโตมาจากหนังคนละเรื่อง ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน(ทวีปแอฟริกา) และ มีวิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือ อยู่ท่ามกลางความเลวร้าย ความเสื่อมโทรมของศีลธรรม ที่สะท้อนผ่านการฆ่าฟัน ฉกชิง ในแต่ละวันเพื่อความอยู่รอด

ชีวิตของ แดนนี่ อาร์เชอร์ ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาโดยตัวละครหนึ่งในหนัง ซึ่งเป็น คำถามคล้ายกับที่ผมตั้งคำถามขึ้นในใจหลังดู Tsotsi จบลง นั่นคือ

พื้นฐานจิตใจของมนุษย์เป็นสีขาวหรือสีดำ

พฤติกรรมทำชั่วของคนที่เราเห็นๆกัน เช่น การขายอาวุธแลกกับเพชรของแดนนี่ การอยู่ในแก๊งค์อันธพาลของ ซ็อทซี่ พวกเขาเหล่านั้นล้วน ชั่วโดยกมลสันดาน ชนิด มีแต่ สีดำระบายหัวใจ จริงหรือไม่

หรือ จุดเริ่มต้นของคนเป็น สีขาว แต่ ปัจจัยรายรอบต่างหากที่ระบายสีดำลงไปทีละน้อยในใจพวกเขา เช่น การเลี้ยงดู , สภาพแวดล้อม ฯลฯ

...Tsotsi พิสูจน์ให้เราเห็นว่า พฤติกรรม ไม่ใช่ตัวบ่งบอก เนื้อแท้ภายในตัวคนเสมอไป และ แดนนี่ อาร์เชอร์ จาก Blood diamond ก็มาช่วยสนับสนุนความคิดนี้ ว่า บางครั้งพฤติกรรมอันเลวร้ายที่เราเห็นนั้น มันบดบังเนื้อแท้ของความเป็นคนอีกหลายๆด้าน เป็นผลมาจาก สภาพสังคมที่เต็มไปด้วยการเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว จนทำให้มนุษย์ต้องหาทางเอาตัวรอด ซึ่งหล่อหลอมสร้างเปลือกขึ้นมาครอบแก่นของคนๆนั้น

และปัจจัยเริ่มต้นที่มาจากการขาดคนเลี้ยงดูคอยอบรมสั่งสอนยิ่งทำให้มีแนวโน้มให้แก่นของคนนั้น ถึงจะดีแค่ไหนก็ถูกกลืนไปได้โดยง่าย

...จะคาดหวังสิ่งที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร กับเด็กที่พ่อถูกฆ่าตายตัดหัวประจาน กับเด็กที่แม่ถูกข่มขืนแล้วถูกฆ่าทิ้ง แล้วถูกเลี้ยงดูโดยนายพลที่ไม่ต่างอะไรจากพ่อค้าอาวุธไร้จริยธรรม ในสภาพสังคมที่ไม่มีใครแยแสใคร และ เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน เช่น แดนนี่

...จะคาดหวังอะไรกับเด็กที่เติบโตมาในกลุ่มเด็กเหลือขอ ทีไม่มีการศึกษา ไม่มีคนอบรมบ่มนิสัย มีพ่อขี้เหล้านิยมความรุนแรงแก้ปัญหาและแม่เป็นที่รังเกียจของผู้คน ก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ เช่น ซ็อทซี่

เปลือก ที่มาจาก ความอยากจะมีชีวิตรอด อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ทำให้ต้องต่อสู้ ปากกัดตีนถีบ และ ดิ้นรนเอาตัวรอด โดยไม่มีคนดีๆเป็นเข็มทิศพาไปในทิศทางที่ถูกต้อง มันทำให้ หลายอย่างที่ทำลงไป กลายเป็น ความเคยชิน

ความเคยชิน เหมือนที่ แดนนี่ บอกกับนางเอกว่า ใครๆเขาก็ทำกัน ใครๆก็ฆ่ากันเพื่อให้ได้เพชรมา ใครๆก็อยากได้เพชรมาครอบครอง มันเป็น วิถีชีวิตธรรมดาๆ

ความเคยชิน เป็น เหมือนตัวแปรที่ค่อยๆละลายสามัญสำนึกของผู้คน

คนโกหกจนเคยชิน ก็ทำจนเป็นเรื่องธรรมดา

คนชั่วจนเคยชิน ก็มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

คนโกงจนเคยชิน ก็มองว่าใครๆก็ทำกัน


และแน่นอน ความเคยชินนั้นจะค่อยๆแปรรูปถาวรกลายเป็นรูปแบบความคิดอัตโนมัติที่ไม่สามารถแยกแยะ ผิด-ถูกได้อีกต่อไป

มาถึงจุดนี้ แม้เนื้อแท้จะเป็นคนดีอย่างไร แต่ความเคยชินนั้นจะค่อยๆกัดกินตัวตนที่แท้จริงให้หายไปได้โดยไม่รู้ตัว

มีตัวอย่างให้เห็นภาพที่ว่านี้ชัดเจน นั่นคือ ชีวิตพ่อค้าอาวุธอย่าง ยูริ โอลอฟ ในหนังเรื่อง Lord of War ที่เป็น บุคคลตัวอย่างของคนที่สามัญสำนึกสูญสลายอย่างถาวร เมื่อความเคยชินเข้าครอบงำจนไม่เหลืออะไรในตัวให้คิดให้ไตร่ตรอง

วิวทิวทัศน์ของแอฟริกา ภาพสุดท้ายที่แดนนี่มองจากมุมบนหน้าผานั้น อาจจะงดงามยิ่งกว่า สิ่งที่ตาเคยมองเห็นมาทั้งชีวิต เพราะชีวิตส่วนใหญ่ของเขาในแอฟริกาจมไปกับความเคยชินของการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความโหดร้ายไร้ศีลธรรม แดนนี่มีชีวิตอยู่แอฟริกาแต่เขาไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่า เขาไม่เคยพบความงามของแผ่นดินตัวเอง เขามีชีวิตอยู่ในแต่ละวันเพื่อเอาตัวรอดให้มีวันถัดไปที่หวังว่าจะดีกว่าเดิม

แดนนี่ยังโชคดี ที่ชีวิตนี้ยังมีโอกาสที่ได้พบกับ ความงามที่แท้จริงของชีวิต ได้พบว่า ความสุขของชีวิตไม่ใช่แค่ขายสินค้าได้เงินเท่าไหร่ พรุ่งนี้จะมีโอกาสได้กำไรมากขึ้นหรือไม่ ฯลฯ

แต่ทุกวันนี้ หลายคนเป็นเช่นเดียวกับ ยูริ โอลอฟ ที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ความดีงามของตัวเองหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลายชีวิตยังคงอยู่อย่างใช้ความเคยชิน กอบโกยเอากำไรและหาประโยชน์ส่วนตัวมา และ เข้าใจว่า มันเป็นเรื่องปกติที่ใครๆก็ทำกัน ผู้คนเหล่านั้น มีเงินมีทองมหาศาล แต่ ไม่เคยค้นพบความงามในความหมายของการมีชีวิต

และการที่ทำอะไรคิดถึงแต่ตัวเอง คิดแต่ปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัว คิดแต่การครอบครองอำนาจ เช่นในหนัง หากไม่แก้ไขเสียตั้งแต่วันนี้ เซียร่า ลีโอน อาจถูกยกมาไว้ในบ้านเราหรือชาติใดก็ได้ทั้งสิ้น เมื่อถึงวันนั้น เราอาจต้องครวญถามกันเองเหมือนในหนังว่า

"ผมเข้าใจว่า ทำไมชาติอื่นถึงต้องการแผ่นดินเรา แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องมาฆ่ากันเอง"


สิ่งที่ชอบ

1.สองนักแสดงนำชาย ... ทั้งสองคนเล่นกันได้บ้าพลังกันดี ลีโอก็ประมาณหนึ่ง แต่ที่สนามพลังมีรัศมีกว้างไกลกว่าคือ ดิจิมอน ฮาวน์ซู ที่เหมือนกับมีพลังในตัวที่ส่งกระแสออกมาตลอดเวลา ฉากบ้าคลั่งตอนท้ายเขาเล่นได้สะใจและน่าสงสารมาก

2. เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่... สองหนุ่มคือความเข้มข้นบ้าพลังที่ประชันกันตลอดความยาวของหนังได้อย่างน่าชื่นชม แต่ เธอเองนั้นสามารถเด่นขึ้นมา ยามที่จับคู่กับลีโอ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆของสัมพันธภาพ แต่เธอทำให้เรารู้สึกได้ถึง การเชื่อมต่อและต่อติดระหว่างคนสองคน เป็นความโรแมนติกที่เธอสร้างขึ้นได้แม้เวลาจะมีอยู่น้อย และในความอ่อนหวานก็ยังมีความจริงจังให้เราเชื่อถื่อในความเป็น นักข่าวผู้มุ่งมั่นในการทำงาน เป็นผู้หญิงเก่งที่มีเสน่ห์และน่าหลงรักมาก

3.การเล่าเรื่อง ... การถ่ายทำที่สมจริงทั้งฉากสงคราม ฉากการทรมาน ฯลฯ และ การดำเนินเรื่องไปข้างหน้าอย่างมีจุดมุ่งหมายชัดเจน ในบทที่เขียนขึ้นมาผสมผสานเนื้อหาของชีวิตตัวละครที่มีมิติ กับ ปัญหาระดับชาติ ได้อย่างลงตัว และ การใส่นางเอกคนเดียวในเรื่องเพื่อเสริมความโรแมนติกเล็กๆก็ไม่ทำให้หนังเสียกระบวน รายละเอียดเล็กๆน้อยๆในทุกองค์ประกอบเหล่านี้ ทำให้หนังดำเนินเรื่องไปข้างหน้าอย่างชวนติดตามไม่รู้สึกว่าหนังน่าเบื่อเลย หรือ ชะงักนิ่งไปนาน

สรุป ... ชอบมากทีเดียว หนังให้กลิ่นอายใกล้เคียง The constant gardener หนังออสการ์ที่ผมดูสนุกที่สุดของปีที่ผ่านมา สองเรื่องนี้เล่าเรื่องที่มีประเด็นหนักหน่วงแต่ก็สามารถเล่าได้อย่างสนุกสนานและคงความหนักแน่นไว้

Blood diamond อาจจะเป็นสูตรสำเร็จรูปชนิดเดาได้ แต่ด้วยหนังมีบทที่ดี การแสดงที่ยอดเยี่ยม (เจ้าของบล้อกขอพิศวาส เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ เป็นพิเศษเพราะตรงสเป็คที่ซู้ด กับ หญิงเก่งมีเสน่ห์) การกำกับที่ดี และ งานสร้างที่น่าเชื่อถือ ทำให้ Blood diamond เป็นงานดราม่าที่ไม่น่าพลาดแม้แต่น้อย ความสนุกของหนังทำให้มองข้ามจุดบกพร่องเล็กๆน้อยๆไปได้อย่างไม่รู้ตัว


Blog ที่เกี่ยวข้องถูกพาดพิงถึง


Tsotsi , พื้นฐานจิตใจมนุษย์เป็น สีขาว หรือ สีดำ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=07-2006&date=07&group=1&blog=1

Lord of War , นิ้วที่ลั่นไกจากมือที่มองไม่เห็น
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=11-2005&date=09&group=1&blog=1


The Constant Gardener , ในความลับมีความจริง ในความจริงมีความรัก
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=03-2006&date=13&group=1&blog=1

Blog พิเศษ ฉบับส่งท้ายปี


5 หนังไม่ชอบ + 10 หนังชอบ ประจำปี 2549
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=12-2006&date=31&blog=1

10 "ฉาก"ประทับใจจาก"หนัง"ปีที่ผ่านมา
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=12-2006&date=29&blog=1

10 ตัวละครประทับใจ จากหนังปีที่ผ่านมา
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=1&month=12-2006&date=27&blog=1


ขอฝาก"หนังสือรัก"ไว้กับผู้อ่านด้วยเน้อ กับ พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



(วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปแว้ว)
เมื่อ "หนัง" ให้อะไรมากไปกว่า "ความบันเทิง"





ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 11 มกราคม 2550
Last Update : 11 มกราคม 2550 1:33:11 น. 30 comments
Counter : 8540 Pageviews.

 

Myspace Layouts

สวัสดีค่ะ

มาเยี่ยมเยียน ค่ะ ได้เวลา

เดินชมบ้านเพื่อน แล้วค่ะ

หลับฝันดีค่ะ





โดย: STAR ALONE (STAR ALONE ) วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:1:22:51 น.  

 



เข้ามาทักทายก่อนจะไปนอนค่ะ หนาวแล้วอย่าลืมห่มผ้าหนา ๆน่ะค่ะ ฝันดีค่ะ





โดย: icebridy วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:1:31:51 น.  

 
นอกจากระเบิดตอนปีใหม่จะทำให้คิดถึงเรื่องนี้แล้ว ระเบิดมันยังทำให้เราอดไปดูหนังเรื่องนี้อีก ทั้งๆ ที่อยากดูมากมาย...แต่แม่ไม่ให้ไปซะงั้น
เคืองจริงๆ...
ยังไม่ได้อ่านว่าคุณ จขบ. คิดยังไง แต่เดาเอาว่าคงไม่ผิดหวังกับเรื่องนี้แน่ๆ เลย.. ^^


โดย: SnowBelL IP: 58.136.73.222 วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:2:04:45 น.  

 
แวะมาอ่าน....

อรุณสวัสดิ์ยามเช้า


โดย: Link_conner55 (Link_conner55 ) วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:7:14:33 น.  

 
ชอบมากๆ ดูแล้วเศร้า หดหู่ ... คิดถึงบ้านเรา เข่นฆ่ากันเอง สุดท้ายคงเหลือแต่แผ่นดิน แต่ไร้ผู้คน '''' What is Left!!!!!! >>>


โดย: มดน้อย IP: 203.156.6.58 วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:8:08:04 น.  

 
พี่จีมอนเล่นบทพ่อที่ต้องการปกป้องลูก
ได้จับใจเหลือเกิน

=)


โดย: hunjang วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:9:08:43 น.  

 
ว่าจะไปดูวันเสาร์ที่จะถึงเนี่ยแหละครับ ... เลยยังไม่กล้าอ่านเนื้อเรื่องข้างบนเลย ลากยาวลงมาอ่านแค่ตรง 'สิ่งที่ชอบ' กับ สรุป แค่นั้น ... ไว้ได้ดูแล้วจะมาอ่านและเม้นต์เพิ่มนะคร้าบ

เพิ่มเติมนิด สำหรับดารานำแสดง ... เฮียจิมอน ฮาวซู ผมชอบเค้าตอนแสดงเรื่อง In America ... เจ้าลีโอ ตัวเหม็น นี่ก็ไม่ถึงกับตามดูเท่าไหร่ ... แต่ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ เนี่ย เป็นนางเอกขวัญใจคนนึงของผมเลยอ่ะครับ ตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว ... เสียดายยังไม่ได้ดูงานแสดงชิ้นที่ทำให้เธอกลับมาเป็นที่ต้องการตัวอีกครั้ง (Requiem for a dream) ... แต่แค่เห็นจาก A beautiful mind และ House of sand and fog ก็ซุ้ดย้อดด แล้วอ่ะครับ คนอารายเนาะ ทั้งสวย ทั้ง(แสดง)เก่ง


โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:11:11:50 น.  

 
ผมคงโดน จขบ. กับพี่บลูยอชท์ เขม่นเอาแหงมๆ ถ้าผมจะบอกตามที่ผมคิดว่า...
Jennifer Connelly ก็สวยแบบงั้นๆง่ะ - -*
55555

กลับมาที่เรื่องหนังดีกว่า เรื่องการแสดงนี่ไม่เถียงครับว่าทั้งสามคนเล่นได้ดีจริงๆ (แม้ว่าผมจะคอมเม้นท์ทิ้งไว้ข้างหน้าว่า ลีโอน่าจะได้รางวัลจาก The Departed มากกว่าเรื่องนี้) แต่ว่าผมตะขิดตะขวงใจกับเนื้อเรื่องของ Blood Diamond อยู่พอควรเลย เพราะมันดู "เน่าๆ" ไงไม่รู้ตอนท้าย - -

ปล. ผมชอบโปสเตอร์เวอร์ชั่นนี้ (ที่เสิร์ชเจอใน google) มากกว่าเวอร์ชั่นที่แปะตามโรงหนังมากมาย เพราะเวอร์ชั่นหลังนี่นอกจากไม่สวยแล้วยังดูรกๆอีกต่างหาก
ปล.2 Djimon น่าจะอ่านว่า "ฌิม่อน" นะครับ ตามภาษาฝรั่งเศส (อ่านว่า ดิจิม่อน นี่ชวนให้ผมนึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นแนวสัตว์ประหลาดแปลงร่างเรื่องนึงไปซะงั้น)


โดย: nanoguy IP: 203.113.35.12 วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:16:15:53 น.  

 
ยังไม่ได้ดูเลยครับผ๋ม มีแนวโน้มมากมายว่าจะได้ดูจากแผ่น เลยมาอ่านทั้งหมดก่อนเลยครับ


โดย: เข็มขัดสั้น วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:17:16:40 น.  

 
ชอบมากๆเลยค่ะ เราชอบมากกว่า The Constant gardener และชอบมากกว่าหนังทุกเรื่องที่ได้ดูปีที่แล้วเลยล่ะ

สังเกตตัวเองว่าหนังในดวงใจจะเป็นหนังที่พูดถึงปัญหาสังคมหรือไม่ก็ความขัดแย้งในจิตใจ ตั้งแต่
The Interpreter - การแก้แค้น การให้อภัย
Crash - การเหยียดผิว ความหวาดระแวง
21 grams - การแก้แค้น ความศรัทธา คุณค่าของชีวิต
The Constant gardener - การเอาเปรียบผู้ที่ด้อยกว่า
The Prestige - ความหลอกลวง ความลุ่มหลง
Blood diamond - สงครามกลางเมือง ผลประโยชน์

และก็มักจะชอบความรักที่อยู่ในหนังที่ความรักไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุด แบบเรื่องนี้ล่ะค่ะ


Leo เล่นดีจริงๆ ยิ่งเล่นยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆเนาะ


โดย: azzurrini วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:19:06:16 น.  

 
โอ้ ยังไม่ได้ดูเลยครับ

ทนไม่ไหวแล้ว ต้องไปดูให้ได้ซะแล้วสิ


โดย: Mr.Learning IP: 124.121.62.216 วันที่: 11 มกราคม 2550 เวลา:21:06:40 น.  

 
+ กรั่กๆ ไม่เขม่นหรอกคับน้องนาโนฯ เพราะว่าสายตาที่แต่ละคนมองความสวย ความน่ารัก หน้าตาดี ย่อมไม่เหมือนกัน ... ยกตัวอย่างเช่น มีดาราอยู่คนนึง ที่ฝีมือเธอก็ไม่ได้เก่งฉกาจอะไร และก็อาจไม่ได้สวยเท่าไหร่ในสายตาของใครหลายๆ คน แต่พี่กลับชอบดูเธอบนจอจริงๆ ไม่รู้ทำไม ดูเธอมีเสน่ห์ (+เอ็กซ์นิดๆ) อย่างประหลาดในสายตาของพี่ ... เธอคือ อแมนดา พีท (A lot like love, Identity, The whole nine+ten yards) อ่ะครับ
+ เอิ๊กๆๆ ... ก็ว่าคุ้นๆ ว่าคำว่า 'ดิจิมอน' คืออะไร (พอดีไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูน) ... แต่ตอนนี้นึกออกล่ะ


โดย: บลอทช์ยู IP: 202.69.140.233 วันที่: 12 มกราคม 2550 เวลา:10:10:44 น.  

 
เพิ่งดูมาวันนี้ ...เห็นด้วยนะครับว่าดี แต่มันยังไม่ถึงขั้นประทับใจสำหรับผม

หนังมันไม่สุดๆ รู้สึกว่ายังแห้งๆ ทั้งดรามาและแอ๊คชั่น พิกล ...คืออารมณ์มันได้ การแสดงมันให้ แต่หนังมันไปไม่ถึง เมื่อเทียบกับงานก่อนของผกก.ชวิค หนังซามูไรของเขาทำให้ผมรู้สึกอินได้มากกว่านะ


โดย: OncE UPoN'-'a MaN IP: 125.25.210.160 วันที่: 13 มกราคม 2550 เวลา:20:43:15 น.  

 
ชอบ เจนนิเฟอร์ ขอแนะนำ
once upon a time in america


โดย: Rsonthi IP: 202.6.107.60 วันที่: 15 มกราคม 2550 เวลา:14:07:56 น.  

 
เพิ่งไปดูมาเมื่อวานค่ะ...
... สงครามนี่โหดร้ายเนอะ


โดย: deca_herb (จับฉ่าย) IP: 202.28.181.10 วันที่: 16 มกราคม 2550 เวลา:0:13:46 น.  

 
เพิ่งดูมาเมื่อวานครับ พอดีลาไปเคลียร์ธุระ ตอนเย็นว่างอยู่แป๊บนึง เลยถือโอกาสแว้บเข้าโรง ไปเก็บเรื่องนี้ซะเลย ...
สำหรับความคล้ายคลึงกับ The constant gardener คงเป็นที่ฉากหลังที่เป็นแอฟริกาเหมือนกัน กับประเด็นหลักที่พูดถึงสิ่งผิดกฎหมาย (การทดลองยา VS การค้าเพชรเถื่อน) ที่คนขาวกระทำต่อคนดำเหมือนกัน ... แต่เรื่อง Blood diamond นี้ จะดูเป็นสูตรมากกว่า เวียนหัวน้อยกว่า เดินเรื่องแบบมีสไตล์น้อยกว่า ... ส่วนการแสดงทั้ง 3 คนจากเรื่องนี้ก็เล่นได้อยู่ในระดับมาตรฐานของตัวเอง ... สำหรับความรู้สึกผม (โดยส่วนตัว) หลังดูจบ เกี่ยวกับความรักระหว่างพระเอกกับนางเอก ... Daimond มันทำให้อินน้อยกว่า เพราะมันเหมือนนางเอกเกิดตกหลุมรักพระเอกโดยปุบปับ แต่ Gardener เนี่ยมันเหมือนค่อยๆ ปูพื้นแบบค่อยเป็นค่อยไป จากตอนเริ่มต้นที่เพียงแค่เคมีต้องกัน จนกระทั่งพระเอกเริ่มศึกษาและเข้าใจตัวตนของนางเอกมากขึ้นทุกทีๆ (หลังจากที่เธอตายไปแล้ว) จนไปพีคสุดที่ฉากสุดท้ายของเรื่องพอดี ... ก็เลยทำให้ซึ้งมากกว่า ...

สรุปแล้วเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นหนังแนว Businees / Drama / Action / Thriller ที่ทำได้ดีและดูสนุกใช้ได้เรื่องนึง ... แต่ผมอินกับ The constant gardener มากกว่า ... โดยเฉพาะในส่วนของความโรแมนติคครับ


โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 วันที่: 16 มกราคม 2550 เวลา:10:36:18 น.  

 
ไปดูมาแล้ว ชอบค่ะ หนังตัวอย่างปีนี้ทำให้ไม่อยากดูหนังไปหลายเรื่อง ซึ่งผิดกับเนื้อในที่มันเป็นจริงๆ


โดย: ท่าเรือรามา IP: 202.44.72.3 วันที่: 16 มกราคม 2550 เวลา:16:27:30 น.  

 
มีคนเขียนถึง Blood Diamond กันเยอะทีเดียว ส่วนใหญ่จะชื่นชอบกันทั้งนั้น ถึงขนาดบางกระทู้ในพันทิพยกขึ้นมาว่าควรจะพาเด็กไปดูเรื่องนี้มากกว่าตำนานสมเด็จพระนเรศวร เพราะหนังเรื่องนี้มีคุณค่าต่อมนุษยชาติมากกว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เขียนเข้าข้างตัวเอง (แถมยังทำดูไม่หนุกอีกตะหาก)...ฯลฯ จนกลายเป็นประเด็นร้อนให้ถกกันไฟแลบแปล๊บๆ กลายเป็นกระทู้ยาวยืดแตกประเด็นกันวุ่นวาย (เพราะ จขกท ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ..) เอาเหอะ..หลังจากได้ฟังกิติศัพท์จนรู้สึกว่าไม่ดูไม่ได้แล้ว...ก็เลยได้มีโอกาสไปเบิกโรงสยามพาวลัยเป็นครั้งแรก

อือม..หรูไม่เบาทีเดียว เก้าอี้ใหญ่นั่งสบาย ตกแต่งได้ล้ำไม่เลว เสียดายไฟสปอตที่ส่องโลโก้พารากอนซีเนเพล็กซ์ ดั๊น..แหว่งไปหน่อย เล่นเอาหมดอารมณ์ไปเล็กน้อย.. จะมาทำตัวเป็น Perfectionist อยู่คนเดียวก็กระไรนิ.. นอกจากความใหญ่โตมโหระทึกและการตกแต่งอลังการ (รวมไปถึงความแพง) แล้ว ก็รู้สึกไม่มีอะไรใหม่.. อ้อ จอใหญ่กระหน่ำเต็มตาดีคร้าบ..ระบบเสียงก็กริ๊งกร๊างรอบตัวได้อารมณ์ร่วมดีทีเดียว

ขออำภัย.. พล่ามเรื่องโรงจนเกือบลืมน้องลีโอ หลังจากดู Blood Diamond จบด้วยอารมณ์ครึ่งๆ กลางๆ เล็กน้อย ก็ให้ตะหงิดๆ กับเพลงปิดท้ายไตเติลที่เป็นเพลงแนวฮิบฮอบ แร็บกันสนั่น นึกขำว่า ช่างทำลายอารมณ์หนังได้ดีแท้ๆ... เอาน่า หนังฮอลลีวู้ดแท้ มันก็ต้อง Commercial จ๋าอย่างนี้แหละ มองในแง่ดี อย่างน้อย ผู้กำกับก็มีความสามารถพอที่จะผสมผเสสไตล์สมจริงของแนวการถ่ายทำกึ่งสารคดี กับเรื่องฮีโร่แนวฮอลลีวู้ดได้ดูกลมกลืนไม่เลวเลย ต้องยกความดีให้ทีมถ่ายทำที่มือถึงมากๆ ตั้งแต่โลเคชั่น การเซ็ท(ฉาก)สถานที่ที่ให้ความรู้สึกร่วมได้เยี่ยม โดยเฉพาะตอนกบฏบุกเข้ามาลุยกลางเมือง ฉาก Physical Effect (จรวด..ระเบิด..ฯลฯ)ทำได้สมกับเป็นต้นแบบ มุมกล้อง และการตัดต่อ ให้ความรู้สึกราวกับกำลังวิ่งหัวซุกหัวซุนตามพ่อลีโอกับตานิโกรตัวดำเมี่ยมอย่างเหงื่อกระเซ็นเลยทีเดียวเจียว

ความเห็นส่วนใหญ่ในด้านการแสดง ออกจะเห็นด้วยกับคุณ จขบ ทุกคนทำหน้าที่ได้ดีสมกับเป็นมืออาชีพ หากแต่การ Cast ตัวดีคาปรีโอมาเป็นทหารรับจ้างที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวแอฟริกันมานั้น ดูมันตะหงิดๆ อยู่ บุคลิกของน้องลีโอ ถึงจะเม็คอัพช่วยพร้อมหนวดเท่แบบ Goatee ก็ไม่ทำให้บุคลิกหนุ่มสำอางมันกลายพันธุ์ไปได้สักที (อคติรึเปล่าน้า...) ดูยังไงก็ไม่สามารถเป็นทหารมือสังหารรับจ้างรบ ซึ่งต้องสำบุกสำบัน เป็นนักฆ่ามืออาชีพ โดยเฉพาะในสงครามกลางเมืองแอฟริกาซึ่งเถื่อนเสียยิ่งกว่านรกบนดิน

ความรู้สึกของความเถื่อนมันเหมือนถูกเติมสีสันจนล้น ฉากนักรบเด็กที่ถูกมอมยา สอนให้ยิงปืน ฆ่าคนเป็นผักปลา และ บลา บลา...ทำได้เว่อร์สุดๆ (ไม่แน่..ของจริง อาจยิ่งกว่านั้น) ทำให้ความเป็นธรรมชาติของเนื้อหนังนั้น The Constant Gardener ดูจะทำได้สมจริงและเนียนกว่า ประเด็นความดีของเรื่องดูจะคล้ายๆ กัน คือ ความกล้าในการเอาเรื่องความเลวของคนขาวที่กระทำซ้ำซ้อนกับประเทศโลกที่สามมาตีแผ่อย่างใจกว้าง ถึงแม้จะขอแฝงความเป็นฮีโร่ของพระเอกนางเอก (คนขาว) ไว้สักหน่อยก็ตามที แต่พอโยงมาถึงฉากสุดท้ายที่ตานิโกรตัวเอกต้องมาแสดงสุนทรพจน์อะไรไม่ทราบ แล้วคนขาวพากันปลื้มปรบมือให้กระหน่ำ นึกไม่ออกว่าจะรู้สึกอย่างไรดี ไอ้เราดันรู้สึกไปว่าตานี่กลายเป็นตุ๊กตาบาร์บี้อีกตัวนึงที่ให้คนขาวมาเชิดเล่นแก้กลุ้ม (งั้นเหรอ) ดูเฟคๆ พิกลกับฉาก Emotional ฉากนี้ แถมเอาเพชรมาขายคนขาวได้กะตังค์ไปใช้อยู่สบายไปตลอดชีวิต ขณะที่คนแอฟริกันร่วมชาติอีกเป็นล้านยังวิ่งหัวซุกหัวซุนหนีลูกปืนอยู่ในทวีปแอฟริกา คนเขียนบทคงถูกสั่งให้รีบสรุปเรื่องราว (เพราะหนังมันชักจะยาวเกินไปแล้วนา ) รายละเอียดก็เลยละไว้ในฐานที่เข้าใจ..(หรือเปล่า?)

ฉากแอคชั่นที่ทำได้อย่างถึงลูกถึงคน ดูเข้ากันกับประเด็นบทที่แรงและช่วยเติมสีสันได้เป็นอย่างดี อันนี้ต้องขอชม จะรู้สึกแหม่งๆ อยู่บ้างที่ฉากในป่า พระเอกลีโอพาตาดำวิ่งหนีทหารผู้ร้ายได้พ้นทุกที ไม่รู้เป็นไร เก่งชะมัดยาด นี่คือผลของการลำดับเหตุการณ์ที่ดี มุมกล้องที่สับสน และการตัดต่ออย่างมืออาชีพ ทำให้คนดูลืมๆ เวลาจริง และเชื่อในเวลาสังเคราะห์ของหนังได้โดยไม่รู้สึกผิดแปลกมากนัก ถึงแม้ตาลีโอจะพล่ามก่อนตายกะนางเอกนานไปนิดก็เหอะ (แหม มันต้องเค้นอารมณ์กันสุดๆ จ้า) หนังไทยสู้ไม่ได้ตรงนี้แหละ ถ้ามีรายการพล่ามก่อนตายเมื่อไร คนดูหัวเราะกันทุกทีสิน่า...เหอๆๆ

สรุปได้ว่า สมควรพาเด็กๆไปดูตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกันเถิด..(555555) ถึงหนังยังไม่เข้าก็เหอะ ก็เดาได้ว่า ยังไงคงเป็นประโยชน์ในด้านประวัติศาสตร์ชาติสยาม และปลอดภัยกว่าเป็นแน่ เพราะ Blood Diamond นั้นจำลองนรกบนดินมาให้ชม พร้อมกับฉากทำลายสุนทรียภาพอันงดงามของเด็กๆ เกลื่อนไปหมด บ้านเราไม่มีการจัดเรท ขอความกรุณาผู้ปกครองอย่าพาเด็กๆ ไปดูเลย เด็กยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอที่จะวิเคราะห์แยกแยะ ฉากที่ทำร้ายจิตใจเด็กๆ มีมากมาย จะขวัญเสียติดตาไปซะเปล่าๆ (หรือไม่ก็ชินชา?? หันมาถามพ่อแม่ว่า แล้วหนูจะหัดยิงปืนเหมือนในหนังได้เมื่อไรคะ?? อะจ๊ากกก...)

เรื่องที่เคยดูแล้วสยดสยองพอๆ กัน(หรือยิ่งกว่า) นั่นคือ Passion of the Christ เฮ้อ...ช่างมหัศจรรย์ในความโหดร้ายของมนุษย์ที่กระทำต่อมนุษยชาติด้วยกันได้ขนาดนี้.....

อย่างไรก็ดี..ฉากระเบิดใน กทม.เมื่อวันส่งท้ายปีเก่า...กินขาดทุกฉากในหนังเรื่องนี้...มันมาถึงเราเร็ว..เกินคาด...


โดย: Bkkbear (Bkkbear ) วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:2:14:12 น.  

 
เผอิญได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้เมื่อวันที่ 1 มกราคม

อยากที่คุณเจ้าของบท comment ไป บทหนังดีครับ

Leo มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากจริงๆ แต่การแสดงทั้ง Blood Diamond และ Departed ผมรู้สึกได้ถึงความเหมือนทางการแสดงจุดหนึ่งคือ ความเถื่อน คล้ายๆ กัน (แต่ก็สมบทบาทดี)

Jennifer สาวในฝันของผม แสดงได้ดีในระดับมาตรฐานเช่นเคย โดยเฉพาะตอนท้าย บีบคั้นอารมณ์ได้ดีจริงๆ

Djimon โดยส่วนตัวเคยดูผมไม่ค่อยได้ติดตามผลงานเท่าไร เคยดูมาจากหนังเรื่อง Amistad ก็ใส่ได้อารมณ์ได้ประมาณเดียวกัน

เรื่องความยาวของหนังไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเท่าไร เพราะชอบดูแนวดราม่าอยู่แล้ว

สรุป หนังดีน่าไปดู คุ้มค่าตั๋วครับ


โดย: In$atiab|e‘ IP: 125.24.220.70 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:12:42:46 น.  

 
เพิ่งมีโอกาสได้ไปดูค่ะ
เป็นหนังที่ดูแล้ว depress ทั้งเรื่อง
จนออกมาจากโรงแล้วก็ยังอึ้งๆอยู่

แต่หนังดีจริงๆ ชอบมาก ..

เจนนิเฟอร์ น่ารัก ^^


โดย: โอมาโทริ IP: 58.9.137.79 วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:14:55:25 น.  

 
กว่าจะว่างได้ไปดู ก็เกือบหลุดจากโรงแน่ะค่ะ
จริง ๆ อาทิตย์ที่แล้วจะไปดูที่แกรนด์อีจีวีเห็นยังมีรอบตรงกับที่ว่าง แต่ดันเป็นโรงวีไอพี ที่ละ 500 ไปซะงั้น

เลยกลับมาตายรังที่ลิโด้เหมือนเดิม


โดย: แก้มน้อยคอยรัก IP: 61.90.144.101 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:9:43:36 น.  

 
หนังเรื่องนี้เพิ่งเข้าที่สวีเดนค่ะ

พอดูจบก็รีบคลิกเข้ามาอ่านในบล็อคคุณเลย


หนังสนุกมาก ชอบมากค่ะ


โดย: ชอบมากค่ะ IP: 85.235.31.204 วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:7:34:07 น.  

 
ชอบหนังเรื่องนี้ค่ะ แต่ถ้าเทียบกับ Constant Gardener ปิ๊งเรื่องนั้นมากกว่า แต่ถ้าคิดแยก ๆ จะว่าไปก็คล้ายๆ Killing Field เหมือนกันนะคะ มีคนขาวและชาวพื้นเมือง มีฉากหลังอันโหดร้ายเหมือนกันเลย

ประเทศในอาฟริกา ทุกวันนี้ก็ยังมีปัญหากันอยู่ ทราบเลา ๆ มาแค่นั้นเพราะมีญาติอยู่อาฟริกา เห็นว่าคนพื้นเมืองฆ่าคนรวยผิวขาว ดังนั้นพอดูเรื่องนี้ก็เลยไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ในเรื่องนี้อดีตขนาดไหน มีใครทราบไหมคะ


โดย: Lily of the Valley IP: 124.121.11.252 วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:2:06:58 น.  

 
เพิ่งได้ดูจากแผ่น ดูจบแล้วก็ชอบนะครับ แม้หนังจะไม่ได้มีอะไรหวือหวามากนัก แต่การแสดงของทุกคนก็ยอดเยี่ยมจริงๆ โปรดักชั่นก็เนียนตา ดูแล้วไม่อยากให้โลกนี้มีสงครามอีกเลย


โดย: AronSun IP: 124.120.238.83 วันที่: 10 พฤษภาคม 2550 เวลา:3:06:53 น.  

 
ชอบตาดิจิม่อน เหมือนกันค่ะ
แสดงเก่งมั่กๆ
ตอนตลกๆ ก็ทำได้คลายเครียดดี
อย่างตอนนางเอกขอถ่ายรูปพวกทหารพื้นเมือง
กับตอนตาดำ บอกว่าผมเป็นช่างภาพ


โดย: and then IP: 202.5.87.153 วันที่: 26 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:20:17 น.  

 
10/10 คะแนน

ไม่มีคำบรรยายสำหรับหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ เป็นหนังที่ให้ข้อคิดหลายอย่างเหลือเกิน ทั้งมิตรภาพ ความโลภ การสะท้อนสังคม ความรักที่พ่อแม่มีให้กับลูก ฯลฯ บอกได้คำเดียวครับว่า ดูรอบเดียวไม่เพียงพอ


โดย: นักวิจารณ์สมัครเล่น IP: 125.24.181.222 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:43:45 น.  

 
ดูแล้วครบ อิ่ม...


โดย: บะหมี่หยกหกก้อน IP: 58.9.62.118 วันที่: 15 มีนาคม 2552 เวลา:17:31:21 น.  

 
เพิ่งได้มีโอกาสดูเรื่องนี้
เมื่อวานดู The Departed ไป (เชยจริง ๆ ตรู)
วันนี้ดู Blood Diamond โชคดี จริง ๆ ที่ดู The Departed ก่อน เอิ๊ก ๆ ไม่งั้นมาดู The Departed ทีหลัง คงไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่แน่ ๆ

ปกติชอบหนังยาว ๆ บทหนัก ๆ แต่ไม่ซับซ้อนจนเกินไปอยู่แล้ว เรื่องนี้ตอบโจทย์ผมได้ดี บวกกับฉาก action ที่สมจริง โดยเฉพาะ ฉากสงครามกลางเมือง ที่ ฝ่ายกบฎยิง RPG ใส่หน้าต่างที่มีประกายไฟจากปืนออกมา อุแหม่ได้ใจ จริง ๆ

ภาพสุดท้ายของ Leo ก่อนหมดลม สวยมากไม่คิดว่าจะได้เห็นในหนังเรื่องนี้

T I A - This is Africa.


โดย: BiteTheDust IP: 61.7.188.168 วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:3:21:38 น.  

 
ลีโดเล่นได้ดีมากครับ
ผมไม่เคยชอบลีโอเลย เพราะแสดงไม่เก่ง ดูขัดตามาก
แต่กับเรื่องนี้เขาเล่นได้ดีจนแปลกใจ
ไม่นึกว่าจะทำได้
ประทับใจในบทบาทนี้มากครับ


โดย: ธีรยุทธ IP: 118.174.43.90 วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:14:30:42 น.  

 
เพิ่งได้ดูหนังเรื่องนี้ค่ะ
เป็นเรื่องราวของคนในทวีปแอฟริกาอีกเรื่องที่ดูจบแล้วนั่งคิดอะไรต่ออยู่นาน
เราเคยอ่านนิยายของ Sydney Sheldon เป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้าเพชรที่แอฟริกาเหมือนกัน หนังเรื่องนี้ช่วยตอกย้ำภาพว่าคนผิวดำต้องจบชีวิตลงอย่างกับใบไม้ร่วง ครอบครัวต้องแตกแยก เพียงเพราะเพชรที่ว่านี้
ทรัพยากรที่มีค่าหลายอย่างที่ค้นพบในทวีปนี้ แล้วคนนอกทวีปเข้าไปตักตวงผลประโยชน์ ใช้เงินล้างกฎหมาย คือต้นเหตุให้เจ้าของแผ่นดินต้องสู้รบและฆ่ากันเอง ...เข้าทำนอง "คนทำไม่ได้ใช้ ส่วนคนใช้ไม่ได้ทำ" จริงๆ
คิดแล้วก็น่าเศร้านะคะ เพราะในขณะที่ผู้หญิงซักคนกำลังน้ำตาไหลเพราะคนรักขอแต่งงานด้วยแหวนเพชร อีกซีกโลกหนึ่งก็มีคนที่น้ำตาไหลเพราะต้องฆ่ากันเพื่อแย่งชิงเพชรไปประดับหัวแหวนหรือยอดมงกุฎคนอื่น

แหะๆ มาโหมดเครียดเลยชั้น กำลังอินค่ะ


โดย: RitaChiang IP: 124.121.229.108 วันที่: 12 มกราคม 2554 เวลา:11:49:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
11 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.