กันยายน 2566
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
17 กันยายน 2566

:: วาระธรรม 6 ::



:: วาระธรรม 6 ::








13
เสี้ยวแสงที่วาบผ่าน
ทำลายความทุกข์ร้าวรานที่เคยมี
บัดนี้
ตัวตนของฉัน
เล็กลง .... เล็กลง .... เล็กลง

เมื่อตัวตนคล้ายดังฝุ่นผง
ทุกข์จึงมีขนาดเล็กลง
เมื่อตัวตนหายไป
ทุกข์จะเข้ามาจับสิ่งใดได้อีก

ว่างเปล่า จึงโล่ง
โล่งจึงหมดความรก
สะอาด ไร้สิ่งสกปรก
ทุกข์ใดใด มิอาจแผ้วพาน
นี่คือ สวภาวะแห่งนิรวาณ

วางจนว่าง --- ตลอดกาล








14

: สอบอารมณ์ :


สอบอารมณ์ให้ผ่าน
คือ รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น

รู้โกรธ รู้เกลียด
รู้โลภ รู้หลง
รู้ปลด รู้ปลง

ถ้ายังไม่ปลง
แปลว่ายังไม่รู้จริง

รู้แล้วต้องวางได้
วางไม่ได้ แปลว่า ยังไม่รู้
ไม่รู้ แปลว่า ยังไม่ผ่าน
ไม่ผ่าน แปลว่า ยังทุกข์
ทุกข์ เพราะ ไม่เห็นทุกข์
ไม่เห็นทุกข์ จึงไม่เห็นธรรม
เห็นธรรม จึงผ่านทุกข์
ผ่านทุกข์ จึงสอบผ่านอารมณ์























 



Create Date : 17 กันยายน 2566
Last Update : 17 กันยายน 2566 6:00:35 น. 83 comments
Counter : 2031 Pageviews.  

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร, คุณtanjira, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณLittleMissLuna, คุณtuk-tuk@korat, คุณThe Kop Civil, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณmariabamboo, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณnewyorknurse


 
หวัดดียามเช้าคุณก๋า แวะทักกันก่อนไปใส่บาตร
ต้องสืบต่ออายุพระศาสนาหน่อย พระฉันทุกวัน
ประเดี๋ยวจะเม้นท์ไม่ทันคุณธัญจ้า 555





โดย: หอมกร วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:6:28:37 น.  

 
ดูแล้ว คงจะเป็นการ ปล่อยวาง วิธีหนึ่งนะครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:6:44:44 น.  

 
สวัสดียามเช้าค่ะก๋า

สอบอารมณ์นี่รู้นะคะ
แต่ก็วางไม่ค่อยลงค่ะ
กว่าจะลงก็ขึ้นก่อนแล้วค่ะ


คุณหอมกรมาเช้าจังค่ะ พี่เพิ่งตื่น
เช้านี้ไม่มีฝนค่ะ ตื่นมาพ่อใส่บาตรเสร็จเดินเข้าบ้านล่ะค่ะ

ก๋าตื่นตีสี่นี่เช้ามากนะคะ พี่เคยตื่นค่ะแต่ไม่ลุกนอนต่อ
คราวนี้คือตื่นสายไปเลยค่ะ

ฝนตกก็ดีนะคะ แต่หญ้าขึ้นเร็วมากเลยค่ะ หลังบ้านพี่สูงถึงเอวแล้วค่ะ
เมื่อวานไปเหวี่ยงๆมีดเหรียญตัดหญ้าไปได้หน่อยนึงค่ะ เช้านี้ปวดเมื่อยไปหมด
งานนี้น่าจะไม่เหมาะกับเรา 555


โดย: tanjira วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:6:45:52 น.  

 


โดย: หอมกร วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:7:05:10 น.  

 
เราไม่ได้สำคัญอะไรเลย เป็นแค่กลไกเล็กๆ ในสังคมอาจดูไม่มีค่าไม่มีความหมาย แต่เมื่อกลไกเล็กๆ รวมตัวกัน หรือติดขัด นั่นแหละมันจะแสดงอะไรบางอย่างให้เราเห็นออกมา แต่อันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนิพพาน

เป็นเรื่องน่าน่าสนุกกับการรู้เท่าทันอารมณ์



โดย: โลกคู่ขนาน (สมาชิกหมายเลข 7115969 ) วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:7:12:10 น.  

 
ผมเคยดูคลิปอันหนึ่งที่เขาค่อยๆ ซูมจากพื้นที่บนโลก แล้วค่อยๆ ออกไปเรื่อยๆ จนออกนอกโลก แล้วเทียบขนาดโลกเรากับดาวต่างๆ แม้กระทั่งดวงอาทิตย์ และดาวที่ใหญ่กว่า เราเป็นฝุ่นยิ่งกว่าฝุ่นจริงๆ ครับ

อารมณ์รู้เท่าทันมันก็พอ จริงๆ คนเรามีอารมณ์โกรธหมดครับเพียงแต่จะเลือกที่จะแสดงมันออกมาอย่างไรเท่านั้นเอง

ผมพึ่งกลับมาจากการออกกำลังกาย เลยถือโอกาสมาอ่านบล็อก พักให้หายเหนื่อยก่อนไปอาบน้ำน่ะ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่เห็นผมแวะมาเร็ว เดี๋ยวจะไปเคลียร์เรื่องไม่ค่อยสำคัญอีกหลายเรื่อง ถึงปากบอกเรื่องไม่สำคัญ แต่ถ้าปล่อยไว้ในอนาคตมันอาจกลายเป็นเรื่องสำคัญที่เราควบคุมไม่ได้ก็ได้ ต้องรีบจัดการหน่อย


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:7:37:45 น.  

 
หลัก"กรรมพุทธ"ยังชวนข้องจิต(?).. คนจริงจัง,จริงใจกับการใช้ชีวิตให้มีสาระ,มักมีบุคลิก,หน้าตาที่ไม่สวย,ไม่หล่อ,จืดๆ,ไม่ยิ้ม,เพราะมัวแต่เพ่งดูที่"จิตตนเอง"(อาจดู"น่าเบื่อ?").. แต่คนที่หน้าตาดี,สวย,หล่อมักมีทัศนะชอบเที่ยวเล่น,สนุกสนานไปวันๆ,ไม่ค่อยคิดอะไรจริงจัง,ไม่ค่อยคิดอยากแสวงหา"สาระของชีวิต"กันซักเท่าไหร่?.. แต่"หลักกรรมพุทธ"มักบอกว่า..ถ้าเป็นคน"จิตใจดี,มีธรรม"ะ,จะได้หน้าตาที่สวยงาม.. ซึ่งดูน่าจะไม่ค่อยจริงซักเท่าไหร่?.. เห็นแต่"คนหน้าตาดูดี,สวย,หล่อ"(หลายๆคน)(อาจแค่บางคน?)กลับมีอาชีพที่มีเหลี่ยมเล่ห์ต่อสังคม,หรือมีคนในครอบครัวที่"คอร์รัปชั่นในวงการเมือง"อยู่ไม่ใช่น้อย?.. แล้วคุณคิดอย่างไร?..


โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:10:27:07 น.  

 
เราเข้าไปดู..”บางบล็อก”ที่โพสต์เรื่องอุบัติเหตุ,แต่คนผิดไม่ช่วย”ค่าสูญเสีย”(แต่เขาให้โพ้สต์เฉพาะสมาชิก,เราไม่ได้เป็นสมาชิกจึงโพ้สต์ไม่ได้).. อยากให้ทัศนะว่า..บางทีเรื่อง”กรรมบางอย่าง”ใน”ทัศนะของพุทธ”ก็มีส่วนกับชีวิต.. เพราะเท่าที่เราติดตามสังเกตจากข่าวสารมาตลอดชีวิตนะ.. อย่างคนที่ผลิต”เครื่องดื่มกระตุ้นพลังงาน”(จนร่ำรวย,บางคน).. ก็ทุกวันนี้,ลูกชายที่ขับรถเร็วชนตร.ก็ยังกลับประเทศไม่ได้,คล้ายว่าเพราะไป”กระตุ้นพลังงานให้กับประชากรมากเกินไปไง?.. หรือบาง”นกม.”ที่เคยจัดหนักกับ”คนเสพยา”สมัยหนึ่งจนอื้อฉาว,ก็ลูกชายก็มีอาการแปลกๆตอนขึ้นศาลสมัยหนึ่ง..นั่นไง?.. และเราเคยโพ้สต์ใน”เพจกลุ่มศาสนา”ที่พวกเขา”กินมังสวิรัติ”และ”ขายอาหารเจ”ประมาณว่า.. ผู้นำคุณนี่ฉลาดนะ,สอนให้คนกินเจ,ขายเจ.. เพราะมีคำถามว่า.. ถ้ามีรถเสียหลัก,เบรคแตก,และต้องการหยุดรถของเขา,ถ้าเขาเห็น”ร้านขายข้าวขาหมู”,และ”ร้านเจ”ตั้งใกล้ๆกัน,คุณว่า”จิตสำนึกส่วนลึกของเขา,เขาจะเลือกให้รถของเขาไปหยุดที่ร้านไหน?.. แต่เราไม่เคยปรากฏเห็นข่าว”รถเสียหลักพุ่งชนร้านเจ”ซักทีนะ?.. หรือที่มี”ชายคลั่ง”ขับมอไซค์แทงหญิงไปทั่วเมืองอุดรเร็วๆนี้,หญิงตาย2ศพ,เจ็บอีกเพียบ,อ่านข่าวไปเรื่อยๆปรากฏว่า,”หนุ่มคลั่ง”ทำงานที่”ฟาร์มหมูของลุง”,ก็เลยทำให้ลุงต้องพลอยเดือดร้อนเสียเครดิตไปด้วย,มันเกี่ยวมั้ย?.. อาจเป็นเพราะ”วิญญาณหมูที่ตายมาสิง,มาดลได้หรือไม่?.. อาจเพราะ”ทำงานฟาร์มหมู”,เกี่ยวเนื่องว่า..พอ”หมูโต”แล้วก็ต้องขายให้เขานำไปฆ่า,ก็เลย”พัวพันกรรม”มาสู่การ”คลุ้มคลั่ง”ในครั้งนี้ด้วย.. ผู้สื่อข่าวไม่ค่อย”วิเคราะห์ให้ข้อคิดเรื่องนี้”ใน”เรื่องกรรมสนองคน”.. สังคมพุทธเราจึงไม่มีอะไรดีขึ้นในเชิง”ข่าวอาชญากรรมต่างๆ”ไงล่ะ..คุณว่ามั้ย?.. ทุกวันนี้ เรามีหิ้ง”โพธิสัตว์กวนอิม”อยู่2หิ้งที่บ้าน,มี”สวดแผ่เมตตา”(สัพเพ สัตตาฯ)อยู่เรื่อยๆ.. หวังให้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข,อย่าได้มีเหตุร้ายใดๆมาแผ้วพาลเลย(และไม่ชอบเที่ยวเตร่ใดๆ)..


โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:11:11:51 น.  

 
สวัสดีเจ้า
วันนี้คนมีความเห็นยาว ๆ ตึงนั้นเลยเจ้า


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:15:22:15 น.  

 
ปอลอลิง
ฮ้านตกกุ้งที่ไปเท่าที่รู้หันมีจับฉลากรางวัล
แต่ถ้าเป๋นบ่อนเลยบ่หันเจ้า


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:15:23:54 น.  

 
เมื่อคืนลิเวอร์พูลโชวฺ์ฟอร์มเยี่ยมอีกแล้วครับ เฉพาะครึ่งหลังนะครับ


โดย: The Kop Civil วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:15:42:34 น.  

 
สวัสดี จ้ะ น้องก๋า

วันนี้ไปประชุมจัดงาน ธาตุทองคืนถิ่น ปี 72 ถ้าเป็นคน ก็เรียก
ว่า แซยิดใหญ่ 6 ปี เนาะ อิอิ ประชุมเสร็จก็ประมาณ บ่ายสอง
ก็พากันไปเยี่ยมพี่ที่ป่วยติดเตียง เฮ้อ ! เห็นแล้วปลงจริง ๆ จ้ะ
บล็อกก๋า วันนี้ ชอบข้อความนี้ จ้ะ
" สอบอารมณ์ให้ผ่าน
คือ รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น"
ชอบคำว่า สอบอารมณ์ เหมือนการสอบในเวลาเรียนหนังสือเลย จ้ะ อิอิ การสอบที่ไม่ผ่าน ความโลภ โกรธ หลง
เราก็จะต้องทนทุกข์กันไม่รู้จักสิ้นสุด จ้ะ อิอิ

โหวดหมวด งานเขียน ฯ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:18:25:03 น.  

 
สวัสดีครับคุณสมจิต

หน้าตาเป็นเพียงเปลือกนอกครับ
สวย หล่อ ขี้เหร่ อัปลักษณ์
เป็นเพียง "สมมุติ" ที่คนคิดกันขึ้นมาเอง

ทุกศาสนาจึงบอกว่า
อย่าไปติดใน "สมมุติ" นี้
เพราะถึงเวลามันก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาล
ถึงเวลามันก็เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุผลต่างๆ

แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยน คือ เราจะต้องเติบโต
แก่ เจ็บป่วย เหี่ยวย่น และตายไปในที่สุด

เวลาผมศึกษาเรื่อง "กรรม"
ผมนึกถึงการปาบอลเข้าไปที่กำแพง
คุณปามันแรงเท่าไหร่
มันก็เด้งแรงกับมาเท่านั้น

การกินเจ หรือคนทำชั่ว ทำไมได้ดี ยังสุขสบาย
ทำไมคนทำดีถึงตกระกำลำบาก
สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบที่เราพอใจครับ
เพราะเวลามันเกิดสิ่งต่างๆขึ้นบนโลกนี้
มันมีเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น
ซึ่งหลายเรื่องเราควบคุมมันไม่ได้เลย

อย่างเขื่อนแตกที่ลิเบีย สึนามิที่ญี่ปุ่น
ผมไม่โทษกรรมนะ
เพราะมันเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยทางธรรมชาติ

เช่นกัน บางครั้งผมก็ไม่สนใจจะคำตอบเลยครับ
ว่าทำไมลูกคนรวยขับรถชนคนตายถึงยังสุขสบายลอยนวล
เพราะเราไม่อาจหาคำตอบที่เราพึงพอใจได้
และมันจะไม่เป็นอย่างที่ใจเราต้องการ
การโทษกรรมก็ยังไม่อาจทำให้เราได้คำตอบที่พึงใจได้ครับ
แต่เราเอามาศึกษา สอนคนใกล้ตัวได้
ว่าอย่าทำแบบเขา เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ส่วนคนที่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะรับผลกรรมอย่างไรในท้ายที่สุด
เราก็เพียงแค่รอดู

คนขับรถชนคนตาย
จะบอกว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลย ผมก็ไม่เชื่อนะครับ
ผมว่ามันติดอยู่ในความคิดของเขาแน่นอน
และถึงวันหนึ่งความคิดนี้มันก็จะกลับมาย้อนกระทำอะไรบางสิ่ง
กับชีวิตของเขาอย่างแน่นอน




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:21:16:26 น.  

 
เราก็แค่เศษเสี้ยวของฝุ่นผงใจจักรวาล ความทุกข์แทบมองไม่เห็น

รู้หนอใช้ได้ทุกที่เลยครับ แต่หลับหนอไปแล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง 55

ฝนตกหนักช่วงห้าโมงเย็น แล้วตกพรำๆจนถึงเวลานี้ครับ





โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:22:12:40 น.  

 
“อ.เบียร์”(พุทธ)VS”อ.แชมป์”(คริสต์) เป็นคู่ถกเถียงที่เหมาะสมกันมาก อ.เบียร์ก็เคยมีความรู้ทางคริสต์ และอ.แชมป์ก็เคยมีความรู้ทางพุทธมาก่อนเช่นเดียวกัน เป็นคู่แลกเปลี่ยนทางทัศนะที่เหมาะสมกับยุคสมัยนี้มาก..
เราเคยรู้สึกอยากให้พุทธกับคริสต์(รวมทั้งอิสลาม,พราหณ์,ฮินดู,ซิกซ์)ได้มาแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกันมานานแล้ว แต่เห็นแต่นักบวชพุทธก็หลบหลีกกันไปมา กลัวว่าจะเป็นการขัดแย้งกันทางศาสนา..
แต่อย่าง”อ.ปรีชา”ก็บอกว่า”ความจริงก็คือความจริง” ส่วน”สื่อบางค่าย”ก็ชอบพูดว่า”ความจริงมีหนึ่งเดียว?”[แต่เรากลับมองว่า..”ความจริงแต่ละก้อน,แต่ละชุด”แม้เป็น”เอกสัจจ์”(Unique)เท่านั้นก็ตาม แต่ก็มักมีหลายบริบทแวดล้อมที่ทำให้ความจริงดูเหมือนจะมีหลายแบบที่ดูแตกต่างกันได้เช่นกัน]..
แต่จริงๆ..(ซึ่งเราก็เห็นด้วย..ถ้าคิดแค่เผินๆ) คือ คำพูดนี้ยังไม่รอบถ้วน คือ จักรวาลนี้ไม่มีสิ่งใดที่ซ้ำหรือจำลองแบบได้เหมือนกันเปี๊ยบทุกประการได้เลย.. แม้แต้เช่น”เครื่องใช้พลาสติก”ที่ถูกผลิตจาก”บล็อกพิมพ์เดียวกัน” แต่ถ้านำมาตรวจดูเนื้อใน “โมเลกุลของวัสดุ”(แต่ละชิ้น)ก็ต้องมีจำนวนและการเรียงตัวที่ไม่เหมือนกันอยู่ดีนั่นเอง..
หรือเช่น ถ้าเราวางของคล้ายกันไว้ในที่(มีบริบทของเวลา,สถานที่,สิ่งแวดล้อมข้างเคียง,ความหนาวร้อนที่ตกกระทบ)ที่ต่างกัน ก็ย่อมไม่อาจเรียกว่า”เหมือนกันเป๊ะ?”ได้(?) เช่นกัน(?)..
เราเคยศึกษามาหลายศาสนาทั้งพุทธ,คริสต์,เต๋า,อนุตตรธรรม(เพราะชอบหาแสวงหา”ความจริงที่มีหนึ่งเดียว”นั่นแหละ) แต่ทุกวันนี้ไม่เห็นว่าศาสนาไหนที่ครบพร้อมสมบูรณ์แบบซักศาสนาเดียว.. เราจึงแค่หยิบทุกหลักศาสนามาใช้ในบริบทที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นครั้งๆคราวๆไปเท่านั้น(?)..
ขอขอบคุณ..
https://www.youtube.com/watch?v=0QPtYgUMxyw
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.113.16 วันที่: 4 ธันวาคม 2567 เวลา:12:15:12 น.  

 
เพราะเรื่องของ”นามธรรม”(จินตนาการ) เช่น “ภพภูมิสวรรค์”หรือ”ภูมิโสดาบันถึงภูมิอนาคามี”(หรือ”พลังงานพิเศษ”ในความหมายของ”วิญญาณ”)นั้น ทางวิทยาศาสตร์ถือว่าไร้รูปลักษณ์,ที่ไม่อาจหยิบมาตั้งให้ดูด้วยเทคนิคพิเศษทางวิทยาศาสตร์ใดๆได้เลย..(เราอยากให้”อ.เจษฎา”มาดีเบตเรื่อง”พญานาค”กับ”หมอลักษณ์ฟันธง”จังเลย)..
จึงทำให้คนสมัยใหม่บางส่วนมองว่า เรื่องมิติที่เป็น”รูปภาพ,รูปลักษณ์ของสวรรค์หรือนรก”นั้นเป็นเรื่อง”ไร้สาระ”(Nonsense)พิสูจน์ไม่ได้,จับต้องไม่ได้ น่าจะเป็นไปตามจินตนาการของแต่ละคน ที่มีภูมิหลังของความนึกคิดและการจดจำเรื่องต่างๆในอดีตของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันเลย เท่านั้น..
อย่างกรณี”ดร.ณัฐ”ที่มักเน้นตีความตาม”พตปฎ.บาลี”(ซึ่งตัวเองถนัด)ตามตัวอักษรเป๊ะๆ(อย่างเรื่อง”หญิงแม่มด” เป็นต้น และบอกว่า พระพุทธเจ้าห้ามแต่ภิกษุไม่ให้ใช้”เดรัจฉานวิชา”ในการเลี้ยงชีพ แต่ในเพศฆราวาสนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม.. อย่างนี้ก็เท่ากับ”เบี้ยวบาลี?”หรือไม่? เพราะมี”คำสอนพุทธ”บอกชัดเจนว่า “ดวงดาวเป็นเรื่องของดวงดาว ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวบนฟ้าจะมาทำอะไรได้” ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องการหากินของนักทำนายทายทักเท่านั้น ประมาณนั้น หรือไม่?)ตามที่ตนเองเรียนรู้มาตามหลักวิชาการพุทธบาลีเท่านั้น.. ซึ่งแปลว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สนับสนุนให้ลูกศิษย์สาวกมางมงายในเรื่องการทำนายทายทักไม่ว่าจะเป็นเพศนักบวชหรือเพศฆราวาสก็ตาม ใช่หรือไม่?..
แต่”อ.เบียร์”มองที่สาระหรืออัตถะมากกว่า ซึ่งเรามองว่าการตีความตามตัวอักษรเท่านั้น,อาจผิดได้ เพราะการทรงจำมาผิดๆ การบันทึกอาจตกหล่น การแปลเป็นภาษาไทยอาจผิดพลาด หรือสาวกรุ่นหลังอาจต้องการอวยพระพุทธเจ้าในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ จนโอเว่อร์เกินจริง(?) ก็เป็นได้ทั้งนั้น(?)
เราเองยังมีข้อสงสัยเลยว่า “พระปิณโทนและพระโมคคัลลานะ”ที่เหาะเอาบาตรนั้น ถ้าเป็นเรื่องจริง,มีจริง,เป็นได้จริง ทำไม”นักบวชหรือฤาษีสมัยนี้”จึงไม่มีใครเหาะได้ให้เห็นได้เลยแม้แต่สักท่านเดียว(?)..
ดังนั้น การถกเถียงเรื่องนามธรรมที่จับต้องไม่ได้,จึงไม่มีทางจบลงแบบมีใครถูกหรือผิด,หรือจะอ้างว่าความจริงต้องมีแค่หนึ่งเดียวได้อย่างแน่นอน เพราะเราจะพิสูจน์อย่างไรว่า”มิติแห่งโลกวิญญาณ”หรือ”สวรรค์,นรก”มี”บริบทของภาพ”และ”การสื่อสารเป็นคำพูด,เป็นเสียงต่อกันและกันได้”นั้นเป็นเรื่องมีจริง(?) เพราะหลายสำนัก(เช่น “สำนักสันติอโศก”)ก็ยังมองว่า..อาจเป็นเรื่องของ”อุปาทานในจิต”(หรือมโนภาพที่ปรุงแต่ง,สร้างขึ้นมาเอง)ของแต่ละคนมากกว่า(?)..เช่นกัน(?) นั่นไง?..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.113.16 วันที่: 4 ธันวาคม 2567 เวลา:13:47:51 น.  

 
เราขออนุญาตไม่เข้าข้างทั้ง”อ.เบียร์”และ”อ.แชมป์” เพราะเราเคยศึกษาทั้ง”2ศาสนา”มาอย่างพอสมควร เรามองว่าทั้ง”2ศาสนา”เป็นมุมมองที่ต่างกัน ดังนั้น แม้คำว่า”ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว”นั้นจะเป็นหลักการที่ดีเพื่อพิสูจน์ว่าต้องไม่มีถูกทั้งข้อก.และข้อข.หรือถูกทุกข้อ เพื่อจะจับมั่นคั้นตาย เพื่อไม่ให้ฝ่ายผิดหรือฝ่ายที่ชอบเบี้ยวบาลีนั้นดิ้นได้ก็ตาม..
แต่จริงๆในโลกแห่ง”นามธรรม”หรือ”โลกของจิตวิญญาณทางศาสนา”นั้น เป็นเรื่องที่จะนำมาจับตั้งบนโต๊ะ,เพื่อพิสูจน์ความ”เหมือน,ไม่เหมือน”แบบเชิง”รูปธรรมที่จับต้องได้”ได้ยากมาก หรือแทบจะไม่มีทางพิสูจน์ได้เลยว่า ศาสนาใดถูกต้องหรือเยี่ยมยอดกว่าศาสนาใดกันแน่?..
เหมือนที่พุทธบอกว่า..พระพุทธเจ้าดับสูญไปแล้ว,ไม่เกิดอีกต่อไป ถามว่าแล้วใครจะพิสูจน์ได้อย่างถ่องแท้ว่าพระพุทธเจ้าดับสูญไปแล้วจริงๆ เห็นมีแต่”พระอนุรุธ”ที่พตปฎ.อ้างว่าได้”ตามจิตพระพุทธเจ้าขณะปรินิพพาน”..
แต่มีเพียงองค์นี้องค์เดียวที่อ้างเท่านั้น อรหันต์องค์อื่นๆก็ไม่สามารถตามจิตพระพุทธเจ้าได้ “คำพยานของพระอนุรุธ”นี้ ถ้าตาม”หลักของคริสต์”บอกว่า”พยานต้องมี2คนขึ้นไป”จึงจะพอเชื่อถือได้ แต่นี่พยานมีเพียง”พระอนุรุธองค์เดียว” จึงยังไม่อาจยอมรับได้(?) ประมาณนั้นครับ(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.113.16 วันที่: 4 ธันวาคม 2567 เวลา:15:45:46 น.  

 
ข้อที่ถกเถียงกันเรื่อง”พระเจ้าสร้างโลก”นั้นจริงหรือไม่?นั้นก็เช่นกัน ทางคริสต์มักบอกว่า ถ้าคุณเห็น”เก้าอี้ไม้”ที่มีพนักพิงตัวหนึ่ง(ที่ต้องมีการแกะไม้เป็นสลัก,และมีตอกตะปู) แล้วคุณจะบอกว่า ด้วยเหตุปัจจัยอันยาวนานมากๆ เก้าอี้ไม้ตัวนี้ย่อมสามารถประกอบเข้าไม้เข้าสลักกันเอง จนนำมาใช้ประโยชน์ได้ โดยไม่มีใครที่เป็นคนเริ่มต้นตัด,เลื่อย,ขัด,เกลา,เหลาไม้,ที่เป็นผู้ผลิตมันขึ้นมาเลยนั้น ถ้าพูดอย่างนี้ก็ไม่มีทางที่ใครจะยอมเชื่อได้ ใช่หรือไม่?..
ซึ่งคนคริสต์จะยึดหลักข้อนี้อย่างเหนียวแน่นว่ายังไงเสียจักรวาลนี้และทุกสิ่งในจักรวาลนี้รวมทั้งจิตวิญญาณของมนุษย์และเหล่าสัตว์-พืชทั้งหลาย ก็จึงล้วนต้องมีคนเริ่มต้น คือ พระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นแน่ๆ..(แต่ถ้าเป็นแค่ก้อนหินที่ขรุขระ,ไร้รูปลักษณ์ที่สละสลวย ก็อาจเกิดขึ้นเองได้บ้าง จากแรงระเบิดต่างๆที่ถูกกระทบได้เช่นกันนะ.. แต่ของที่สลักเสลาเกลากลึงให้เป็นรูปทรงที่สละสลวยงดงาม ย่อมไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นเองได้อย่างแน่นอน ประมาณนั้นครับ)..
แต่พุทธมักมองว่า สรรพสิ่งในจักรวาลนี้นั้น มันคือความวนเวียนเป็นวัฏฏะที่หาจุดเริ่มจุดปลายไม่เจอ แต่เรามองว่าลำพัง”สมองมนุษย์”แม้จะอ้างว่ามี”พระพุทธเจ้า”ที่สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตของตนเองได้เป็นหลายล้านชาติได้ก็ตาม แต่ยังไงเสีย ก็จะมีบางคนก็อาจแอบยิ้มว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครจะมาจำเรื่องราวของตนเองได้เป็นล้านๆชาติด้วยสมองอันน้อยนิด..แน่ๆ แต่ก็นั่นแหละ เหล่าสาวก(บางส่วน)ก็ย่อมพยายามที่จะอวยศาสดาของตนเป็นเรื่องธรรมดา,ก็เข้าใจได้ แต่ก็คงไม่กล้ายิ้มต่อหน้าชาวพุทธที่ศรัทธา เพราะก็กลัวจะถูกหาว่าลบหลู่ศาสนา ประมาณนั้น.. แต่ก็เชื่อว่าคงไม่มีใคร(ต่อให้เป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม)ที่จะสามารถจำได้ถึงชาติที่ตนเองเป็นเพียงแค่”สัตว์เซลเดียว”ซึ่งเป็น”ชาติต้นๆ”ได้อยู่ดีเป็นแน่(?) อยู่นั่นแหละ(?)..
ดังนั้น แม้พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้บอกว่าพระองค์รู้ถึงจุดตั้งต้นแรกๆของชีวิตว่ามาจากไหนได้(?) เช่นเดียวกัน(?)(แต่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายบางส่วนก็ยังคงพยายามอวยว่า พระพุทธเจ้ารู้ไม้ทั้งป่า,แต่หยิบมาสอนแค่ใบไม้กำมือเดียว อยู่นั่นเอง)..
ดังนั้น เราอยากบอกว่า ความศรัทธาที่เกินกว่าเหตุ อาจทำให้คนบางคนตาบอด(?) ไม่อาจมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงได้(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.113.16 วันที่: 4 ธันวาคม 2567 เวลา:17:42:44 น.  

 
คือ”ปรัชญาของศาสนาพุทธ”นั้น คือเน้นสอนให้”คนฉลาดในการใช้ชีวิต”เพื่อหาวิธีการ”หลอกล่อจิตตนเอง”,รวมทั้ง”เรียนรู้”ทั้ง”จุดแข็ง-จุดอ่อน”ของ”จิตตัวเอง”,โดยการ”ใช้เทคนิค,ใช้อุบายต่างๆสารพัด” เช่น “อสุภกรรมฐาน”เพื่อมองร่างกายทั้งตนเองและผู้อื่นว่าเป็นดุจ”ซากศพ”,เพื่อจะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วเกิดเป็นทุกข์ เช่นนี้ก็มี เพื่อตัวเองจะได้”ไม่เกิดทุกข์เฉพาะหน้าไปก่อน”(ที่ภายหลังมีคนนิยมใช้คำว่า”กุศโลบาย” ซึ่ง=”กุศล+อุบาย”) เพื่อที่จะใช้”ดับทุกข์เฉพาะหน้าในปัจจุบัน”ไปก่อนเป็นเบื้องต้น ซึ่งทำให้ดูเหมือน”พุทธจะฉลาดกว่าคริสต์”นะในบริบทนี้(คือเน้นใช้”สมอง,ปัญญา,ไหวพริบ”ของ”หัวไอ้เรือง”นั่นเอง)..
ซึ่งเป็น”ปรัชญาที่ตรงข้ามกับคริสต์” ที่”คริสต์”จะเน้นสอนให้”ยอมเสียสละ,ยอมทนทุกข์เพื่อผู้อื่น”(แบบ”ตรงไปตรงมา,ไร้เล่ห์เหลี่ยม,หรือการสร้างภาพใดๆ?”),ซึ่งมีหลายบริบท,หลายแง่,หลายมุมมาก ที่”ปรัชญาหลักคิดของพุทธกับคริสต์” จะมีนัยยะที่ขัดแย้งกันแบบแทบจะ”ตรงข้ามกัน180องศา”ไปเลยก็มี(?).. แล้วจะไปหวังแสวงหา”ความจริงที่ต้องมีเพียงหนึ่งเดียว?”(ได้อย่างไร?) ที่มักมองกันว่า..”ถ้าอันหนึ่งถูก,อันหนึ่งก็ต้องผิด?”เสมอไป(?) ได้อย่างไร?..
ซึ่งอย่าง”สายสีกรัก,คลองกุ่ม”เขาก็มักจะแสดงธรรมเชิงแก้ต่าง(ให้ดูว่า”พุทธเหนือกว่าคริสต์?”,แบบทำได้แยบยลกว่า?,เนี้ยบกว่า?)ทำนองว่า ก็ของ”พุทธสายสีกรัก”ก็มีการเสียสละแบบ(พยายาม)ทำหน้าชื่นตาบาน,ยิ้มแย้มแจ่มใส(จนถูกสังคมมองว่า”สายสีกรักชอบสร้างภาพ?”)ก็ได้นี่(?),ไม่เห็นจำเป็นจะต้อง”ยอมทนทุกข์เพื่อเสียสละ?”แบบ"คริสต์เยซู?"อะไรเลย(?)..ประมาณนั้น(?)..
ซึ่งก็ไม่ทราบว่า.. เท่าที่เคยติดตามข่าวทาง”เพจของสายนี้”.. ที่”ชาวสีกรัก”มี”นักบวชและฆราวาส”เป็น”โรคมะโรงมะเส็ง”กันอยู่หลายคน,ทั้งๆที่กิน”อาหารสะอาด,ชีวจิต,ชีวภาพ,ไม่เอาเคมี”แบบ”มังสวิรัติ”อยู่ทุกวัน ซึ่งก็อาจเพราะมาจากการ”ความเครียด?,หรือเก็บกด?”,เพื่อ”เอาหน้ากับอาจารย์?”,โดยพยายาม”ซ่อนทุกข์ไว้ในใจ?”,และ”โชว์ยิ้มไว้ภายนอก?”..ก็เป็นได้?..ด้วยหรือไม่? ประมาณนั้นนะ(?)..(เราว่า?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.113.16 วันที่: 4 ธันวาคม 2567 เวลา:20:57:47 น.  

 
อีกส่วนของ”พุทธ”ที่อ้างถึง.. ก็คือ”ประโยชน์ภายภาคหน้า”หรือ”ประโยชน์ข้ามชาติ”(หรือ”นัยยะเรื่องผลบุญ,ผลกรรม”ที่จะตอบสนองแบบ”ข้ามชาติ” ว่าจะได้รับ”วิบากบุญ,วิบากบาป”จริงตาม”คำสอนพุทธ”หรือไม่?)นั้นก็เป็นบทเรียนลำดับต่อไป.. ซึ่งแม้”วิทยาศาสตร์เอง”ก็ยังไม่อาจพิสูจน์ใดๆได้ว่า จะเป็นความจริงตามการอ้างถึงของ”หลักศาสนาพุทธ”ได้หรือไม่?..เช่นเดียวกัน(?)..
แต่ส่วนความคิดของเราเอง.. เราได้พยายามคิดตั้งแต่เราเริ่มคิดเป็นตั้งแต่ในวัยเด็กเลย.. ซึ่งเรามองว่า “ตรรกะปกติ”ของ”หลักวิทยาศาสตร์”มักมองว่า “ทุกสิ่งที่จะมีขึ้นหรือจะเกิดขึ้น”ก็ต้องมี”จุดเริ่มต้น” และต้องมีปัจจัย(เหตุ)ที่สามารถ”ดล”(บันดาล)ให้เกิดขึ้น(?)..
แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า.. “จักรวาลอันกว้างใหญ่”(หรือ=ทั้ง”ความว่างเปล่าที่ไม่มีขอบ,และสสาร,พลังงาน,และพลังงานพิเศษของวิญญาณ”)น่าจะต้องมีอยู่มาก่อน(?)(หรือไม่?) และเราจึงสรุปเอาเองว่า.. “จักรวาลที่เป็นพื้นฐานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”ก็ต้องคือ”ความว่างเปล่า”นั่นเอง.. เพราะถ้าเป็น”สารแข็ง”หรือ”สารเหลว”ก็อาจจำต้องมี”ขอบเขตของสารนั้นๆ”(เพราะมันย่อมไม่ฟุ้งกระจาย).. นี่คือเราสรุปตาม”ความนึกคิดปกติของมนุษย์”..
แต่จนถึงวันนี้.. วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถหา”ขอบเขตที่สุดของจักรวาล”ได้(?)..(ใช่หรือไม่?).. หรือต่อให้ถึงแม้มี”เครื่องมือที่หาขอบเขตของจักรวาลได้” ก็ต้องมีคำถามให้ค้นต่ออีกอยู่ดีนั่นแหละว่า.. “แล้วนอกขอบเขตนั้นคือวัสดุอะไร?”..อยู่ดีนั่นเอง(?)..
จึงที่สุด..ต้องสรุปโดยดุษณี( =โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆได้อีก)ว่า.. “จักรวาลจึงคือความว่างเปล่าที่ไม่มีขอบเขต”,และหมายรวมทั้ง”สสาร,พลังงาน,และพลังงานพิเศษแบบวิญญาณ”(ที่บรรจุอยู่ภายในจักรวาลด้วย)นั้น,จะต้องมีอยู่ก่อนแล้ว,โดยที่ไม่มีใครเป็นผู้สร้างขึ้น(คือมีอยู่เองโดย”หลักธรรมชาติ”แบบ”ดิบๆ”ที่”ยังไม่ต้องมีใครจัดสรรตบแต่งใดๆ?”..นั่นเอง?)..
จึงไม่จำเป็นต้องมีคำถามต่อไปอีกว่า..แล้วใครเป็นผู้สร้าง”สสาร,พลังงาน,และพลังงานพิเศษแบบวิญญาณ”ตั้งแต่ตอนต้นๆ,หรือจึงไม่ต้องมี”คำถามสั้นๆ”ว่า..”แล้วใครที่เป็นผู้สร้างพระเจ้า?”อีกต่อไป(?)..นั่นเอง(?).. คือ”พระเจ้า”ก็เท่ากับเป็น”คนต้นแท้”ที่”มีอยู่,เป็นอยู่”คู่กับการ”มีอยู่ของจักรวาล”มาพร้อมๆกัน(?)..นั่นเอง(?)..นั่นไง(?)..
หรือถ้าจะพูดโดย”เชิงปรัชญา”(หรือโดย”วิภัชวาที”)ก็ต้องบอกว่า.. “จักรวาลจะเท่ากับไม่มีสิ่งบรรจุอยู่ใดๆเลย รวมทั้งไม่มี”ตัวจักรวาลคือความว่างเปล่า?”นั้นด้วย(?)(ทั้งๆที่จริงๆก็คือ..ยังคงมีจักรวาล,สสารและพลังงานธรรมดาอยู่..คือเหมือนเท่ากับภาวะที่”เราหลับตา”หรือ”เรานอนหลับแบบสนิท,ไม่มีการฝันใดๆ”..นั่นเอง),ก็ต่อเมื่อไม่มี”พลังงานพิเศษแบบวิญญาณ?”หรือคือไม่มี”ตัวความรับรู้”หรือ”ธาตุรู้”ที่เป็น”คำที่ใช้กันในศาสนาพุทธ”อีกต่อไป(?).. โดยอาจ”สูญสลายไปเอง?”,หรืออาจเกิดการ”ระเบิดทำลายตัวพลังงานวิญญาณ?”ไปเองโดยธรรมชาติ(?).. ซึ่งถ้าเมื่อนั้นมาถึงเมื่อไหร่?..ก็จะเท่ากับ”เข้าสู่ปรินิพพานพร้อมกัน?”ใน”ทุกๆชีวิตินทรีย์?”..นั่นเอง(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.113.16 วันที่: 4 ธันวาคม 2567 เวลา:23:25:52 น.  

 
เราจึง(พยายาม)หาข้อสรุปว่า.. “จักรวาล”จึงน่าจะคือ”ความว่างเปล่า”(ที่มีอยู่ก่อนเป็นรากฐานเดิม)(ที่จึงไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามว่า..”แล้วใครล่ะที่เป็นผู้สร้างจักรวาลที่ว่างเปล่านี้?”.. นั่นไง?).. ซึ่งจึงจะเจือสมเข้ากับหลักที่ว่า..”จักรวาล(ย่อม)ไม่มีขอบเขต” นั่นเอง(?).. นี่คือ”truthหรือfactที่แท้จริง” นั่นเอง(?)..
แต่ต้องไม่ใช่ว่า เป็นแค่”ความว่างเปล่าล้วนๆ”ที่ไม่มีอะไรบรรจุอยู่ภายในเลยนะ(?),แต่ก็คงจะต้องมีทั้ง”สสาร”และ”พลังงาน”และ”พลังงานพิเศษแบบวิญญาณ”เป็น"พื้นฐานของจักรวาล?"อยู่ด้วยนั่นล่ะนะ(?)..(เราว่า?)..
ซึ่งเราเองก็เคยตั้งข้อสงสัยส่วนตัวว่า แล้ว”พลังงานพิเศษแบบวิญญาณมนุษย์” ถ้าสามารถส่ง”กระแสพลังงานวิญญาณของตน”(แบบพวกที่อ้างว่าสามารถนั่งทางใน,แล้วถอดจิตไปท่องเที่ยวทั่วจักรวาลได้นั้น?)ไปยัง”ดวงอาทิตย์” แล้ว”พลังงานวิญญาณแบบมนุษย์”นี้จะถูกความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำลายให้”สูญสภาพความเป็นธาตุพลังงานวิญญาณแบบมนุษย์”ไปเลยหรือไม่?..
ซึ่งเราเคยได้ยินทำนองว่า “วิญญาณผีเร่ร่อน?”ก็มักกลัว”แสงสว่าง?”(ซึ่งมี”ความร้อน”ด้วย)ในตอนกลางวัน,และมักไม่ปรากฏตัวตอนกลางวัน ซึ่งก็สมคล้อยกับนัยยะที่ว่า..”ธาตุวิญญาณกับพลังงานความร้อน”น่าจะไม่สามารถอยู่ใกล้กันได้(?) เป็นต้น(?) หรือไม่?..
แต่เราก็คล้ายเคยได้ยิน”บางสำนักพุทธ”(ไม่แน่ใจว่าจะใช่”สำนักสีกรัก?”หรือไม่? ที่คล้ายเคยได้ยินทำนองว่า”หัวหน้าสำนักนี้”เคยพูดว่า เคย(ถอดจิต?)ไป”ท่องจักรวาล?” และเคยผ่านไปยัง”ใจกลางดวงอาทิตย์?”มาแล้ว(?) และคล้ายจะเคยบอกว่า..”ในใจกลางดวงอาทิตย์นั้นเย็น?” ประมาณนั้น(?)..(ซึ่งเราไม่ได้ยืนยันอะไรนะครับ,แค่คลับคล้ายคลับคลาว่า จะเคยได้ยินประมาณนี้? เท่านั้นครับ?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.110.179 วันที่: 8 ธันวาคม 2567 เวลา:15:12:50 น.  

 
แต่เราเห็นว่า.. ภายใน”จักรวาล”ที่เป็น”ความว่างเปล่าที่ไม่มีขอบ”(เขต)นี้,จะต้องอย่างน้อยมี”สารแก๊ส”(ที่ฟุ้งกระจายตัวได้),และที่สามารถรวมตัวกันเป็น”สารเหลว”,และในที่สุดจับกันเป็น”สารแข็ง” หรืออาจมีทั้ง”สารแก๊ส,สารเหลว,สารแข็ง”มาตั้งแต่ต้นเลยก็เป็นได้(?),และรวมทั้ง”พลังงานในรูปแบบต่างๆ”ด้วย(?)..
และสิ่งสำคัญ(ที่ขาดไม่ได้เลย)คือจะต้องมี”พลังงานพิเศษแบบพลังงานวิญญาณ” คือ..”สภาวะของพลังงานแบบวิญญาณบางอย่าง?”(ที่”วิทยาศาสตร์”ก็ยังไม่สามารถระบุถึง”องค์ประกอบภายในวิญญาณ”,หรือ”โครงสร้างของความเป็นธาตุพลังงานวิญญาณ”,ที่”ทางพุทธ”เรียกว่าเป็น”ธาตุรู้”เหล่านี้ได้?)..
และ”เราทั้งหลาย”นี่แหละก็เป็น”ธาตุวิญญาณ?”( =”ธาตุรู้?”)ที่อาจมีอยู่มาก่อน”พร้อมกับจักรวาล?” หรืออาจถูกแบ่งแยกออกมาจาก”พลังงานวิญญาณใหญ่?”ที่มีการรวมตัวกันของ”พลังงานวิญญาณย่อยๆ?”อย่างเข้มข้น(?).. อันคือเรียกว่า”วิญญาณของพระเจ้า”,ซึ่งมี”ฤทธานุภาพพิเศษ?”,ซึ่งสามารถดลให้เกิด”สิ่งสารพัด?”ที่บรรจุอยู่ใน”ห้วงจักรวาลนี้”(ใน”รูปแบบ,รูปลักษณ์แปลกๆต่างๆ?”ได้แทบทั้งหมด(?)..
ซึ่งเรามองว่า..”พระเจ้า”อาจเป็นผู้เนรมิต”เซลของพืชและสัตว์ในชั้นต้นๆ”เป็นหลัก(?) และอาจค่อยๆพัฒนาจัดสรร”ระบบกลไก?”ให้สามารถมีการ”สืบต่อเผ่าพันธุ์ได้เอง?”(เช่น ระยะแรกที่อาจใช้”หลักการแบ่งตัว?”แบบ”อมีบา,พารามีเซี่ยม?”เป็นเบื้องต้น,และปล่อยให้ขยายจำนวนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ โดยใช้”ภูมิรู้พิเศษ?”(ที่”Excellent”)ของความเป็น”พลังงานรู้แบบพระเจ้า?”[เช่นการ”ดลหรือเหนี่ยวนำ?”คล้ายแบบ”แม่เหล็ก”ที่ทำให้เกิด”เส้นแรงแม่เหล็ก”ที่จัดตัวกันเองอย่างเป็นระเบียบของ”ผงตะไบเหล็ก”ประมาณนั้น(?) นั่นเอง(?) นั่นไง(?)]..
จนทำให้”อะตอม”หรือ”โมเลกุลของธาตุต่างๆ”วิ่งมา”จับตัวกันเองแบบมีลำดับ”,จนกลายเป็น”DNAสายแรก?”,จนสามารถเป็น”จุดเริ่มต้นของการมีชีวิต?” ที่”พลังงานวิญญาณของพระเจ้า”สามารถ”ดลหรือเนรมิต”ให้เกิดขึ้น(?).. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น..”พระเจ้า”ก็จะต้อง”ดลหรือใช้ฤทธิ์?”[เหมือน”ฤทธิ์”ที่ซ่านออกจาก”กายของพระเยซู”,จนทำให้”หญิงตกเลือด”หายจาก”อาการตกเลือด?” นั่นแหละ(?) ประมาณนั้น(?) หรือไม่(?)].. ซึ่งก็จะต้องมี”หลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง,ไม่ขัดตาม”หลักการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป?”ด้วย(?)..(ใช่หรือไม่?)..(เพราะ”พระเจ้า”ก็ย่อมไม่สามารถอยู่เหนือ”กฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์”ได้?..อยู่ดีนั่นเอง?)..
(เพียงแต่ลำพัง”สมองแบบมนุษย์ทั่วไป?”อาจไม่สามารถคิด”ระบบซับซ้อน?”ที่สร้าง”กลไก?”ของ”การกำเนิดชีวิต?”ได้แยบยล,ลึกล้ำเหมือน”พลังงานของวิญญาณพระเจ้า?”เท่านั้น).. ส่วน”ความหลากหลายของพืชพันธุ์”( =”สปีชี่ส์ต่างๆ”),ไม่ว่าจะเป็น”พืชหรือสัตว์”ในยุคหลังๆ,ซึ่งมีหลากหลายมากขึ้น ก็อาจเกิดจากการถูก”รังสีต่างๆ?”บ้าง(?),หรืออาจเกิดขึ้นจาก”การดล?”โดย”วิญญาณที่มีฤทธิ์มากบ้างน้อยบ้าง?”,ที่มาจากบริบทเรื่อง”วิบากกรรมพาเป็น?”หรือ”วิบากกรรมนำพา?”ใน”บริบทของพุทธ?”ก็เป็นได้(?) นั่นเอง(?) หรือไม่(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.110.179 วันที่: 8 ธันวาคม 2567 เวลา:23:16:17 น.  

 
ดังนั้น..(ขออนุญาตเอ่ยนาม).. ถ้า”อ.เบียร์”จะบอกว่า..ทำไม”พระเจ้า”จึงต้องสร้าง”คนเลว?”หรือ”คนพิการ,ง่อยเปลี้ยเสียขา,ตาบอด,หูหนวก,เป็นใบ้?”ขึ้นมาด้วย(?) และรวมทั้งเราเองก็อาจจะช่วย”พูดเสริมคำถามอ.เบียร์”ด้วยอีกว่า..และทำไม”พระเจ้า”จะต้องสร้าง”เชื้อโรค?”และ”สัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค?”ที่มารบกวนมนุษย์ให้ต้องลำบาก เช่น ยุง แมลงหวี่ แมลงวัน แมลงสาบ เป็นต้น ซึ่งแม้ไม่มีสัตว์เหล่านี้ในโลก “โลกนี้รวมทั้งมนุษย์”ก็ยังอยู่ได้(?) ด้วยเล่า(?)..
แต่ในอีกมุมมอง เราก็อยากช่วย”อ.แชมป์”ตอบ”อ.เบียร์”ให้เองด้วยว่า.. “พระเจ้า”คงไม่ได้เจตนาจะสร้าง”สัตว์บางชนิด?”ที่เป็น”ภัยต่อมนุษย์?”ขึ้นมาดอก.. แต่ที่”พระเจ้า”สร้างหลายสิ่งขึ้นมา(?)(ที่”คำอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์?”อาจยังค้นไม่พบ?) และต่อมามันก็อาจมี”การเคลื่อนไหว,วิวัฒนาการ,หรือการผ่าเหล่าขึ้นมาเอง,ตามกฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์”,โดยที่”พระเจ้าไม่ได้เจตนาสร้างขึ้นมาตั้งแต่ต้น(?)”..ก็เป็นได้?..หรือไม่?..
เหมือนที่”คัมภีร์คริสต์”ชี้บ่งประมาณว่า..เมื่อมนุษย์มีจิตใจที่โน้มเอียงไปในทางที่”ใฝ่ต่ำ?” เมื่อนั้นก็จะเกิดคล้าย”รูปลักษณ์,สรีระ?”ของ”มนุษย์ที่พิกลพิการ?”(เช่น.. ที่”หญิงชาย?”(บางส่วน)ที่สำส่อนชิงสุกก่อนห่าม?,ทำผิดประเวณี?,แล้วเมื่อ”ฝ่ายหญิงประจำเดือนไม่มา?”,ก็พยายามไปหา”ยาขับประจำเดือน?”มากิน,จนอาจทำให้”ลูกในท้องเกิดมาพิการ?”ก็เป็นได้?..หรือไม่..นั่นไง?]..
หรือแม้แต่”เริ่มเกิดพืชที่เป็นหนาม?”[ซึ่งใน”ปฐมกาล3:17-18”ยังมีบอกว่า..”พระองค์จึงตรัสแก่’อาดัม’(แปลว่า มนุษย์)ว่า.."เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยาและกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า (และ)เจ้า(จึง)จะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต (และ)แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้า”]..นั่นไง(?).. เพื่อมารองรับต่อ”จิตวิญญาณที่เลวร้ายของมนุษย์?”เพื่อให้เกิด”สภาวะสมดุลตามธรรมชาติ?”ของ”สรรพสิ่งทั้งสสารและพลังงาน?”,ที่แม้”พระเจ้าเอง?”ก็ไม่อาจควบคุมทุกสิ่งให้ผิดเพี้ยนไปจาก”หลักการวิทยาศาสตร์ปกติของจักรวาล?”ได้(?)..นั่นเอง(?)..กระมัง(?)..
ดังนั้น.. เราทั้งหลายจึงไม่ควรรีบด่วนไปโทษว่า..”สิ่งเลวร้ายต่างๆนั้นเกิดขึ้นจากพระเจ้าเป็นผู้กำหนดสร้างขึ้น?” จึงจะ”เป็นธรรมต่อพระเจ้า?”(ผู้ไม่มีเจตนา?)..นั่นเอง(?)..(หรือไม่?)..(ใช่หรือไม่?)..
ปล.. ดังนั้น.. “การดีเบต”ของ”พุทธ,คริสต์,อิสลาม”เพื่อสนองความต้องการ,เพื่อทำให้”ความจริง(ต้อง)มีเพียงหนึ่งเดียว?”กับเรื่อง”นามธรรมทางศาสนาและวิทยาศาสตร์”ที่”จับมาตั้งบนโต๊ะ?”แบบให้เป็น”รูปธรรมที่ชัดเจน?”ไม่ได้(?).. จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากกันนี่ไง?..(แต่เราเองก็ยังสนับสนุน,อยากให้มีการ”ถกเสวนาเพื่อแสวงหาความจริงทางศาสนา”กันอย่างต่อเนื่องกันต่อไปเรื่อยๆอยู่นะ)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.110.179 วันที่: 9 ธันวาคม 2567 เวลา:6:58:06 น.  

 
เราอยากบอกว่า.. “การวางตัวของอ.เบียร์”นั้น,เราส่องดูตาม”เซ้นซ์ส่วนตัว”(เพราะได้ดู”คลิปของท่าน”มาพอสมควร)แล้ว.. ซึ่งเราเห็นว่าท่านเป็นคนที่มี”ความสุขุม,ลุ่มลึก,ความจำดี,สายตามั่นคง,แน่วแน่ในทิศทางแห่งตน,รู้จักการใช้คำพูด,ท่านพูดได้ดี,มีเหตุผลน่าฟังมาก(ฟังดูคล้ายการ”พูดมีเหตุมีผล”แบบ”ท่านว.”,ก่อนหน้าที่จะมี”กรณีของดิไอค่อน?”..นั่นแหละ)..
และ”อ.เบียร์”ก็ยังมีคารมคมคายแบบคล้าย”ฉายาการเทศน์”ว่า”ขวานจักตอก”ของ”อาจารย์พ.สายสีกรัก”ด้วยนะ.. ที่ชีวิตกำลัง”รุ่งทางโลก”,ก็ลาออกมา”บวชไม่สึก”จนบัดนี้.. ซึ่งก็ได้”ละสังขาร”ไปแล้ว,เมื่อราว”เดือนเมษาสงกรานต์67”ที่ผ่านมาเมื่อต้นปีนี้นั่นเอง..
และฟังดู”หลักการคำสอน”ของ”อ.เบียร์”ก็ดูจะคล้ายๆ”หลักการของสายสีกรัก,คลองกุ่ม”,ซึ่งไม่เอาทั้ง”หมอดู,สายมู,สายปลุกเสกเลขยันต์,ให้หวย,รวมทั้งการสร้างพระเครื่องรุ่นสารพัด?”เหมือนๆกันอยู่นะ..
แต่มีรายละเอียดเล็กน้อยที่ไม่ตรงกันบ้าง(?).. เช่น.. เรื่องการตั้งชื่อว่า”เบียร์”ซึ่งสื่อถึง”เครื่องดื่มแอลกอฮอล์”(ชื่อมีผลต่อ”เส้นทางชีวิตในอนาคต?”ได้นะท่าน..เราว่า?),ซึ่ง”ท่านจันทร์”ก็ได้ออกมาทักท้วงว่า”ไม่เห็นด้วย”..[ซึ่งเรามองว่า..ถ้าท่านไม่ห่วงเรื่อง”เรตติ้ง”มากนัก(?),ก็ควรจะหาชื่อที่สื่อไปทาง”หลักธรรมะ”น่าจะดีกว่านะท่าน..(เช่น “ท่านเมตตา”หรือ”ท่านชัย,ท่านเชษฐ์”ก็ได้นะ)]..
และเรื่องการ”ไม่กินเนื้อสัตว์”,ซึ่งยังอาจมีการ”ตีความตามพตปฎ.”ที่แตกต่างกันอยู่บ้าง(?)กับ”สายสีกรัก”เขานะ,ตรงที่ว่า”ห้ามเนื้อสัตว์ที่รู้ว่าเขาฆ่ามาเพื่อเรานั้นกินไม่ได้”,หรือแม้”เขาไม่ได้ฆ่ามาเพื่อเรา”(เช่นไปซื้อมาจาก”แม่ค้าเขียงหมูในตลาด”,ซึ่งเขาอาจไม่ได้”เจาะจงฆ่ามาเพื่อเรา”โดยเฉพาะ(?)ก็ตาม(?).. แต่ทาง”สายสีกรักท่านจันทร์”นั้น,เขาก็ตีความว่า.. เพียงรู้ว่า”สัตว์นั้นถูกฆ่ามาขาย”ก็”ไม่ควรกิน?”,หรือ”ไม่ควรซื้อมากินแล้ว?”..นั่นไง?)..
แต่ก็ยอมรับว่า..”อ.เบียร์”ท่านเก่งมาก,เมื่อเทียบๆกับ”พระนักเทศน์ดังๆ”ทั้ง”รุ่นเก่าและรุ่นใหม่”.. ซึ่งอาจจะมองว่าท่านเทศน์ได้เหนือกว่า”พระนักเทศน์องค์ใดๆ”ก็ได้เลยนะ(?)..เราว่า(?)..(อันนี้คือขอชมด้วยความจริงใจครับท่าน) เพื่อเผยแพร่”หลักการและทิศทาง”ที่ตัวเองปักมั่น,ยอมรับ..
แต่ส่วนตัวอยากบอกว่า.. เรามีประสบการณ์มามาก,เห็นมามาก,เห็นมี”พระนักบวชดังๆ”ที่ผ่านมา..(เช่น..”ท่านมิตซุย,ญี่ปุ่น?”ที่ลูกศิษย์ขึ้นเยอะ,สุดท้ายก็ถูก"สีกาชวนไปแต่งงานกันจ้อย?”..นั่นไง?..อย่าประมาทเรื่อง”กามารมณ์?”นะครับ?).. จึงต้องดูกันนานๆแบบ”ตลอดชีวิตนั่นเลยเทียว(?).. โดยมากก็มักที่สุดล้มลงด้วยเรื่อง”สตางค์และสตรี?”(ที่ชอบอ้างกันว่า”นารีพิฆาต?”นั่นแหละเป็นหลัก?),หรือเรื่อง”(งก)เงิน?และ(งก)-งี่-น?”ก็เช่นกัน(?)..
ดังนั้น.. การสอน”หลักการพุทธของท่าน”ยอมรับว่าอย่างน้อย80%ถูกต้อง,ฟังได้เลย,จะมีผิดพลาดบ้างก็เล็กน้อย(?).. แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็ต้องดูต่อไปว่า..”ท่านมีภูมิธรรมชั้นพิเศษ?”สูงจริงแค่ไหน?.. รองรับกับ”คำสอน,การวิเคระห์ในหลักธรรม?”ที่ท่าน”สื่อสารให้กับประชาชน?”,ที่ดูค่อนข้างเยี่ยมยอดหรือไม่?..(เพราะก็มี”คำเตือนใจ”ว่า..”บัณฑิตพูดอย่างไร?..พึงต้องทำอย่างนั้น?”,หรือ”ตัวอย่างที่ดีย่อมมีค่ากว่าคำสอน?”,หรือ”การกระทำส่งเสียงดังกว่าคำพูด?”..นั่นเอง?).. ก็เป็นห่วง”ท่านอ.เบียร์”อยู่นะ.. แต่ก็ต้องขอดูกันต่อไปอีกนานๆครับ..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...



โดย: สมจิต IP: 27.145.110.179 วันที่: 9 ธันวาคม 2567 เวลา:9:46:25 น.  

 
“ความย้อนแย้ง...แย่งปรัชญาพ้นทุกข์”ของ”แต่ละศาสนา”(จากการ”รวบรวมข้อมูล”,และจาก”ประสบการณ์ส่วนตัวของเรา”).. มีดังนี้..
1.ทั้ง”พุทธและคริสต์”(และ”ศาสนาความเชื่ออื่นๆบางส่วน?”ด้วย?)มีลักษณะของ”ปรัชญา?”[ที่ยังพิสูจน์ให้”ประจักษ์ชัดทางวิทยาศาสตร์”ไม่ได้แทบทั้งนั้น(?),และอยากเชิญ”อ.เจษฎา”ออกมาช่วยวิจัย,วิเคราะห์”หลักศาสนาต่างๆ?”,ในแง่”ความจริงน่าจะมีเพียงหนึ่งเดียว?”ด้วยครับ],หรือการใช้”เชิงจิตวิทยา?”เพื่อ”ปลอบประโลมแก่สาวก?”ที่ไม่ค่อยต่างกันนัก(?)..
2.”อ.แช้มป์”พูดเนื้อหา(และเราช่วยขยายความเพิ่ม)ประมาณว่า :- การ”หลุดพ้นเฉพาะตัว”(ของพุทธ),การปล่อยวาง,ละทิ้งครอบครัว,หนีไปบวช,ไม่ใช่”การพ้นทุกข์?”,แต่คือ”ความเห็นแก่ตัว?”..ต่างหาก(?)..


โดย: สมจิต IP: 27.145.110.179 วันที่: 9 ธันวาคม 2567 เวลา:20:16:27 น.  

 
3.”อ.เบียร์”พูดทำนองว่า..”จะเชื่อได้อย่างไร?ว่า.. ถ้าถึงวันที่ต้องจากโลกนี้ไปแล้ว จะได้รับ”การไถ่บาป”ได้จริง เพราะมันไม่มีอะไรการันตีได้เลย”..ประมาณนี้(?).. ซึ่งเรามองว่าแม้”พุทธเอง”ก็ไม่มีอะไรการันตี(หรือไม่มี”หลักวิทยาศาสตร์”พิสูจน์ใดๆได้เช่นกัน ณ ปัจจุบัน?)ว่าจะได้ไป”สวรรค์”หลังตาย(เมื่อปฏิบัติตาม”หลักความดีแบบของพุทธ?”)อย่างแน่นอน(?)..เช่นกันนะ(?)..
เช่นเดียวกันกับที่”อ.เบียร์”เคยพูดโดยใช้"หลักตรรกะแบบพุทธ?"ว่า.. “อารมณ์ตอนตาย”ให้พยายามนึกถึงสิ่งที่ดีๆไว้,ก็จะได้ไปเกิดในที่ดีนั่นน่ะ.. เราว่ามันก็ไม่มีอะไรการันตีอย่างแน่นอนได้เช่นเดียวกันนะ(?).. เพราะคนจะตายได้,ก็เพราะมีความทรมานทางกายจนทนไม่ไหว,จึงขาดใจตาย.. แล้วจะไป”มีสตินึกถึงสิ่งที่ดีของตนเอง?”อะไรได้นักหนา(?)..(ซึ่งเราว่ามันเป็นเรื่องการคิดแบบ”ตรรกะ,คะเน,อนุมาน”ของ”คนเป็นๆที่ยังไม่ตาย?”ที่มักไปแนะนำ”คนที่กำลังใกล้จะตาย?”เท่านั้นเอง?)..
เพราะอย่างเคยได้ยินไหมที่”คนไทยพุทธบางส่วน”มักพยายามพูดบอกให้”คนใกล้ตาย”ภาวนาว่า..”อรหันต์..อรหันต์”นั่นน่ะ.. สุดท้ายเพราะ”ทำบาปจับหอยมาขาย,มากิน,เป็นอาชีพทุกวี่ทุกวัน?”.. สุดท้ายก็เลยพูดพึมพำก่อนตายว่า..”อรหอย..อรหอย?”นั่นไง?..ไม่ใช่หรือ?..
เราว่า.. มันก็ไม่ต่างกันหรอก(?).. “พุทธก็ไม่มีสิ่งการันตี?,คริสต์ก็ไม่มีสิ่งการันตี?”เช่นเดียวกัน(?).. มันไม่ต่างกันหรอกนะ(?)..เราว่า(?)..
เรามองว่า..”เรื่องนามธรรม,ความเชื่อ,การคาดคะเน,การอนุมาน”ใน”ภพหลังตาย?”นั่นน่ะ.. ให้ถกเถียงกันยังไง(?)ก็ไม่จบ(?),ไม่มีใครชนะใครได้หรอก(?).. ส่วนมาก”สาวกของศาสดาไหน?”ก็จะอวย”ศาสดาของตน”ว่า”เก่งกาจ,สารพัด?”จนฟังดู”โอเว่อร์เกินมนุษย์?”กันทั้งนั้น(?)..นั่นแหละ(?)(เราว่า?)..ไม่มีใครยอมแพ้ใครหรอก?.. เพราะที่สุด..ยังไม่มีใคร?(หรือ”นักวิทยาศาสตร์คนใด?”)ที่สามารถ”พิสูจน์โลกหลังตาย?”ได้อย่างชัดเจนได้เลย(?),ไม่ว่าจะเป็น”ความเชื่อใดๆ?”ก็ตาม..(ความเห็นเฉพาะตัวนะครับ?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.110.179 วันที่: 12 ธันวาคม 2567 เวลา:13:16:43 น.  

 
4.มี”คำภาษิต”ที่อยู่ในใจ,ในสมองของเราอยู่ตลอดมา.. คือคำว่า”ผู้ที่ไม่กังวลกับอนาคต..คือผู้ที่มีความสุขในปัจจุบัน”[ซึ่งน่าจะค้านกับ”หลักการคำสอนของคริสต์”แบบ180องศาเลยล่ะ(?)..เราว่านะ(?).. แล้วอย่างนี้”ความจริงจะมีเพียงหนึ่งเดียว?”ได้อย่างไร?.. เราก็งงมาก?]..
เรามี”หมายจำในสมอง”หรือมี”สัญญา”( =”ความจดจำ”)ใน”ขันธ์5ของเรา”ว่า.. มันเป็น”ภาษิตของศาสนาพุทธ”.. ซึ่งในเวลาที่”จิตใจเรามีกังวล?”กับ”เรื่องที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต?”เมื่อไหร่(?),เราก็มักจะใช้”คำภาษิตนี้”มาใช้ประโยชน์,เพื่อ”ตั้งสติ,และปลอบใจตนเอง”อยู่เสมอ..[ทั้งๆที่เราก็ยังมี”ข้อแย้งในใจ”อยู่ด้วยเสมอว่า..เป็นการคิดแบบ”ตัดช่อง?”,เพื่อแก้”ความทุกข์กังวล?”ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า(?)..เท่านั้น(?)..ก็ตาม.. เช่น ถ้าเฉพาะหน้า.. เรา”ไม่มีอาหาร”และ”ไม่มีเงินยังชีพ”เลย.. เราคงไม่สามารถ”ทำความคิด?”ว่า..”ไม่ต้องกังวลกับอนาคต,แล้วจะมีความสุขในปัจจุบัน?”ได้(?).. เพราะก็กำลัง”ทุกข์เพราะหิวอาหาร”อยู่เฉพาะหน้า(?)..นี่ไง(?).. ดังนั้น..”ภาษิตนี้”น่าจะใช้ได้เฉพาะกับ”ผู้ที่ยังมีสภาพเศรษฐกิจที่พออยู่ได้ในปัจจุบัน?”..เท่านั้นนะ?..เราว่า?]..
แต่เรามาค้นดูใน”กูเกิ้ล”อยู่หลายครั้ง,ก็ยังไม่พบ”ข้อมูลของภาษิตนี้”(ที่เป็น”ภาษาบาลี”)ใน”ระบบค้นหาของกูเกิ้ล”เลย.. แต่มันติดอยู่ในใจเรา,คล้ายเคยอ่านพบ,หรือเคยได้ยินผ่านหู.. และสำนวนมันเป็นลักษณะ”สำนวนแบบของพุทธ?”(น่าจะไม่ใช่ของ”สำนวนของคริสต์?”นะ?..เราว่า?)..
นี่แหละ.. ที่เราจึงเคยวิเคราะห์ว่า..”พุทธ”จะเน้นการ”แก้ทุกข์ในใจ?”เฉพาะหน้าไปก่อน(?).. ส่วน”โลกหน้า?”หรือ”การหลุดพ้น?,ค่อยจะสอนตามมาทีหลัง(?)(ซึ่งอาจจะ”ไปถึง?”หรือ”ไปไม่ถึง?”,ทั้ง”โลกหน้า?”และ”การหลุดพ้น?”,แล้วก็ต้องไป”ตกนรกหลังตาย?”ก็เป็นได้?..อยู่ดี?..นั่นเอง?)..
ซึ่งทาง”คริสต์”เขาจะไม่ยอมรับ”หลักการนี้”,เขามองว่า.. คล้ายเป็นการ”กลบเกลื่อนความทุกข์เฉพาะหน้า?”(แบบพุทธ),เหมือน”คนหลอกล่อจิตตัวเอง?”โดย”ใช้ตรรกะ?,ใช้สมอง?”(เชิง”ฉลาดแบบมีเหลี่ยม?”),คล้ายกำลัง”หลอกตัวเอง?”เหมือน”คนFake?”( =”สร้างภาพให้ดูดี?”)..อะไรประมาณนั้น(?)..
เพราะ”คริสต์”จะเน้น”ความจริงใจต่อพระเจ้า”เป็นหลักใหญ่(มัทธิว22:37,”จงรักพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า..และด้วยสิ้นสุดกำลังความคิดของเจ้า”..นั่นไง?).. ซึ่งเรามองว่าเป็นเรื่องของ”อุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่?”(ที่”น่าประทับใจ”),ที่ไม่ได้เน้นว่า..”จะต้องให้ตนเองต้องมีสุขก่อน,แล้วจึงจะไปช่วยผู้อื่นทีหลัง?”..ซึ่งเป็นแนวคิดคนละอย่างกับ”พุทธ”(?)..อย่างสิ้นเชิง(?)..
คือ”คริสต์”มองว่า..”พุทธเห็นแก่ตัว?”,มุ่ง”แก้ความทุกข์ของตนเองก่อน?”.. แต่”พุทธ”มองว่า..“คริสต์ไม่ฉลาด?”,คิด”มโนเอาเอง?”(เชื่อแบบ”งมงาย,ไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ)ว่ามี”พระเจ้าเบื้องบน?”,และเหล่าศาสนิกของคริสต์”จึงต้องยอม”ทนทุกข์ทุกอย่าง”เพื่อ”ถวายเกียรติต่อพระเจ้า”(ซึ่งไร้ตัวตน?),เพื่อให้”พระเจ้าดูยิ่งใหญ่?”,และ”เกริกเกียรติสูงยิ่ง?”..ประมาณนั้น?.. ซึ่ง”พุทธ”น่าจะมองว่า.. “ถ้าตนเองยังไม่มีความสุข?..แล้วจะไปช่วย’แบกคนอื่น?’ได้อย่างไร?”,น่าจะเป็นเรื่องที่”เพ้อพก?,หลอกตัวเอง?”นั่นหละมากกว่า?..ประมาณนี้ครับ(?)..
ซึ่งทาง”คริสต์”เขาจะไม่เน้นว่า..”ต้องให้มีสุขใจ,สุขกายเฉพาะหน้าก่อน?”,แต่เขาพร้อมจะ”เดินลุยไฟเพื่อพระเจ้าของเขา?”,แต่เขาจะเน้นหวัง”แสวงสุขในโลกหน้าร่วมกับพระเจ้า?”เป็นหลัก(?),และ”ไม่ต้องกลับมาเกิด?”ใน”สมรภูมิของโลก?”อีกต่อไป(?)..นั่นต่างหาก(?)..[ในมัทธิว5:4,บุคคลผู้ใดโศกเศร้าผู้นั้น(จะ)เป็นสุข..เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม(จากพระเจ้า)”].. ประมาณนี้ครับ(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.110.179 วันที่: 12 ธันวาคม 2567 เวลา:15:42:27 น.  

 
5.”อ.เบียร์”ไล้ฟ์ตอบคำถามวันนี้(12-12-67)กับ”ผู้ชมคลิปบางท่าน”ประมาณว่า..”การดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีจริง”..ประมาณนี้(?)..
แต่สิ่งที่เราเคยพบ,เคยได้ยิน,ซึ่งไม่รู้ว่า..จะเรียกว่า”สิ่งศักดิ์สิทธิ์?”ได้หรือเปล่า(?).. นั่นก็คือ..
(ก)”หญิงในวัยเกือบ60ปี”ที่เคร่งใน”หลักคริสเตียน”มากท่านหนึ่ง,เล่ากับเราส่วนตัวว่า.. คืนหนึ่ง.. เธอนอนยังไม่หลับ,และอธิษฐานกับพระเจ้าอยู่.. และพระเจ้าทำให้เธอลอยขึ้นจากเตียงสูงขึ้นมาจนจะถึงเพดานมุ้ง,จนเธอต้องพูดออกมาว่า..”พอแล้ว..พอแล้ว..เชื่อแล้ว”.. จากนั้น..”ตัวเธอ”จึงค่อยๆลอยลดต่ำลง,จนถึงเตียงเหมือนเดิม..
เธอเล่าอีกว่า.. เคยมี”ผู้ชายคนหนึ่ง”ที่อยู่ใน”หมู่บ้านเดียวกันกับเธอ”จะเข้ามา”รุกราน,หาเรื่องเธอ”.. เมื่อเธออธิษฐานกับพระเจ้า,”ชายผู้นั้น”ก็กลับ”ล้มลงใส่รั้วลวดหนาม”จนเลือดโชก.. ต่อจากนั้นเขาก็ไม่กล้ามาระรานเธออีกเลย..
และอีกครั้ง.. เธอเล่าว่า.. เธอเคยถูก”ลมพายุพัดแรง”จนเธอหลุดออกจากเบาะมอไซค์.. และเธออ้างว่า..ร่มที่เธอติดไปด้วยได้กางออก,และพาเธอลอยละลิ่วมาสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย..
และมีอีกหลายๆเรื่อง,ที่เธอเล่าถึง”การอัศจรรย์”,ที่เธออ้างว่า..มาจากการ”ดลบันดาลจากพระเจ้า”,ซึ่งเราก็จำเรื่องราวไม่ค่อยได้แล้ว.. ซึ่งจัดว่าเป็น”ผู้ที่มีความเชื่อต่อพระเจ้าอย่างมั่นคง,แข็งแรง,เหนียวแน่นมากผู้หนึ่ง”,ที่เราเคยได้ประสบพบมา.. และทุกครั้งที่เธอพบ”การอัศจรรย์”,เธอมักอยู่เพียงผู้เดียวเสมอ..[ไม่มีคริสเตียนอื่นๆอยู่ด้วยเลย.. นัยยะที่เราต้องการสื่อ..คือ.. น่าจะเป็น”เธอกับพระเจ้า”เท่านั้น(?).. ไม่ใช่ลักษณะของ”จิตวิทยาหมู่”,หรือ”จิตวิทยารวมกลุ่ม”,หรือ”การสะกดจิตหมู่”,หรือ”อุปาทานหมู่”,ที่เกิดจาก”พลังจิตของคนเป็นจำนวนมากในที่ประชุม?”..แต่อย่างใด(?)]..
(ข)ที่”โบสถ์ความหวังกรุงเทพ”,เคยมี”คริสเตียน”ใน”เครือข่ายโบสถ์ความหวัง”ในต่างจังหวัด(เมื่อราว30กว่าปีก่อน)นำมาเล่าต่อๆกันว่า.. เคยมีเค้ซที่มีการ”อธิษฐานเผื่อคนพิการ,ที่ขาไม่เท่ากัน”อยู่”คนหนึ่ง”(ไม่แน่ใจว่าเป็นหญิงหรือชาย).. เมื่อมีการ”อธิษฐาน”จาก”ศิษยาภิบาลและสมาชิกในโบสถ์”ร่วมกันในครั้งนั้น.. ปรากฏว่า..”ขาของคนพิการผู้นี้”ยืดออกมาจนยาวเท่ากันทั้ง2ข้าง,อย่างน่าอัศจรรย์,ต่อหน้าคนเป็นจำนวนมาก..(ถ้ามาถึงยุคสมัยนี้.. อาจมีคนตั้งข้อสงสัยว่า.. อาจเป็น”การจัดฉาก?”หรือไม่?(ก็เป็นได้?)..(แต่เราก็ไม่ได้ยืนยัน,เพราะเราไม่ได้เห็นเองกับตา.. แค่เราได้รับฟังต่อกันมาอีกทีเท่านั้นนะ)..
(ค)สมัยหนึ่ง(ราว30ปีมาแล้ว).. เราเองนี่แหละเข้าไปศึกษา”อนุตตรธรรม”,และทำเป็น”โต๊ะพระเล็กๆ”ที่บ้าน,ซึ่งมี”กระถางธูปบูชา”อยู่ด้วย.. วันหนึ่ง.. ก็มีการ”จุดธูปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์”,และธูปก็ได้ดับไปแล้ว.. แต่จู่ๆ..”ธูปที่เหลือแค่ขี้เถ้าธูปติดกับก้านธูป”,อยู่ๆก็พลันติดไฟลุกโชติช่วงขึ้น,มี”เสียงดังฟู่ๆ”อยู่ราวนาที2นาที,แล้วจึงค่อยๆดับมอดลง..
เราจึงให้”เด็กที่บ้านคนหนึ่ง”(อายุไล่เลี่ยกับ”เด็กเชื่อมกล้วย”,ที่เป็นวัยที่ยังดูบริสุทธิ์,เพราะยังไม่ถึง”วัยเจริญพันธุ์”นั่นแหละ),โดยลองให้”นั่งสมาธิ”ดูให้หน่อย,โดยเราบอกแนวทางว่า..ลองติดต่อกับ”เจ้าแม่กวนอิม”,ให้ถามว่า..”ทำไมก้านธูปซึ่งดับไปแล้ว,จึงสามารถมีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมาอีกรอบได้?”..
เมื่อเด็ก”ออกจากสมาธิ”แล้ว,เขาก็บอกว่า..”เจ้าแม่กวนอิม”บอกว่า.. เพราะมี”สิ่งศักดิ์สิทธิ์”มาเยี่ยมเยียนอยู่หลายองค์มาก,จึงทำให้”ธูปจึงติดไฟขึ้นเอง”,เพื่อ”น้อมสักการะเซียนทั้งหลายเหล่านี้”..นั่นเอง..(ยังมีอีกบางเรื่อง..ให้ลองนึกดูก่อนนะ)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.110.179 วันที่: 12 ธันวาคม 2567 เวลา:23:06:29 น.  

 
(ฆ)ใน”ยอหน์3:8”บอกว่า..”ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน”..
เราเป็นพยานว่า.. ราว40ปีก่อน,เราเคยศึกษา”คริสต์สายโปรแต๊สแต๊นซ์”(แบบ”เพนเทคอส”)ในอดีต,เคยเข้ารับ”พิธีศีลบัพติศมา”(จุ่มน้ำ),เหมือนกับทั้ง”อ.เบียร์”และ”อ.แช้มป์”..นั่นแหละ..
แต่เราก็มี”ประสบการณ์กับพระเจ้า”เหมือนอย่างใน”พระธรรมยอห์น3:8”ที่มีบันทึกไว้..นั่นเอง.. คือหลังจากที่เรา”รับพิธีบัพติศมา”(จุ่มลงในน้ำทั้งตัว)แล้ว.. จากนั้นไม่นาน(อาจประมาณ1สัปดาห์).. ในคืนหนึ่งเมื่อเรากำลังเข้านอน,แต่ยังไม่หลับ,แต่รู้สึกตัวอยู่ในร้านที่เราเปิด”ร้านขายของชำ”,ซึ่งจะอยู่ติดกับ”ถนนใหญ่ในระดับอำเภอหนึ่ง”..
ซึ่งเรานอนอยู่,สติอาจเคลิ้มๆ.. แต่ยังลืมตา..เห็นสินค้าในร้านวางอยู่ตามชั้น,พลันเราก็รู้สึกเหมือนมี”ลมพัดมาในทิศทางเดียว”,และมีเสียงลมตึงๆ..(แต่เราไม่ได้เปิดพัดลมนะ).. และในขณะนั้น..เรายังรู้สึกว่า..เรายังเห็นสินค้าที่อยู่ในชั้นวางต่างๆอยู่เลย.. และพลันที่รับรู้สึกถึง”กระแสลมที่พัดมาทิศทางเดียว”(ไม่ใช่ลมแบบหมุนเปลี่ยนทิศทางไปมานะ)นั้น,ปากเราก็เกิดอาการ”พูดภาษาแปลกๆ”ตามใน”พระคัมภีร์”ที่มีบอกไว้,ออกมาเอง,โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะพูด,แต่เหมือน”ลิ้นและริมฝีปาก”มันถูก”พลังบางอย่าง”,แล้วพูดรัวๆเป็น”ภาษาแปลกๆ”(ที่เราก็ฟังไม่ออก)ออกมาเอง(แบบบังคับตัวเองไม่ได้)..
จนในสำนึกในใจขณะนั้น.. เรายังนึกเขินอายในใจว่า.. ถ้ามีใครเผอิญ”เดินผ่านฟุตบาทหน้าบ้าน”ในช่วงเวลานั้น,แล้วได้ยิน”ภาษาแปลกๆเสียงดังๆของเรา”,ซึ่งรู้สึกว่ามันดังมากนั้น.. เขาคงมองว่า..”เจ้าของร้านนี้”เป็นอะไร?,พูดภาษาอะไร?,รัวๆฟังไม่ออก?,เป็นบ้า,คลุ้มคลั่งอะไรหรือเปล่า?.. ซึ่งขณะนั้นเรายังคงนึกกังวลในใจว่า.. อาจถูก”คนที่เดินผ่านแล้วได้ยิน”,อาจนำไปพูด”นินทาในทางลบต่อเรา”ก็เป็นได้..ประมาณนั้น..
แล้วซักหน่อย.. ทั้ง”ลมที่พัด”และการ”พูดภาษาแปลกๆของเรา”ก็เริ่มสงบลง.. ซึ่งใน”หมู่คริสเตียน”,จะบอกว่า..นี่คือ”การเจิมจากพระเจ้า”,ประมาณคล้าย”พระราชา”เจิมหน้าผากให้กับ”ข้าราชการสำคัญ”ที่จะเข้า”รับราชการ”..นั่นเอง..
และหลังจากนั้น..เราก็รู้สึกตัว,มีสติเต็มขึ้นมาในทันที,ด้วย”ความตื่นเต้นและขนลุกซาบซ่าน”(คล้ายอาการ”ปีติของพุทธ”),ด้วยความ”ปลาบปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก”ในขณะนั้นด้วย..
จึงอยากฝากถาม”อ.เบียร์”ว่า.. อย่างนี้จะเรียกว่า”สิ่งศักดิสิทธิ์”หรือ”พระเจ้า,พระผู้สร้าง”เป็นเรื่องที่”ไม่มีจริง”,เป็นเรื่อง”อุปาทานไปเอง”ของ”ผู้นับถือคริสต์”(ซึ่งมีเกิดขึ้นคล้ายๆกันเป็นจำนวนมาก)ได้หรือไม่?.. และไม่ใช่มีแต่เราที่เคยพบประสบการณ์เช่นนี้นะ.. แต่ยังมี”คริสเตียนที่ผ่านการบัพติศมาแล้ว”มักจะได้เจอ”ประสบการณ์ทำนองนี้”อยู่เป็นจำนวนมาก,ตามที่เราเคยได้ยินมา..
และมักจะเป็น”ประสบการณ์ตามลำพังกับพระเจ้า”,ซึ่งมั่นใจว่าไม่ใช่ลักษณะของ”การสะกดจิตหมู่”,หรือ”อุปาทานหมู่”ในลักษณะ”บางเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น?”ใน”ที่ประชุมของคนจำนวนมาก”..อย่างแน่นอน(?)..(นะเราว่า?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.110.179 วันที่: 13 ธันวาคม 2567 เวลา:1:50:34 น.  

 
(ง)(บันทึกๆไว้ใน”ความทรงจำของเรา”)..
ราวปีพ.ศ.2527(+,-).. ณ “คริสตจักรแห่งหนึ่ง”ทางเขต”อิสานใต้”.. เราได้พบ”การอัศจรรย์ที่ประหลาดมาก”ที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง.. ตอนนั้น..มีประชุมที่”โบสถ์คริสต์แห่งหนึ่ง”ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ด้วย.. ซึ่งมีการเชิญ”อ.เซ็ปโป้”(เราจำเชื้อชาติไม่ได้,ซึ่งอยู่”คจ.ของอีกอำเภอ”),และมี”อ.ไลเน่”(น่าจะมาจากฟินแลนด์,ประมาณว่าคล้าย”อัครทูตของพระเจ้าในสมัยก่อน”,คล้ายแบบ”อ.เปโตร”และ”อ.เปาโล”..ประมาณนั้น)มาเข้าร่วม”ประชุมอธิษฐาน”ใน”วาระพิเศษเฉพาะกิจ”,และมี”อ.ปีเต้อร์”(ชาวอังกฤษ)เป็น”มิชชันนารี่”ที่อยู่ประจำกับ”คจ.”ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ด้วย..
พอเข้าถึงช่วง”อธิษฐานพร้อมกันในที่ประชุม”,เราจำไม่ได้ชัดแต่มี”อ.ไลเน่”ได้กล่าวกับที่ประชุมประมาณว่า..”มีใครที่ต้องการให้พระเจ้าแตะต้อง(เจิมเป็นพิเศษ)ให้ยกมือขึ้น”.. ปรากฏว่า.. ในที่ประชุมนั้นดูเหมือนจะมีเรายกมือขึ้นแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น..
เมื่อ”อ.ไลเน่”เริ่มพาให้สมาชิกทุกคนยืนขึ้น,ชูมือขึ้นให้สุด,และ”หลับตาอธิษฐานต่อพระเจ้าแบบออกเสียง”พร้อมๆกัน.. ประมาณน่าจะ5นาที(+,-)เห็นจะได้.. เราก็รู้สึกสัมผัสได้ถึง”พลังพิเศษเทลงมาบนศีรษะ”,เหมือนเราอยู่ใน”การควบคุมของลมหมุน”(ซึ่งมีเพียงเราคนเดียวที่รู้สึกถึง”พลังลมนี้”ในที่ประชุม..เท่านั้น).. จากนั้น..เราก็เริ่ม”พูดภาษาแปลกๆ”[ตามที่มีบันทึกไว้ใน”คัมภีร์คริสต์”ใน”กิจการของอัครทูต2:1-4” :- **เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง พวกสาวกรวมตัวอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุแรงกล้าดังก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น และพวกเขาเห็นบางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ( =”ภาษาแปลกๆ”) ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด**]ที่ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร(?),(และเราควบคุมปากและลิ้นของเราไม่ได้)ด้วยเสียงอันดัง..
และสักครู่..เรารู้สึกเหมือนตัวเราหมุนไปมา,ลอยอยู่เรี่ยๆพื้น,แต่ไม่สัมผัสพื้น,สักหน่อยก็เหมือนจะหมุนด้วย,เคลื่อนตัวด้วย.. และได้ยินเสียงมีคน(ซึ่งเขาอาจได้ยิน”เสียงพูดภาษาแปลกๆที่มีพลังที่ไม่ปกติ,ที่ดูพิเศษ”ของเรา.. และ”บางคน”อาจลืมตาและชำเลืองดูอาการที่เราหมุนไปมา,และทำท่าจะเคลื่อนตัวเองออกจากที่)ซึ่งจึงเข้ามาช่วยขยับเก้าอี้ออก,เพื่อไม่ให้เราชนเก้าอี้ล้ม..(เพราะเราก็อยู่ใน”อาการหลับตา,พูดภาษาแปลกๆ,หมุนตัวไปมาอยู่ตลอด”)..(ซึ่งสมัยก่อน..ยังไม่มี”โทรศัพท์มือถือ”ที่แพร่หลายเหมือนสมัยนี้.. ซึ่งถ้ามี”โทรศัพท์มือถือ”ที่ใช้กันมากเหมือนสมัยนี้,ก็เชื่อว่า..คงมีคนรีบ”ถ่ายภาพเคลื่อนไหว”เพื่อเป็น”ประจักษ์พยาน”เอาไว้แน่ๆ)..
ในที่สุด.. เราก็หมุน,เคลื่อนตัว,แบบหลับตา,มือยกชูขึ้นสูงสุด,และ”พูดภาษาแปลกๆ”ไปด้วย,จนเคลื่อนตัวไปจนถึงข้างหน้า”ที่ประชุม”ที่มี”อาจารย์”ทั้งที่เป็น”ชาวต่างประเทศ”และ”อาจารย์คนไทย”ยืนเรียงแถวกันอยู่.. จนที่สุด.. มี”อาจารย์ที่เป็นมิชชันนารี่ท่านหนึ่ง”[ซึ่ง“สัญชาตญาณในใจเรา”ก็รู้สึกว่า.. แม้แต่”อ.ต่างชาติท่านหนึ่ง”ที่เป็น”มิชชันนารี่”ก็อาจมี”อารมณ์อิจฉา”(ที่อาจไม่ต่างจาก”นิสัยแบบคนไทยเราบางส่วน”เช่นกัน),ที่เห็นว่า..เราได้รับ”การทรงเจิมจากพระเจ้า”แต่”เพียงผู้เดียวในที่ประชุม”,ซึ่ง”ดูโดดเด่นมาก”(และเท่าที่รู้คือ..”มิชชันนารี่ผู้นั้น”ไม่ได้เห็นด้วยกับ”สายเพนเทคอส”ที่เชื่อเรื่อง”การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์”ที่มีการ”พูดภาษาแปลกๆ”ด้วย)..]..
จึงแทนที่จะให้”พลังของพระเจ้า”เคลื่อนออกไปเองตามธรรมชาติ.. ก็เลยกลับกลายเป็นว่า..”อาจารย์ฝรั่งมิชชันารี่ผู้นั้น”ก็ดันเอามือมา”แตะต้องตัวเรา”,และ”พูดเบาๆกับเรา”ว่าพอแล้วๆ..ประมาณนี้.. จากนั้น..”การหมุนไปมาของเรา”,และ”การพูดภาษาแปลกๆของเรา”ก็ค่อยๆสงบลง,จนหยุดสนิท..
และเราก็จึงลืมตาขึ้นเห็นว่า.. ตัวเองได้เคลื่อนออกไปยืนอยู่กับ”แถวของเหล่าอาจารย์”ที่ยืนอยู่”ข้างหน้าที่ประชุม”อย่างน่าประหลาดใจ(ซึ่งเดิมเรายืนอธิษฐานอยู่เกือบๆจะ”แถวสุดท้ายหลังห้องที่ประชุม”เลย).. เพราะเราไม่ได้ลืมตาเลย,นับตั้งแต่”เริ่มยืนอธิษฐาน”เป็นต้นมา.. แต่เหมือนมี”พลังที่อยู่เหนือธรรมชาติบางอย่าง”ที่มี”ผู้กำหนดควบคุม”(ที่มนุษย์มองไม่เห็น)พาเราเคลื่อนตัวแบบ”หมุนไปมา”,โดยที่”เท้าไม่แตะติดพื้น”,แบบ”หลับตาอยู่”นี่แหละ,จนกระทั้งไปยืนอยู่ร่วมกับ”เหล่าอาจารย์”ที่ยืนอยู่”หน้าที่ประชุม”ได้.. และ”ปรากฏการณ์แบบนี้”ไม่เคยมีอยู่ใน”สัญญาจำ”หรือใน”อุปาทานจิตของเรา”( =”มโนเอาเอง”)ว่า..เคยเห็น”ภาพทำนองนี้”มาจากที่ใดๆ(ในอดีตที่ผานมา)เลย..
จึงอยากฝากถาม”อ.เบียร์”ว่า.. อย่างนี้จะเรียกว่า..มี”สิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง”ที่สามารถ”ดลบันดาลในบางเรื่อง”ที่ดู”เหนือธรรมชาติบางอย่าง”..ได้หรือไม่?..(Unique Dharma Truth = ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว)
ปล..เรารู้สึกขนลุกเป็นช่วงๆเกือบ1ชั่วโมง..ขณะที่พิมพ์โพ้สต์นี้เลยนะ..แปลกมาก..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.113.61 วันที่: 24 ธันวาคม 2567 เวลา:3:22:57 น.  

 
6.(เราพยายามจับ”สภาวะ”ของ”นามธรรม”ของ”มนุษย์บางท่าน”เพื่อมาสื่อเป็น”รูปธรรม”)..
“อ.เบียร์”เปรียบเหมือน”ผู้ปราบ”คือ”พระนารายณ์”(หรือ”พระราม”).. ซึ่งถ้าดูเผินๆคร่าวๆ..ท่านดูจะมี"ความเฉียบคมทางปัญญา"ละม้ายกับ"พระพุทธเจ้า",ที่ตอบคำถามต่างๆได้อย่างคล่องปรื๊ด,ไม่มี”การติดขัด”หรือ”ตายไมค์”,อย่างที่”สื่อมวลชนทั้งหลาย”มักพูดกันเช่นนั้น)[สมัยที่ผ่านมา..”ท่านโพธิรักษ์”(ค่ายสีกรัก)ก็เคยสมมุติตัวเองเป็นดุจ”พระนารายณ์”หรือ”พระราม”(หรือ”รามรักษ์”)..เช่นเดียวกัน.. แต่บัดนี้..ท่านได้ละสังขารไปแล้วเมื่อราวเมษายนปี2567นี่เอง]หรือคือ”ผู้มาแก้ปัญหา”โดยใช้”เหตุผล,ตรรกะ,ความรู้ทั้งหมดเท่าที่จะสรรหาได้ในโลกใบนี้”..นั่นเอง..
ส่วน”คู่บารมี”(หรือ”คู่บุญสัมพันธ์”)ที่มี”ทัศนะและบุคลิกบางอย่าง”ที่คล้ายกัน(คือ”การพูดแบบตรงไปตรงมา”).. ก็คือ”คุณนก มารียา”(นับถือ”ศาสนาแบบรวมๆ”คล้ายๆเรา,ซึ่งเราก็มีทัศนะคล้ายๆนี้เหมือนกัน),ซึ่งเราได้ฟังบางคลิปแล้ว.. ซึ่ง”คลิปล่าสุด,EP.2”(23-12-67)เป็นตอนที่ทำให้เรารู้สึก”ขนลุก”ตั้งแต่ราว”นาทีที่45”เป็นต้นไปเป็นระยะๆ,จนถึงแม้ขณะนาทีนี้ก็ตาม..
[เราเคยถาม”ผู้ประกาศคริสต์มอรมอน”ว่า..จะพิสูจน์ว่ามี”พระเจ้า”(พระเยซู)ได้อย่างไร?.. ซึ่งเขาก็มักอ้างถึง”การรู้สึกขนลุก”ว่า..นั่นแหละคือการ”สื่อสารจากพระเจ้า”หรือ”พระเยซู”นั่นเอง.. หรืออย่าง”คนพุทธบางส่วน”ก็มักจะพูดเพื่อสนับสนุน”พลังพิเศษ(เซ้นซ์)ของตน”ว่า.. ถ้าพูดถึงเรื่องอะไรแล้วมี”อาการขนลุก”ก็แปลว่า..”เรื่องนั้นมักจะเป็นเรื่องจริง”..เช่นเดียวกัน.. อย่างเช่น”พิธีกรเล่าข่าวตัวยง”ของ”ช่อง8”..เป็นต้น]..
ซึ่งคุณ”นก มารียา”จะเปรียบได้กับ”เจ้าแม่กวนอิม”,ซึ่งแสดงออกคือ..”เมตตากับคนทุกทัศนะ,ทุกเชื้อชาติ,ทุกศาสนา”..ประมาณว่า..”โลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน”,ซึ่งดูเธอพยายามจะหลอมรวม”หลักศาสนาต่างๆในโลก”ให้เป็น”เป้าหมายเดียวกัน”,ที่ไม่ต้องไปเปรียบเทียบว่า..”ของใครดีกว่าของใคร?”..ประมาณนี้..นั่นเอง.. ซึ่งเรายอมรับว่า.. เรารู้สึกประทับใจทั้ง”อ.เบียร์”และ”คุณนก มารียา”..เฉพาะ ณ วันนี้นะ..(เพราะอนาคตไม่อาจคาดเดาได้ครับ)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.113.61 วันที่: 24 ธันวาคม 2567 เวลา:5:59:27 น.  

 
7.(“ความคิดเห็นส่วนตัว”จาก”ประสบการณ์ทางศาสนาต่างๆ”)..
**ทำไมจึงต้องมี”อ.เบียร์”และ”คุณนกมารียา”โด่งขึ้นมาในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน?..
**”หลักพุทธ”อาศัยการ”แก้ปัญหาเฉพาะหน้า”,เอาชนะ”ทุกข์ทางกาย”และ”ทุกข์ทางใจ”แบบ”เฉพาะหน้า”ให้ได้ไปก่อนคร่าวๆ.. เช่น.. การคิดแบบปล่อยวาง,ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นอะไร?.. ซึ่งก็ถือเป็น”กุศโลบายที่ฉลาดยอดยิ่ง”ได้ในระดับหนึ่ง( =”ใช้อุบายล่อจิตใจ,อารมณ์ให้คลายทุกข์เฉพาะหน้าไปก่อน”),แล้วจึงค่อยมุ่งไปสู่”การศึกษาปฏิบัติพุทธ”ใน”ระดับลึกซึ้ง”ถึงขั้น”สลายอัตตาตัวตน”ให้ได้ในภายหลัง..นั่นไง(?)..[คุณเคยได้ยิน”อดีตผู้นำบางคน?”ที่ต้อง”หนีคดีไปอยู่แดนไกล?”,ก็ยังเคยพูดเหมือน”ผู้ทรงภูมิทางพุทธธรรม”ว่า”เล็ทอิทบี?”( =”ช่างแ-งมัน?”)นั่นไง(?)..ใช่มั้ยล่ะ?]..
**ส่วน”หลักคริสต์”นั้นอาศัย”กินอุดมการณ์ความรัก,ความเชื่อ,ความหวังใจ”(ใน”1โครินธ์ 13:13”)(จริงๆเทียบเท่ากับ”ตัณหาชนิดหนึ่งของพุทธ”)(หรือเท่ากับ”วิภวตัณหา”หรือ”ตัณหาอุดมการณ์”ตามการตีความของ”พุทธสายโพธิรักษ์”,ซึ่งก็ยังคงต้อง”มีทุกข์”ที่เกิดจาก”ความมุ่งหมาย”,อันเกิดจาก”ความต้องเหนื่อยยาก”,และการ”หวังให้เกิดผลสำเร็จให้ได้”อยู่ดี?..นั่นเอง?)..
โดยที่”ทางคริสต์”จะเน้น”การร้องขอทุกอย่างจากพระเจ้า”(ใน”ฟิลิปปี4:6”)(ซึ่ง”พระเจ้า”นั้นก็ไม่มี”รูปลักษณ์ที่สัมผัสได้?”,และไม่สามารถ”พูดจา,ถามไถ่,ตอบโต้กันโดยตรง?”กับ”พระเจ้า”ได้(?)..[แต่ใน”ยุคอาดัม,อับราฮาม,ยาโคบ,โมเสส,พระเยซู,เปโตร,เปาโล”มีอ้างว่า..สามารถ”สื่อสารกับพระเจ้า”ได้,แต่ก็เป็นเพียง”คำเล่าอ้าง?”เท่านั้น(?).. แต่ในยุคปัจจุบันนี้,ไม่มีใครอ้างว่า”พูดคุยกับพระเจ้า?”ได้เลย(?),ซึ่งบางคนก็พูดกระทั่งว่า”พระเจ้าตายไปแล้ว”ด้วยซ้ำไป(?)]..
นอกจากจะมโนเอาเองว่า..”พระเจ้าตอบผ่านพระคัมภีร์”(คือต้องพยายาม”อ่านพระคัมภีร์”และ”จดจำไว้ให้ได้มากๆ”, พอเกิดปัญหา,แล้วอธิษฐาน,แล้วนึกถึง”ข้อพระธรรมข้อไหน?”,ก็ให้อนุมานว่า..”พระเจ้าตอบมาตามที่ตนเองนึกออกได้ในขณะนั้น?”แล้ว?)(หรือ”ชาวคริสต์บางคน”ทำแบบ”เปิดพระคัมภีร์เสี่ยงทายเอา?”ก็ยังมี?).. ซึ่ง”คนพุทธบางส่วน”มักมองว่า”คนคริสต์”มักคิดเอาเองว่า..”พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน?”,ทั้งๆที่ก็”พิสูจน์ใดๆให้ประจักษ์แจ้งไม่ได้?”..
ซึ่ง”คนคริสต์บางส่วน”เมื่อ”ร้องขอต่อพระเจ้า”ไปนานๆแล้วไม่ได้ผล?,ก็จะ”เหนื่อยล้าและท้อแท้”,เพราะ”ปัญหาเฉพาะหน้าก็รุมเร้า?”(โดยเฉพาะ”ปัญหาการเงิน?”,ซึ่งเป็น”ปัญหาหลัก”ของ”คนคริสต์จำนวนหนึ่ง?”เลยทีเดียว?)..
ซึ่ง”บางคน”ที่เคยเป็น”พุทธ”มาก่อน,แล้วย้ายมา”เข้าคริสต์”,พอนานไปไม่ได้รับการ”ตอบคำอธิษฐาน?”,ก็จะเริ่มหาเหตุผลย้อนแย้งว่า..”ตนเองคิดไปเองหรือเปล่าละมั้ง?”.. ซึ่ง”บางคน”(มีไม่น้อย?)ก็จะพากันหลุดออกไปเป็น”พุทธ”เหมือนเดิม(?),หรือกลายเป็น”พวกไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ?”ไปเลยก็มี(?)..
จึงมักจะพบว่า..”ประชากรคนคริสต์”ไม่ค่อยเพิ่มขึ้นใน”สังคมประเทศไทย”สักเท่าไหร่?,คือเข้าๆออกๆ?,มี”คนใหม่มาแทนคนเก่าที่ออกไปแล้ว?”ว่างั้นเถอะ(?).. และ”คริสต์บางส่วน”ก็ดัดแปลง”วิธีการหาสมาชิก?”ให้กลายเป็นคล้าย”ระบบธุรกิจไดเร็ก?”,เพื่อจูงใจในการ”หาสมาชิกกลุ่มตน?”,และพยายามถีบตนเองขึ้นมาในระดับ”ผู้นำแนวหน้า?”,ซึ่งอาจมี”ค่าตอบแทนในเรื่องการเงิน?”ขึ้นมาให้บ้าง(?)..ประมาณนั้น(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.113.61 วันที่: 24 ธันวาคม 2567 เวลา:11:10:37 น.  

 
8.(ต่อจากข้อ7)..
**คุณ”นกมารียา”พูดให้แง่คิดได้ดีมาก,ในกรณีที่มองว่า..”คนคริสต์”ก็ไม่ควรคิดว่า..จะเอาแต่”ขอกับพระเจ้าอย่างเดียว,แล้วก็จะได้เสมอไป”.. แต่จริงๆคือต้องลงมือทำตาม”ประสงค์ของตน”ให้”เต็มที่,อย่างไม่ออมแรง”เสียก่อน,ส่วน”ความสำเร็จ”นั้นให้มอบ”ความไว้วางใจ”ไว้กับ”พระเจ้า”..(ประมาณนั้น)..
ซึ่งจริงๆใน”คัมภีร์คริสต์”ก็มี”ข้อพระธรรมต่างๆ”ที่”ลับคม,ขบเหลี่ยม,ย้อนแย้งกันเอง?”อย่างมากมายใน”พระคัมภีร์เล่มเดียวกัน”..นั่นเอง(?)..(แล้วแต่”ผู้ใด?”จะนำมาตีความ,ให้เข้ากับ”แต่ละสถานการณ์”,เพื่อไม่ให้ดูว่า”พระคัมภีร์”พูดขัดแย้งกันเอง?..เท่านั้น?)..(แม้แต่ของ”พุทธเอง”ก็มี”ข้อธรรมะ”ที่ขัดแย้งกันเองอยู่ไม่น้อย..เช่นเดียวกันครับ?)..
ซึ่ง”คนพุทธ”ที่มาเป็น”คริสต์”ที่นิยมใช้ตรรกะมาก,คิดนั่นคิดนี่,ไม่ทำตัวเหมือน”เด็กเล็กๆ”(ที่เชื่อแบบง่ายๆ)ก็จะเข้า”แผ่นดินสวรรค์”ไม่ได้(ดังใน”มัทธิว18:3” :- ^แล้วตรัสว่า”เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย”^).. จึงที่สุดมักหลุดกลับไปเป็น”พุทธ”เหมือนเดิมในที่สุด..
**ว่าที่จริง.. ไม่มี”ศาสนาใด?”ที่ช่วยให้”ศาสนิกพ้นทุกข์”ได้อย่างแท้จริง(สิ้นเชิง,ทั้งหมด),ตราบใดที่ยังมี”สังขารร่างกาย”(ซึ่งต้อง”หิวและเจ็บป่วย”),โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ”ทุกข์ทางกาย”.. เช่น..”ความหิวโหย”และ”ความเจ็บป่วย”.. ซึ่งโดยมากมักใช้”หลักคิด”แบบ”เชิงจิตวิทยา”หรือ”การปลอบใจ”แบบ”ลมๆแล้งๆ”(ใน”ข้อพระธรรมคริสต์”บท”ปัญญาจารย์5:16”มีคำว่า”ลมๆแล้งๆ”ดังนี้ :- ^นี่ก็เป็นความเลวร้ายที่น่าสลดใจด้วย คือคนเรามาอย่างไรก็จากไปอย่างนั้น แล้วเขาได้ประโยชน์อะไรเล่า ในเมื่อเขาตรากตรำไปอย่างลมๆ แล้งๆ?^)ไปเรื่อยๆ..เท่านั้น(?)..
เช่น.. “พุทธ”จะสอนให้ปลง,ปล่อยวาง,มองว่าเป็น”วิบากกรรมเก่า”..(เช่น..”ปลงเสียเถิดแม่จำเนียร กัมมุนา วัตตะตี โลโก กุ๊กๆ”..เป็นต้น..นั่นไง?),คือให้ยอมรับ”สภาพที่เป็นอยู่แบบยอมจำนน”ว่าเป็น”กรรมเก่า?”ที่ไม่อาจย้อน”อดีตชาติ”เพื่อไปแก้ไข”ต้นเหตุแห่งกรรม?”ใดๆได้(?)..(อย่างที่”ระบบปกครองแบบจีน”ที่เขาเชื่อเรื่อง”การวางระบบที่ดี”เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า”กรรมเก่า?”,เขาจึงไม่ยอมรับ,และเขาใม่เอา”ศาสนาแบบพุทธ?”,เขาไม่ยอมให้มี”คอร์รัปชั่น”,เขาปราบอย่างเด็ดขาด,เขาไม่ให้ยอมจำนนต่อ”คนคอร์รัปชั่น”,เขาจึงพัฒนาประเทศไปได้ไกลกว่าไทยอย่างมากมาย?..นั่นไง?)..
หรืออย่าง”คริสต์เอง”ก็จะอ้างว่า..”พระเจ้าลองใจ?”หรือ”ทดสอบจิตใจ?”หรือ”ทดสอบความเชื่อ?”,โดยที่ก็ไม่มีความหวังว่า..”เมื่อไหร่การทดสอบความเชื่อจะสิ้นสุดลงเสียที?”..[อ่านข้อมูลใน”ข้อพระธรรมโยบ”(ทั้งบท)ประกอบการพิจารณาด้วยครับ]..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.136.225 วันที่: 26 ธันวาคม 2567 เวลา:1:46:20 น.  

 
9.(ต่อจากข้อ8)..
**(คลิปในลิ้งค์ข้างล่าง..คือ..”คลิปประกอบความคิดเห็นในข้อ6”ครับ)..
ขอขอบคุณ..
ไลฟ์สดEP.2 ตอบคำถามอ.เบียร์ ที่อ.แชมป์ตอบไม่เคลียร์!!
[https://www.youtube.com/watch?v=cFX4Bb5ZEi4]
**เฉพาะกรณี”คุณแพร์รี่”ที่พูดถึง”อ.เบียร์”และ”ทนายอ.”..
อย่าง”มหาหมี”ที่อยู่กับ”ทนายอ.”นั้น.. เรายอมรับว่า..ท่านเป็นผู้ที่ยึด”หลักการทางพระไตรปิฎกเถรวาท”ไว้ได้อย่างมั่นคง,น่าเคารพมาก..
ส่วน”ทนายอ.”ท่านก็เป็นผู้ทึ่ยึดความถูกต้องอย้างเข้มข้น,เข้มแข็ง,รู้สึกเคารพ,ชื่นชมเช่นเดียวกัน..(แต่ก็อยากขอถามว่า.. กรณี”สำนักพุทธธรรม-ท่านพุทธสาวก”นั้นเรื่องราวไปถึงไหนแล้วครับ?.. อยากให้”ทนายอ.”ช่วยสื่อสารความคืบหน้าออกมาเป็นระยะๆ..ด้วยครับ)..
เรามีแนวคิดส่วนตัวว่า.. เรานิยมการทำงาน”บางกรณี”(หลายกรณี)ของ”ทนายอ.”อยู่นะ.. คือเราก็ไม่อยากให้”พุทธไทย”เหมือน”ไม้หลักปักขี้เลน?”,ไม่เคร่งครัด?,เอนลู่ไปตามกระแส?(ตามแนวคิดของ”ทนายอ.”ที่ท่านได้พูดออกมา..เช่นเดียวกัน).. เช่น.. พอมี”ฝ่ายใด?”เอาเงินมาถวายช่วยเหลือ”ฝ่ายใด?”.. แลว”ฝ่ายนั้น?”ก็เลยกลายเป็น”ระบบอุปถัมภ์?”คุ้นกันไป(?),พูดอะไรไม่ค่อยออก(?).. เช่นนี้เป็นต้น..
หรือเรางง?.. อย่างกรณี”ทนายอ.”ก็ไปสนิทกับ”พระพยอม"(เคยเห็น”คลิปที่ทนายอ.พูดอยู่ข้างหน้าพระพยอม”).. ส่วน”อ.เบียร์”ก็ฟังว่า.. เร็วๆนี้..ก็มีการเอาเงินไปช่วยเรื่อง”โฉนดถุงกล้วยแขก”.. แล้วอย่างนี้..ก็เท่ากับเชื่อมโยงเป็น”คนกันเอง?”กันทั้งนั้น(?).. แล้ว”ทนายอ.”จะไปเอาผิดกับ”อ.เบยร์”ได้อย่างไร?.. เรางงจริงๆ(?)..
ประเทศไทยก็เป็นอย่างนี้.. แม้แต่”ฝ่ายการเมือง”ก็แบ่งกันเป็น”ก๊กๆ?”มากกว่า(นิยาย)”3ก๊ก?”ขึ้นไป.. ดูแล้วล้วนอิงกับเรื่อง”ผลประโยชน์ของกลุ่มตน?”ด้วยกันทั้งนั้น(?).. แต่ประชาชนก็ยังอุตส่าห์ไปเลือกให้เข้ามา”ดุแลสังคม?”กันอยู่ได้?..นั่นไง?..[จึงไม่รู้จะโทษใครดี?.. เพราะ”ประชาชนบางส่วน?”ก็ไม่ฉลาดเอง(?)(ที่ไม่มีทัศนะเหมือนกับ”ทางจีน,เวียดนาม,เกาหลีใต้”เขาเอง?)มากกว่า?..หรือไม่?]
ขอขอบคุณ..
https://www.youtube.com/watch?v=1Pvwh5KSXLU
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.136.225 วันที่: 29 ธันวาคม 2567 เวลา:12:49:35 น.  

 
10.(ต่อจากข้อ9)..
**กรณีของ”คุณแพร์รี่”เรามี”ความเห็นส่วนตัว”ดังนี้ครับ..
“คุณแพร์รี่”แต่ก่อนเคยบวชเป็น”พระ”,ก็ดูมีบุคลิกเป็น”เพศชาย”.. แต่หลังจากสึกออกมาก็(คง)มาทบทวนดูตัวเอง(?)(โดยเฉพาะเมื่อไทยเริ่มมีการออกกฎหมายรองรับ”กลุ่มLGBTQ”ขึ้นมา),ท่านก็เลยสมัครใจที่จะแสดงตัว,ปรับปรุงการแต่งกายเป็น”หญิง”ขึ้นมา(?)..
เราจึงอนุมานว่า.. จิตใจของ”คุณแพร์รี่”ก็น่าจะมี”อารมณ์แบบหญิงๆ?”,ซึ่งไม่นิยม”ความรุนแรง”หรือ”การทะเลาะเบาะแว้งกัน”จนถึงขั้น”แตกหัก?”นั่นแหละ(?)..
แต่เรามีมุมมองส่วนตัวว่า.. “จริตแบบหญิง”(ในการวิเคราะห์แบบ”ภาพรวม”,ไม่ได้เจาะจงใครนะ?).. คือ..เป็น”จริตแบบไม่แบ่งแยก(ให้)อย่างเด็ดขาด?”.. ดังนั้น.. จึงมีนิยายเรื่อง”ขุนช้างขุนแผน,กากี,โมรา”(ที่มีเชิง”2จิต2ใจ?”,ไม่เด็ดขาด?)..นั่นไง?.. และมาในสมัยใหม่.. ก็ยังมีหนังเรื่อง”ชู้”และ”หนังฝรั่งยอดฮิต”เรื่อง”ชู้....เรือล่ม”นั่นไง?.. ซึ่งถ้า”ตีความแบบธรรมะ”ก็ต้องบอกว่า.. เพราะเหตุแห่งการ”ละเมิดศีลข้อ3กาเมฯ”.. จึงน่าจะทำให้เกิด”การวิบัติภัย”จนทำให้”เรือล่มเสียชีวิต?”กันเป็นจำนวนมาก(?)..นั่นไง?..
อย่างแม้แต่”นางวิสาขา”(ภูมิ”โสดาบัน”)นั้น,ทาง”สายโพธิรักษ์”ก็เคยพูดเชิง”วิเคราะห์,ทำนาย”ว่า.. จนบัดนี้ก็ยังคง”เสวยสวรรค์ชั้นดาวดึงส์?”อยู่เลย(?).. ประมาณว่า..”ติดหลง,พึงพอใจ?”ใน”ความสุข”ใน”ระดับศีล5”,คงไม่สามารถ”บรรลุนิพพาน”ได้ในเร็ววันแน่ๆ(?)..ประมาณนั้น(?)..(นี่คือ”โทษแห่งการเป็นหญิง?”..นั่นเอง?)..
นี่คือลักษณะ”จริตแบบหญิง?”ซึ่งใน”พตปฎ.”ก็ยังมีระบุทำนองว่า..”หญิงไม่กลัวความเจ็บปวดจากการตั้งครรภ์,คลอดบุตร,และการเลี้ยงดูบุตร”(หลงงมงายว่า..”การมีบุตรคือความสุข?”)..ประมาณนั้น(?)..
และอย่าง”นางประชาบดีโคตมี”( =“แม่เลี้ยงของพระพุทธเจ้า”)ก็ยังพากเพียรที่จะไปขอให้”พระพุทธเจ้า”อนุญาตให้”หญิงมีสิทธิ์บวช”,จน”พระพุทธเจ้า”ใจอ่อนยอมให้”หญิงบวช”,อันเป็นเหตุให้”พุทธศาสนาสั้นลง?”จนเหลือแค่”2500ปี”(เพราะ”หญิงมีสรีระพริ้วไหว”,จนอาจทำให้”พระเสียสมาธิในการฝึกสติ”ได้?..ประมาณนั้นครับ).. จนทุกวันนี้..”พุทธ”ก็เหลือเพียง”ตำนานของกลองอานกะ?”ที่”พระพุทธเจ้า”ได้เปรียบเทียบไว้,อันเนื่องจาก”ยอมให้หญิงเข้ามาบวช”ใน”พุทธศาสนา”..นั่นไง?..
ซึ่งดังนั้น.. ในกรณีนี้.. เราจึงเห็นด้วยกับ”ทนายอ.”ว่า.. อะไรที่ถูกหรือผิดในเรื่อง”พุทธศาสนา”..(เช่น..”พูดผิด,สอนผิด,ยึดถือพิธีกรรมผิดๆ,เครื่องรางของขลังที่ผิดๆ”,เป็น”พุทธพาณิชย์?”)ก็ควรจัดการกันแบบ”ตรงไปตรงมา?”,โดยไม่ต้องอ้อมค้อม,หรือไม่ต้องเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น?(ทำให้เหมือนดังในสมัย”พระเจ้าอโศกมหาราช”กันไปเลย)..
ซึ่งเราอยากขอให้มีการ”แก้ไขกฎหมาย”ด้วยว่า.. “พระที่ปาราชิกข้อเสพเมถุนกับสีกา”,เมื่อให้สึกแล้ว,ก็ควรให้มี”โทษถึงจำคุก”(อย่างน้อย”5-10ปี”ขึ้นไป)ทั้ง”พระและสีกา”,ฐาน”ลบหลู่ศาสนาพุทธ”,ซึ่งเป็น”ศาสนาหลักของชาติ”.. และ”พระที่อวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน”(โดยขอให้”อ.เจษฎา”มาร่วมพิสูจน์ว่า”มีคุณวิเศษในตน”จริงหรือไม่?”),ก็ควรมี”โทษถึงจำคุก”(อย่างน้อย”5-10ปี”ขึ้นไป),ฐาน"หลอกลวงประชาชน"..เช่นเดียวกันด้วย.. อย่างนี้..จึงจะช่วย”จรรโลงศาสนาพุทธ”ให้ยืดยาวออกไปได้บ้าง..(ทั้งหมดเป็น”ความคิดเห็นส่วนตัว”เท่านั้นครับ)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.136.225 วันที่: 29 ธันวาคม 2567 เวลา:14:54:52 น.  

 
11.(ต่อจากข้อ10)..
**”คริสต์กับพุทธ”มี”หลักธรรม”ที่ขัดแย้งกันอยู่หลายๆตอน..[ดังนั้น.. ที่บอกว่า..”ความจริง(ย่อมต้อง)มีเพียงหนึ่งเดียว”.. จึงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก..โดยเฉพาะ”ข้อความที่สื่อสารในเรื่องของนามธรรมทั้งหลาย”].. เช่น..
“พุทธ”บอก..”ห้ามฆ่าสัตว์”(ศีลข้อ1)(แต่”เมืองพุทธ”ก็ยังเต็มไปด้วย”โรงฆ่าสัตว์,การฆ่าสัตว์,กินเนื้อสัตว์,ทรมานสัตว์”.. เช่น..”การตกปลา”(ซึ่งเห็นอยู่เกร่อมาก)..เป็นต้น..
ส่วน”คริสต์”ใน”บัญญัติ10ประการ”,มีแต่”ห้ามฆ่ามนุษย์”เท่านั้น,แต่สามารถ”ฆ่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารได้”..
“พุทธ”บอก”ไม่ส่งเสริมเรื่องความรัก”(แต่บอกว่าให้”เมตตากันได้”)..
ส่วน”คริสต์”เน้น,ปลุกเร้าให้”ส่งเสริมเรื่องความรัก”,ให้”ยอมทนทุกข์เพราะรัก”.. เช่น..ที่”พระเยซูยอมตายบนไม้กางเขน”เพื่อ”ไถ่บาปแทนมนุษย์”,เพราะ”รักมนุษย์”[และ”อ.แช้มป์”(นาทีที่37.55)บอกทำนองว่า..”ถ้าไม่มีรักแล้วจะมีเมตตาได้อย่างไร?”,เพราะ”ความเมตตา”ต้องเกิดจาก”ความรัก”เท่านั้น..ประมาณนี้ครับ]..
ในช่วงนาทีที่44..”อ.แช้มป์”บอกว่า..”อ.เบียร์”บอกว่า..”การค้าบริการทางเพศไม่บาป”..ข้อนี้เราก็ไม่เข้าใจว่า..อาจเป็นการ”ตีความ”ของ”อ.เบียร์”ที่ยังไม่ค่อยกระจ่างหรือไม่?.. แต่ฟังดูแล้วก็แปลกๆ.. น่าจะต้องมีใครช่วยออกมา”อธิบายหรือตีความ”ให้กระจ่างกว่านี้.. เพราะใน”มิจฉาวณิชชา5”ก็บอกว่า..”ห้ามค้าสัตว์เป็น”,ซึ่ง”มนุษย์”ก็ถือเป็น”สัตว์เป็น”ด้วยเช่นกัน.. ซึ่ง”บางคำแปล”ก็บอกถึงกับว่า”ห้ามค้ามนุษย์”ด้วยซ้ำไป.. แล้วอย่างนี้..”อ.เบียร์”(ตามที่”อ.แช้มป์”เล่า)จะบอกว่า..”ค้าบริการทางเพศไม่บาป?”..ได้อย่างไร?..
“พุทธ”สอนว่า..”ฆ่ายุงตัวเดียวก็บาปแล้ว”และ”พุทธล้างบาปไม่ได้”,แต่ทำให้บาปเจือจางลงได้,โดยการ”สร้างบุญมากๆ”เพื่อมา”กลบบาป”,แต่เราก็พบว่า..”ความทรงจำว่าเคยทำบาป”ไม่อาจลืมเลือนได้เลย(แม้แต่ในขณะหลับฝันก็ตาม)..
ส่วน”คริสต์”ใน”ปัญญาจารย์7:20”บอกว่า..”แน่ทีเดียวไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผนดินโลก ที่ได้ประพฤติล้วนแต่ความดีและไม่กระทำบาปเลย”(อยู่ในช่วง”นาทีที่48”ใน”คลิปของอ.แช้มป์”..ข้างล่างนี้ครับ)..
คือ”คริสต์”จะบอกว่า..”ทำบาปแม้นิดเดียว”ก็ถือว่า”เป็นผู้มีบาปแล้ว”,เปรียบเหมือน”ผ้าขาว”ที่ถูกแต้มด้วย”สี”,จะพยายามซักอย่างไร?,ก็ไม่อาจที่จะทำให้”ผ้าขาว”นั้น”ขาวสะอาดเหมือนดั่งเดิมได้”..นั่นแล..
ซึ่ง”คริสต์”บอกว่า..”ถ้าสารภาพบาปและรับเชื่อในนามพระเยซู,พระเจ้าก็จะทรงยกโทษบาปให้”(ซึ่งก็ต้องรอพิสูจน์ด้วยตัวเอง,เมื่อสิ้นชีวิตจากโลกนี้ไปแล้ว,จึงจะรู้เฉพาะตัวว่าจริงหรือไม่?)..
ส่วน”พุทธ”จะ”สิ้นทั้งบุญและบาปก็ต่อเมื่อนิพพานแล้ว”..เท่านั้น..(แต่ก็พิสูจน์ตาม”หลักวิทยาศาสตร์”ได้ยาก..เช่นเดียวกัน),อาจเป็นเพียง”ปรัชญาของศาสนาพุทธ”..เท่านั้น(?)..
อย่างกรณี”พุทธสายสีกรัก,คลองกุ่ม”ก็มองว่า..”เจ้าสำนัก”เป็น”พระสารีบุตร”กลับชาติมาเกิด.. และเราเคยโพ้สต์ถามใน”เพจของสำนักนี้”ทำนองว่า..”เป็นอรหันต์แล้วจะกลับมาเกิดได้อย่างไร?”,ท่านก็ใช้”หลักปรัชญา”เหมือน”ท่านพุทธสาวก”(แห่ง”สำนักพุทธธรรม”)ซึ่งอ้างว่า..”พระอนาคามี,พระอรหันต์”,ถ้า”ตั้งจิตปรารถนา”จะเกิดเพื่อบำเพ็ญต่อเป็น”พระพุทธเจ้า”,ก็สามารถที่จะกลับมาเกิดได้(?),ซึ่งแม้แต่”ศาสนาพุทธ”ด้วยกันเอง,แต่”ต่างนิกาย”,ก็ยังมี”ทัศนะทางนามธรรม”(ที่”พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์”ไม่ได้)ที่แตกต่างกันเช่นนี้ด้วย(?)..
ซึ่ง”อ.แช้มป์”ก็บอกใน”นาทีที่16.55”ว่า..”นิพพานเป็นเรื่องที่ไม่จริง”.. เพราะ”จิตวิญญาณเป็นพลังงาน”ย่อมไม่อาจสูญหายไปได้(ตามหลักวิทยาศาสตร์)..ด้วยเช่นกัน..
ขอขอบคุณ..
https://www.youtube.com/watch?v=d6SV9aA5Was
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.136.225 วันที่: 31 ธันวาคม 2567 เวลา:0:28:27 น.  

 
12.(ต่อจากข้อ11)..
**(“การวิเคราะห์ของเรา”,ผู้เคยผ่านประสบการณ์”การสัมผัสของพระวิญญาณของพระเจ้า”ใน”โบสถ์คริสต์”มาก่อน)..
“พุทธ”ถ้าเปรียบ..ก็เหมือนกับ”สไตล์เพลง”ประเภท”สุนทราภรณ์”(เช่น..”สุขกันเถอะเรา”),คือนิยมอยู่กันเงียบๆเรียบๆ,เฉพาะ”กลุ่มของตน”,ประมาณว่า..”สุขสงบๆในกลุ่มพวกตน”,ไม่อยากไปดีดดิ้นกับสังคมภายนอกอะไรมากมาย..ประมาณนั้น..[เช่น..อย่าง”กลุ่มพุทธสีกรัก,คลองกุ่ม”..เป็นต้น.. เช่น.. ถ้าประเภท”พวกติดยาเสพติด”,เขาก็จะสละให้”ศาสนาอื่น”หรือ”พุทธกลุ่มอื่น”รับไปแทน,เขาจะไม่รับเข้ามาใน”กลุ่มพวกเขา”(รวมทั้ง”พวกLGBTQ”ก็ด้วย),เขาจะเลือกรับแต่”คนที่มีศีล5”(No”อบายมุข6”ทั้งสิ้น),ที่เขาต้องมั่นใจว่า..จะไม่ทำให้”กลุ่มของเขา”ต้องเดือดร้อน..เท่านั้น]..
แต่”คริสต์”(ซึ่งจะรับคนได้"ทุกรูปแบบ",ไม่เลือก)ถ้าเปรียบ..ก็จะเหมือนสไตล์”เพลงแร็พ”,ซึ่งมีลักษณะจี๊ดจ๊าด,เร้าใจ,ถูกใจ”คนยุคนี้”(ซึ่งอย่างแบบของ”อ.แช้มป์”จะเป็นสายที่”ยอมรับเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์”ที่เรียกว่า”นิกายเพนเทคอส”.. เช่น..แบบ”คจ.ใจสมาน”หรือแบบ”คจ.ความหวังกรุงเทพ”,ที่เราเคยรู้จักมาก่อน.. ซึ่งลักษณะ”การประกาศ”จะมีลักษณะของ”การนมัสการ”ที่”กิจกรรมบนเวที”จะคล้าย”รูปลักษณ์”แบบ”พวกธุรกิจไดเร็ค”มากๆ(?).. หรือ”วาทศิลป์การพูด”จะคล้ายพวก”ไล้ฟ์โค้ชดังๆบางคน”,ที่มัก”พูดยกตัวอย่าง”แบบใช้”เชิงเทคนิคจูงใจคนเก่งๆ”..ประมาณนั้น.. ซึ่งเราก็สังเกตมานานแล้ว..
แต่เรามองว่า..น่าจะเป็น”ธุรกิจไดเร็ค”เป็น”ผู้สังเกตเริ่มต้น”,แล้ว”หัวเสธ.”นำเอาการ”นมัสการในโบสถ์คริสต์”(แบบสายเพนเทคอส”)(ซึ่งเราคาดว่า..น่าจะเริ่มต้นจากการดู”รูปแบบการนมัสการในโบสถ์”ใน”ต่างประเทศ”เป็นจุดแรก),แล้วจึงมา”ปรับปรุง,ดัดแปลง,เลียนแบบ”,เพื่อใช้ในการ”จูงใจเพื่อหาสมาชิก”มาร่วมใน”ธุรกิจไดเร็ค”..ประมาณนั้น(?)..มากกว่า(?)[แล้ว”ธุรกิจไดเร็คในไทย”ก็จึงนำเอา”รูปแบบของธุรกิจไดเร็คในต่างประเทศ”,มาทำตามๆกันอีกที(?)..ประมาณนั้น(?)]..
คือสรุปว่า.. “ธุรกิจไดเร็ค”น่าจะดำเนินธุรกิจโดย”เลียนแบบวิธีการ”ของ”เรื่องการจัดกลุ่มเซล”,และรวมทั้ง”การนมัสการแบบสายเพนเทคอส”ด้วย(?)..นั่นเอง(?).. จึงทำให้”ธุรกิจเหล่านี้”สามารถจูงใจให้คนมา”ร่วมลงทุนในธุรกิจ”ได้เป็นจำนวนมาก.. ซึ่งน่าจะมีบริบทในเรื่องของการใช้”จิตวิทยาแบบกลุ่ม”,ในการ”จูงใจให้คล้อยตาม”ไปกับ”ผู้ร่วมประชุมหมู่ใหญ่”ร่วมอยู่ด้วย(?).. คือถ้าไม่ปฏิบัติคล้อยตามกัน,ก็จะถูกมองกลายเป็น”แกะดำ?”ใน”ที่ประชุมกลุ่มใหญ่”(?)..ประมาณนั้น(?)..[ซึ่งก็คล้ายการแสดงออกใน”คอนเสิร์ตดังๆ”ก็เช่นเดียวกัน(?).. คือ..ถ้า”นักร้อง”บอกให้”ผู้ชมทำท่าอะไร?”,ก็มักจะพากันทำตาม,โดยไม่มีใครฝืนเลย(?)..ประมาณนั้น(?)]..
หรืออย่างน้อย..”คริสต์สายพระวิญญาณ”แบบ”เพนเทคอส”ก็จะเปรียบได้คล้ายกับ”สไตล์เพลง”แบบ”เพลงความดันสูง”(ของ”มาช่า”)..ประมาณนั้น(?)..นั่นเอง(?)..
ซึ่งถ้าลองสมมุติว่า.. ถ้าทั้ง”พุทธและคริสต์”ต่างแข่งขันกัน”ประกาศศาสนาของตน”กันอย่างเต็มที่,สุดกำลัง(ซึ่งอย่าง”พุทธ”ก็คือ”สไตล์แบบอ.เบียร์”,และ”คริสต์”ก็แบบ”สไตล์อ.แช้มป์”),และสมมุติว่า..ถ้าให้ทั้ง”พระพุทธเจ้าสิทธัตถะ”,และ”พระเยซู”ลงมาเกิด,และ”ประชันพร้อมกัน”ในสมัยของ”เทคโนโลยี่สื่อสาร”ในปัจจุบันนี้.. เรามองว่า..”พระพุทธเจ้า”ก็น่าจะ”ถูกทดสอบ?”ด้วยการ”ตั้งคำถามต่างๆมากมาย?”,ไม่ต่างจากที่”อ.เบียร์”ที่”กำลังได้รับการทดสอบ”อยู่นี้นั้น[ซึ่งจะไม่มี”ภาพดราม่าเชิงนิยายปรัมปรา”ที่ดู”น่าบูชาเคารพถ่ายเดียว?”,เหมือนใน”ยุคพุทธกาล”อย่างแน่นอนนะ(?)..เราว่า(?)]..
และที่สุดแบบ”อ.แช้มป์”(ที่มีการใช้”พลังฤทธิ์แบบพิเศษ”แบบของ”คริสต์”),ถ้ากำหนดให้”พระเยซู”มาอยู่ในยุคนี้,และมีการ”แสดงอัศจรรย์ต่างๆ”เหมือนใน”พระคัมภีร์คริสต์”.. เช่น.. มี”การรักษาโรค,ขับผี,ฯลฯ”,และใช้”สไตล์เทคโนโลยี่สื่อสารสมัยใหม่”แบบที่”โบสถ์ของอ.แช้มป์”(เหมือนใน”คลิปข้างล่างนี้”)ดำเนินการร่วมด้วย,(และมีการ”ประกาศอย่างต่อเนื่อง”สักระยะหนึ่ง).. เราก็เชื่อว่า.. “ศาสนาคริสต์”อาจจะ”ครองใจคนยุคใหม่”(โดยเฉพาะ”วัยรุ่นGenZ”)ในประเทศไทย,ในระยะเวลาที่ไม่นาน(?)..ก็เป็นได้นะ(?)..เราว่า(?)..
ขอขอบคุณ..(อ้างอิงเพลง”ความดันสูง”)..
https://www.youtube.com/watch?v=C1rXPdlbOy8
ขอขอบคณ..(อ้างอิง”การนมัสการในโบสถ์อ.แช้มป์”)..
https://www.youtube.com/watch?v=4pFBF1dSdFA
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.136.225 วันที่: 31 ธันวาคม 2567 เวลา:16:44:07 น.  

 
13.(ต่อจากข้อ12)..
ไม่รู้ว่า”อ.เบียร์”คิดอย่างไร?.. ในเรื่องที่”อ.เบียร์”มองว่า..ไม่มี”การดลบันดาลใดๆ”,หรืออาจมองว่า..”พระเจ้าของชาวยิวโบราณ”,หรือ”พระเจ้าของศาสนาคริสต์”นั้นไม่มีอยู่จริง(ซึ่ง”อ.เบียร์”เคยพูดทำนองว่า..”ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง.. ทำไมจึงต้องสร้างให้มีสิ่งเลวร้ายต่างๆเกิดขึ้นในโลกด้วย?"..ประมาณนั้น)..
แต่ใน”นาทีที่11.30”ใน”คลิปข้างล่างนี้”ที่เกิดกับ”อ.แช้มป์”นั้น.. เราเชื่อว่าเป็น”เรื่องจริง”.. รวมทั้งที่เกิดขึ้นกับ”น้องสาวของอ.แช้มป์”ซึ่งพึ่งเข้าโบสถ์ครั้งแรก,และยังไม่เคยเห็นหรือได้ยินใครเล่าว่า..”อาการที่พระเจ้าทรงเจิม”,แล้ว”มีความรู้สึกต่างๆ”นั้นเป็นอย่างไรมาก่อน(?).. แต่ก็ยังสามารถได้รับสัมผัสถึง”การเจิมจากพระเจ้า”โดยไม่ทันได้ตั้งหลักใดๆเลย..ก็ได้ด้วย..
ซึ่งก็ไม่ได้มีอยู่เพียง”คนเดียว”หรือ”สองคน”ในโลกนี้เท่านั้น,ที่ได้พบกับ”ประสบการณ์ที่คล้ายๆกัน”นี้.. แต่ทุกคนที่ได้พบกับ”สัมผัสแปลกๆ”,ที่มี”ลักษณะต่างๆในรายละเอียด”,ต่างก็ชัดเจนว่า..”ทุกคน”รู้ว่า..”ตนเอง”ไม่ได้”เสแสร้ง,แกล้งทำ”,หรือคิดแบบ”เกิดอุปาทาน”ไปเอง..แน่ๆ..
คือ.. “ทุกคน”(ที่สัมผัสกับ”การเจิมของพระเจ้า”)สามารถสรุปตรงกันได้ว่า.. “พลังงานดังกล่าว”นี้มีอยู่จริง,และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ”ความบังเอิญ”(หรือ”มโนไปเอง”),แต่มี”บุคลิกของพลังงาน”ที่คล้ายกับ”ลักษณะ”ของ”มนุษย์คนหนึ่ง”ได้เลยทีเดียว..ประมาณนั้น..
และเราเองก็เป็น”ผู้หนึ่ง”ที่เคยสัมผัสกับ”การทรงเจิมของพระวิญญาณ”ในบริบทที่คล้ายๆกันเช่นนี้.งมาแล้วด้วยเช่นกัน.. จึงอยากยืนยันว่า.. มี”พลังงานพิเศษ”(คล้ายเปรียบเทียบกับ”คลื่นไมโครเว้ฟ”ใน”ตู้อุ่นกับข้าวไมโครเว้ฟ”,ที่เราไม่สามารถมองเห็น”ตัวคลื่น”ได้,แต่มันสามารถทำให้”อาหารร้อนจนสุก,หรือถึงไหม้เลย..ก็ได้ด้วย..นั่นเอง),ที่มี”บุคลิกภาพ”คล้ายกับ”มนุษย์คนหนึ่ง”ที่อยู่”นอกตัวเรา”,และสามารถที่จะ”ควบคุมตัวเรา”ให้กระทำ”อาการต่างๆ”โดยที่เราแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนใดๆได้เลย..ว่ามีอยู่จริงอย่างแน่นอน..ซึ่งไม่ว่าจะเรียกว่าคือ”พระเจ้า”,หรือจะให้”ชื่อเป็นอย่างอื่น”อะไรก็ตาม..
ขอขอบคุณ..
https://www.youtube.com/watch?v=iLnG_WEbwvk
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 27.145.136.225 วันที่: 1 มกราคม 2568 เวลา:0:29:28 น.  

 
14.(ต่อจากข้อ13)..
**ทั้ง”คริสต์และพุทธ”มักใช้”ตรรกะที่เข้าใจยาก”,หรือมี”ข้อให้โต้แย้งได้”.. หรืออาจเรียกว่า..เป็นเรื่องของ”ปรัชญาความคิด”ที่ยัง”ไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างถ่องแท้”..ก็เป็นได้(?)..กันทั้งนั้น(?)..
เช่น.. “คริสต์”จะยกให้ว่า.. “ความไม่เสมอภาค”ของการ”เกิดมาเป็นมนุษย์”เป็นเรื่องของ”พระประสงค์ของพระเจ้า”ที่จะให้เป็นเช่นนั้น(?)..โดยที่ก็ไม่บอกเหตุผลว่า.."ทำไมต้องให้มนุษย์เกิดมาแล้วมีอะไรๆที่ไม่เท่ากัน,จนทำให้เกิดความชอกช้ำระกำใจ,เกิดการเปรียบเทียบ,และอิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน?..ด้วยเล่า?"..
คือมักยกให้เป็นเรื่องของ”เหตุผลในการทรงสร้างของพระเจ้า”เช่นนั้นเอง(?),ซึ่งก็ไม่มีใครอาจล่วงรู้”เหตุผลของความไม่เท่ากันของแต่ละบุคคล”ได้(?).. ดังนั้น..”คนบางคน,บางส่วน”จึงอาจต่อว่า”พระเจ้า”ว่า..”ทำไมจึงไม่มีความยุติธรรมเลย?”,จึงเป็นเหตุให้ออกจาก”ศาสนาคริสต์”ไป..
ส่วน”พุทธ”ก็ดูเหมือนจะใช้”หลักจิตวิทยา”ให้”ยอมจำนน,ปลง,ปล่อยวางซะ”,อย่าต่อสู้,อย่าโลภ,ให้ศาสนิกกิน-อยู่-ใช้จ่ายอย่าง”ประหยัด,พอเพียง”.. มักบอกว่า..”แข่งเรือแข่งพายนั้นแข่งได้..แต่แข่งบุญแข่งวาสนานั้นแข่งกันไม่ได้”.. และมักแยกให้”ศาสนาพุทธ”ให้อยู่ห่าง,หรือออกจากเรื่อง”การเมือง”(?)..
เพราะคงกลัวว่า.. ถ้าไปยุ่งเรื่อง”การเมือง”มากเกินไป,ประเดี๋ยว..”การเมือง”ก็จะเข้ามา”แทรกแซง,เกี่ยวข้อง”ด้วย,และอาจมีโอกาสถูก”ระรานทางการเมือง”ได้อีกด้วย(?).. จึงมักไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ทาง”การเมือง”,ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่า.. มี”นักการเมืองบางคน”ที่ร่ำรวยมากๆนั้น,เขาก็สารภาพออกมาเองว่า.. เขายอมรับว่า”ตนได้ทำผิดกฎหมายคอร์รัปชั่น”มาจริง(?)..
แต่”ศาสนาพุทธ”ก็นิ่งเฉย(?),ไม่ออกมาอธิบายว่า.. “บางสิ่ง”ไม่ใช่เรื่องว่า..”กรรมเก่าเขาสร้างมาดี,เขาจึงร่ำรวย?”.. แต่เพราะ”การร่ำรวยของบางคน”นั้น,เป็น”การกระทำในชาตินี้”ที่เขาอาจไป”โกงสังคม?”มา(?)..นั่นต่างหาก(?).. ซึ่งเป็นเรื่องของ”กรรมปัจจุบัน?”,เพราะเขาโกง,เขาจึงรวย(?)(แม้กระทำโดย”ผิดศีลข้อ2”หรือ”กุ-ห-นา-การโกงดื้อๆ”ใน”มิจฉาอาชีวะ5”มาก็ตาม)มากกว่า(?).. ซึ่งก็เป็นเรื่องที่”ประชาชน”พากัน”ยอมจำนน?”ต่อ”คนการเมืองบางคน(?)”ที่มี”พฤติกรรมโกง?”,โดยที่”ประชาชน”ก็ไม่รวมกันลุกขึ้นมาทักท้วงใดๆ(?)..เอง(?)..ด้วย(?)..
โดยที่”ศาสนาพุทธ”มักเอา”สิ่งที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้?”มา”ยกอ้าง?”หรือ”มาโทษ?”หรือ”ยกยอดให้?”,ซึ่งก็คือ”โทษว่า”หรือ”ยกยอดให้”กับ”หลักกรรมเก่า?”,ประมาณว่า..”กรรมชาติก่อนเขาทำมาดี?”,แล้วก็กล่อม”พุทธศาสนิก”ให้ยอมจำนนกันไป(?)..นั่นเอง(?)..
ส่วน”อ.เบียร์”(เช่นเดียวกับชาวพุทธหลายๆคน)ก็มักจะถามแบบ”ตรรกะเชิงปรัชญา”ต่อ””หลักของคริสต์”ว่า.. ถ้า”พระเจ้า”ทรงฤทธิ์จริง,สร้างกำหนดทุกสิ่งได้จริง,ก็จะต้องสร้างให้มีแต่”คนที่ร่ำรวย”,มีแต่”คนที่ดีๆ”,ต้องไม่ให้มี”คนชั่วร้าย”เลย..ประมาณนั้น(?),แล้วก็(อาจ)เคลมว่า..”พุทธ”ถูกต้องกว่า(?),อธิบายได้มีเหตุผลมากกว่า(?).. เช่น..”อ.เบียร์”เคยตั้งคำถามกับ”นักฟิสิกส์หญิง”ใน”คลิปหนึ่ง”ประมาณว่า..”ถ้าสวรรค์นรกไม่มี,แล้วทำไมคนจึงเกิดมามีฐานะ,สภาพที่แตกต่างกัน,ใครตอบได้บ้าง?”..ประมาณนี้(?)..
ก็เลย”ชาวพุทธทั้งหลาย”จึงเอา"เรื่องที่ไม่มีใครรู้จริง,และพิสูจน์ไม่ได้",มาหาทางที่จะตอบให้ได้,โดยยกให้เป็น”เหตุผล”ของเรื่อง”กรรมเก่าที่สร้างมา”,ทำให้มี”สถานะ,สภาพที่ไม่เท่ากัน?”นั่นไง(?).. คือยกให้เป็น”เหตุผลของกรรมเก่าทั้งหมด?”ไปซะอย่างงั้น(?)..ทั้งๆที่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้เป็น”ข้อประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์”ได้อยู่ดี(?)..เช่นกัน(?)..[เพราะ”คนเกือบทั้งหมดในโลกนี้”ต่างก็”ระลึกชาติเก่าๆของตน”ไม่ได้กันทั้งนั้น(?)..นั่นไง?]..
แต่ใน”คลิปข้างล่างนี้”,เราได้ฟังหลายรอบ.. ซึ่งมี”นักวิชาการของมุสลิม”ที่มาดีเบตกับ”อ.เบียร์”,เรามองว่า”นักวิชาการมุสลิม”สามารถตอบอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ดีมากๆนะ..[ลองฟังใน”นาทีที่27-32”.. ซึ่งมีนัยยะว่า..”พระเจ้ายอมให้มนุษย์มี’เจตน์จำนงเสรี’ที่จะทำอะไรตามใจตนเองได้.. แต่ในการกระทำได้ตามใจนั้น,ก็มีราคาที่ต้องจ่าย(แพง)ด้วยเช่นกัน(?),หรือทุกคนก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำทุกๆอย่างนั้นของตนเองด้วยนะ”..ประมาณนี้ครับ].. ส่วน”คลิปข้างล่างนี้”..เรามองว่า..”อ.เบียร์”ก็วางตัวในการเป็น”ผู้รับฟังความเห็นต่าง”ได้ดี,ได้สงบมากๆครับ..
ขอขอบคุณ..(อ้างอิง"คลิปดีเบตพุทธVSมุสลิม")..
https://www.youtube.com/watch?v=GpxdDhFp9Io
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 171.97.73.55 วันที่: 4 มกราคม 2568 เวลา:18:06:50 น.  

 
15.(ต่อจากข้อ14)..
**ต้องยอมรับว่า..”พุทธ”มีประเด็นที่เป็นปัญหามากจริงๆในขณะนี้.. แม้แต่เรื่องราวใน”พตปฎ.ของไทย”ที่แปลมาจากบาลี,ก็มีบางเรื่องที่ชวนให้สับสน,ถกเถียงกันเป็นอันมาก..
อย่างกรณีที่อ้างว่า.. “พระอรหันต์บางองค์”ทนความเจ็บป่วยไม่ได้,จนตัดสินใจทำ”อัตตวินิบาตตัวเอง”,พอมีผู้ไปถาม”พระพุทธเจ้า”.. แต่”พระพุทธองค์”ก็กลับบอกประมาณว่า..เป็น”สิทธิ์ของท่าน”,ซึ่ง”ไม่ควรถูกตำหนิ”,เพราะ”ท่านเป็นอรหันต์แล้ว”..ประมาณนั้น..
หรือมีอีกกรณี.. ที่ปกติ”ผู้ที่ศรัทธาพุทธ”ก็มักมองว่า..”พระพุทธเจ้า”เป็น”ศาสดาที่สุดยอดที่สุด”,รู้เรื่องราวทั้งหมดของจักรวาล,ระลึกชาติได้เป็นล้านๆชาติ,โดยที่มีเรื่องเล่าในพตปฎ.ว่า.. มี”นางสนมคนหนึ่ง”ที่”พระราชา”หลงใหล,เมื่อ”นางสนม”ตายแล้วไปเกิดเป็น”หนอนในถังอุจจาระ”,ซึ่งยังไม่ได้เป็น”ตัวโตเต็มวัย”(ที่เป็น”แมลงที่มีฮอร์โมนที่พร้อมผสมพันธุ์ได้”),แต่กลับยังมี”ความอาฆาต,เคียดแค้น,ไม่พอใจ”ต่อ”สามีที่เป็นพระราชา”ได้(?),และก็ยังสามารถพูดโต้ตอบเป็น”ภาษามนุษย์”กับ”มนุษย์”ได้อีกด้วย(?),ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก,ซึ่งน่าจะไม่ถูกต้องตาม”หลักวิทยาศาสตร์”ใดๆเลย(?),แต่ก็ยังเป็นเรื่องราวที่มีบันทึกไว้ในพตปฎ.(?),ซึ่งทำให้”คนยุคใหม่”สับสนมา(?).. เช่นนี้เป็นต้น..
แต่ก็มักมีการพูดอ้างกันว่า..”พระพุทธเจ้า”นำมาสอน”บางเรื่อง”แค่”ใบไม้กำมือเดียว”(?)..ประมาณนั้น(?).. แต่เราเอง..มองว่า..”จุดเด่นของพระพุทธเจ้า”ก็คือสามารถตอบโต้(ปรัปวาทะ)ได้เก่ง(ไม่มีติดขัด),จนไม่มี”ลัทธิความเชื่ออื่นใดๆ”ใน”ยุคพุทธกาล”ที่จะสามารถต่อสู้ได้.. ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบ,ก็จะมีลักษณะของ”ไหวพริบในการตอบโต้”ที่เหมือนกับ”อ.เบียร์”ในยุคนี้,ที่สื่อขนานนามให้ว่า”ผู้ไม่ตายไมค์”..นั่นเอง..
ซึ่งมีอีกเรื่อง..ก็คือ.. ครั้งหนึ่ง..”พระพุทธเจ้า”สอนเหนื่อยแล้วบอกว่าจะไปหลีกเร้น,แล้วสั่งสาวกว่า”อย่าให้มีใครไปรบกวนเลย”.. ก็เลยทำให้”ภิกษุบางส่วน”ที่เรียนเรื่อง”อสุภกรรมฐาน”เกิดความเบื่อหน่ายใน”สังขารร่างกายที่ไม่น่าอภิรมย์”ของ”ตนเอง”,จีงไป”จ้างให้โจรมาฆ่าตัวเองเสีย”คราวละ1รูปบ้าง,2รูปบ้าง,ไปจนถึงกระทั่งคราวละ50-60รูป,ก็ยังมีเลยนั่นเทียว..
ซึ่งทาง”พุทธสายสีกรัก,คลองกุ่ม”ก็เคยอธิบายว่า.. แม้แต่”พระพุทธเจ้า”เมื่อ”สอนธรรมยุคแรกๆ”ก็ยังมี”ความผิดพลาด”,จนทำให้”สาวกเบื่อหน่าย,ไม่อยากมีชีวิต”,จนไปจ้างให้โจรฆ่า.. คือประมาณว่า..”พระพุทธเจ้า”ก็ยังทำผิดพลาดได้(?),ไม่ใช่ว่าจะ”รู้รอบไปเสียทุกสิ่ง?”,อย่างที่”ผู้ศรัทธาบางส่วน”ชอบยกย่อง(อวย)”พระพุทธเจ้า”จนโอเว่อร์เกินไป(?)..แต่อย่างใด(?)..ประมาณนี้ครับ..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 171.97.73.55 วันที่: 6 มกราคม 2568 เวลา:3:40:07 น.  

 
16.(ต่อจากข้อ15)..
**(คติจากกรณี”อ.เบียร์”)..
“สังคมพุทธไทย”(รวมทั้ง”กลุ่มชาวคริสต์ในไทย”ก็ด้วย)จะดูใคร,จะยอมรับ,จะศรัทธาต่อใคร..ก็คือต้องดูกันไปให้นานๆสักหน่อย(?).. อย่าดูแบบลวกๆรีบๆลนๆแบบ”สุกเอาเผากิน”โดยเด็ดขาด(?)..
ตอนนี้..”สังคมพุทธไทย”อยู่ในช่วง”ตีให้ฝุ่นคลุ้งตรลบ”.. ซึ่งคงต้องรอดูอีกสักพัก,ให้ฝุ่นจางลงเสียก่อน,แล้วค่อยจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร(?).. แต่ก็ทำให้เรานึกถึง”2เค้ซที่สำคัญในอดีต”.. คือ.. มี”พระรูปหนึ่ง”(ในอดีตแถวๆ”จ.เพชรบูรณ์”)ที่วางตัวดูเคร่งครัดใน”ข้อปฏิบัติต่างๆ”,แต่มี”พูดคำหยาบ”ร่วมด้วย.. แต่ภายหลังก็มีการไป”ลบหลู่พระพุทธรูป”,เลยต้องคดี,ต้องสึกออกจากการเป็นพระ.. ซี่งก็มี”สานุศิษย์”เคารพ,นับถือ,คอยติดตาม,ดูแลปรนนิบัติ”อยู่อย่างมากมาย.. ก่อนหน้าที่จะเกิดเป็นคดีความขึ้นมา..
อีกกรณี..ก็คือ”ลามะหนุ่ม”(แห่ง”เนปาล”)ที่วางตัวเป็น”ผู้ทรงศีล”,แสวงหาธรรมะอย่างเข้าขั้นอุกฤษฎ์..(จนมีบางคนมองว่า.. “ท่านลามะหนุ่มท่านนี้”อาจเป็น”พระพุทธเจ้า”ที่กลับชาติมาเกิดอีกรอบ..หรือไม่?).. ซึ่งก็มีผู้เคารพศรัทธา,คอยติดตามอยู่มากมาย,เพราะพากันดูแต่ท่วงท่า,การปฏิบัติ(ภาพลักษณ์เผินๆ)แต่เพียงภายนอก(แล้วรีบสรุป,ตัดสินไปก่อน).. ซึ่ง”หน้าตาก็หล่อเหลา”,สะอาด,เกลี้ยงเกลา,ดูแล้วเหมือน”ภาพลักษณ์ของพระพุทธเจ้า”ใน”จินตนาการของชาวพุทธ”เลยนั่นเทียว(?)..(ซึ่งเราเองก็เคยรู้สึกเคารพ,ศรัทธาต่อ”การบำเพ็ญสมาธิของท่าน”อย่างมากมายมาก่อนด้วย).. แต่ต่อมาอีกหลายปี.. ท่านก็กลับมาพ่ายแพ้ต่อทั้ง”สตรีและสตางค์”(จนได้),จนเป็นเหตุให้”ต้องโทษจำคุก”ไปแล้ว..เช่นกัน..
ดังนั้น..ใน”ความคิดเห็นของเรา”.. ก็คือ.. สังคมโลกเรา,จะหา”ผู้บริสุทธิ์จริงๆ”(ที่ไม่มีที่ติเลย)นั้น..หาได้ยากมาก.. ซึ่งเรามองว่า..อาจต้องใช้”คติแบบธิเบต”ที่ต้องเล็งว่า.. ถ้าคิดจะปลุกปั้นให้ใครมาเป็น”องค์ผู้นำของศาสนา”,ก็จะต้องตามดูแล,ปกป้อง,อบรมเรื่องต่างๆ,ให้อยู่ใน”ครรลองที่ดี,ถูกหลักศีลธรรม”,โดยต้องไม่ให้มี”พฤติกรรมที่เสื่อมเสีย”กันมาตั้งแต่เกิดนั่นเลยเทียว..ประมาณนั้น..
ไม่เช่นนั้น.. ถ้าเลี้ยงดูแบบตามสบาย,ตามใจ,อยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำ,ที่สุดเมื่อภายหลังเมื่อเขาโตขึ้น,และคิดได้,อยากดำรงตนหรือไต่เต้าเป็น”ผู้นำทางศาสนา”เมื่อไหร่(?).. ก็มักจะพบว่า..ต้อง”พบกับอุปสรรค”ของ”ประวัติการกระทำบางอย่าง”ในอดีต,ในทางลบ..ที่มักตามมาหลอกหลอน,หรือขัดขวางให้”ไปไม่ถึงดวงดาว”ที่ปรารถนา..ได้เสมอ..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 171.97.73.55 วันที่: 7 มกราคม 2568 เวลา:6:57:30 น.  

 
17.(ต่อจากข้อ16)..
**ทั้ง"พุทธและคริสต์"มีสิ่ง(คำสอนบางเรื่อง)ที่ไม่ตรงกับ”หลักความจริงทางวิทยาศาสตร์”,แต่มักไม่มีใครเอามาพูดถึง(ส่วนตัวอยากให้”อ.เจษฎา”ออกมาให้”แง่คิด,ความรู้”ทาง”วิทยาศาสตร์”และทาง”ชีววิทยา”บ้าง.. แต่ดูท่านก็ไม่ค่อยจะอยากมาพูดวิเคราะห์เรื่องเกี่ยวกับ”ความไม่ชัดเจน”ของ”ข้อมูลในทางศาสนา”ซักเท่าไหร่(?)..
เคยเห็นมีออกมาวิเคราะห์เรื่อง”พญานาคในแม่น้ำโขง”(“บั้งไฟพญานาค”)อยู่บ้าง.. แต่จนถึงวันนี้.. ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า”พญานาค”(ซึ่งมีอ้างถึงใน”พตปฎ.”),และรวมถึง”พญาครุฑ”(ใน”คตินิทานของไทย”.. เช่น..นิยายเรื่อง”กากี”),และ”มังกร”(ใน”คติยึดถือ”ของ”วัฒนธรรมแบบจีน”)นั้น.. ว่า..มี”มูลความจริง”ในทาง”วิทยาศาสตร์”มากน้อยแค่ไหน?..ได้เลย(?)..
มีใครเคยคิดไหมว่า.. “ศาสนาพุทธ”เกิดใน”ยุคศาสนาพราหมณ์ฮินดู”,ซึ่งเชื่อเรื่อง”เทพเจ้าหลากหลายพระองค์”,และมีเรื่อง”สัตว์ในตำนาน?”ที่เกี่ยวกับ”เทพเจ้าต่างๆ?”,จึงอาจมีการ”แต่งเติม?”เอาความ”พิสดาร,อภินิหาร?”แบบ”เทพเจ้า?”เข้ามาปนอยู่ใน”พตปฎ.”ด้วย(?)..ได้หรือไม่?.. เราจะยกตัวอย่าง”2เค้ซ”.. ดังนี้..
(ก)ใน”ข้อพระธรรมคริสต์”ใน”กิจการฯ1:8” :- “แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” ...(แต่โดยที่”กาลิเลโอ”ได้เปิดเผยว่า..”โลกมีสัณฐานทรงกลม”และ”เคลื่อนตัวรอบดวงอาทิตย์”,และจึงขัดแย้งกับ”ภาคศาสนาในยุคนั้น”.. เช่นนี้เป็นต้น)..
(ข)ท่าน”พระมหาสมบูรณ์”พูดใน”คลิปหนึ่ง”ว่า.. ใน”ยุคพระพุทธเจ้ากัสปะ”ว่า..“มนุษย์มีอายุถึงราว20,000ปี?”(โดยประมาณ).. และเรายังเคยทราบมาว่า..ใน”ยุคพระพุทธเจ้าบางองค์”.. มีพูดถึงขนาดว่า..“มนุษย์มีอายุถึงราว8หมื่นปี”ด้วยซ้ำไป..(จึงอยากให้”อ.เจษฎา”ออกมา”พูดแสดงความเห็น”ใน”ข้อมูลทางหลักศาสนา”บ้าง..นั่นไง?)..
ส่วนตัวเรา.. เรามองว่า..”มนุษย์”เป็น”สารอินทรีย์”,เป็นอยู่ได้ด้วย”ระบบและเทคนิคอันซับซ้อน?”ในการป้องกัน”การรุกรานของเชื้อโรคต่างๆ”(ซึ่งไม่ใช่”วัตถุที่เป็นอนินทรียสาร”,ซึ่งอาจมีช่วงของ”การสลายตัวเอง”ที่ยาวนานมากๆ”เป็นหมื่นปี?,เป็นแสนปี?”ได้.. เช่น.. “ก้อนหินหรือธาตุโลหะต่างๆ”ที่มีการ”จับตัวกันอย่างเหนียวแน่น?”ใน”โมเลกุลของตัวมันเอง”)..
ดังนั้น..”อินทรียสาร”ใน”สรีระของมนุษย์”ซึ่งต้องอาศัย”เงื่อนไขพิเศษ”ในการประคอง”วงรอบชีวิตตัวเอง”ให้อยู่รอด(?),จึงยากที่จะทำให้มี”อายุยาวนานถึงหมื่นๆปี?”ได้(?)..ซึ่งแค่จะให้มีอายุยืนยาวถึง”ระดับ1000ปี?”หรือ”เกือบ1000ปี?”ที่มีอ้างอิงใน”คัมภีร์คริสต์”(ใน”ปฐมกาลบทที่5”,ตอน”เชื้อสายของอาดัม”)ก็แทบจะไม่น่าเชื่อว่า..”จะเป็นไปได้?”อยู่แล้ว(?),เพราะจะต้องมี”สภาพแวดล้อมทางกายภาพ”ของ”ธาตุดิน,น้ำ,ลม,ไฟ”ที่ดีมากๆ,คือ”แทบไม่มีเชื้อโรคร้ายต่างๆ?”อยู่เลย(?)..ประมาณนั้น(?)..นั่นเอง(?)..ใช่หรือไม่(?)..
ขอขอบคุณ...(อ้างอิง..เรื่อง”มนุษย์อายุ20,000ปีในยุคพระพุทธเจ้ากัสปะ”,ในนาทีที่15.30)..
https://www.youtube.com/watch?v=e1BaTLNZMUs
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 171.97.73.165 วันที่: 14 มกราคม 2568 เวลา:18:59:22 น.  

 
18.(ต่อจากข้อ17)..
**”หลักการ,วิธีการ”,หรือ”ระบบปกครอง”(แบบไทยๆ,เออๆออๆกันไป?)อะไรก็ตาม?..ที่”ไม่ชัด?”.. มักสร้างปัญหาแก่”องค์รวม”ได้เสมอ(?).. ใช่หรือไม่?..
ถ้าอย่าง”ผู้นำดี”อย่างยุค”มหาจ.”เป็น”ผู้ว่ากทม.”,หรือ”ป๋าป.”เป็น”หัวหน้าประเทศ”.. จะสังเกตว่า..เรื่อง”ทุจริต,คอร์รัปชั่น”ก็มักไม่ค่อยเฟื่องฟู(?).. เพราะเมื่อ”หัวไม่ส่าย..หางก็ไม่ค่อยกล้ากระดิก?”.. ประมาณนั้น(?)..
จริงๆ..ถ้า”รัฐอิงหลักธรรม”,โดย”พูดหรือสอน”เกี่ยวกับ”ความซื่อสัตย์,ไม่คดโกง,ไม่คอร์รัปชั่น”.. โดย"ออกระเบียบของรัฐ",ที่จัดให้มีการพูดกรอกหูอยู่ทุกวี่ทุกวัน,ให้กับ”ประชาชน,พ้อค้า,นักธุรกิจ”,และ”ข้าราชการ,พระภิกษุ”,รวมทั้ง”ดาราบางส่วน”(ที่มีคติแสวงหา”ฐานะความร่ำรวยเป็นหลักสำหรับชีวิตตนเอง”)ด้วย.. ก็ย่อมที่สุด..จะสร้าง”ชุมชนคนดี”ขึ้นมาได้ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน(?)..(ใช่หรือไม่?)..
โดยที่”ทุกหน่วยงานของรัฐ”(รวมทั้ง”ภาคเอกชน”ด้วยก็ได้),ต้อง”ออกระเบียบ”ให้มีการ”จัดคอร์สอบรมธรรมะ”โดยเฉพาะเรื่อง”ความซื่อสัตย์”ต่อ”องค์กร”หรือต่อ”ประเทศชาติ”ให้ได้เหมือน”พันท้ายนรสิงห์”(ในยุค”พระเจ้าเสือ”ของไทย),หรือเหมือน”เทพเจ้ากวนอู”(ในคติของ”ชาวจีน”)ก็ได้.. โดยอาจให้มี”สัปดาห์ละครั้ง”,หรืออย่างน้อย”เดือนละครั้ง”..ก็ยังดี(?)..
มี”หลักจิตวิทยาของมนุษย์”(ซึ่งเราคะเนเป็นส่วนตัว)..คือว่า.. จะสังเกตดูได้จาก”คำขวัญวันเด็ก”.. เช่น.. ถ้า”ยุคไหน?”ที่”ผู้นำ”ออกคำขวัญ”ที่เกี่ยวกับ”ความซื่อสัตย์,ความดีงาม”.. ก็แปลว่า.. “ผู้นำยุคนั้นๆ”น่าจะเป็น”คนดี”,หรืออย่างน้อยก็”พอใช้ได้”..
แต่ถ้า”ยุคไหน?”ที่”ออกคำขวัญ”แต่เรื่อง”ความรู้,ความเก่งกาจ,ความสามารถ”เท่านั้น,โดยไม่อิง”หลักธรรมะ”ใดๆเลย.. แสดงว่า..”ผู้นำยุคนั้น”ไม่ค่อยแน่นอนแล้ว(?).. เช่นนี้เป็นต้น(?)..
เพราะเป็น”ธรรมชาติ”หรือ”จิตวิทยา”.. ว่า.. “คนดี”ก็มักชอบพูดย้ำ,ซ้ำซาก,อยู่แต่กับเรื่อง”ธรรมะ”,หรือ”ความดี,ความซื่อสัตย์ต่างๆ”.. แต่ถ้า”ผู้ใด?”ที่รู้ว่า”ตนเองทำไม่ได้”,แล้วจะมาออก”คำขวัญ”ที่เกี่ยวกับ”หลักธรรมะ”,ก็โดยธรรมชาติ..มักจะเกิดความ”ตะขิดตะขวงใจ?”หรือรู้สึก”ฟ้องผิดในใจ?”ต่อ”ตัวเอง”เป็นเรื่องธรรมดา..เช่นนั้นแล(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 171.96.158.133 วันที่: 15 มกราคม 2568 เวลา:18:42:52 น.  

 
19.(ต่อจากข้อ18)..
**ความ”ไม่ชัด?”ของ”หลักคำสอน”เรื่อง”พญานาคในพตปฎ.”(ซึ่ง”อ.เจษฯ”ก็ยังไม่ได้ออกมาพิสูจน์จนถึงที่สุดในเรื่อง”พญานาค”ว่า..”มีจริงหรือไม่?”).. ทำให้กรณี”ลุงพ.-กกกอก”ก็เลยมีดราม่าของเรื่องการสร้าง”รูปปั้นพญานาคขนาดใหญ่”ขึ้นมา(?),เหมือนว่า..เขาหา”สิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ?”,เพื่อจะมุ่งหวัง”สะเดาะเคราะห์ให้กับตนเอง?”กระนั้น(?)..หรือไม่?..
แม้แต่เรื่อง”เกาะพญานาคที่อุดรฯ”(“เกาะคำชะโนด”)ก็เช่นเดียวกัน.. รวมทั้งเรื่อง”แม่ชี”ที่ออกมาแฉว่า..”เสพเมถุนกับพระ?”,กลางลานหน้า”รูปปั้นขนาดใหญ่ของพญานาค?”..ก็ยังไปผูกโยงกับเรื่องของ"พญานาค"อีกจนได้(?)..เป็นต้น(?).. ซึ่งทุกวันนี้ก็มีการสร้าง”รูปปั้นพญานาค?”กันไปจนเกือบจะทุกวัด(?)..แล้วกระมัง?..หรือไม่?..
แม้แต่เมื่อราว”4ชม.ที่ผ่านมา”.. ก็มี”คลิปหนึ่ง”ที่มากล่าวแก้แทน”อ.เบียร์”,ก็ยังมี”ภาพของพญานาคใส่กรอบทอง”เป็น”ฉากหลัง”,ถ้าดูแค่เป็น”ศิลปะ”,เราก็ยอมรับว่าดูงดงามมาก..(คือ”ภาพของพญานาค”เป็นภาพที่มี”ความวิจิตรพิสดาร”ชวนให้หลงใหล,เคลิบเคลิ้ม,คล้ายจูงจิตให้อยากร่วมเป็น”เผ่าพันธุ์พญานาค?”กันไปหมด?..กระนั้น?..แล้วกระมัง?)..
และใน”พตปฎ.”เอง.. ก็ยังมีการเอ่ยอ้างถึง”พญานาค”จน”ชาวพุทธ”นำมาจินตนาการ,สร้างเป็น”รูปพระพุทธเจ้าปางนาคปรก”,ซึ่งทำให้”ชาวพุทธบางส่วน”ผูกใจ,นำไปยึดถือว่า..เป็น”ปางพระพุทธรูป”ที่จะช่วย”คุ้มภัย,ปกป้องต่างๆ?”,อันเป็น”ลัทธิ”ที่คล้ายแบบ”อ้อนวอน,หวังผล,ดลบันดาล?”,ซึ่งไม่ใช่”คำสอนของศาสนาพุทธ?”..แต่อย่างใดเลย?..ให้กับตนเอง(?),รวมถึงเรื่องกรณีของ”ลัทธิเชื่อมกล้วย,เชื่อมมันสำปะหลัง?”ที่มีเรื่องของ”ความงมงาย?”ใน”เรื่องของพญานาค?”,ก็ถูกนำเข้ามาปนอยู่ใน”คำสอนของศาสนาพุทธ?”เป็นจำนวนมาก(?)..นั้นก็ด้วย(?)..
แต่ดูแล้ว..ก็หนักใจว่า..”คนพุทธบางส่วน”(หรืออาจ”จำนวนมาก”ด้วย),น่าจะหลงใหลกับ”เรื่องอสาระ”ของ”ปรัมปราเรื่องพญานาค?”กันไปหมดแล้ว(?)..หรือไฉน?..
แม้แต่เราเอง.. ก็ยังได้รับแจก”รูปขาวดำ”(ขนาดปฏิทิน),ที่เป็น”ภาพเจ้าแม่กวนอิม”ที่ยืน”ขี่มังกรดั้นเมฆ”,ซึ่งมีคำบรรยายว่า..”ถ่ายภาพนี้ที่ปรากฏบนท้องฟ้าได้”,ซึ่งก็ดูเหมือน"เจ้าแม่กวนอิมตัวจริง"เอามากๆ.. ซึ่งเรามองว่า..นี่อาจเป็น”นิมิตหมาย”ว่า..”ศาสนาพุทธ”ใกล้จะถึง”กาลสิ้นสลาย?”กลายเป็น”ศาสนาพญานาค?”ไปแล้วละกระมัง?..(ฤาไฉน?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 171.96.158.133 วันที่: 15 มกราคม 2568 เวลา:22:27:10 น.  

 
20.(ต่อจากข้อ19)..
**ซึ่ง”คนไทยจำนวนมาก”หลงไปกับเรื่อง”สิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ”,ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ”นักดูคู่นักเดา,นักคะเน,นักคำนวณ?”,หรือเรื่อง”เครื่องราง,ของขลังต่างๆ?”จนกลายเป็นเรื่องทะเลาะกันไปมา,ระหว่าง”พระบางท่าน”กับ”อ.เบียร์”ว่า”สิ่งยึดเหนี่ยวเหล่านั้น?”เป็น”เรื่องงมงาย?”หรือไม่?..
จึงทำให้เกิด”ความแตกแยก?”ลามไปถึงระหว่าง”อ.เบียร์”กับ”ทนายกองทัพธรรม”ขึ้นมาอีก(?).. ทั้งๆที่”ทนายกองทัพธรรม”ก็มี”เรื่องราวดีๆ,ผลงานดีๆ”(คุณูปการ)ที่ทำเพื่อ”ชำระความไม่ถูกต้อง”ของ”พุทธศาสนา”อยู่มากมาย..เป็นที่ประจักษ์.. แต่ก็กลับมาทะเลาะกันกับ”อ.เบียร์”,ซึ่งเป็น”ฆราวาสสอนธรรม”(ซึ่ง”อย่างน้อย80%”,เราก็มองว่า”อ.เบียร์”สอนค่อนข้างถูกต้อง)..
แต่ก็ยอมรับว่า..มีแค่”บางเรื่อง,บางมุม”.. เช่น..”การใช้ภาษาแบบยุคพ่อขุนฯ”,ซึ่งอาจเป็น”ตัวอย่างที่ไม่ดี?”ให้กับ”เด็ก,เยาวชน”,ที่อาจนำไป”พูดกับพ่อแม่,ครูบาอาจารย์”(เช่น..”เฮ่ย..แม่..มรึงจะไปไหนวะ?.. เดี๋ยวรอกรูก่อน,กรูจะไปด้วย”..ประมาณนี้..อย่างนี้เป็นต้น.. แล้วสังคมจะรับได้ไหม?).. หรือพูดกับ”เจ้าหน้าที่บ้านเมือง”โดย”ไม่เคารพ?”หรือ”ไม่ให้เกียรติ?”(ตาม”วัฒนธรรมไทย”),โดยอ้างเลียนแบบจาก”อ.เบียร์”..ก็อาจเป็นไปได้(?)..
ซึ่งเรามองว่า.. การ”พูดภาษาสุภาพ,ผู้ดี”ไว้ก่อน,ก็ย่อมเป็น”ตัวอย่างที่ดีกว่า”,ดัง”สำนวนไทย”ที่ว่า”พูด(จา)ดีเป็นศรีแก่ปาก”นั่นไง?(ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้”ภาษาหยาบ”เชิง”แท็คติก”,เพื่อ”ดึงเร่ตติ้ง”,เพื่อให้”สะใจผู้ชม?”ก็ได้?).. ซึ่งจะอ้างว่า..”พูดตรงไปตรงมา?”นั้น..ก็ไม่จำเป็นต้อง”พูดแบบภาษาพ่อขุนฯ”ก็ได้?.. อย่างเมื่อหลายปีก่อน.. ก็มี”คดีความหนึ่ง”ที่มีการ”ขี่มอไซค์ไปเฉี่ยวชนรถเก๋งคันหนึ่ง”,ก็พอดี”เจ้าของรถเก๋ง”เขารักรถเขามาก,จึงหลุดคำว่า”กราบรถกรู”พร้อมทั้ง”แจกหมัด?”ไปด้วย?..นั่นไง?.. ผลสุดท้ายเป็นยังไง?.. “อนาคตที่กำลังจะรุ่งโรจน์”ดับวูบทันใด?..ไปเลย?..ใช่หรือไม่?..
ซึ่งต้องยอมรับว่า..”สังคมไทย”นั้นมี”คดีความมากมาย”(จนถึงขนาด”ยิงกัน,แทงกัน,ตีกัน?”จนถึงกับ”เสียชีวิต?”ก็มี),ก็เนื่องมาจาก”พูดผิดหู,พูดไม่เข้าหู?”,โดยมี”ปัจจัยเริ่มต้น”มาจากการใช้”ภาษาแบบหยาบๆ?”(ซึ่ง”บางกรณี”ก็มีบวกกับเรื่องของ”การดื่มสุรา?”จนขาด”ความยับยั้งชั่งใจ?”..นั่นก็มีด้วย?),แบบมักคิดกันเอาเองว่า..”อีกฝ่าย?”เขาคงไม่ถือสาอะไร?..แต่ก็มักเป็น”เรื่องร้ายแรง?”ตามมาได้อยู่เสมอ(?)..
อย่างเช่นเมื่อไม่กี่วันมานี้.. ก็มีกรณีที่”LGBTQท่านหนึ่ง”ก็ถูกตีจาก”หนุ่มข้างห้อง”,จนต้อง”เย็บถึง13เข็ม”,ก็มีบริบทของการ”พูดกันแบบกันเอง?”,โดยการใช้”ภาษาแบบหยาบๆ,กรูๆมรึงๆ”ร่วมอยู่ด้วย?..ใช่หรือไม่?..
ขอขอบคุณ..(อ้างอิง..เรื่อง”LGBTQท่านหนึ่ง”ถูกตีจาก”หนุ่มข้างห้อง”,จนต้อง”เย็บถึง13เข็ม”).. https://www.youtube.com/watch?v=pP_uimd6cHU
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 171.96.158.133 วันที่: 16 มกราคม 2568 เวลา:5:46:37 น.  

 
(แทรก1)..
ในทางพุทธ.. เราเคยอ่านคำสอนมาตั้งแต่ราว40-50ปีก่อน..
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 49๙.
นักขัตตชาดก ว่าด้วยประโยชน์คือฤกษ์
[๔๙] " ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่เขลา ผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์(ย่อม)เป็นฤกษ์ของประโยชน์(เอง) ดวงดาวจักทำอะไรได้"
จบ นักขัตตชาดกที่ ๙
จึงไม่ทราบว่า”บางท่าน”(ซึ่งมีดีกรีชั้น”ซุปเปอร์ทางการศึกษา”)ทำไมจึงไปตีปีกเข้าข้างพวก”นักดูคู่นักเดา?”.. ทั้งๆที่”ตนเอง”ก็แสดงตัวว่า”รู้ดีเรื่องของศาสนาพุทธ”(?)..
เฉพาะประเด็นนี้.. เราเห็นด้วยกับ”แนวคิด-หลักคิด”ทั้งของ”อ.เบียร์และคุณแพรรี่”นะ.. เรามองว่า”ทั้ง2ท่าน”พูดดี,มีหลักการ,และมีเหตุผล”ที่เป็น”วิทยาศาสตร์”ได้ดีมาก.. ทำนองว่า.. ถ้าใครคิดว่าทำนายอนาคตแม่นจริงๆ ก็ต้องบอก”วัน,เวลา,สถาน”ที่ให้ชัดเจน และควรบอก”วิถีทางในการแก้ไขโศกนาฏกรรมนั้นๆ”ด้วย ไม่ใช่การ”ทายกว้างๆสารพัดเรื่องไว้จำนวนมาก” พอเรื่องไหนที่ใกล้เคียงก็ดึงเอาเฉพาะเรื่องนั้นมาเคลมว่าตรงกับ”คำทำนายของตน?”เพื่อเรียก”ศรัทธา?” และในที่สุดกลายเป็น”ทรัพย์สิน?”มาให้แก่ตนเองในที่สุด..
เรื่องนี้เรามอง(ส่วนตัว)ว่า มีส่วนที่เป็นเรื่องของ”ศรัทธา?”และ”พลังจิต?”หรือ”จิตวิทยาหมู่?”(หรือ”อุปาทานหมู่?”)รวมอยู่ด้วย.. เรามองว่าสมัยหลาย10ปีก่อน.. เราเคยดู”ทางทีวี”.. เห็น”นักเล่นกลของฝรั่ง”(ที่มีชื่อเสียงบางคน)ที่เล่นกลเรื่อง”การทาย”,แล้วมีการนำ”ข้อความบางอย่าง”ไปใส่ใน”ตู้เซฟ”,ใส่โซ่,ใส่กุญแจไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งเราจำรายละเอียดไม่ได้ แต่ภายหลังมีการ”เปิดตู้เซฟ”แล้วเฉลยว่าถูกต้องตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น,อะไรประมาณนั้น.. ซึ่งเราว่าถ้าจะทายอะไรว่าตนเองแม่น,ก็น่าจะตั้งเค้สคล้ายๆแบบนี้,น่าจะดูน่าเชื่อกว่าว่าแม่นจริง(?),เพื่อไม่ต้องอิงกับ”จิตวิทยาหมู่?”หรือ”อุปาทานหมู่?”(ใช่หรือไม่?)..
ซึ่งเรามองว่า”พลังศรัทธา?”ที่มีต่อคนที่เป็น”นักดูคู่นักเดาบางคน?”อาจมีผลไปดลให้เกิด”ปรากฏการณ์ที่แปลกๆ?ที่ใกล้เคียงกับ”คำทำนายบางอย่างนั้น?”ก็เป็นได้นะ?..เราว่า..
เรามองอีกว่า.. เดี๋ยวนี้เรื่องของ”โซเชี่ยล”ที่มีการตรวจสอบความถูกต้องของ”ความเชื่อต่างๆ?”มีผลสะเทือนไปถึง”สิ่งลี้ลับ?”ใน”โลกของมิติอื่นๆ?”ด้วยนะ?.. เช่น “เทพ,เทวดา,พญานาค,พญาครุฑ”,หรือ”อินทร์,พรหม,ยม,ยักษ์”ประมาณนั้น.. ซึ่งแม้ว่าอาจมีมูลจริง(อยู่บ้าง?),เพราะเห็นมักมีกล่าวถึงในพตปฎ.ก็ตาม(?),แต่”วิญญาณชั้นเหล่านี้”ก็คือ”ยังไม่หมดกิเลส?”,โดยเฉพาะ”กิเลสมานะ,อัตตา,ความมักใหญ่ใฝ่สูง”,หรือ”ความอยากสร้างบารมี?”เพื่อให้มี”ผู้คนเคารพนับถือมากๆ?”,เพื่อจะได้”เสวยสุขในภพภูมินั้นๆ?”ต่อๆไป.. จึงอาจใคร่ที่จะมีแสดง”อิทธิฤทธ์,อิทธิเดช”สำหรับ”หมู่ชน”โดยเฉพาะ”ชนชาวพุทธในไทย?”(ซึ่งมักอิงอยู่กับ”ความเชื่อ”ของ”ลัทธิพราหมณ์ฮินดู”).. ซึ่งต้องยอมรับว่า..”ชาวพุทธเหล่านี้”ยังไม่กระจ่างใน”ทิศทางความเชื่อ”แบบ”ศาสนาพุทธแท้ๆ”อย่างแท้จริง(?)..
แต่ถ้าสำหรับผู้ที่มี”เนื้อพุทธ”เป็น”เปอร์เซ็นต์มาก”อย่าง”อ.เบียร์,แพรรี่”,สาย”พุทธวจนะ”,หรือแม้แต่สาย”สันติอโศก”มักไม่ค่อยมี”ทัศนะที่งมงาย”,หรือไม่ค่อยไป”สนับสนุนหรืออวย”กับ”นักดูคู่นักเดา?”เหล่านี้.. ซึ่ง”บางส่วน”(อาจส่วนมากด้วย)มักที่สุดทำเพื่ออาศัยความ”จิตอ่อน?,เบาปัญญา?,ขาดที่พึ่งอันเกษม?”ของ”ผู้คนเพื่อดึง”ทรัพย์สิน?”.. เช่น “ค่าดู?,ค่าครู?”เข้าไปสู่”กระเป๋าของตนเอง?”..โดยมักอ้าง”คำ,คาถา,หลักคำสอน?”ให้คนเขามองว่า”พวกตนเป็นสายพุทธ?”,นับถือศรัทธาต่อ”พระพุทธเจ้า”นะ(?)..กันเป็นส่วนมากด้วยนะ(?)...
ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.10.78.186 วันที่: 23 พฤษภาคม 2568 เวลา:12:50:51 น.  

 
(แทรก2)..(ข้อมูลอ้างอิง)..
ขอขอบคุณ...
https://www.youtube.com/watch?v=XLsekdupguo
https://www.youtube.com/watch?v=v0g0HjyOD6E


โดย: สมจิต IP: 58.10.78.186 วันที่: 23 พฤษภาคม 2568 เวลา:13:22:15 น.  

 
(แทรก3)..
....ไทยนี้รักสงบ....
....แต่ถึงรบไม่ขลาด....
....เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่....
....รักชาติ,ศาสน์,กษัตริย์...ต้องหยุดคอร์รัปชั่น....


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.205 วันที่: 7 มิถุนายน 2568 เวลา:18:55:08 น.  

 
(แทรก4)..(ความเห็นส่วนบุคคล)..
“ระบบที่ดี”(คล้ายๆ”ระบบบริหารสังคมแบบจีน”ในหลายๆเรื่อง)จะช่วยป้องกัน”การทุจริต”หรือการ”เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน”ได้ เช่น กรณี”เก็บเงินที่ใส่ในกล่องพลาสติกได้จำนวน12ล้าน” สมมุติว่า.. ถ้า”ระบบดี,สมบูรณ์” เช่น มี”กล้องวงจรปิด”ทุกจุดในอาคาร ต่อให้ผู้เก็บทรัพย์ได้ อยากยึดไว้เป็นของตน ก็จะต้องคิดว่ามี”กล้องวงจรปิด” ถ้าจะยึดเอาไปก็จะต้องถูกตรวจสอบได้ในที่สุด,และจะมีความผิดตามกฎหมายด้วย(คือการมีทั้ง”กฎหมายที่ดี”และมี”กล้องวงจรปิดที่สมบูรณ์”จะสอดคล้องกัน,ทำให้”คนไม่กล้าทำผิด”หรือ”ไม่กล้าคิดสั้นๆแบบมักง่าย”เฉพาะหน้า)..
ดังนั้น “ผู้เก็บทรัพย์ได้”จึงจะต้องรีบแจ้งให้”เจ้าหน้าที่ตำรวจ”ทราบโดยเร็ว เช่นนี้เป็นต้น หรือกรณี”ป่วยวิกฤต?หรือไม่วิกฤต?”ก็เช่นกัน ต้องยอมรับว่า..”สังคมไทย”มี”ค่านิยมแบบศรีธนญชัย”(ชอบหา”ช่องรอดทางกฎหมาย”เพื่อ”ประโยชน์ส่วนตัว”)ซะเยอะ..
ข้อแรกคือ”ระบบการศึกษาไทย”ต้องร่วมกันประณาม”ค่านิยมแบบศรีธนญชัย”ให้จงหนัก(โดยเฉพาะ”สื่อมวลชนต่างๆ”ต้องให้ความร่วมมือด้วย),จะมองแค่เป็นเรื่อง”ขบขัน,เกรงใจ”หรือ”ดูน่ารักน่าเอ็นดู”ไม่ได้เป็นอันขาด..
ข้อ2 คือ”หน่วยราชการที่สำคัญ” เช่น..”รพ.บางแห่ง”หรือ”เรือนจำราชทัณฑ์”จะต้องมี”กฎหมายที่ชัดเจน”ให้ต้องตรวจสอบ”กล้องวงจรปิด”อย่าให้มีการ”ชำรุดเสียหาย”และ”ถ้าเสียต้องรีบซ่อม”ให้เสร็จภายใน เช่น 3วัน ถ้ามีการ”ปล่อยให้เสียโดยไม่ซ่อมแซม”จะต้องมี”ออกกฎหมาย”ให้”ผู้ดูแลเรือนจำ”หรือ”รพ.”ต้องได้”รับโทษถึงจำขัง”โดยไม่ละเว้นทันที เช่นนี้ก็จะไม่ต้องมาหาข้อแก้ตัวว่า”กล้องวงจรปิดเสีย”ให้ประชาชน(ผู้เสียภาษี)ต้องรู้สึกรำคาญใจ เป็นต้น(นี่คือตัวอย่างของ”ระบบที่ดี”จะช่วยป้องกัน”นิสัยทุจริต”ได้เยอะ)..
ข้อ3หรือกรณีที่ชอบอ้างว่าเป็น”ข้อมูลส่วนบุคคล,เปิดเผยไม่ได้” อย่างนี้ก็ต้อง”ปิดช่องโหว่ช่องว่างทางกฎหมาย” โดยบัญญัติให้ชัดเจนว่า..”ข้อมูลใด”แม้จะเป็น”ส่วนบุคคล”ก็ตาม แต่ถ้ามีผลกระทบถึง”ประโยชน์ของประชาชน” เช่น ในด้าน”ความยุติธรรม”หรือ”เรื่องอื่นๆ”ที่เป็น”ส่วนรวม” ก็ต้อง”ออกกฎหมาย”อนุญาตให้มีการเปิดเผยได้ เช่นนี้เป็นต้น..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.205 วันที่: 8 มิถุนายน 2568 เวลา:15:35:29 น.  

 
(แทรก5)..(ความเห็นส่วนบุคคลและข้อเสนอแนะ)..
เมื่อไหร่ที่มีกรณีใดๆก็ตามที่มีเนื้อหาของการมี”เงินสดจำนวนมากๆ”ตั้งแต่หลัก”ครึ่ง-1แสนบาท”ขึ้นไปจนถึงหลัก”หลายๆล้านบาท”โดยไม่นำไป”ฝากหรือเข้าในบัญชีธนาคาร” เมื่อมีการตรวจพบ “สื่อมวลชน”ต้องอย่าลืม”ตั้งคำถามเพิ่มเติม”กับ”ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของเงิน”ทันทีว่ามีเหตุผลอะไร?(“สมเหตุสมผล”หรือ”เม้คเซ้นซ์”หรือไม่?)(การตอบของ”ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของเงิน”ถ้าไม่สุจริต จะสามารถสังเกตจาก”สีหน้า,ท่าทาง,แววตา,สำนวน,หรือเท็คนิค,หรือชั้นเชิงการตอบคำถาม”ของ”สื่อ”ได้ไม่ยาก.. หรือสื่อจะลองปรึกษา”ดร.ต.”ที่มีความเชี่ยวชาญในการอ่าน”สีหน้า,ท่าทาง,พิรุธของคนทำผิด”ตาม”หลักวิชาการอาชญวิทยา”เพิ่มเติมด้วยก็ได้ครับ)ที่จะต้องเก็บเป็น”เงินสดจำนวนมากๆ”ไว้ในบ้าน(ซึ่งอาจไม่ปลอดภัยมากๆด้วย)..
ยุคนี้น่าจะไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นเลยที่จะต้องเก็บเป็น”เงินสด”(โดยเฉพาะจำนวนมากๆจนผิดสังเกต)ไว้ในบ้าน,ทั้งๆที่”เทคโนโลยี่”ทั้ง”การฝาก,การถอน,การโอน,การทำธุรกรรมทางการเงินในยุคนี้”มีความสะดวกสูงมาก.. และอาจเกิดการตั้งข้อสงสัยจากสังคมว่า.. น่าจะเป็นการ”หลีกเลี่ยงข้อมูล”ที่เป็น”เส้นทางการเงิน”(ถ้าต้องผ่านระบบบัญชีธนาคาร-ซึ่งใครๆก็น่าจะพอคิดออก)ว่าได้รับเงินนี้มาจากไหน?(ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่?,เป็นกรณีที่อาจมีนัยยะของการ”ติดสินบน?”หรือมีเรื่อง”ซูเอี๋ยกัน?”ใน”โครงการหรือสัมปทานต่างๆของรัฐ?”หรือไม่?)..
หรือถ้าหากนำ”เงินนั้นๆ”ไป”เข้าบัญชีธนาคาร”,ก็อาจมีการตรวจพบจาก”ปปช.,ปปง.”ในภายหลัง,เมื่อมีการตรวจสอบด้วยหรือไม่?..ใช่หรือไม่?(ซึ่งเท่าที่สังเกตจากข่าวต่างๆที่ผ่านมา.. “สื่อมวลชน”มักไม่กล้าถาม”คำถามดังกล่าว”ข้างต้นนี้กับ"ผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของเงิน?"เลย..(“ประเทศไทยจะพัฒนา..สื่อต้องกล้าตรวจสอบการทุจริตอย่างจริงจัง”)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.205 วันที่: 9 มิถุนายน 2568 เวลา:13:55:29 น.  

 
(แทรก6)..(ความเห็นส่วนบุคคลและข้อเสนอแนะ)..
กรณี”ปัญหาเขตแดน”กับ”ประเทศเพื่อนบ้านของไทยบางประเทศ”.. คือ.. “ความซื่อ”(ที่ไม่มี”ปัญญากำกับ”ในการอ่านจริตของ”ประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ”) = “ความไม่ฉลาด”( =”โง่”)หรือ = “ความอ่อนแอ”ของ”ผู้ดูแลประเทศ”นั่นเอง..
การมี”ประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ”เป็นคนมีDNAที่”เล่ห์เหลี่ยมเยอะจัด”(ตามประวัติศาสตร์).. เราต้องรู้เท่าทัน(และสัมพันธ์เท่าที่จำเป็น,อย่าอยากไปสนิท.. และต้องรู้จัก”โต้ตอบเหลี่ยมของเขา”โดยการ”ยกมือ,ฉายไฟ”และประกาศให้โลกรู้ว่า..เรารู้เท่าทัน”เหลี่ยมเล่ห์”ที่ประสงค์”ยึดครองพื้นที่ประเทศไทยบางส่วน”ของเขาอยู่นะ..ด้วย.. เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้”ประเทศไทย”ต้องเสียความเป็น”เอกราช”ได้ในอนาคต..
และเราควรออกกฎหมาย เช่น (เฉพาะ)”คุณสมบัติของผู้นำประเทศ”ต้องไม่มีญาติใกล้ชิดไปเกี่ยวพัน”เป็นดอง”กับ”ญาติของผู้บริหารประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ”(ที่มีประวัติศาสตร์ที่”ชอบทรยศ?”หรือ”แทงข้างหลัง?”ประเทศไทยอยู่เสมอ),เพื่อป้องกันเรื่องการไปตกลงกันลับๆ,ซึ่งอาจมีนัยยะที่กลายเป็นเรื่องของ”ผลประโยชน์ทับซ้อน”กับ”ทรัพยากรของประเทศ”.. ซึ่งกว่าจะสืบรู้ในภายหลังก็อาจสายเกินแก้(หรือแก้ไขได้ยาก)ไปเสียแล้วก็เป็นได้..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.205 วันที่: 9 มิถุนายน 2568 เวลา:23:48:35 น.  

 
(แทรก7)..(ความเห็นส่วนบุคคลและข้อเสนอแนะ)..
“ตรรกะของสังคมโลก”(โดยเฉพาะ”ชาวฝรั่ง”ที่เป็น”เจ้าอาณานิคมทั้งหลาย”ในยุคสมัยที่ผ่านๆมา)เป็น”ตรรกะที่เห็นแก่ตัว”และเป็น”ตรรกะที่ผิดพลาดมากๆ” นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า”กฎหมายปิดปาก”(เพราะ”ความจริงก็คือความจริง”,ไม่ใช่ว่า..ถ้าเราเฉย,อาจเพราะพลั้งเผลอ,คิดไม่ถึง,ไม่รอบคอบ,ขาดสติปัญญาความรู้,หรือลืมทักท้วง.. ก็เลยจะทำให้เราต้อง”เสียสิทธิ์”ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ”ที่ดิน”หรือ”อสังหาริมทรัพย์”หรือ”ข้าวของใดๆ”ก็ตาม..เช่นนี้หาถูกต้องชอบธรรมไม่?)..
เราจึงหวังว่า.. ถ้าวันใดที่”ประเทศไทย”มี”อิทธิพลทางความคิด”ต่อ”ประชาคมโลก”.. เราต้องบอกให้”ประชาคมโลก”ได้รู้ว่า..”ตรรกะ”หรือ”ปรัชญากฎหมาย”เรื่อง”กฎหมายปิดปาก”นั้นเป็น”หลักกฎหมาย”ที่”ไม่ชอบธรรม”และควร”ยกเลิกเสีย”.. เพราะเป็นธรรมชาติที่ย่อมไม่มีใครที่จะสามารถไป”ดักทาง”(ได้อย่างสมบูรณ์ในทุกเรื่อง),โดยทำหลักฐานไว้ทุกสิ่งทุกอย่างไว้ล่วงหน้า,เพื่อป้องกันไม่ให้”บางฝ่ายที่เห็นแก่ได้”มาอ้างเรื่อง”กฎหมายปิดปาก”เพื่อเคลม”พื้นที่และโบราณสถานต่างๆ”ของ”ประเทศเพื่อนบ้าน”เพื่อยึดมาเป็นของตน..ได้..
แต่ในเบื้องต้นในยุคนี้.. เรา(ประเทศไทย)ต้องระวังตัวให้มาก,และต้อง”นึกข้ามช็อต”ไปถึงอนาคตว่า..”ประเด็นใด?”ที่”ประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ”จะสามารถมาใช้”กฎเกณฑ์”ของ”กฎหมายปิดปาก”มาใช้กับ”ประเทศเรา”ได้บ้าง.. และผู้นำทุกสมัยต้อง”ให้เกียรติและรับฟังประชาชน”(ผู้เป็น”ผู้เสียภาษี”และเป็น”เจ้าของประเทศตัวจริง”)ในวิสัยการแสดงออกในฐานะ”ผู้รักชาติ”,โดยที่ต้องไม่มีการประณามว่าเป็น”ผู้คลั่งชาติ”โดยเด็ดขาด..ด้วย..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.205 วันที่: 10 มิถุนายน 2568 เวลา:0:45:57 น.  

 
(แทรก8)..(ข้อมูลเพิ่มเติม)..
ขอขอบคุณ...
https://www.youtube.com/watch?v=FIUDxKcHwRA


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.205 วันที่: 10 มิถุนายน 2568 เวลา:0:55:41 น.  

 
(แทรก9)..(ทัศนะส่วนตัว)..
เราเห็นด้วยกับ”ทัศนะ”ของ”โหรลักยิ้ม”(และ”ลุงตู่”)ว่า.. “ยิ่งเรามีทหารที่ดี,มีอาวุธที่ดี เรายิ่งไม่ต้องรบ พอเราซื้ออาวุธมาเราสามารถข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้ ทั้งๆที่เรายังไม่ต้องใช้อาวุธนั้น”..
เรื่อง”หลักศาสนา”โดยเฉพาะ”ศาสนาพุทธ”(ในมุม”ความรุนแรง”และ”การใช้อาวุธ”)นั้น..เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน.. แม้แต่”ศาสนาคริสต์”สอนว่า..”ถ้าเขาตบแก้มซ้ายของเรา,ให้เรายื่นแก้มขวาให้เขาตบด้วย”.. มี”บางท่าน”บอกว่า..เคยได้ยิน”คำสอนของคริสต์”ประมาณว่า..”ถ้าเขาตบแก้มซ้ายของเรา จงหันแก้มขวาให้เขาตบด้วย”..ประมาณนี้[“แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย”(มธ 5:39)].. ซึ่งเราเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วย.. เพราะในความเป็นจริงจะยิ่งทำให้”คนผู้นั้น”จะยิ่งคึกคะนอง,และ”กระทำกับเราด้วยความรุนแรงซ้ำๆ”นั่นต่างหาก.. แต่ถ้าเรารู้จักโต้ตอบไปบ้างตามสมควร ก็จะทำให้เขารู้ว่า..”มือและเท้าของคนอื่นหรือของเราก็มีเหมือนกัน”..
ซึ่งเราเองก็มี”ทัศนะ”ที่คล้ายกับ”โหรลักยิ้ม”และ”ลุงตู่”(ในกรณีทำนองนี้)มานานแล้ว.. ในเรื่องการที่”ประเทศชาติจำต้องมีอาวุธ”(รวมถึง”การผลิตและสร้างอาวุธด้วยตนเอง”ได้ด้วย).. ซึ่งการมี”อาวุธที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย”อาจช่วยทำให้เรารอดพ้นจากการ”ต้องทำการรบแบบรุนแรง”ก็ได้ด้วย.. คืออาจแค่”ยิงข่มขวัญข้าศึก”,เขาก็อาจ”ไม่กล้าต่อกรกับเรา”และ”ยอมถอยหรือถอนกำลัง”ไปเลยก็เป็นได้.. ประมาณนี้ครับ..
แต่เราเคยเห็นแย้งกับทัศนะแบบ”ท่านสมณะโพธิรักษ์”(ครั้งหนึ่งเราก็เคยเป็น”ลูกศิษย์ท่าน”มาบ้าง,บัดนี้ท่านมรณภาพไปแล้ว).. ซึ่งท่านมักสอนว่า..”คนฉลาดสร้างอาหาร..คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ”.. ซึ่งเรามองว่าเป็น”ความจริงแค่บางส่วน”เท่านั้น.. เรามองว่า..”ชาติใดที่ไม่มีอาวุธ,ในที่สุดจะไม่สามารถประคับประคองหรือยืนหยัดความเป็นชาติอยู่ได้”..
จริงๆ.. เรายังมองว่า..”ความรุนแรง”(แบบใช้”เชิงจิตวิทยากำราบคู่ต่อสู้”)จะสามารถยับยั้งความรุนแรงหรือความวิบัติอื่นๆที่จะตามมาได้ด้วย เช่น พ่อแม่อาจต้องขู่ตะคอกลูก เช่น ลูกเล็กๆกำลังเดินไปใกล้บ่อน้ำหรือเดินไปใกล้ถนน เป็นต้น.. หรือบางครั้งอาจใช้”ไม้เรียวเล็กๆตีลูก”ก็สามารถทำให้”ลูกจดจำ”และ”เป็นคนดีต่อไปในอนาคต”ได้ด้วย..
“โหรลักยิ้ม”เล่าต่อว่า.. “ผมชอบสุภาษิตหนึ่งที่ว่า..*ดาบ1เล่มทำให้(ดาบ)เล่มที่เหลืออยู่ในฝัก*.. บางครั้ง *การข่มขู่หรือการใช้ความรุนแรงเองก็จำเป็น* บางครั้ง *การฆาต1ชีวิตก็กลับรักษาชีวิตอื่น(อีกหลายๆชีวิต)เอาไว้ได้* สุดท้าย..*มีแล้วไม่ได้ใช้..ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี*ครับ”..
เรา(ผู้เขียนเอง)ยังมีทัศนะแบบทาง”ประเทศจีนและเวียดนาม”ว่า.. “การบังคับใช้กฎหมายประหารชีวิต”กับ”ผู้ที่ทำทุจริตคอร์รัปชั่น”(ที่เป็นคนมี”ตำแหน่งระดับสูง”,และมีความ”สูญเสียเงินงบประมาณ”ที่สูงมาก)ในทางราชการสัก”1-2คน”เพื่อให้สังคมรับรู้”โทษของการคอร์รัปชั่น” ก็อาจช่วยยับยั้งการมี”ทัศนะการคอร์รัปชั่น”ไม่ให้แพร่ระบาดในวงกว้างได้(ดีกว่าการมี”โทษประหาร”แค่เพียงเป็น”เสือกระดาษ”ที่ไม่มีการบังคับใช้ได้จริง..ซึ่งจึงทำให้”โรคคอร์รัปชั่น”ระบาดไปทั่วทุกจุดในสังคมไทยไงล่ะ!?..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.205 วันที่: 10 มิถุนายน 2568 เวลา:22:16:24 น.  

 
(แทรก10)..(ข้อมูลอ้างอิง)..
ขอขอบคุณ...
https://www.youtube.com/watch?v=k8KPsVP3B8I


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.205 วันที่: 10 มิถุนายน 2568 เวลา:22:24:23 น.  

 
(แทรก11)..(ความเห็นส่วนตัว)..
ต้องยอมรับว่า สมัยที่”อาจารย์ป.”แห่ง”ค่ายบ้านตะวัน”มาทำกรณี”ทนายต.”นั้น,เราไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะเรามองว่า ถ้าคน2คนเป็นความกันและมีเรื่องของ”หวย”[เช่น “ท่านผู้หนึ่ง”ได้เงินจากล็อตเตอรี่เป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งถือเป็น”ทุกขลาภ” และมีการพูดกันตามข่าวทำนองว่า จะโอนเงินมาไทยแบบไหนที่ไม่ต้องถูกช้าร์ตค่าธรรมเนียมมาก อะไรประมาณนั้น ซึ่งเราไม่มองว่า การได้เงินจาก”หวย”นั้นเป็น”วิบากกรรมที่ดี”ที่เขาเคยทำมาแต่ชาติปางก่อน,จึงทำให้ถูก”หวยรางวัลใหญ่”เช่นนั้น แต่เรามองว่า เป็น”กรรมปัจจุบัน”ซึ่งเขา”สร้างขึ้นมาใหม่”ซึ่งเขาจึงต้องชดใช้”วิบากกรรม”จากการ”ได้เงินของคนอื่นจำนวนมากมาไว้กับตน” เราเป็นชาวพุทธ พุทธสอนว่า”หวยคือการพนัน”,”การพนันคืออบายมุข” ชาวพุทธควรยึด”หลักคำสอนของพุทธ”เรื่อง”อบายมุขคือปากทางแห่งความเสื่อม”,ซึ่ง”คนพุทธแท้”อย่าง”อาจารย์ป.”ซึ่งยึด”หลักพุทธ”ค่อนข้างมั่นคง(เท่าที่ทราบ)จึงไม่ควรไปส่งเสริมสนับสนุน,รวมทั้ง2ฝ่าย.. ซึ่ง”บางฝ่าย”หรือ”ทั้ง2ฝ่าย”ก็มี”แนวคิด”ที่คิดจะ”ทำธุรกิจ”ในเรื่อง”ธุรกิจหวยๆ”ด้วย]ด้วยนั้น.. เขาก็คงเป็นคนที่”มีศีลเสมอกัน?”,ก็คงมีเรื่องที่”ไม่ค่อยเข้าท่า?”( =”ไม่ยึดหลักธรรม”)พอๆกันเป็นแน่!?,จึงได้โคจรมาพบกันได้.. แบบว่า”น้ำย่อมไหลไปหาน้ำ,น้ำมันย่อมไหลไปรวมกับน้ำมัน”..นั้นแล..
ซึ่งเรามองว่า.. “คนพุทธแท้”หรือ”คนดีแท้”จะไม่”เล่นหวย”หรือ”ยุ่งกับเรื่องหวยๆ”.. ดังนั้น.. “คนทั้ง2คน”ที่เป็น”คู่กรณี”จึงน่าจะไม่ใช่”คนพุทธแท้?”(คืออาจเรียกว่าเป็น”คู่กรรม?”ต่อกันมากกว่า?..ก็เป็นได้?)..
ซึ่งเราไม่เคยยินดีเลยกับ”ใครที่ถูกหวยได้เงินมากๆ”.. ขอยกตัวอย่าง.. อย่างกรณี”ลุงจรูญ”และ”ครูปรีชา”ก็ประสบ”วิบากกรรมความยุ่งยากวุ่นวาย”จาก”เรื่องของหวย”ตามที่เป็นข่าวนั่นไง(?).. และมี”บางราย”ที่พอถูก”หวยรางวัลใหญ่” อีกไม่นานก็ปรากฏว่า..”ครอบครัวแตกแยก,ต้องเลิกกันไป” เป็นต้น..
อีกอย่างหนึ่ง.. เราตอนนั้น(อาจคิดต่างจากคนอื่น) คือไปมอง”มุมส่วนดี”ของ”ทนายต.”ว่า..เขากล้าสารภาพว่า..ก่อนหน้านี้เขาอาจ”หลงชีวิต”,ใช้ชีวิตแบบคึกคะนอง”ติดแบรนด์เนม,อวดร่ำอวดรวย”ไปพักหนึ่ง.. แต่ภายหลังก็คิดได้,จึงกลับตัวกลับใจ,คิดอยาก”ช่วยประเทศชาติ”สักครั้ง.. และจึงได้ออกมาเปิดโปง”วงการตร.”..
และเผอิญเขามี”บุคลิก”ที่เป็น”คนกล้าสู้กล้าชน”กับ”อิทธิพลต่างๆ”,และเป็น”คนที่ฉลาด,มีไหวพริบ”และ”มีสติปัญญาคมชัด”,และสามารถ”ตอบคำถามผู้สื่อข่าว”และ”ชี้แจงเรื่องราวที่เป็นคดีความ”ได้อย่าง”คล่องแคล่ว,เฉียบคม,ไม่ติดขัด”.. เราจึงเพียง”มองมุมดี”ว่า.. เมื่อเขาสารภาพว่า”กลับใจ”และ”อยากช่วยประเทศสักครั้ง”.. เราจึงคิดแบบง่ายๆไม่ซับซ้อนว่า..อยากให้โอกาส,และอยาก”อนุรักษ์DNA”ของ”คนฉลาดและเก่งกล้า,ไม่กลัวอิทธพลใดๆ”ของ”คนคนนี้”ไว้ซักคนเท่านั้น.. แต่ถ้าภายหลัง,ถ้าเขาไม่ได้”กลับใจจริง”ก็จึงค่อยว่ากันใหม่..ประมาณนั้น..
แต่ต่อมา.. เมื่อ”อาจารย์ป.”มาทำ”เรื่องแตงโม”และ”เรื่องการเมืองที่ฉ้อฉล”,ซึ่งทำให้”ชาติประสบวิบัติ”.. เราจึงมองว่า”เรื่องชาติและเรื่องความยุติธรรม”ของ”ระบบยุติธรรมไทย”ต้องมาก่อน.. เราจึงยินดีที่จะสนับสนุน”แนวคิด”ของ”อาจารย์ป.”อย่างเต็มที่ ณ วาระนี้.. ซึ่งเรามองว่า..”อาจารย์ป.”มี”สติปัญญา,ความรู้”และ”ความคมลึกแม่นประเด็น”ที่เข้าขั้น”บุคคลอัจฉริยะ”ได้เลยทีเดียว..
และเรายังรู้สึกในกรณีที่”อาจารย์ป.”ได้ดู”ภาษากาย”ของ”ผู้ร่วมทำงาน”กรณี”แตงโม”ท่านหนึ่ง,กรณีที่เอามือกุมกันไว้,ในขณะที่”ตอบคำถาม”กับ”พิธีกรดังรายการหนึ่ง”.. ซึ่งเมื่อเราเห็น”ภาพและอาการกาย”,เราก็รู้สึกเช่นเดียวกับ”อาจารย์ป.”เปี๊ยบเลย(ซึ่งไม่จำเป็นต้อง”อ่านภาษากายได้”แต่เฉพาะ”อ.ตฤณห์”เท่านั้น).. ทั้งๆที่”ท่านดังกล่าว”เคยแสดงออกหลายครั้งผ่านโซเชี่ยลว่า.. ตนเองไม่ได้กลัวแม้แต่ว่า,ถ้าจะมีใครมาทำร้าย,หรือถึงต้องเสี่ยงตายใดๆก็ตาม.. ซึ่ง”อาจารย์ป.”อาจเกรงใจว่า”เคยทำงานร่วมกันกรณีแตงโม”มาอย่างใกล้ชิด,จึงแค่แสดง”ความเห็นแบบนิ่มๆ”แบบ”ถนอมน้ำใจกัน”ไว้บ้างเท่านั้น..
แต่เรามองว่า..ทำไม”ท่านผู้นี้”(ซึ่งเราก็เคยนิยมใน”ความกล้า,ไม่กลัวอิทธิพลใดๆของท่าน”เช่นเดียวกับ”ทนายต.”มาก่อนเช่นกัน)จึงมาพูดแสดงออกครั้งหลังสุด,ทำนองว่า..”ถ้าขืนเปิดเผย,เขาอาจถูกยิงตาย”(เหมือน”แกล้งอมพะนำ?,กั๊ก?,กลบเกลื่อน?,อำพรางบางสิ่งไว้?”,เพื่อไม่ให้เสียเชิงถ้าต้องถอย?หรือต้องหยุด?).. ประหนึ่งว่า”กลัวตาย?”กระนั้น(?).. หรืออาจมีสิ่งที่”ลับลม,ลึกซ้อน”มากกว่านั้น?หรือไม่?.. เช่น.. อาจมี”บางสิ่งตกใส่นิ้วโป้งเท้าบวมไปแล้ว?”ก็อาจเป็นได้?..หรือไม่?..
จึงอยากขอพูดแทน(เพิ่มเติม)เสริม”อาจารย์ป.”ที่อาจจะพูดแบบ”ถนอมน้ำใจกันต่อบางท่าน”ไว้ก่อนทำนองว่า..ถ้า”ท่านผู้นี้”จะหยุดก็ไม่ว่า.. แต่”อาจารย์ป.”จะขอเดินหน้าต่อไป”กรณีแตงโม”.. และ”อาจารย์ป.”ยัง”ยืนหยัดคำพูด”(ซึ่งเราฟังแล้ว”รู้สึกประทับใจมากๆ”)ที่ว่า”ต้องไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย”,ซึ่งเราขอเสริมช่วย”อาจารย์ป.”ด้วยการตั้งคำถามว่า.. ถ้าเมื่อบอกว่า”ไม่เกี่ยวกับคนระดับสูงใดๆ”.. ก็แล้วจะมี”ใครในประเทศไทย”ที่จะใหญ่กว่า”คนระดับสูง”.. จนต้องอ้างว่า”เอื้อมไม่ถึง”ได้อีกเล่า?.. ใช่หรือไม่?..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.84.67 วันที่: 12 มิถุนายน 2568 เวลา:23:35:39 น.  

 
(แทรก12)..(ความเห็นส่วนบุคคล)..
เรื่อง”ประโยชน์ของประเทศชาติ”.. ต้องไม่มีคำว่า”หญิง?”หรือ”ชาย?”.. ต้องไม่มีคำว่า..”เมตตาเอ็นดู?”.. เพราะ”DNA เช่นนี้?”..แต่โบราณกาล..(เช่นเดียวกับ”ออกญาจักรี?”).. ถือว่าต้องทำให้สูญสลายไป(?).. ดังนั้น “การขาย.....?” ต้อง”.......?”..สถานเดียว?..เท่านั้น?(เพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง)ครับ..
อยากนำเสนอให้ไกลถึง”กม.7ชั่วโคตร”ด้วยครับ(เพราะเป็น”DNAที่อันตราย?”ต่อ”ประเทศชาติโดยรวม”เป็นอย่างมาก?)..
ไปตรวจดูใน”อากู๋(วิกิ)”ซิครับว่า..”โคตรเง่าของบางบุคคล?”เขาเป็นคนประเภทใด?.. ต้องยอมรับว่า..”DNAของบางบุคคล?”นั้น..เขาแรงจริงๆ(?).. ถ้า”สังคมไทย”ไม่กล้า”ตัดสินใจบางอย่าง?”ในวันนี้(?).. ถ้าปล่อยให้”บางDNA?”ผงาด?,ผยอง?(เพราะ”คอนเน็คชั่น?”หรือเพราะมี”ผลประโยชน์ที่สัมพันธ์กัน?”บางอย่าง?).. อนาคต”ประเทศไทย”อาจถูกทำให้”วอดวาย?,ล่มสลาย?”ได้..นะครับ(?)...
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.72.211 วันที่: 19 มิถุนายน 2568 เวลา:9:14:53 น.  

 
(แทรก13)..(จินตนาการของเรา)..
ฤๅ“คลิป(บางคลิป)หลุด = ตึกสตง.ถล่ม”(?).. คือเมื่อ”ความเลวถึงขีดสุด?”.. แม้”ฟ้าดิน”ก็รองรับต่อ”ความชั่วร้าย”ที่”กระทำต่อแผ่นดิน?”ไว้ไม่ได้(?).. ฉันนั้น(?)..
จำได้ว่า..เราเคยดู”ละครเปาบุ้นจิ้นบางตอน”.. ที่มีการตัดสินโทษต่อ”บางบุคคล”.. แล้วมีการตัดสินให้ประหาร”บางบุคคล”(ซึ่งเป็นคนสำคัญ)นั้น.. แต่ภายหลังถูกยับยั้งโดย”บุคคลพิเศษ”ว่าให้”งดโทษประหาร”นั้น.. ซึ่ง”เปาบุ้นจิ้น”ก็รับไม่ได้.. แต่ก็ไม่สามารถขัดขืน”อำนาจพิเศษ”ได้.. จึงจำใจต้องปล่อยตัว”นักโทษคนสำคัญ”ออกมาจาก”ศาลไคฟง”..
ทันใด..ฟ้าก็มืดมิด(หรือ”ฟ้าสะท้าน..แผ่นดินสะเทือน”..ประมาณนั้น).. ลมแรงพัดกระหน่ำ.. และในที่สุด..”ฟ้าก็ไม่อาจรองรับความชั่วช้า”ของ”บางบุคคล”ได้.. ก็จึงเกิด”อสนีบาต”ฟาดเปรี้ยงลงบน”ศีรษะ”ของ”บางบุคคล”ที่ไม่ยอมรับโทษตาม”ความผิดของตนเอง” ในทันใด.. เราจึงจดจำ”ละครเปาบุ้นจิ้นตอนนี้”ไว้ได้ไม่เคยลืม..นั่นเอง..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.72.211 วันที่: 19 มิถุนายน 2568 เวลา:15:56:33 น.  

 
(แทรก14)..(“สังคมไทยมักกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด”เสมอep.1)..
“ยารักษาโรคต่างๆ”นั้น.. แม้คุณภาพจะดีขนาดไหน?.. แต่ถ้าคุณไม่ระวังใน”การใช้”หรือ”ใช้ยาเกินขนาด”ก็อาจ”เกิดโทษ”หรือ”เกิดผลข้างเคียง”ที่”ไม่พึงประสงค์”ได้เสมอ..
คนที่ผ่าน”ระบบโรงเรียนในประเทศไทย”..ย่อมจะได้เรียนรู้ถึง”คำพังเพยไทย”ที่ว่า”(อย่า)คบเด็กสร้างบ้าน..”กันมาแล้ว.. แปลความว่า.. ถ้าคุณจะทำกิจ(การ)ใดๆที่เป็นเรื่องของ”ความมั่นคง”หรือ”มีสาระ”(เช่น “การสร้างบ้าน”ซึ่งต้องระวังถล่ม),คุณคงจะอาศัย”เด็ก”ซึ่งมีอารมณ์(ตามแต่ใจ)แบบว่า..”คึกคะนอง”หรือ”ชอบเล่น,ชอบลอง,เห็นเรื่องต่างๆเป็นเรื่องสนุกไปหมด”,รวมทั้งยังไม่มี”ประสบการณ์”ที่มากเพียงพอ.. แล้วนำไปเป็น”ที่ปรึกษาแบบจริงจัง”หรือ”ให้ร่วมทำงานที่สำคัญๆ”นั้นๆ..คงไม่ได้(?)..ใช่หรือไม่?..
แม้แต่เรื่องของ”ศาสนา”ก็เช่นกัน.. “ศาสนา”ก็เหมือนกับ”ยารักษาโรค”(โดยเฉพาะ”โรคที่เกี่ยวกับด้านอารมณ์และจิตใจ”)ก็มี”ผลข้างเคียง”ได้..เช่นเดียวกัน.. และไทยเป็น”เมืองพุทธ”.. ซึ่ง”พุทธ”มักเน้นให้”ผู้นับถือ”เป็นคนที่มี”จิตใจที่อ่อนโยน”,เพื่อจะได้เป็น”ผู้ถูกขัดเกลาทางศีลธรรม”ได้ง่าย.. แต่พอนานๆเข้า,ก็เกิดเป็น”อุปนิสัยฝังใจคนไทย”ทำให้”เชื่อคนอื่น”แบบง่ายๆ.. เช่น..เชื่อพวก”หมอดู”(บางคน)ง่ายๆ,ถูกหลอกกันไม่รู้เท่าไหร่ๆกันไปแล้ว(?)(แม้แต่ตัวเราเองก็ยังเคยโดน”หมอดูบางคน”หลอกเอา”เงินค่าทำพิธีหลายพันบาท”มาแล้วเมื่อราว30ปีก่อน,เพราะเพียงอยาก”ลองของ,ลองดู”เท่านั้น)..
ดังนั้น..นิสัยคนไทย..ใครพูดอะไรก็มักเชื่อว่า..”เขาคงพูดจริง,ไม่หลอกเรา”อยู่เสมอ(ซึ่ง”พวกคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ”ชอบ”อุปนิสัยคนไทย”มากๆ)..ด้วยประการฉะนี้..
เช่น.. “นักการเมือง”(บางคน)เคยพูดเวลาไปหาเสียง,บอกใครต่อใครในที่ต่างๆ.. ก็มักจะ”โฆษณาตนเอง”ว่า..”ผมรวยแล้วครับ,ผมไม่โกง,แค่ต้องการทำเพื่อประเทศชาติ,ประชาชนบ้างเท่านั้น”.. ก็พากันหลงเชื่อ.. แม้แต่”คณะสีกรักคลองกุ่ม”,และ”สาวกที่เคร่งศีล”ก็พากันเชื่อตาม”เจ้าสำนัก”ทุกอย่าง(แม้แต่เชื่อว่า”เจ้าสำนักบรรลุธรรมขั้นสูงสุด”)..
ซึ่งแม้แต่”เจ้าสำนักเอง”ก็ยังเคย”ถูกหลอก”ด้วยคารมจาก”นักการเมืองบางคน?”ว่า”ผมรวยแล้วผมไม่โกง?”ด้วยเช่นกัน.. (แต่เห็นมี”อ.เจิมศักดิ์”ที่รู้เท่ารู้ทัน”นักการเมืองบางท่าน?”นี้มาตั้งแต่ต้น,เพราะ”อ.เจิมฯ”ท่านอ่านคนออก).. ซึ่งจริงๆเราต้องขอบอกว่า.. มันเป็น”ตรรกะวิบัติ”ซึ่ง”เจ้าสำนักสีกรัก”เองก็ยัง”อ่านตรรกะ”จาก”คำพูดนี้”ไม่ออก..(เพราะจริงๆ..ถ้าไม่ระแวงใดๆ,ฟังแค่เผินๆ,ไม่คิดอะไรมาก,ด้วยเพราะความไว้วางใจ,เพราะเห็นว่า..เขารวยมาก,และด้วยเขาพูดจาด้วยท่าทีที่ดูเนียนมาก,อันเป็นพื้นฐานในความคิดของ”เจ้าสำนักนี้”เอง..อยู่ก่อนแล้ว..ก็ย่อมดูน่าเชื่อ)..[เพราะจริงๆคือ..ย่อมแปลว่า..(เพราะ)ถ้า”รวยแล้ว(จึง)ไม่โกง”,แต่ถ้า”ยังจน”ก็”อาจจะโกง”(ก็ได้),หรือถ้าจนลงอีกเมื่อไหร่?,ก็อาจจะโกงได้อีก?..ประมาณนั้นหรือไม่?.. ซึ่งแสดงว่า..”นิสัย”ของ”นักการเมืองผู้นี้?”(ที่”พูดในลีลาเช่นนี้?”)ย่อมใช้ไม้ได้(?)].. ดังนั้น..”คำพูดนี้”ย่อมไม่น่าเชื่อถือเลย?..ใช่หรือไม่?..(ต่อep.2)
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.72.211 วันที่: 19 มิถุนายน 2568 เวลา:20:53:46 น.  

 
(แทรก15)..(“สังคมไทยมักกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด”เสมอep.2)..
เหมือนกับสมัยหนึ่ง.. ที่”บางพรรค”ก็ออกนโยบาย(เพื่อ”สอนเด็กในโรงเรียน”)ว่า”โตไป(แล้วจะ)ไม่โกง”.. นี่ก็เป็น”นโยบาย”แบบ”ตรรกะวิบัติ?”เช่นเดียวกัน(?).. คือฟังแล้วก็ทำให้”นักตรรกะทั้งหลาย”รู้ได้ในทันทีว่า.. ถ้า”โตไปแล้วจะไม่โกง”เหมือนกับ”ผู้ใหญ่”ที่เป็น”นักการเมืองทั้งหลาย”(บางคน).. แต่ว่าตอนนี้”ยังเป็นเด็ก”อยู่นั้น(ก็ยังคง”โกงได้?”ไปก่อน,เพราะว่ายังไม่โตอ่ะ?..ใช่หรือไม่?).. ก็ยังสามารถทำ”พฤติกรรมต่างๆ”ที่คล้าย”การโกง?”.. เช่น..”โกงเงินเพื่อนๆ?”,หรือ”โกงข้อสอบ?”ก็ยังสามารถทำได้(?).. ไว้รอ”โตเต็มที่เป็นผู้ใหญ่ก่อน?”,แล้วจึงจะค่อย”หยุดโกง?”.. คือว่า“ตรรกะ”ย่อมเป็นเช่นนี้?..ประมาณนี้?..ใช่หรือไม่?.. ซึ่งโดย”ตรรกะที่ถูกต้อง”นั้น.. ถ้า”นิสัยแต่เก่า?”ซึ่งเคย”ชอบโกงเล็กๆน้อยๆ?”มาแต่”วัยเด็ก”.. เมื่อโตขึ้นก็จะแก้ไม่ได้(?).. เพราะจะติดใน”กมลสันดาน?”,และเมื่อ”มีช่องให้โกงได้?”,ก็จะ”โกงต่อไป?”อีกนั่นแหละ(?)..
หรือแม้แต่”คำขวัญ”ว่า”เมาไม่ขับ”,หรือ”หยุดเหล้าเข้าพรรษา”,หรือ”วันพระชาวพุทธควรหยุดเหล้า”.. นี่ก็เราฟังแต่แรกที่ได้ยิน,แล้วก็รู้สึกตลกมาก.. เพราะ”ตรรกะ”มันไม่ถูกต้อง(?).. เพราะถ้า”การหยุดเหล้า”(หรือ”การไม่ดื่มเหล้าเลย”)นั้นเป็น”สิ่งที่ดี”(ซึ่ง”คนเชื้อสายจีนในไทย”เขาไม่ค่อย”ดื่มเหล้ากันเป็นกิจวัตร?”เหมือน”คนเชื้อสายไทย”เลยนะ?..ลองสังเกตดูสิ?),และ”ชาวพุทธ”นั้น”ไม่ควรดื่มเหล้าเลย”ไม่ว่า”กาละไหนๆ”,เพราะถือว่า”ผิดศีลข้อ5”(“สุราเมรยะฯ”).. ก็แล้วทำไมต้อง”ให้หยุดเหล้าเฉพาะเข้าพรรษา?”,หรือ”ให้หยุดเหล้าเฉพาะวันพระ?”ด้วยเล่า?..ใช่หรือไม่?..
หรือถ้า”เหล้าเป็นสิ่งที่ทำให้ขาดสติ,ทำลายสุขภาพ,ทำลายความอบอุ่นในครอบครัว”.. และย่อมเสี่ยงต่อการ”เกิดอาชญากรรมในมิติต่างๆ”,และถ้า”หญิงดื่มเหล้า”,ย่อมเสี่ยงต่อการ”เปิดช่อง,เปิดโอกาส”ให้เกิดการ”ถูกล่อลวง”,หรือ”ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยไม่ยินยอม”ได้โดยง่าย(?)..(และย่อมเกิด”ผลกระทบทางร้ายต่อเพศหญิง?”ตามมาอีกมากมาย?).. ก็แล้วทำไมจะต้องมา”ห้ามอย่างจริงจัง?”เฉพาะที่”ดื่มเกินขนาดจนเมา?”,และเมื่อ”เมาแล้วก็ยังจะมาขับรถ?”(โดยให้”มีความผิดตามกฎหมาย”)เท่านั้น?..ด้วยเล่า?..
ซึ่งประหนึ่งว่า..กำลัง”สอนสังคม?”(โดยอ้อม?)ว่า.. ถ้า”เมาแล้วขาดสติยังไงก็ได้?”นั้นก็ไม่เป็นไร?,ไม่ได้ว่าอะไร?,ไม่ได้มี”ความผิดตามกฎหมาย”อะไรเลย?.. เพียงขอแต่ว่า”ไม่ต้องมาขับรถ?”ก็พอ(?),จะ”เมาขาดสติ,ส่งเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน,ทำร้ายครอบครัว”,หรือทำให้”ลูกเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในจิตใจ”,หรือ”เกิดความกังวล”,หรือ”เป็นตัวอย่าง”ของ”พ่อบ้านที่ไม่ดี”อย่างไรก็ได้(?),ก็ไม่มี”ความผิดตามกฎหมาย”ใดๆ?,เพียงขอแต่แค่”อย่าเมาแล้วมาขับรถ?”เท่านั้น..อย่างนี้เป็น”ตรรกะที่ใช้ได้?”..มั้ยครับ?..
ผลตามมาจาก”หลักศาสนาพุทธ?”ที่มี”ผลข้างเคียง?”ที่ทำให้”คนชาวพุทธไทย?”กลายเป็น”คนที่มักเชื่อคำพูดคนอื่นแบบง่ายๆ?”.. จึงทำให้ลามมาถึง”การหาเสียงของนักการเมือง?”(ซึ่งรู้”หลักจิตวิทยา”ดี..ว่า”คนไทยเชื่อง่าย?”).. ซึ่งจึงทำให้มี”ชาวบ้าน,ประชาชน”ที่มัก”หลงเชื่อตาม”นักการเมืองบางส่วน?”(แบบ"ไม่ไตร่ตรองให้ดี,ให้รอบคอบ”เสียก่อน)ได้ง่ายๆ.. เช่น..”ผมรวยแล้วไม่โกงครับ?”..ดังกล่าวข้างต้น(?).. เป็นต้น(?)..
ซึ่งจึงทำให้..”สังคมไทย”กลายเป็น”คนที่ลวกๆ?”,มักไม่คิดอะไรให้ลึกซึ้ง(?)(ซึ่งรวมถึงการที่”สังคมไทย”มักถูกมอมเมาด้วย”สุราและแอลกอฮอล์ต่างๆ”,ซึ่งจึงทำให้”ระบบสมองคนไทย”มักไม่สามารถ”คิดอะไรให้ลึกซึ้ง?”นั่นก็ด้วย?..ด้วยการ”สมยอม?”ของ”กฎหมายรัฐ?”ด้วย?)..
หรือเช่น..ในสมัยโบราณ.. ถ้ามีใครที่”ทำผิดร้ายแรง”ย่อมจะมีโทษถึง”7ชั่วโคตร”นั่นไง?.. ทำไม”คนโบราณ”คิดเช่นนั้น?.. แล้วทำไม”สังคมไทย”จึงไม่ฉุกคิดว่า.. ถ้า”บุพการีของบางท่าน”ที่เคยทำต่อประเทศไว้ไม่ดี,ก็น่าเชื่อว่า..”เชื้อกรรมพันธุ์”หรือ”DNA”นั้นย่อมเป็น”สายDNAเดียวกัน?”ที่อาจเชื่อมมาถึง”บุตรหลาน”,ให้มักมี”ระบบ?”ของ”แนวคิด,ทัศนะ?”ที่”ผิดเพี้ยน?”ใน”ทางลบ?”ใน”เรื่องศีลธรรมจรรยา?”(หรืออาจเป็น”สายDNA”ที่”ไม่เชื่อเรื่องผลแห่งกรรม?”,หรือมักเชื่อว่า”เงินนั้นง้างได้ทุกสิ่ง,แม้แต่กรรมเวรก็ตาม?”..ประมาณนั้น?..หรือไม่?)ไปด้วย?..โดยอัตโนมัติ?..เช่นกัน(?)..
ก็แล้วดังนั้น.. ทำไมจึงยอมเลือกให้”บางบุคคล?”ซึ่งมี”สายDNA”จาก”บุพการี?”ที่”ไม่ยึดหลักศีลธรรม?”ให้มา”ดูแลสังคมไทย?”,หรือให้มา”มีอำนาจในสังคมไทย?”อีกรอบแล้ว?รอบเล่า?..ด้วยเล่า?.. โดยมักพากันเพิกเฉย?..แม้จะมี”คำพังเพยโบราณ?”ว่า”(อย่า)คบเด็กสร้างบ้าน?”ดังกล่าวข้างต้นนั้น,กำกับอีกชั้นด้วยก็ตาม?..ด้วยเล่า?.. โดยมักคิดแค่สั้นๆ(แบบสมยอม?)..โดยหลงเชื่อแค่ว่า..”DNAนี้?”จะมาทำให้”กระเป๋าของตนเองตุงขึ้น?”เพียงเท่านั้น(?)(หรือไม่?)..
นี่แหละ..ที่เราจึงมองว่า..เพราะมาจากการ”กลัดกระดุมเม็ดแรก?”ที่”มักผิดอยู่เสมอ?”ของ”สังคมไทย”ที่มาจาก”คำสอนพุทธ”ที่มักเน้นให้”คนไทยจิตใจอ่อนโยน,ขี้สงสาร,เชื่อคนง่าย,กลัวบาปกลัวกรรม,ไม่อยากประหารคนทำผิด”.. ซึ่งทำให้”คนไทยจำนวนมาก”(ซึ่งเป็น”ชาวพุทธ”)กลายเป็น”คนจิตอ่อน?”,ที่มักถูก”คนเดิมๆ?”มา”หลอกได้อีกซ้ำๆ?”เช่นเดิม?..ได้อยู่เสมอ?.. อันเป็น”ผลข้างเคียง?”ของ”การสอนศาสนาพุทธ?”(ที่”ไม่ระมัดระวัง?”)ด้วย?..นั่นไง?..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.72.211 วันที่: 19 มิถุนายน 2568 เวลา:23:11:35 น.  

 
(แทรก16)..(ข้อคิดในอดีต..ของ”บางท่าน”..สมัยเมื่อเป็น”ฝ่ายค้าน”)..
ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด เพราะคนโง่คือภัยอันตรายร้ายแรงเมื่อมีอำนาจ : จตุพร เจริญเชื้อ..(สส.พท. เมื่อ1-9-64)
ขอขอบคุณ...
https://www.youtube.com/watch?v=YtR5Fl1_Ssc


โดย: สมจิต IP: 58.11.72.211 วันที่: 20 มิถุนายน 2568 เวลา:1:29:05 น.  

 
(แทรก17)..
ฟังเวทีหน้าทำเนียบ(19-6-68)เล่าเรื่องคล้ายนิทานตลก..บอกพ่อคนหนึ่งบอกลูกว่าให้เตรียมตัวได้แล้ว.. ก็เลยมีความคิดเห็นดังนี้..
สังคมเราวันนี้ถ้าปล่อยให้หนี.. จะทำให้”DNAแบบพระยาละแวก”และ”DNAแบบออกญาจักรี”จะดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน.. เพราะเมื่อหนีออกไป,ก็ยังคงจะไปตั้งหลักอยู่ภายนอกประเทศอีกเช่นเดิม(แค่เดาเล่นๆนะ)..
ดังนั้น..”คุณสีฯ”จึงบอกว่าจะแก้ปัญหาของ”คนบางคน”,จะต้องทำให้”DNAคอร์รัปชั่น?”และ”DNAผลปย.ทับซ้อน”จะต้องDisruptให้กลับคืนไปเป็น”อะตอมของธาตุบริสุทธิ์?”ตามธรรมชาติเท่านั้นครับ(?)..
แต่เฉพาะหน้าจะปล่อยให้หนีไปก่อน..เพื่อลดปัญหาไปก่อนก็สุดแล้วแต่(?).. แต่ก็ต้องเตรียมรับปัญหาที่จะตามมาจากนอกประเทศอีกเช่นเดิมอย่างแน่นอน(?).. เพราะ”บางสายDNA”เท่าที่สังเกตดู(ตามภูมิเดา).. ถ้าไม่ทำให้Disruptก็คงไม่มีทางจบลงได้ง่ายๆ.. เพราะเป็นDNAที่ไม่มีทางโยนผ้าง่ายๆ.. เพราะทั้ง”พื้นหน้า,พื้นนิสัย”เป็น”รูปทรงเรขาคณิต”..นั่นเองครับ..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.72.211 วันที่: 20 มิถุนายน 2568 เวลา:9:24:06 น.  

 
(แทรก18)..(ความเห็นส่วนตัว)..
“วัฒนธรรมไทย”แต่ก่อนเก่ามาตามส่วนภูมิภาค.. แค่”แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิง”ก็ต้อง”เสียผี”(หรือ”ปรับไหม”)แล้วนะจ๊ะ(?)..
ธรรมชาติคนเรามีกิเลส,อยาก”สัมผัสกับเพศตรงข้าม”,แล้วก็เลยหาข้ออ้างนั่นนี่,ไปเดินตาม”วัฒนธรรมแบบฝรั่ง?”,คิดว่าเท่,คิดว่าเป็น”สากล,ทันสมัย”.. ประมาณว่า.. “ตนเป็นคนรุ่นใหม่?”ไม่ติดยึดกับ”วัฒนธรรมไทยที่ล้าหลัง?”..
จริงๆ..”วัฒนธรรมเมืองนอกหรือฝรั่ง”ที่เขาเป็น”เมืองหนาว”,จึงมักจะใส่”เสื้อผ้าที่หนามาก”เพื่อ”กันหนาว”.. การ”กอดทักทายกันตามธรรมเนียม”ก็จึงไม่รู้สึกอะไรมากมาย(?).. แต่”เมืองไทย”เป็น”เมืองร้อน”,ใส่เสื้อผ้าบางๆ,การ”สัมผัสกันเกินเหตุ”ระหว่าง”หญิงและชาย”,โดยอ้างว่าแค่”ธรรมเนียมทักทายแบบฝรั่ง?”ก็อ้างได้(?).. แต่”ภายในจิตใจ?”อาจโลดละลิ่วไปถึง”จินตนาการ”ของ”สรรค์ชั้นไหนๆ?”แล้วก็เป็นได้(?)..(ดูขนาด”ท่านจำลอง”,ท่านมี”วิธีปฏิบัติที่น่ายกย่อง” เช่น..”ต่างชาติ”ขอ”เช็คแฮนด์”(สัมผัสมือเพื่อทักทาย),ท่านยัง”ยกมือไหว้”แทนเลย)..
เราต้องอย่าลืมว่า.. “ชาติฝรั่ง”เขาเห็น”เรื่องเซ็กซ์”เป็นเรื่อง”ธรรมชาติของมนุษย์”,เขาไม่ถือสา,ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่,จึงไม่ค่อยมี”วรรณกรรมที่ถือสา”ในเรื่อง”การมีชู้หรือนอกใจ”หรือ”มากผัว,มากเมีย”..อะไรมากมาย?..นั่นไง?..
ต่างกับ”สังคมไทย”ที่มี”วัฒนธรรม”ในเชิง”วรรณกรรมต่างๆ”,ที่”ถือสา,เอาเรื่อง”ว่า..การ”มีชู้,นอกใจ”หรือ”มากผัว,มากเมีย”,ถือเป็นเรื่องที่ต้อง”ถูกประณาม”.. จึงมี”วรรณกรรม”ที่”สะท้อนเรื่องเหล่านี้”(เพื่อเป็น"อุทาหรณ์")ให้”สังคมพิจารณา”และ”วิพากษ์,วิจารณ์”อย่างมากมาย.. เช่น.. นับตั้งแต่เรื่อง”วันทอง,โมรา,กากี,ทศกัณฑ์,อิเหนา,พระอภัยมณี,ผู้ชนะสิบทิศ,ฯลฯ”..เป็นต้น..นั่นไง?..
อยากขอกระชิบบอกด้วยว่า.. “ต้นเหตุสำคัญประการหนึ่ง”ของการ”คอร์รัปชั่น”,กินเล็ก,กินน้อย,หรือกินมากๆก็ตาม.. ก็มาจากการที่”ผู้ชาย”(บางคน)มีพฤติกรรม”สำส่อน,มากชู้,มากภรรยา”ร่วมอยู่ด้วย(?)..นั่นเอง(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.72.211 วันที่: 21 มิถุนายน 2568 เวลา:11:16:57 น.  

 
(แทรก19)..(บอกเล่าเก้าสิบ)..
เราฟัง”หมอเขียว”(เวทีหน้าทำเนียบ,23-6-68).. “หมอเขียว”กำลังส่งสัญญาณเตือน”บางท่าน”(ที่เคยอยู่กับ”ลุงต.”)ให้ระวังว่า..อาจมี”วิบากกรรมหนักขึ้น?”ที่ไปสนับสนุน”ผู้ที่ไม่ชอบธรรม(?)”(บางบุคคล)ที่อยู่ร่วมใน”รบ.เดียวกัน”นะครับ(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.72.211 วันที่: 23 มิถุนายน 2568 เวลา:23:38:40 น.  

 
(แทรก20)..(บอกเล่าเก้าสิบ)..
ฟังเวทีหน้าทำเนียบ(24-6-68).. “คุณตั้ม”(พิชิต ไชยมงคล)แสดงแนวคิดน่าสนใจ.. ซึ่งเราจับใจความได้ว่า..
การ”พึ่งและโยนความหวัง”ให้กับ”บางบุคคล”(ซึ่งเราเชื่อว่า..เขาเป็น”อัศวินขี่ม้าขาว”)มากเกินไป.. แต่ถ้า”บุคคลนั้น”มี”ความคดงอ”( =มี”อุปนิสัยคดโกง”).. ก็จะพลอย(มีผลในระยะยาว คือ)ทำให้”มาตรฐานความดีและความเลว”(ในทัศนะของประชาชน)โค้งงอ(ผิดเพี้ยน)ไปด้วย..(เช่น..โกงบ้างก็ไม่เป็นไร,ขอให้แบ่งให้ประชาชนบ้างก็โอเคแล้ว.. ซึ่งจริงๆแล้ว “ความโลภของมนุษย์”เมื่อมีจุดเริ่มต้น..ย่อมไม่มีคำว่า”พอ”หรือ”พอแล้ว”หรือ”อิ่มแล้ว”อย่างแน่นอน).. เรียกว่า..”ทำลายค่านิยมที่ดี”ของ”คนในประเทศ”ถึง”ระดับรากฐาน”ถึงขั้น”บิดเบือนหลักศีลธรรม”ไปด้วยเลยทีเดียว(?).. ประมาณนั้นครับ(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 110.168.238.49 วันที่: 25 มิถุนายน 2568 เวลา:0:54:10 น.  

 
(แทรก21)..(บอกเล่าเก้าสิบ)..
ฟังเวทีหน้าทำเนียบ(24-6-68).. ขอยกย่อง”ผู้หญิงสว.”(สูงวัย)ท่านหนึ่ง..ผู้มีแววตาแห่ง”ความจริงใจต่อบ้านเมืองอย่างสูงสุด”.. เธอชื่อ”ดร.รัตนาภรณ์ ธรรมโกศล”.. ว่าเธอช่างเป็น”ผู้หญิงที่มีความกล้า”อย่างหาผู้ใดเปรียบได้ยากที่เธอกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมา(สายตาเธอแสดงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจน)..
วันนี้ที่เธอยังคงทวงถามว่า..ใครที่นำพาให้”บางท่าน”กลับเข้ามาในประเทศไทย?..และจึงก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างมากมาย.. เธอบอกว่า..“ท่านที่นำพาบางท่านเข้ามา”นั้นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ..
และเรา(ผู้เขียน)อยากขอเสริม(โดยเซ้นซ์ส่วนตัว)ว่า.. น่าจะต้องมีเรื่องของ”ผลปย.บางอย่าง”มาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน(?)..(หรือไม่?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 110.168.238.49 วันที่: 25 มิถุนายน 2568 เวลา:2:24:33 น.  

 
(แทรก22)..
ฝากบอก”บางท่าน”ที่ถูกมองว่าเป็น”กลุ่มที่เป็นDNAของลุงต.”ว่าอย่าไปคิดอะไรให้ยากให้ซับซ้อน.. ยึดตาม”หลักการของพุทธ”เลย.. “คบคนไม่ดี”..เราก็จะถูกมองว่าเป็น”คนไม่ดี”ไปด้วย.. ตาม”มงคล38”ที่ว่า..”อเสวนา จ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวนา”..นั่นไงครับ..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 110.168.238.49 วันที่: 25 มิถุนายน 2568 เวลา:10:29:31 น.  

 
(แทรก23)..(บอกเล่าเก้าสิบ)..
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว.. “มาราฯ”เมื่อทำผิด”กติกาฟุตบอล”.. ใช้คำอ้างว่าเป็น”หัตถ์(ของ)พระเจ้า?”แทนที่จะกล่าว”คำขอโทษ”.. แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็น”แท็คติก?”หรือ”เท็คนิคใดๆ?”นะ(?)..
แต่สังคมไทย.. สมัยหนึ่ง..”นกม.บางกลุ่ม?”อ้างการ”ตระบัติวาจา?”ว่าเป็นเพียง”เท็คนิคการหาเสียง?”.. แล้ว”สังคมไทย”ก็ไม่ถือสา(?).. ปล่อยให้เรื่องราวผ่านไป(?)..(ส่วนพวก”บรรดานางแบก?,นายแบก?”ก็พากันแบกต่อไป?)..
มาไม่กี่วันนี้.. ก็มี”นกม.บางท่าน?”อ้างคำว่า”เท็คนิค”ในการประสานการ”เจรจาความเมือง?”(แบบ”X-คลูสีฟ?”)กับ”ระดับผู้นำเพื่อนบ้าน?”..เช่นเดียวกัน(?)..
แต่เราจำได้ชัดเจนว่า..”พระพุทธเจ้า”สอนอะไร?.. “พระพุทธองค์”สอนว่า..”นตฺถิ อการิยํ ปาปํ มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน”(แปลความว่า“คนมักพูดมุสา จะไม่พึงทำชั่ว ย่อมไม่มี")..
ขอขอบคุณ... https://www.dhammahome.com/webboard/topic/15652
https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=7824
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 110.168.238.49 วันที่: 25 มิถุนายน 2568 เวลา:12:41:44 น.  

 
(แทรก24)..(ขอตั้งคำถาม?)..
DNAนี้คืออะไร?..เป็นDNAชนิดเดียวกัน..หรือไม่?..
1.DNAของ”คุณA”(คุณพ่อ)...”โกง..พ่อ..งงง?”...
2.DNAของ”คุณB”(คุณอา)...ร้องไห้..แต่พอเดินหลบไปหลังฉาก,หันมายิ้มกับสื่อ.. ประหนึ่งจะบอกว่า..”ดิชั้นแส-ดงเก่งมั้ยคะ?”(คงชอบดูละครหลังข่าว2ทุ่ม?)..
3.DNAของ”คณC”(คุณลูก)...การพูดคุยเจรจากับ”อริราชฯ”นั้นเป็น”เรื่องส่วนตัว?”..เป็นแค่”เทคนิค?”เท่านั้นค่ะ?..
***ฤา”บางตระกูล?”..เขาคงคิดว่า..”ประชาชนประเทศนี้..กินหญ้า?”***..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 110.168.238.49 วันที่: 25 มิถุนายน 2568 เวลา:13:33:26 น.  

 
(แทรก25)..(ความคิดเห็นส่วนตัว)..
“จุดอ่อนของคนไม่ดี”..(ข้อ1) คือเขาจะนิยมทำ”สิ่งไม่ชอบธรรม?”(ในทางลับ?)ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่ง”เงิน”(เพราะเขา”บูขาเงิน?”เท่านั้น).. เมื่อได้เงินมา..เขาจึงใช้”เงินจำนวนมาก?”เพื่อ”ซื้อ?”หรือ”ได้มา?”ซึ่ง”อำนาจ?”(เขามักมีความคิดแบบ”ดูถูกมนุษย์ทุกคน?”ว่า”ซื้อได้หมด?”,และจะต้องยอมสิโรราบให้กับ”เงิน”.. แม้ว่าถ้าเป็น”เงินจำนวนน้อย”อาจมีคน”ปฏิเสธ”.. แต่ถ้าเสนอ”จำนวนเงิน”มากขึ้นๆเรื่อยๆ?.. เขาเชื่อว่าไม่มีใครจะ”ปฏิเสธจำนวนเงินมากๆ?”ได้เลย?).. และเมื่อได้"อำนาจ?"มาแล้ว.. เขาจึงใช้"อำนาจ?"ไป"ต่อยอด?"เพื่อ"แสวงหาเงิน?"..นั่นเอง(?)..
และเมื่อเขาได้ยอมเสีย”เงินจำนวนมาก?”ไปแล้ว.. แน่นอนว่าเขาเป็น”นักธุรกิจ?”(ค้ากำไร?),ย่อมไม่มีทางที่จะยอม”เสียเงินมากๆ?”ไปเปล่าๆแน่ๆ(?).. จึงต้องพยายามหาทาง”เอาเงินนั้นมาคืน?”,และจะต้อง”ได้กำไร?”เป็น”จำนวนเงินมากๆ?”ที่”คุ้มค่ากับการลงทุนของเขา?”ด้วย?..
ซึ่งเขาอาจนำเสนอ”โปรเจ็คต่างๆ?”(ยิ่ง”โปรเจ็คใหญ่มาก”เท่าไหร่?,”เงินทอน?”ก็ยิ่งจะมี”จำนวนมากขึ้น?”เท่านั้น?,ตาม”เปอร์เซ็นต์?”ของ”มูลค่าของโปรเจ็คนั้นๆ?”ไปด้วย?)ที่ดูหวือหวา,น่าสนใจมากมาย?..ประหนึ่งว่า..เขา”หวังดีต่อประเทศชาติ?”และ”รักประชาชน?”หรือ”ทำเพื่อประชาชน?”อย่างมากมายเหลือเกิน?..
แต่ในใจนั้น..เขาคิดตรงกันข้าม(?).. (เขาน่าจะคิดว่า..)ถ้าไม่ได้ประโยชน์ส่วนตัวอะไรเลย?,แล้วจะมา”ลงทุนเสียเงินมากมาย?”เพื่อลง”เล่นการเมือง?”ไปทำไม?(“ทำเพื่อชาติ?”นั้นเป็นเรื่อง”ไร้สาระ?,เพ้อฝัน?”)..ประมาณนี้?.. เพราะเขาเพียงมุ่งหวัง”ผลปย.?”หรือ"เงินทอน?"หรือ”ส่วนต่าง?”หรือ”เปอร์เซ็นต์?”หรือ”คอมมิชชั่น?”[ซึ่งจริงๆ..”คอมมิชชั่น?”ที่ได้จากการ”วิ่งเต้น?”หรือ”ล็อบบี้?”หรือ”ติ๊อิ๊ว?”(เป็น”ภาษาแต้จิ๋ว”แปลว่า”หยอดน้ำมัน?”หรือ”ติดสินบน?”)ในเรื่อง”โครงการรัฐต่างๆ?”ที่มาจาก”เงินภาษีของประชาชน?”มาให้กับ”ส่วนตัว?”..ก็ไม่ต่างจากการ”คอร์รัปชั่น?”เช่นเดียวกัน?..นั่นแหละ?]..โดยยกเอาเรื่อง”ผลประโยชน์ของประชาชน?”หรือ”ทำเพื่อประชาชน?”มาเป็น”ข้ออ้าง?”เท่านั้น(?)..
“จุดอ่อนของคนไทยยุคนี้”(โดยเฉพาะ”ยุคของเทคโนโลยี่”แห่ง”ความสุขและสะดวก”).. “คนจำนวนมาก”มักติดในการ”เสพสุขสบายส่วนตัว?”.. จึงไม่ค่อยมีคนที่คิดเรื่อง”การเสียสละ?”แบบ”พันท้ายนรสิงห์”ที่ยอม”สละชีวิต”เพื่อ”พิทักษ์ความยุติธรรม”,และ(หรือ)”การเสียสละ”แบบ”ชาวบ้านบางระจัน”ที่พยายาม”ลุกขึ้นต่อสู้ข้าศึก”เพื่อพิทักษ์”เอกราชของชาติ”.. คือแม้”ต้องตายเพื่อชาติ”ก็ยอม..ประมาณนั้น..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 110.168.238.49 วันที่: 27 มิถุนายน 2568 เวลา:13:40:03 น.  

 
(แทรก26)..(ความคิดเห็นส่วนตัว)..
ใครก็ตามที่อยู่ใน”ระดับผู้นำของประชาชน”ไม่ว่าจะเป็น”ประเทศใด?”ก็ตาม?.. ถ้าหากมีการ”พูดโกหก?”แล้วมี”ผู้จับโกหกได้?”แม้เพียงครั้งเดียว.. แม้ภายหลังจะมา”กล่าวคำขอโทษ”อย่างไรก็ตาม?..(“คนทั้งหลาย”ก็จะมองว่าเป็นการ”เสแสร้งขอโทษ?”เพื่อภายหลังจะได้มีโอกาส”โกหกรอบ2,รอบ3?”ได้อีกเรื่อยๆ?).. ก็จะอยู่ในฐานะที่”ขาดความน่าเชื่อถือ?”ต่อ”ประชาชนในประเทศของตน?”และต่อ”ผู้นำของทุกประเทศทั่วโลก?”ตลอดไปนานแสนนาน(?)..
สำหรับ”ประเทศไทย”.. น่าจะต้องรื้อฟื้น”จริยธรรมสังคม”.. โดยออก”กฎระเบียบทางกสทช.”ให้นำ”นิทานอีสป”เรื่อง”เด็กเลี้ยงแกะ”มาออกอากาศ”ก่อนหรือหลังข่าว2ทุ่ม”(ช่วงก่อน”ละครหลังข่าว”)ของ”ช่องข่าวทีวีสาธารณะ”ทุกๆช่องทุกๆวัน(?).. น่าจะดีมากนะ(?)..เราว่า(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...
ขอขอบคุณ..(“นิทานอีสป”เรื่อง”เด็กเลี้ยงแกะ”)...
https://www.youtube.com/watch?v=ETVs7NtoX8Q


โดย: สมจิต IP: 110.168.238.49 วันที่: 27 มิถุนายน 2568 เวลา:17:18:12 น.  

 
(แทรก27)..(ข้อควรคิด..มีคำว่า”เชื้อช...ไม่เคยตาย?”)..
ปกติ คนจะกลัว”แมลงสาบ”,ไม่อยากเข้าใกล้.. แต่”แมลงสาบ”ด้วยกันจะอยู่คลุกคลีกันได้..ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรต่อกัน..
เช่นเดียวกัน.. “ชายกับชาย”หรือ”หญิงกับหญิง”ก็จะสามารถ”แก้ผ้าต่อหน้ากันได้”โดยไม่รู้สึกว่า”ต้องอับอายอะไร”,เพราะเป็น”เพศเดียวกัน”ย่อมจะรู้สึกเฉยๆ.. แต่ถ้าเป็น”ต่างเพศ”ก็จะรู้สึก”เก้อเขิน”เป็นธรรมดา..
ในช่วงหลายๆปีหลัง.. จะสังเกตว่า..จะมี”คนบางกลุ่ม?”(ที่เป็น”DNAพันธุ์พิเศษ?”=”ชนิดหนา?”,หรือ”ชนิดหยิกไม่เจ็บ?”).. เวลาจะพูดหรือแถลงอะไร?,มักจะต้องมีอะไรที่”คนร่วมสมัย”เรียกว่า”วอลล์เปเป้อร์”,มาคอยอยู่ด้านข้างหรือด้านหลังอยู่เสมอ(?)..(คล้ายว่า"ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเอง?")..
ซึ่งเรามาพิจารณาว่า.. ปกติ”คนดี”ย่อมจะชอบคบหากับ”คนดี”ด้วยกัน,แต่จะไม่อยากคบหาคลุกคลีกับ”คนที่ไม่ดี?”,หรือรู้ทั้งรู้(หรือพอจะรู้)ว่าเป็น”คนไม่ค่อยดี?”( =”สีเทาๆ?”,หรือ”สีดำ?”)..(ซึ่งเป็น”ธรรมชาติของคนดี”..มักจะเป็นเช่นนั้น)..
แต่เราจะพบว่ามี”คนบางกลุ่ม?”นี้..ยินดีที่จะยืนอยู่เป็น”วอลเปเป้อร์?”ให้กับ”คนบางคน?”(ทั้งๆที่รู้ว่า”สังคมกำลังเพ่งพินิจ?”ใน”มุมลบ?”)อย่าง”สนิทหน้า?,ใกล้ชิด?”แบบไม่รู้สึก”เก้อเขิน?”หรือ”อึดอัด?”ใดๆเลย?..
ซึ่งย่อมพิจารณา”ภาษากาย?”หรือ”ภาษาแววตา,ลีลา,ท่าทาง?”(แบบคล้าย”อ.ตฤณห์”)ได้ว่า.. เพราะเขาเป็นคนที่มี”DNA”ที่เป็น”สายพันธุ์เทาๆ?”แบบเดียวกัน?..นั่นเอง?.. จึงคล้ายจะไรู้ไส้รู้พุง?”ซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี?(แบบ”คำพังเพย”ที่ว่า”ไก่เห็นตีนงู..งูเห็นนมไก่”)จึง”ว่าอะไรกันไม่ได้?”,จึงอยู่ร่วมใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนม(?)..โดยไม่มีใครจะต่อว่าใครได้(?).. สรุปว่า..ก็คือ..เป็น”กลุ่มคนที่มีความเ...พอๆกัน?”..นั่นเอง?..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 110.168.238.49 วันที่: 29 มิถุนายน 2568 เวลา:10:57:28 น.  

 
(แทรก28)..(ความคิดเห็นส่วนตัว)..
เราได้ดูการ”ออกรายการ”และการ”แสดงความเห็น”ของ”ดร.มอลลี่”มาอยู่หลายครั้งหลายครามาก..
“คนคนนี้”เป็น”อีกบุคคลหนึ่ง”ที่เราอยากจะอนุรักษ์”DNAของเธอ”เอาไว้เพื่อต่อทอด”DNAของคนฉลาด”ที่”รู้เท่าทันทุกฝ่าย”และเลือกอยู่ข้าง”คนที่ดี,มีคุณธรรมทางศาสนา”เท่านั้น.. คือ..ถ้า”ผู้ร่วมรายการอีกฝ่าย”หรือไม่ว่า”ฝ่ายเดียวกัน”ก็ตาม,ถ้า”พูดผิด”เธอโต้แย้งหมด,ไม่เลือกข้าง,และไม่กลัวเกรงผู้ใด..
เราดูเธอออกรายการกับ”ดร.เพศชายท่านหนึ่ง”รู้สึกประทับใจ”ดร.มอลลี่”มาก.. ธรรมดาถ้ามีการออกรายการร่วมกันของ”คน2ฝ่าย”.. เราจะเห็นว่าส่วนมาก(โดยเฉพาะเพศชาย),แม้จะรู้ว่า”อีกฝ่าย”ที่ร่วมรายการด้วยนั้น,จะมี”หลักการหรือตรรกะ”ที่”ไม่ค่อยชอบธรรม?”(หรือไม่ชอบมาพากล?),หรือชอบ”ถือหางข้างมาร?”.. แต่ก็มักจะ”รักษามารยาท,พูดเออออในบางมุม?”,เพื่อ”ให้เกียรติหรือเกรงใจ?”,แต่ไม่ค่อยกล้า”พูดสวน”อย่างชัดเจน..
แต่สำหรับ”ดร.มอลลี่”จะแตกต่าง.. ถ้า”ผู้ร่วมรายการ”หรือแม้แต่”ตัวพิธีกรเอง”(บางคน),ถ้าพูด”ผิดหลักการ?”,หรือถามแบบ”เอียงๆเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง?”(หรือคล้าย”รับงานใครมา?”ก็ตาม?),หรือ”พูดผิดจากความถูกต้องชอบธรรม”เมื่อไหร่?.. เธอ(“ดร.มอลลี่”)จะพูดสวนด้วย”เหตุผลที่ถูกต้องกว่า”และ”ถูกเป้า,แม่นประเด็นกว่า”ในทันที..
จน”ดร.ชายบางท่าน”ต้องรีบแสดง”ความเออออ”กับ”ดร.มอลลี่”ใน”บางประเด็น”เพื่อนำร่องในการ”ผูกมิตร?”(ไว้ก่อน),หรือ”หาพวก?”ตาม”หลักจิตวิทยามนุษย์?”ที่”ดร.ชายบางท่าน”นั้นคงจะได้เรียนรู้มาอย่างดี,ที่จึงมักจะพยายาม”ไม่ขัดแย้งโต้งๆ?”,หรือพยายาม”ผูกสัมพันธ์ที่ดี”(หรือ”แสวงหาคอนเน็คชั่นไปทั่วๆ?”)ไว้ก่อน?,คล้ายคนที่”ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน,มั่นคงอะไร?”?..
ซึ่งแม้แต่”การแสดงออก”ของ”ดร.ชายบางท่าน”นี้ต่อ”ผู้ร่วมรายการอื่น”ใน”รายการอื่นๆ”ก็มีลักษณะแบบเดียวกัน[ผู้เขียน:-การที่”บางบุคคล”มักใช้”จิตวิทยามนุษย์”อย่างพร่ำเพรื่อ(แทนที่จะใช้”ความจริงใจ”เป็นหลัก),จน”สังคม”หรือ”คนดู,ผู้ชม”เขาจับลักษณะได้,จะทำให้”บางบุคคล”ขาดความน่าเชื่อถือ”ได้..นะครับ]..
จริงๆ.. “จริตนิสัย”ของ”คนบางคน”นั้นดูไม่ยาก.. คือถ้าเมื่อไหร่..คุณ”เลือกคบ?”หรือ”เข้าข้าง?”กับ”ฝ่ายมาร?”(จน”ใครๆหรือผู้ชม”ก็สังเกตได้ไม่ยาก,เพราะทุกคนกินข้าว),เขาก็จะพอดูออกว่า..”นักวิชาการท่านใด?”หรือ”อินฟลูเอ็นเซ่อร์ท่านใด?”เป็นคนอย่างไร?..อยู่แล้ว..
น่าเสียดายที่”ดร.ชายบางคน?”ที่ร่ำเรียน,มี”การศึกษาระดับสูง”(แถมยังมี”บุคลิก,หน้าตาที่ดูดี”อีกด้วย),ที่”สังคมบางส่วน,บางกลุ่ม”ให้”ความเชื่อถือ,เกรงใจ,ให้เกียรติ”(เพราะอาจดูแบบผิวเผิน).. แต่กลับเลือกที่จะ”ถือหาง?,เข้าข้าง?”กับ”ฝ่ายมาร?”(ที่ใครๆก็พอรู้อยู่)[ซึ่ง”บางคน?”เป็นถึงระดับ”สส.?,สว.?”,หรือกระทั่งเป็น”นักกฎหมายโดยตรง?”ก็ยังมี,ก็ยังอุตส่าห์ไป”พูดตีปีก?,เข้าข้าง?”โดยใช้”ตรรกะแบบวิบัติ?”(หรือ”ตรรกะแบบศรีธนญชัย?”),หรือใช้”ความรู้,ความสามารถในทางที่ผิด?”,โดยไม่มี”หลักการทางศาสนา”หรือ”หลักคุณธรรม”มากำกับใน”ความคิดเห็นของตน?”ใดๆเลย?],หรือให้กับ”บางคน?,บางฝ่าย?”ที่”สังคมไทยส่วนมาก”ไม่ว่าใคร?,ก็พอรู้ว่าเป็น”ฝ่ายช..?”.. ซึ่งสังคมก็คาดคะเนว่า..”บุคคลเหล่านี้?”(บางส่วน?)อาจได้รับ”บางสิ่ง?”หรือ”ยศฐา,ตำแหน่ง?”ที่ถูกใจ?..เป็น”เครื่องตอบแทนการเข้าข้างบางฝ่าย?”นั้นๆ?..อย่างแน่นอน(?)..( =”เคารพเงิน,ทรัพย์,ตำแหน่ง,ยศฐา”ยิ่งกว่า”เคารพคุณธรรม”..นั่นเอง?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 110.168.238.49 วันที่: 30 มิถุนายน 2568 เวลา:12:05:22 น.  

 
(แทรก29)..(ความคิดเห็นส่วนตัว)..
การที่ไม่ว่าใครก็ตามไป”สนิทสนมนับญาติ?”(ดูใกล้ชิด,มีความสัมพันธ์,ประหนึ่งเป็น”ครอบครัวเดียวกัน?”)กับ”อริราชศัตรู”(ที่แสดงตัวอย่างชัดเจนว่า”พร้อมต่อกร”กับ”ประเทศของเรา”).. ถ้าเป็น”คติโบราณ”.. ต้องถูกตัดสินให้รับโทษ”7ชั่วโคตร”อย่างแน่นอน(?)..
แต่”หลักปรัชญาบางอย่าง?”นั้นดู”ดัดจริต?”ที่มองว่า”DNAไม่เกี่ยว?”.. ถึง”พ่อไม่ดี?”ลูกอาจจะเป็น”คนดี?”(แบบ”อภิชาตบุตร”)ก็ได้(?)..
แต่เราอยากบอก(ความเห็นส่วนตัว)ว่า.. มีน้อยมาก,แทบไม่เคยพบเคยเห็นเลยว่า.. ถ้า”รุ่นบิดาโกงบ้านโกงเมือง?”,แล้ว”ลูกหลานที่เล่นการเมืองตามมา?”จะมี”ความสัตย์ซื่อต่อประเทศ?”แบบ”เป็นที่ประจักษ์?”ได้(?)..
จริงๆเรามองว่า..เป็นเรื่องของ”ภูมิปัญญา”(เซ้นซ์)ของ”คนโบราณ”ที่เข้าใจ”จิต(วิทยา)มนุษย์”อย่างลึกซึ้ง..ว่า..”ความดี-เลว”นั้นสามารถถ่ายทอดจาก”รุ่นสู่รุ่น”(ผ่านการทำงานของ”DNA”ได้เสมออยู่แล้ว(?)..นั่นเอง(?)...
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 110.168.238.49 วันที่: 1 กรกฎาคม 2568 เวลา:12:09:38 น.  

 
(แทรก30)..(ข้อคิดสำหรับสังคมไทย)..
“การพนัน”คือการสร้าง”ทิฐิที่ผิด”(มิจฉาทิฐิ)ให้กับสังคม..ในการ”โลภ”อยากได้เงินจาก”กระเป๋าของผู้อื่น”มาแบบง่ายๆ,ลวกๆ,รวดเร็ว,ฉาบฉวย,แบบไม่เสียเวลา..แบบที่”ไม่ก่อสร้างผลิตผลใดๆ?”(Non-product)ให้กับสังคมแต่อย่างใดเลย(?)..
และเมื่อสังคมถูก”กล่อมเกลา?”หรือ”ล้างสมอง?”ให้”ขี้โลภ?”มากขึ้นเรื่อยๆ.. “ความชั่วด้านอื่นๆ?”( =”การผิดศีล5ข้ออื่นๆ”)ก็จะตามออกมา,สร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคมโดยรวม..
เท่าที่เห็น.. ไม่มีใคร(ผู้เล่น)ที่จะสามารถสร้าง”ฐานะร่ำรวย?”อย่าง”มั่นคง,ยาวนาน”จากการ”เล่นพนัน?”.. ที่เห็นมีแต่”เจ้ามือ(เจ้าของบ่อน)พนัน”เท่านั้น,ที่มักจะเป็น”ผู้ร่ำรวย”ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด(?),เพราะได้เงินจากการ”ชักหัวคิว?”(หรือ”ค่าต๋ง?”),หรืออาจเกิดจากการใช้”เท็คนิคการโกงต่างๆ?”ที่”ผู้เล่นไม่รู้เท่าทัน?”..นั่นเอง(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.10.140.75 วันที่: 2 กรกฎาคม 2568 เวลา:20:07:07 น.  

 
(แทรก31)..(ความคิดเห็นส่วนบุคคล)..
“ไก่ชน”เวลาเจอ”คู่ต่อสู้”แล้วจิกตีกัน(?)..ถามว่ามันรู้สึกเจ็บมั้ย?.. มันพูดไม่ได้,แต่มันคงทำตาม”สัญชาตญาณ?”ที่”ชอบต่อสู้?”.. มันไม่รู้ว่า..จะต่อสู้กันไปทำไมให้เจ็บตัวเปล่าๆ?(บางกรณีอาจถึงแก่ชีวิตก็มี?).. เพราะมันถูกเสี้ยม(ยุ)จาก”เจ้าของ”,เพราะ”เจ้าของ”หวังคว้า”เงินเดิมพัน”เท่านั้น(?).. และมันยังต้องเสี่ยงว่า..ถ้าสู้กันแล้วมันแพ้,อาจจะถูกเจ้าของเอาลง”หม้อต้มแกง?”หรือไม่?อีกด้วย?..(กรณีของ”ปลากัด”ก็เช่นเดียวกัน..ล้วนทำตาม”สัญชาตญาณ?”แบบ”ชีวิตสัตว์โลกบางชนิด?”ทั้งนั้น?..โดยไม่มีเหตุผลว่า..จะสู้กันไปให้เจ็บตัวเปล่าๆเพื่ออะไร?)..
กรณี”การต่อสู้แข่งขันเพื่อชัยชนะ”ใน”หลายๆรูปแบบ?”แบบ”มนุษย์ๆ?”,ดูแล้วก็ไม่ค่อยต่างกัน?,ที่มักถูก”สังคม?”สร้าง”ค่านิยม?”ให้”ต้องต่อสู้เอาชัยชนะ?”เพื่อ”เกียรติ,ศักดิ์ศรี?”(แม้จะต้อง”ทนเจ็บตัว?”อย่างมากถึงมากที่สุด),และที่สุดเพื่อ”เงินค่าจ้าง?”หรือ”เงินรางวัลตอบแทนต่างๆ?”,โดยอ้างว่าเพื่อ”หาเลี้ยงชีพ?”..
แต่ถามว่า.. เวลาเขาต่อสู้กันกับ”คู่ต่อสู้”นั้น,เขาเจ็บไหม?.. เขาก็คงจะเจ็บตัวมาก(บางทีถึงกับ”บาดเจ็บรุนแรง?”ด้วยซ้ำไป).. แต่”คนเชียร์ให้สู้?”นั้นไม่ได้เจ็บตัวด้วย?,ไม่ได้ลงไปต่อสู้ด้วย?,ได้แต่เชียร์อย่างสนุกเพื่อเอามัน(และอาจเพื่อการพนัน)ส่วนตัว.. ถามว่า..ทำไม”สังคมมนุษย์?”ต้องส่งเสริม”การต่อสู้?”ใน”ประเภทที่ต้องเจ็บตัวกันทุกๆฝ่าย?”ด้วยเล่า?..
จนที่สุด..กลายเป็นนิสัยของ”แต่ละชนชาติ?”ที่ติดการ”ต้องต่อสู้?”ของ”คนชาติต่างๆ”ทั่วโลก(?)..โดยเฉพาะ”ชาติเรา”ก็ด้วย(?)..
แม้กระทั่งใน”วิถีทางการเมือง?”.. ก็ยังมักนำเอาอุปนิสัยที่ถูกเสี้ยมให้ว่า”ต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด?”มาเป็น”สรณะของชีวิต?”มาใช้ด้วย(?).. ซึ่งจริงๆ..ถ้า”ตัวเอง”ย่อมรู้ตัวดีว่า..กรณีที่”บางท่าน?)ที่ถูก”สังคมตรวจสอบ?”,หรือ”ประชาชนรวมตัวกัน?”เพื่อร้องเรียนว่า”ทำผิดนั่น-นี่?”.. ทั้งๆที่”หลักฐานเชิงประจักษ์?”ในหลายกรณี,ก็เห็นกันอยู่โต้งๆว่า”ทำผิดจริง?”(สำหรับ”บางบุคคล?”).. แต่ก็มักจะ”ถูกยุ?,ถูกเชียร์?”จาก”คนรอบข้าง?”หรือ”คนใกล้ชิด?”ประมาณว่า”ต้องสู้นะท่าน?”..อะไรประมาณนั้น(?).. โดยไม่บอกเหตุผลว่า..จะ”ยุหรือเชียร์?”ให้”เขาสู้ให้ลำบากเหนื่อยยาก?”,และต้อง”ถูกประณามซ้ำๆซากๆจากสังคม?”ไป”ตลอดทางที่ต่อสู้?”,เพื่อหวังให้”ชนะเกมส์?”ในที่สุด?..ไปทำไม?..(สร้าง”วิบากกรรม?”ให้กับตนเองเปล่าๆ?).. ทั้งๆที่”ตนเอง”ก็รู้อยู่แก่ใจว่า..”ตนเองทำผิดจริงๆ?”(และ”ทุกภาคส่วนในสังคม?”ก็รู้ทันอยู่แล้ว?)..
โลกทุกวันนี้..”การสื่อสาร”ทำให้โลกแคบลงมาก.. ใครๆก็รู้ว่า”วัฒนธรรมของชาติ”ที่อยู่ใน”แถบเอเชีย”หลายๆชาติ.. เช่น..”ญี่ปุ่น”หรือ”เกาหลีใต้”.. ถ้ามี”นักการเมือง”ถูกจับได้ว่า”ทำผิดต่อรัฐ?”,ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ”คอร์รัปชั่น?”และ”เรื่องอื่นๆที่สำคัญ?”และ”อ่อนไหวต่อความรู้สึกของปชช.?”ด้วย.. เขาก็จะรีบออกมาแสดง”ความสำนึกผิด”,และ”ขอโทษต่อประชาชน”และ”ประกาศลาออก”ในทันที..
ทำไม”ชาติเหล่านั้น”ที่เขามีความเจริญในประเทศ,ในทุกภาคส่วน,อย่างเห็นได้ชัด..จึงไม่มี”วัฒนธรรม”ที่ต้อง”เชียร์หรือยุให้ต่อสู้?”,เพื่อให้”ฝ่ายตนเอง?”เป็น”ฝ่ายชนะ?”,ทั้งๆที่ก็รู้ว่า”ฝ่ายตนเองเป็นฝ่ายผิด?”แต่อย่างใดเลย(?).. ถามว่าตัวอย่าง”วัฒนธรรมที่ดีๆ”แบบนี้..ทำไม”คนการเมือง?”ใน”ประเทศเรา?”จึงไม่คิดจะนำมาเรียนรู้,และทำตาม”ตัวอย่างที่ดีๆ”เช่นนี้ด้วยเล่า?.. เผื่อว่า”ประเทศเรา”จะได้เจริญก้าวหน้าเหมือนกับ”ประเทศของเขา”กันบ้าง?..คุณว่าไหม?..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.10.140.75 วันที่: 3 กรกฎาคม 2568 เวลา:2:06:08 น.  

 
(แทรก32)..(ประเทศไทยดินแดนปัญญาเฟื่อง1)..
“ประเทศไทย”มี”ภาษาไทย”.. และ”ภาษาไทย”มี”จุดเด่น”คือเป็น”ภาษาที่พูดง่าย”,พูด”ไวยากรณ์หรือสำเนียง”ผิดเพี้ยนบ้าง..ก็ฟังพอเข้าใจได้,และยังเป็น”ภาษาที่ดิ้นได้”,พูด”หลบมุมนั่นมุมนี่”ได้,ไล่ไม่จน.. ทั้งยังมีลักษณะเป็น”ภาษาคำผวน”คือ”ผวนคำ,เล่นคำ”สารพัดได้..
ซึ่งถ้าเทียบกับ”ภาษาฝรั่ง”หรือแม้แต่”ภาษาจีน”นั้น.. เช่น..”ภาษาฝรั่ง”ผวนคำไม่ได้,หรือผวนยาก,ผวนแล้วหาคำมารองรับยาก.. “ภาษาจีน”ก็เช่นกัน,ถึงจะผวนไปก็หาคำมารองรับได้ยาก..เช่นเดียวกัน.. เพราะ”ภาษาฝรั่ง”เขามี”ข้อกำกับ”(ไวยากรณ์)ที่มี”รายละเอียดที่เคร่งครัด”และค่อนข้าง”เวิ่นเว้อ”,ดูไม่ค่อยจำเป็น.. เช่น..”เวิ้ร์บทูบี”หรือ”กริยา3ช่อง”หรือ”กาลและวาจก”..เป็นต้น..
ดังนั้น.. “สังคมภาษาไทย”หรือ”สังคมเมืองไทย”จึงมี”นักรู้ชั้นเชิงภาษา”ที่มักหยิบประเด็นขึ้นมาถกเถียงกันว่า..”อะไรถูกหรือผิด?”อยู่เสมอ..โดยเฉพาะเรื่องของ”ข้อกฎหมาย”ได้มาก..
ดังนั้น.. ถ้าให้”คนฝรั่งเมกา”มาเถียงกับ”คนไทย”,โดยให้”แต่ละคน”ใช้”ภาษาของตน”และมี”ล่ามแปล”,โดยเฉพาะถ้าให้พูดเรื่อง”นามธรรมของศาสนาพุทธ”,แน่นอนฝรั่งย่อมเหนื่อยมาก,และคงพูดถกเถียงกันได้ไม่นาน.. ดังนั้น.. “ฝรั่ง”โดยเฉพาะ”อเมริกา”จึงค่อนข้าง”ให้เกียรติประเทศไทย”,เพราะจะใช้”ภาษาเมกา”มาเถียงกับ”ภาษาไทย”คงยากมาก.. ดังนั้น.. เขาจึงไม่อยากยุ่ง..กรณีที่”เขมร”มาหาเรื่องทะเลาะกับไทยนั่นเอง..
ก็ดูแต่กรณีเรื่อง”ทับหลังนารายณ์”.. แค่”คาราบาว”แต่งเพลง,ร้องเพลงประณาม”เมกา”เพียงไม่นานนัก.. “เมกา”เขาคงรำคาญ,ไม่อยากตอแยด้วย,และดู”เมกา”เขาคงให้เกียรติ”ศาสนาพุทธ”ว่าเป็น”ศาสนาที่มีเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์”,และ”เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ”.. เขาจึงรีบส่ง”ทับหลังฯ”ให้ประเทศไทยคืนซะอย่างงั้น.. เราเองจึงยังรู้สึกชื่นชม”เมกา”ที่ส่ง”ทับหลัง”ให้ไทยคืนมาจนถึงวันนี้.. ไม่เหมือนกับ”เขมร”ที่ยังคงพยายามตอแย,จะแย่ง”โบราณสถานต่างๆของไทย”.. เช่น.. “ปราสาทพระวิหาร,ปราสาทตาเมือนธม,ตาเมือนโต๊ด,ตาควาย”อยู่เรื่อยๆมาจนถึงทุกวันนี้.. ทั้งๆที่เป็น”ชาวเอเชีย”เหมือนกัน..ก็ยังคอยแว้งกัดไทยอยู่ได้..
เราจึงไม่อยากให้”สังคมไทย”(โดยเฉพาะบางสื่อ,บางค่าย)ที่ชอบไปตั้งป้อมกับ”เมกา”เขามากนัก.. เพราะเราว่า..ถึงอย่างไร.. “เมกา”เขาก็ยังมีความเป็น”สุภาพบุรุษแบบเมกา”อยู่มาก(คือ..เหมือน”สุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยน”หรือ”เซ้นซ์เบอร์นาร์ด”คงไม่อยากรังแก”สุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล”ตัวกะเปี้ยกที่ชอบเห่า,แม้จะชอบเห่า,แล้วทำให้รำคาญบ้าง,ก็มักจะทนเอา,แบบผู้ใหญ่ที่ไม่อยากถือสาหรือรังแกเด็ก..ประมาณนั้น),อย่างน้อยก็คือเฉพาะต่อประเทศไทย(ซึ่งคงเป็นเพราะ”เมกา”นับถือ”ร.9ของไทย”ด้วยกระมัง?).. ทั้งๆที่ถ้าเขาคิดจะรุกรานไทย.. แค่กดปุ่มนิดเดียว,ไทยคงกลายเป็นจุณไปแล้วนะ..เราว่า?..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.10.140.75 วันที่: 3 กรกฎาคม 2568 เวลา:3:50:21 น.  

 
(แทรก33)..(ข้อคิด..ความเห็น)..
เห็นด้วยกับคุณจตุพร”(รายการ”ถกไม่เถียง”,3-7-68).. เวลาที่”นักการเมืองฝ่ายตน”(บางฝ่าย)ได้ประโยชน์คือ..สามารถดีลแบบ”ตบส.”กับ”ฝ่ายที่เคยอยู่ขั้วตรงข้าม”,แล้ว”ได้อำนาจฝ่ายบริหาร”มา,ตอนนั้นกลับไม่รีบที่จะ”แก้ไขกติกา?”ที่ตนเองเห็นว่า”ไม่ชอบธรรม?”.. เพราะตนเองก็ใช้”กติกา?”ที่อ้างว่า”ไม่ชอบธรรม?”นั้น,จนผ่านเข้ามา”ถือครองอำนาจ?”ได้แล้ว?..นั่นไง?.. จึงมองข้าม”ความตั้งใจที่รับปากปชช.”ว่า..”จะแก้ไขกติกาอะไร?ภายในกี่วัน?”,คล้ายทำเป็นลืมๆไปเลย(?).. เพราะตอนนี้ก็ได้”เสวยอำนาจ?”ผ่าน”กติกา?”ที่ตนเองอ้างว่า”ไม่ชอบธรรม?”นั้นแล้ว?..นั่นเอง?..
เราสังเกต(ส่วนตัว)ว่า..ใครก็ตามที่ชอบอ้างว่า..เช่น.. “ผมยึดตามกติกา,จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ต้องให้เขาอยู่ครองอำนาจบริหารให้ครบ4ปีตามกติกาเสียก่อน,แล้วค่อยไปตัดสินแค่ตอนเลือกตั้งรอบใหม่,ภายในเวลาแค่4วินาทีนั้น”.. แล้วพากันมาสรุปว่า..เมื่อ”หย่อนบัตรลงกล่อง”ถือว่าเป็น”ประชาธิปไตย”ที่สุด(?).. ล้วนแต่เป็น”กลุ่มการเมือง”(บางส่วน)ที่”ได้เปรียบทางสังคม?”,ไม่ว่าด้วย”สถานะทางสังคม”..เช่น..”ฐานะทางการเงิน”และการระดม”นักรู้,นักวิชาการ,นักกฎหมาย”ที่มี”ตรรกะแบบศรีธนญชัย?”(หรือ=”ตรรกะวิบัติ,ตรรกะป่วย,ตรรกะนิรยะ?”)เข้ามา”ร่วมกลุ่ม,ร่วมก๊วนทางการเมือง?”,รวมทั้งมักมี”ขบวนการซิกแซ็ก?”ในการ”แลกเสียงจากปชช.?”เข้ามาแทบทั้งนั้น(?)..
จะสังเกตว่า..”อดีตนักการเมืองบางคน?”(ที่เป็น”บุพการีของบางท่าน?”)ที่เมื่อเดือนก่อน,ก็หลุดออกมาตอนผู้สื่อข่าวถาม..แล้วเขาตอบทำนองว่า..”พวกเขาทำตามกติกา..ถ้ากติกาไม่ถูกก็ต้องแก้ไขกติกา?”..ประมาณนั้น?..(คือเราตีความว่า..”คนบางกลุ่ม?”มักอ้างแต่ว่า”เขาทำตามกติกา?”เท่านั้น..โดยไม่อ้างถึง”หลักคุณธรรม,หรือจริยธรรม,จิตสำนึก”,หรือเรื่อง”ศีลธรรมของสังคม”ใดๆทั้งสิ้น?..ว่างั้นเถอะ?).. ซึ่งเรามองว่า “คนที่คิดแบบนี้?”มักเป็นผู้ที่คิดว่า..”ตนเองฉลาดมากกว่าคนอื่นๆ?”และ”ซิกแซ็กได้เก่ง?”จนสามารถ”หาช่องของกติกา?”จน”ตนเป็นผู้ได้เปรียบ?”ใน”กติกานั้นๆ?”ได้เสมอ.. เพราะด้วย”อำนาจทางการเงิน?”,เหมือนคนที่”เล่นหมากฮ็อต”ที่คิดว่า..ตนเองมอง”เกม?”(กติกา)ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง,จนสามารถ”กิน3ต่อแล้วเข้าฮ็อตไปเลย?”ได้เสมอ?..ประมาณนั้น?..
ซึ่งเรามองว่า..”ไม่มีกติกาใดที่ยุติธรรมที่สุดหรอก?”(และ”หลักคุณธรรม”และ”หลักศีลธรรม”หรือ”จิตสำนึกของวิญญูชน”ต่างหากที่อยู่เหนือ”กติกาใดๆ”ทั้งสิ้น).. เหมือน”กีฬาฟุตบอล”,คุณว่า”คนตัวสูง,ขายาวกว่า”น่าจะได้เปรียบ”คนตัวเตี้ย,ที่ขาสั้นกว่า”หรือไม่?.. หรือ”กีฬาบ้าส”ก็เช่นกัน,”คนตัวสูง”ย่อมได้เปรียบในการ”ชู้ตแป้น,การวิ่ง”,และการ”ใช้มือ”กัน”คู่แข่งที่ตัวสั้นกว่า”หรือไม่?.. หรือแม้แต่”กีฬาแบด”ที่”คนมีฐานะการเงิน”สามารถซื้อ”ไม้แบดดีๆ”,มี”ลูกแบดจำนวนมาก”เพื่อฝึกซ้อมแบบไม่จำกัด,มี”รองเท้าดีๆนุ่มๆ”,มี”อุปกรณ์เสริมอื่นๆ”..เช่น..”รัดข้อมือ”ช่วยสำหรับ”การฝึกตบลูก”,สามารถเช่า”สนามแบด”เพื่อฝึกซ้อม.. แล้วจะมาเทียบกับ”ลูกชาวบ้านฐานะจนๆ”,ซึ่งมีแค่”ไม้แบดถูกๆ”,และ”ลูกแบดแค่1ลูก”.. ถามว่า..ใครจะมีโอกาส”คว้าชัยชนะ”ได้มากกว่ากัน?..ใช่หรือไม่?..(อย่างนี้จะเรียกว่า”กติกาเป็นธรรม?”ได้หรือไม่?.. และ”บางคน?”มักพูดอย่าง”กระหยิ่มใจกับสื่อ”ว่า..”ฉันแค่ทำตามกติกา,ถ้าเห็นว่ากติกาไม่เป็นธรรมก็ไปเปลี่ยนกติกา?”..ได้หรือไม่?).. ดังนั้น..”กติกาใดๆ”ก็ตาม.. ที่สุด..”คนที่มีกำลังทางสถานะต่างๆ?”(โดยเฉพาะ”สถานะทางการเงิน?”)ย่อมเป็น”ผู้ได้เปรียบในกติกาทุกกติกา?”ได้เสมอ?(นั่นเอง?)..ใช่หรือไม่?..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.10.140.75 วันที่: 4 กรกฎาคม 2568 เวลา:11:43:25 น.  

 
(แทรก34)..(พระพุทธองค์ตรัสว่า..”คนโกหกทั้งๆรู้ไม่ทำชั่วไม่มี-สัมปชานะมุสาวาท”)..
“คนบางคน”(ใน”วงการการเมือง”)ไม่รู้จักอิ่ม,ไม่รู้จักเต็ม,ไม่รู้จัก”ความโสฯของตัวเอง(หรืออาจจะรู้ว่าตัวเองโสฯก็ได้..แต่แกล้งไม่รู้,หรือทำเป็นไม่รู้,หรือเพราะคิดเข้าข้างตัวเองแบบ”ตรรกะวิบัติ?”ที่พยายามหลอกตัวเองว่า”ตนเองไม่ได้สั่ว?”ก็เป็นได้?).. ถึงวันนี้.. จึงยังคงได้ยิน”บางคน”พูดทำนองว่า..”ผมรักบ้านเมืองของผม?”(พูดฟังดูเท่นะ?).. ขอเติมว่า”จนน้ำ.....ไหล?”(หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ?)..
หารู้ไม่ว่า.. “คนทั้งประเทศนี้”เขากิน”ข้าว”และ”อาหารครบทั้ง5หมู่”,เขาจึงรู้จัก”คนการเมืองบางคน”เป็นอย่างดี.. เขาจึงพากันพูดลับหลังว่า..”อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่”ว่า”มีอยู่กี่ลิ้น?”แล้วจ้าาา...
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.10.106.150 วันที่: 10 กรกฎาคม 2568 เวลา:14:04:24 น.  

 
(แทรก35)..(“การวิเคราะห์ส่วนบุคคล”ต่อ”บริบทสังคมไทย”)..
“สังคมไทย”เป็นสังคมแบบ”ศรีธนญชัย”,หรือนิยมการใช้”ตรรกะแบบศรีธนญชัย?”มาแต่ไหนแต่ไร(?).. มิฉะนั้น..คงไม่มี”นิยายตำนานศรีธนญชัย”มาแต่ไหนแต่ไรหรอก(?).. เช่น.. “ศรีธนญชัย”พอแม่สั่งให้อาบน้ำให้น้อง,ล้างให้สะอาดทั้งข้างนอกข้างใน,”พ่อเจ้าประคุณเจ้าเล่ห์”ก็แกล้งพาซื่อ(เพราะจริงๆคืออิจฉาน้อง,อยากแกล้งฆ่าน้องด้วย..ประมาณนั้น)จึงเอามีดผ่าเอา”ตับ,ไต,ลำไส้ของน้อง”ออกมาล้างทำความสะอาดด้วย,ทำเป็นมึนๆตอบแม่ไปแบบไม่รู้สึกถึง”บาป,บุญ,คุณ,โทษ”ด้วย..เพราะอ้างว่าทำตามแม่สั่ง..
นี่คือการ”ตีความนามธรรม?”(เชิง”ภาษาสื่อสาร”หรือ”ภาษากฎหมาย”)ของ”นักการเมืองเจ้าเหลี่ยม?”(บางส่วน)และ”นักกฎหมายเจ้าเล่ห์?”(บางส่วน)ของ”ประเทศไทย”.ที่มี”บริบทแบบศรีธนญชัย?”..ใช่หรือไม่?..
ซึ่งที่สุด..ก็ต้องมา”ตีความ?”กันแล้วๆเล่าๆ(?),หรือต้องมา”แปลไทยเป็นไทย?”อีกทีนี่ไง?.. “สังคมไทย”จึงต้องตั้งหลักกันใหม่..”กลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง”เสียก่อน.. ต้องส่งเสริม”ความซื่อสัตย์”แบบ”พันท้ายนรสิงห์”ให้เป็น”จิตวิญญาณของสังคมไทย”,หรือ”จิตวิญญาณรักชาติ”แบบ”ชาวบ้านบางระจัน”หรือ”คุณหญิงโม”..ประมาณนั้น..(นั่นไง?)
และถ้ามี”การทุจริตเงิน”..เช่น..”เงิน10ล้านขึ้นไป”ก็ให้มี”โทษประหารชีวิต”สถานเดียว,และ”คดีทุจริตที่มีมูลค่าต่ำกว่านี้”(รวมทั้ง”โทษประหาร”เฉพาะใน”คดีทุจริต”)จะต้อง”ออกกฎหมายให้ชัดเจน”ว่า..ต้องไม่ให้อยู่ใน”กฎเกณฑ์ของการลดโทษ”ใน”วาระสำคัญต่างๆ”ด้วย(?)..
ดังนั้น.. เวลามีเหตุที่มี”บางคน”ที่นิสัยห่ามๆ?,ชอบแหกกฎ?,หรือชอบทำอะไรแบบทรง”แหวกประเพณีดั้งเดิม?”ออกมาเมื่อไหร่?.. ก็เลยไม่มีใครกล้าออกมา”ชี้ถูก,ชี้ผิด”หรือ”ฟันธงเปรี้ยง”ไปเลยว่า..”อย่างนี้ถูกหรือผิด?”.. “ผู้ใหญ่ในสังคม”ก็ได้แค่อ้อมๆแอ้มๆ..,ไม่กล้าพูดอะไรมาก.. เลยที่สุดก็มักปล่อยผ่าน,ไม่สามารถจัดการกับ”นักการเมืองศรีธนญชัยเหล่านี้?”ได้(?)..
ส่วน”กกต.”ถ้ายังทำเฉยๆกับทั้ง”คดีซื้อเสียงเลือกตั้ง?”และ”คดีครอบงำพรรค?”โดย”บุคคลภายนอกบางคน?”,ที่ทั้ง”สังคมทุกภาคส่วน”เห็น”ปรากฏอย่างประเจิดประเจ้อ?”,และยังคง”เอ้อระเหย?,ทำงานอย่างเนิ่นช้า?”,ก็ควร”ยกเลิกกกต.?”ไปเสีย(?)(จะได้ไม่สิ้นเปลือง”เงินภาษีของปชช.”).. แล้วก็”ออกกฎหมาย”จัดตั้งให้”สภาประชาชน”เป็น”ผู้สรุปตัดสิน”ในเรื่อง”การซื้อเสียงเลือกตั้ง”และ”การครอบงำพรรคการเมือง”แทน”กกต.”..จะดีกว่ามั้ย?..
อย่างนี้ไง?..ที่”คนบางส่วน”จึงอาจมองว่า.. ถ้างั้น”ประชาธิปไตยก็ไม่เข้าท่า?”.. ถ้างั้น..ถ้าเปลี่ยนเป็น”เผด็จการโดยผู้รักชาติ?”หรือกลับไปเป็นแบบ”ราชาธิปไตย?”อาจจะดีกว่ามั้ย?.. เพราะชัดเจนและเด็ดขาดกว่า,ไม่ร่ำไร,ไม่เสียเวลามากๆ,กว่าจะสรุปถูกผิดได้,ที่อะไรๆก็ต้องผ่าน”ระบบยุติธรรมไทย?”,ซึ่งถ้าคิดแบบ”ระบบบริษัท”จะต้องเสีย”ค่าใช้จ่าย”ที่นับเป็น”มูลค่าทางเศรษฐกิจ”ใน”แต่ละคดีความ?”ที่ต้องสูญเสียตีเป็น”จำนวนเงินที่มหาศาล?”กว่าจะ”ตีความ”ในเรื่อง”เชิงนามธรรม?”ที่ดิ้นไปดิ้นมาได้.. แล้วจึงกว่าจะสรุปออกมาได้(?)(ซึ่ง”ระบบแบบเสียเวลามากๆ?”ในการ”สรุปถูกผิด?”แบบ”ระบบมาตรฐานรัฐไทย?”,ถ้านำไปใช้กับ”ระบบบริษัทใดๆ”ก็ตาม.. น่าจะทำให้”บริษัทนั้นๆ”ต้องประสบกับ”ความขาดทุน?”(เจ๊ง),หรือต้อง”ปิดบริษัท?”ภายในเวลาที่ไม่นานเป็นแน่(?)..ใช่หรือไม่?..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.113 วันที่: 12 กรกฎาคม 2568 เวลา:17:31:38 น.  

 
(แทรก36)..(ความเห็นจาก”เซ้นซ์ส่วนตัวแบบซื่อๆ”)..
มี”พญ.อินฟลูเอ็นเซ่อร์บางคน”ออกมาให้ความเห็นสั้นๆทำนองว่า..”เออหนอ..เงินทำได้ทุกอย่าง?”.. ผู้โพ้สต์อยากขอเก็บให้ละเอียด(ไม่เกี่ยวกับประเด็นของหมอนะ)ว่า..เออหนอ..เงินนี่ช่างทำให้”สื่อสารมวลชน”(บางคน,บางจำพวก)ทำเรื่อง”....ซบ?”ได้ขนาดนี้เชียวหนอ.. โดยไม่นึกเกรงใจ”ประชาชนทั้งประเทศ”ผู้รับสารสักแม้นิดเดียว(ประมาณว่า..จะปั้น”ก้อนฟักทอง?”เปลี่ยนให้เป็น”ก้อนทองคำ?”ให้จงได้..ประมาณนั้น?)..
และ”สื่อจำนวนหนึ่ง?”ยังคงให้ความเกรงใจต่อ”สื่อบางค่าย?”.. ทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่น่าจะต้องไปเกรงใจอะไรมากขนาดนั้นเลยนะ..เราว่า(?)..[เพราะเมื่อ”สื่อ”วิจารณ์คนอื่นได้,”สื่อ”ก็ต้องสามารถถูกวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาจาก”ผู้ชม,ผู้ฟัง”ได้เช่นเดียวกัน..อย่าให้ไปตรงกับ”ภาษิตคนไทย”ที่ว่า”แมลงวันย่อมไม่ตอมแมลงวัน(กันเอง)?”นะครับ?..ประมาณนั้นครับ]..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.113 วันที่: 13 กรกฎาคม 2568 เวลา:10:25:51 น.  

 
(แทรก37)..(รณรงค์”ประเทศไทยสีขาว”)..
“กระดุมเม็ดแรก”ที่ควรกลัดให้เรียบร้อยและถูกต้องเสียก่อน.. คือ..เราต้องตั้งเป้าหมายว่า..จะต้องทำให้”ประชากรไทย”ใน”ทุกภาคส่วน”รู้สึกรังเกียจ”การคอร์รัปชั่น”และ/หรือ”คนคอร์รัปชั่น”ให้ใด้..
เราจำเคร่าๆได้ว่า.. สมัยช่วง”ลุงจำลอง”ดูแลกทม.(ถ้าจำไม่ผิด)จะมีการออก”สติ๊กเก้อร์”ไปทั่วๆ เช่น บนรถเมล์ร้อน เป็นต้น(ช่วงนั้นมีการ”รณรงค์”เรื่อง”ควันบุหรี่มือสอง”ด้วย..ประมาณนั้น),ซึ่งมีเนื้อความทำนองว่า..”โปรดระวังคนสูบบุหรี่”..ประมาณนั้น.. ซึ่งเรารู้สึกซาบซึ้งการ”รณรงค์”แบบ”ชนตัวผู้กระทำผิด”แบบตรงๆทำนองดังกล่าว..มากๆ..
แต่ยุคนี้..อาจตั้ง”ประเด็นรณรงค์”โดยติด”สติ๊กเก้อร์”ไปทั่วๆ,ขึ้นมาให้ทันต่อยุคนี้,ในเรื่องการ”ไม่เอาคอร์รัปชั่น?”[ไม่ว่าจะเป็นกรณี”ผลประโยชน์ทับซ้อน”(conflict of interest)และ”คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย”ก็ตาม]ว่า..”โปรดระวัง..คนคอร์รัปชั่น”.. คุณว่าดีมั้ย?..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...
ขอขอบคุณ...
https://www.youtube.com/watch?v=VvrO1ylwTKI


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.113 วันที่: 13 กรกฎาคม 2568 เวลา:11:11:11 น.  

 
(แทรก38)..(ความเห็นส่วนตัว)..
ตามจริง.. ถ้า”ประเทศไทย”เป็น”คนมีสติปัญญาจริง”ก็ต้องพยายาม”กลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง”เสียก่อน.. ธรรมดาถ้า”ตัวหัวหน้า”จะดูเก่งกาจได้ ก็เพราะว่ามีลูกน้องที่เข้มแข็ง,คอย”พิทักษ์ตัวหัวหน้า”ไว้อย่างดีเป็นอันดับแรก.. แต่ถ้า”ตัวหัวหน้า”อยู่ตามลำพัง,โดยไม่มี”ลูกน้องที่เก่งและฉลาด”อยู่ใกล้ตัวเลย.. ย่อมจะไม่สามารถ”โชว์ความเก่งกาจ”ของตัวเองได้.. อาจเหมือนแค่”แมวเชื่องๆ?”ตัวหนึ่ง?..เท่านั้นเอง?..
ดังนั้น.. “บางยุทธวิธี”ใน”การต่อสู้”อาจไม่ใช้วิธีจำกัด”ตัวหัวหน้า”โดยตรง(เพราะอาจมี”ชั้นปกป้อง”หลายชั้น).. แต่อาจใช้วิธีจำกัด”ตัวลูกน้องคนสำคัญ?”ไปทีละจุดๆ,ก็จะได้”ผลลัพธ์”ในที่สุด,ที่เหมือนกับการ”จำกัดตัวหัวหน้าโดยตรง?”..เช่นเดียวกัน(?)..
ดังนั้น.. ถ้าชัดเจนว่า”สื่อหรือค่ายสื่อใด?”ที่ชอบไปอวย,ไปเชียร์,ไปสนับสนุน,ส่งเสริมคนที่ใครๆก็รู้ว่าเป็น”บุคคลที่ไม่ชอบธรรม?”(อย่างมี”นัยยะสำคัญ?”).. ก็คือไม่ต่างจากสื่อนั้นๆไป”สนับสนุนโจร?”หรือ”พายเรือให้โจรนั่ง?”.. ดังนั้น.. “ผู้ที่ห่วงใยประเทศ”จึงต้องมองไปที่”สื่อนั้นๆ?”ก่อนเป็นอันดับแรก..ว่าจะสามารถไปร้องเรียนในเรื่อง”จรรยาบรรณของสื่อสารมวลชน?”อย่างไรได้บ้างครับ(?)..ประมาณนี้ครับ(?)..
...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...


โดย: สมจิต IP: 58.11.83.113 วันที่: 14 กรกฎาคม 2568 เวลา:13:24:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กะว่าก๋า
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 395 คน [?]




มองฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
หรืออาจไม่เห็นฉัน

ฉันแค่แวะผ่านทางมา
และอาจไม่หวนกลับมาทางนี้อีกแล้ว

เราเคยรู้จักกัน
และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

มองดูฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
และฉันอาจมองไม่เห็นเธอ.





[Add กะว่าก๋า's blog to your web]