ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว
My girl and I , รักครั้งแรกจะเปลี่ยนเราไปตลอดกาล
ข้อมูล: หนังมีความยาว 95 นาที / หนังดัดแปลงมาจากนิยายชื่อ อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก(Sekai no Chushin de, Ai o Sakebu) ของ เคียวอิจิ คาตายามะ เคยถูกดัดแปลงเป็นหนังสือการ์ตูน และ สร้างเป็นหนังญี่ปุ่นและซี่รี่ส์ แล้วในชื่อ Crying out love in the center of the world เมื่อตอนเป็นหนังสือขายดีมากเพราะขายได้มากกว่า 3.2 ล้านเล่มในญี่ปุ่น และเมื่อเป็นหนังก็ทำเงินเป็นอันดับต้นๆเช่นกัน / เรื่องนี้มีฉายเป็นเสียงต้นฉบับที่เดียวที่โรงสยาม
.My girl and I และ Crying out love in the center of the world มีที่มาจากจุดเดียวกันคือหนังสือต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นที่มีการแปลเป็นไทยแล้วว่า อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก(Sekai no Chushin de, Ai o Sakebu ) ภายใต้เนื้อเรื่องที่เล่าสั้นๆได้ไม่เกินห้าบรรทัดว่า
Crying out love in the center of the world เรื่องตัดสลับไปมาระหว่าง รักแรกในอดีต(วัยเด็ก) กับ ความรักในปัจจุบัน(วัยผู้ใหญ่) ซากุหรือพระเอกจากในหนังสือเติบโตขึ้นและกำลังจะลงหลักปักฐานกับคนรักคนใหม่ แต่ ถูกความรักในอดีตที่ค้างคาใจกลับมาฉุดรั้งชีวิตไว้ เพราะมีบางสิ่งที่ค้างคาในความรู้สึก เขาจึงจำเป็นต้องเดินทางกลับไปเพื่อปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการนั้น
My girl and I ... เล่าเรื่องในช่วงวัยเด็กเพียงอย่างเดียว ตัวละครจากซากุกับอากิใน Crying out love in the center of the world เปลี่ยนมาเป็น ซูโฮ(ชาแตฮุน) และ ซูอึน(ซองเฮเคียว) และ เนื้อหาเดินหน้าไปให้ความสำคัญกับความรักที่เป็น รักครั้งแรก
...สำหรับผม จากต้นฉบับที่เป็นหนังสือของ อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก(Sekai no Chushin de, Ai o Sakebu) เมื่อนำมเปรียบเทียบกับสื่ออื่นๆที่ดัดแปลงออกมาทั้งหนังใหญ่และการ์ตูน (ผมเคยดูซี่รี่ส์ แค่ตอนแรกตอนเดียว แต่เห็นหลายคนที่ได้ดูบอกว่าซึ้งกว่าตัวหนัง) พบว่าเวอร์ชั่นหนังสือมีความซาบซึ้งน้อยที่สุด แต่หากได้ดูหนังใหญ่ฉบับญี่ปุ่นแล้วมาอ่านหนังสือ ก็จะพบว่า ทั้งสองส่วนสามารถเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนเวอร์ชั่นการ์ตูนนั้นก็แทบจะถอดมาจากหนังสือเกือบทุกกระเบียดนิ้ว
Crying out love in the center of the world หรือ เวอร์ชั่นหนังใหญ่ภาคญี่ปุ่น เป็นการดัดแปลงบทประพันธ์ดั้งเดิมได้อย่างยอดเยี่ยม ตัวบทมีการผูกโยงอย่างฉลาดเฉลียว การเติมตัวละคร เติมบท และ ตัดทอน ต้นฉบับ เป็นการตัดต่อพันธุกรรมที่น่าชื่นชม เพราะทำให้หนังสนุกกว่าหนังสือมากมาย การแสดงของนักแสดงนำทั้งสามคนทำหน้าที่ตัวเองได้ดี และที่ยอดเยี่ยมคือ นักแสดงนำในวัยเด็ก โดยเฉพาะ อากิ ตอนเด็กก็มีเสน่ห์โดดเด่นในหนังเป็นอย่างมาก
.....ดังนั้นการที่ผมได้ผ่านตา เนื้อเรื่องนี้มาแล้วสามรอบ (หนังสือ + การ์ตูน + หนังญี่ปุ่น) เมือผมรู้ว่า My girl and I ก็เป็นการดัดแปลงมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน ก็ทำให้ผมเกรงว่า My girl and I จะเป็นการเดินซ้ำย่ำรอยเดิมให้น่าเบื่อ แต่ด้วยที่ตัวเองชอบหนังแนวนี้อยู่แล้ว จึงตัดสินใจลองเสี่ยงไปดู เรื่องราวความรักของเด็กหนุ่มสาวคู่นี้เป็นครั้งที่ 4 และ อาจเป็นเพราะความคาดหวังที่ไม่สูงนัก การนั่งดู My girl and I จึงไม่ทำให้ผมต้องนั่งเบื่ออย่างที่กลัวไว้ เพราะ My girl and I เองแม้จะมีโครงเรื่องเดียวกับต้นฉบับ แต่ การดัดแปลงครั้งนี้ ก็ยังสามารถฉีกตัวเองให้ต่างไปจากหนังสือและหนังญี่ปุ่นได้
Crying out love in the center of the world + หนังสือและการ์ตูน "อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก" ...พูดถึง ความรู้สึกของคนที่สูญเสียคนรักไป และ ยังไม่สามารถจะมีชีวิตต่อไปอย่างปกติสามัญ สองเวอร์ชั่นนี้ต่างกันตรงที่ว่า ในเวอร์ชั่นหนังสือ จบลงที่ซากุในวัยเด็ก แต่ในหนังใหญ่ตัวละครซากุยังคงแบกความรู้สึกนี้ไว้จนโตเป็นผู้ใหญ่ และ มันก็กลับมาฟุ้งขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขากำลังจะเริ่มต้นจริงจังกับความรักครั้งใหม่ มันกระตุ้นให้เขาที่แอบเก็บความเจ็บปวดจากแผลกลัดหนองในใจอยู่นานให้ได้รับการรักษา และ ได้รับการปลดปล่อย เพื่อที่จะมีชีวิตในปัจจุบันและวันข้างหน้าอย่างแท้จริง
My girl and I ... ไม่ได้เน้นประเด็นเหมือนสองฉบับข้างต้น เพราะประเด็นความรู้สึกที่ค้างคาใจมีโผล่ให้เห็นแค่เล็กน้อย หนังมุ่งเน้นไปให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และค้นพบความรักครั้งแรกของตัวละครมากกว่า และ ประเด็นที่ว่า บางครั้งความรักกับพรหมลิขิตก็ไม่ได้ถูกขีดเส้นมาอยู่ร่วมกัน ตัวละครหลักๆยังคงยึดตามเวอร์ชั่นในหนังสือ(ต่างจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่มีการเพิ่มตัวริทซึโกะเข้ามา) และ มีการเปลี่ยนแปลงจาก เทปคาสเสตต์ เป็น เพจเจอร์ ซึ่งหนังทั้งสองเวอร์ชั่นก็ใช้ประโยชน์จากสื่อกลางนี้ได้คุ้มค่าทีเดียว
เทปคาสเสตต์ ใน Crying out love in the center of the world เป็นเหมือนสื่อกลางของคนสองคนที่ใช้บอกความในใจต่อกัน และ เทปคาสเสตต์ม้วนสุดท้ายที่ยังไม่ได้เปิดฟัง มันก็ยังเป็นตัวละครสำคัญที่ซ่อนความลับสำคัญไว้
เพจเจอร์ ใน My girl and I สอดคล้องกับคำถามของหนังที่ว่า เมื่อคนเราตายจากหรือห่างหายจากกันไป จำเป็นหรือไม่ที่ความรักต้องสิ้นสุดลงตามไปด้วย เพราะในเรื่อง ตัวเพจเจอร์นั้นจมน้ำไปตั้งแต่ตอนต้นไปนอนอยู่ที่ก้นทะเล แต่ ทั้งซูโฮและซูฮึน ก็ยังคงสามารถที่จะสื่อสารต่อกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวเครื่อง ต่อให้มันจะจมไปอีกนานเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ทำให้คนสองคนหยุดการสื่อสารและแสดงความรักต่อกัน เช่นเดียวกับ ความรักที่ไม่จำเป็นต้องตายจากไปตามร่างกายที่สูญสลายไป
นักแสดงทั้งสองอาจไม่มีข้อให้ตำหนิในแง่ของทักษะการแสดงและการเข้าคู่กัน แต่จุดอ่อนของทั้งสองคนคือ ทั้งชาแตฮุน และ ซองเฮเคียว ดูไม่น่าเชื่อถือเลยในบทนักเรียนมัธยม ทั้งคู่ดูขัดตาตั้งแต่ผมได้ดูหนังตัวอย่างจนมาดูฉบับเต็มก็ยังรู้สึกว่า ทั้งคู่โตเกินไปแล้ว จุดอ่อนจุดนี้มีผลพอสมควรเพราะหลายตอนที่พระ-นางทำน่ารักมันไม่ชวนให้รู้สึกเชื่อตาม (เช่น ฉากพระเอกทำทะเล้นตอนไปเยี่ยมนางเอก) หรือ ความรู้สึกที่ควรจะเป็นอารมณ์ของเด็กมัธยมก็ทำได้ไม่น่าเชื่อถือ อย่างฉากที่ทั้งคู่ไปเที่ยวเกาะด้วยกันสองคน หากได้ดูทั้งสองเวอร์ชั่นจะพบว่าใน Crying out love in the center of the world ท่าทีขวยอายของทั้งสองคนเมื่อได้อยู่บนเกาะสองต่อสอง ท่าทีมีความสุขอย่างขัดเขิน ดูสมจริงกว่า ในขณะที่ใน My girl and I ดูเหมือนผู้ใหญ่สองคนไปเที่ยวกันมากกว่า
หนังเล่าเรื่องในส่วนความรักของซูโฮและซูอึน ได้ยังไม่กินใจนัก ซึ่งน่าแปลกใจว่า ทั้งที่หนังให้น้ำหนักกับรักในวัยเด็กเต็มที่เพียงอย่างเดียว แต่ความรักในวัยเด็กของเรื่องนี้ กลับไม่สามารถสู้ ความรักในวัยเด็กของซากุและอากิใน Crying out love in the center of the world ที่กินเวลาน้อยกว่าด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะการเล่าเรื่องของผู้กำกับที่ไม่สามารถทำให้ช่วงวัยเด็กนี้ดูเป็นช่วงเวลาแห่งรักแท้ที่ยากจะลืมเลือนของตัวละครสองคน
My girl and I มีองค์ประกอบที่พอฟัดพอเหวี่ยงแต่เมื่อทุกอย่างมาปรากฎรวมกันบนจอแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาทำได้ไม่น่าจดจำเท่า Crying out love in the center of the world ยกตัวอย่าง ช่วงเวลาบนเกาะของทั้งสองเรื่อง ใน My girl and I แม้จะมีฉากฝนหยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ทำได้แค่โชว์เทคนิค ผลลัพธ์ทางอารมณ์เกิดขึ้นน้อยและดูธรรมดาเกินไป ตรงข้ามกับ Crying out love in the center of the world ที่สร้างฉากประทับใจให้คนดูจดจำช่วงเวลาบนเกาะและโรงแรมร้างของคนสองคนได้เป็นอย่างดี ก่อนจะพาคนดูไปพบกับจุดหักเหเมื่อรู้ว่านางเอกเป็นลูคีเมียซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาในฉากนี้ก็ทำได้ถึงพีคมากกว่าเพราะการปูเรื่องมาได้ดีกว่า
กระนั้นก็ดี หาใช่ว่า My girl and I จะไม่ซาบซึ้งประทับใจ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคนดูจะอินกับธีมของหนังเรื่องไหน เรื่องไหนที่ตรงกับพื้นหลังคนดูมากกว่า เพราะสำหรับตัวผมเองยกให้ Crying out love in the center of the world เหนือกว่าในแทบทุกจะทุกด้าน มีหลายๆฉากที่สวยงามและยังอยู่ในความทรงจำ แต่กลับไม่มีฉากไหนเลยที่จี๊ดมากๆถึงข้างในชนิดเรียกน้ำตา ในขณะที่ My girl and I มีหลายส่วนที่ด้อยกว่า แต่ก็มีบางฉากที่มันจุกอกตื้นตันเรียกน้ำตาได้เลยทีเดียว (หนึ่งในนั้นคือฉากที่คุณปู่จัดงานศพให้คนรักตอนท้าย)
สรุป ... เวอร์ชั่นญี่ปุ่นดีกว่าแทบจะทุกด้าน แต่หากไม่เปรียบเทียบ เวอร์ชั่นนี้ก็จัดเป็นหนังรักที่ดีในเกณฑ์มาตรฐาน แถมยังมีจุดที่น่าชื่นชมตรงที่มันเป็นการรีเมคที่ไม่ซ้ำซาก การดู My girl and I ไม่ทำให้รู้สึกเบื่อ แถมยังตลกได้มากกว่า และมีหลายฉากที่ความซึ้งของมันก็จี๊ดอยู่พอสมควร ผมเองชอบเวอร์ชั่นญี่ปุ่นมากกว่าแต่เวอร์ชั่นนี้เรียกน้ำตาได้มากกว่า
ดูมาแล้วคร้าบ เพราะผมเป็นแฟนตัวยงของ Crying out of love in the center of the world. เพราะมันคล้ายกับชีวิตจริงของผม ที่ยังตัดใจไม่ค่อยได้ครับ แต่หลังจากดู My girl & I จบยอมรับว่าไม่ค่อยซาบซึ้งกับ 2 พระนางเท่าไร แต่ซาบซึ้งใจสุดๆ กับคุณปู่มากกว่า และผมก็ชอบ คนอ้วนทั้ง 3 คน ในเรื่องนี้มากๆ เพราะทำให้ผมฮาได้ตลอด กลับกลายเป็นว่ากว่าจะปรับเป็นอารมณ์ซึ้งได้ก็นานเลยล่ะครับ ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆ ครับ