พฤศจิกายน 2567
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
4 พฤศจิกายน 2567

: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - เซนแห่งการบำบัด :


: เซนแห่งการบำบัด :
เขียน : Mark Epstein
แปล : นารีรัตน์ บุญช่วย








นายแพทย์มาร์ก เอปชไตน์เป็นจิตแพทย์ที่ทำงานด้านการให้คำปรึกษามายาวนาน
จุดที่แตกต่างออกไปจากจิตแพทย์ทั่วไป คือ นายแพทย์มาร์ก เอปชไตน์
ให้ความสนใจในหลักการของศาสนาพุทธ มีความตั้งใจในการใช้การฝึกสมาธิ
ควบคู่ไปกับการบำบัดด้วยการแพทย์สมัยใหม่
หนังสือเล่มนี้ คือ บทบันทึกที่มาที่ไปในการเริ่มต้นสนใจ
ที่จะใช้หลักธรรมมารักษาบำบัดคนไข้ซึ่งมีปัญหาทางจิต

ในบทที่ 2 นายแพทย์มาร์ก เอปชไตน์ยกตัวอย่างการรักษาคนไข้ด้วยวิธีพุทธแบบเซน
คนไข้ที่เข้ามาปรึกษามีหลายรูปแบบ มีทั้งที่รักษาง่ายและรักษายาก
เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ จะพบว่าการรักษาคนไข้นั้น ไม่สามารถใช้แนวทางใดแนวทางหนึ่ง
หรือยึดหลักวิธีรักษาเพียงแนวทางเดียว
แต่ต้องแก้ไขปัญหาไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้า

มนุษย์ทุกคนมีช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองโดยลำพัง
ความคิดและความกังวลซึ่งเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันทำให้เราสับสนและเป็นทุกข์

เห็นแต่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
รับรู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกต่างๆเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นอย่างไร ?
ทุกข์...เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ?
เหมือนที่ใครบางคนกล่าวไว้ว่า


“คุณไม่ใช่คนที่คุณคิดว่าคุณเป็น”

ใช่ --- แล้วเราเป็นใคร ?


มีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายในชีวิตที่เราควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน
สถานการณ์ต่าง ๆ เหตุการณ์บางอย่าง ความรู้สึกที่คนอื่นมีกับตัวเรา ฯลฯ
สิ่งที่เราทำได้คือ การกำหนดท่าที และ มุมมอง ในการรับรู้ส่งต่างๆ เหล่านั้น
และเลือกวิธีการตอบสนองกับอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป

เพราะจุดประสงค์ของการมีชีวิต คือ การมีความสุข
ความสุขที่แท้จริง มาจากความสงบอันเรียบง่าย
และทัศนคติของตัวเราเอง เป็นตัวกำหนดท่าทีของความสุขที่เรามี
โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมรอบตัวหรือผู้อื่น
ก่อนเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่น
เราต้องเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนความคิดที่อยู่ภายในตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก

ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดรักษาทางจิต หรือ การฝึกฝนทางธรรม
ล้วนนำไปสู่การบรรเทาความทุกข์ที่อยู่ในจิตใจทั้งสิ้น
เมื่อไม่ทุกข์ ย่อมไม่เห็นธรรม ไม่ต้องการศึกษาเรียนรู้ธรรมะใดใด
เพราะหากมีความสุขอยู่แล้ว ก็ย่อมสนใจแต่สุขของตน
แต่เมื่อใดเกิดปัญหาขึ้นมาในชีวิต นั่นแหละ ผู้คนจึงย้อนคิดและมองหา ‘ธรรมะ’
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเยียวยาบรรเทาความเจ็บปวดของตนเอง

จิตวิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยา กับการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา
ก็คือ การสืบค้นไปยัง ‘รากเหง้าแห่งความทุกข์’
อะไรคือปัญหาที่เกิดขึ้น ? มันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด ?
และจะต้องทำอย่างไรมันจึงจะได้รับการแก้ไข ?
ดีที่ยิ่งกว่านั้น ทำอย่างไรมันจึงจะไม่เกิดขึ้นอีก ?

ในทางการรักษาของจิตแพทย์และนักบำบัด
คือ การพาคนไข้ออกจากความทุกข์ทรมานทางจิตประสาท
และกลับสู่ทุกข์ธรรมดาทั่วไปที่ทนรับมือได้

ในขณะที่พุทธศาสนาพร้อมจะทำให้เราเป็นอิสระจากการร้อยรัดจากทุกข์ทั้งปวง
ด้วยหลักธรรม และการตระหนักรู้ในความจริงแห่งชีวิต

สาระสำคัญของการนำหลักการทำสมาธิเข้ามาผนวกกับการรักษาบำบัด
คือ การทำให้ ‘บางสิ่งบางอย่าง’ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในความคิดหรือจิตใต้สำนึกเผยตัวออกมา
มีตัวอย่างของคนไข้ที่ถามคุณหมอว่า

“สาระสำคัญของการนั่งสมาธิคืออะไร ?”
คุณหมอตอบว่า “ไม่มีสาระสำคัญอะไร” ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมว่า
“เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น บางสิ่งจะปรากฏออกมาให้คุณเห็น
บางสิ่งที่คุณอาจเข้าไม่ถึงและไม่มีทางทำให้มันเกิดขึ้นได้”

วิธีการซึ่งนำไปสู่การทำให้คนไข้ได้เห็น ‘บางสิ่งบางอย่าง’ นั้น
อาจเป็น ‘คำตอบสำคัญ’ ของการค้นพบว่า ‘บางสิ่งบางอย่าง’ นี้
ไม่จำเป็นต้องมีอิทธิพลเหนือจิตใจของเรา
ชีวิตเราไม่จำเป็นต้องถูกกำหนดด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้

ธรรมะนำเราไปสู่การมองเห็น ‘มโนภาพแห่งตน’
ทำให้เราเห็นตัวเองเหมือนการมองกระจกเงา
สะท้อนบุคลิก วิธีคิด วิธีโต้ตอบกับสถานการณ์ต่างๆ
วิธีการรับมือกับอารมณ์อันไม่พึงใจทั้งปวง
ทำให้เราสามารถอธิบายได้ว่า เราเป็นใคร กำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่หรือไม่
และถ้าไม่...เราจะต้องทำอย่างไรให้กลับมาอยู่ในจุดที่ถูกที่ควรของชีวิต

หนังสือเล่มนี้คล้ายหนังสือวิชาการเฉพาะทาง ไม่ได้อ่านง่ายสำหรับผม
ซึ่งไม่มีความรู้ทางด้านจิตแพทย์ หรือหลักปรัชญาในการบำบัดผู้ป่วย
เกือบทุกบท เต็มไปด้วยการวิเคราะห์ การเชื่อมโยงหลักการของการรักษากับธรรมะ
ซึ่งบางครั้งเมื่ออ่านแล้วก็ยังมองไม่เห็นจุดเชื่อมโยงเท่าที่ควร

แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้ชัดเจนกว่า นั่นคือ เมื่อแพทย์คนหนึ่งสนใจศาสตร์อะไรก็ตาม
เช่นในกรณีของนายแพทย์มาร์ก เอปชไตน์ ซึ่งสนใจเซน สนใจพุทธศาสนา และ วัชรยาน
เขาได้นำหลักการที่ตนเองเรียนรู้ มาทดลองใช้กับคนไข้ของตน
และแน่นอน...ไม่ใช่คนไข้ทุกคนจะมีพื้นความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธ หรือเห็นทางเยียวยาตนเองในทันที
ที่สุดแล้ว ในการบำบัดแต่ละกรณี ก็ยังคงต้องใช้หลักการรักษาทางการแพทย์เป็นหลักอยู่ดี

ในประเทศตะวันตกการพบจิตแพทย์หรือนักบำบัดไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือน่าอายใดใด
การเยียวยาจิตใจตั้งแต่เริ่มรู้สึกแย่ ย่อมดีกว่าการปล่อยให้มันทำร้ายจิตใจเราไปเรื่อย ๆ
เพราะสุดท้ายมันจะส่งผลต่อการใช้ชีวิต ส่งผลต่อครอบครัว ต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
ยิ่งรักษาเร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสหายดีเร็วขึ้นนั่นเอง

เลือกบางประโยคที่ชอบจากหนังสือเล่มนี้มาฝากกันด้วยครับ































Create Date : 04 พฤศจิกายน 2567
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2567 5:21:59 น. 10 comments
Counter : 604 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณtanjira, คุณหอมกร, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณmultiple, คุณอุ้มสี, คุณปัญญา Dh, คุณกะริโตะคุง, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณThe Kop Civil, คุณmcayenne94, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณปรศุราม, คุณสองแผ่นดิน


 
สวัสดียามเช้าค่ะก๋า

การไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำให้เราไม่เป็นทุกข์นะคะ
อาจไม่ง่ายนัก แต่ก้ไม่ยากเกินไปค่ะ

ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้กระทั่งตัวเรานะคะ

......

ตอนนี้แม่กับพ่อดาริญก็จะบันเทิงๆหน่อยล่ะค่ะ
เพราะดาริญก็แสบเอาเรื่อง
แต่ถ้าพ่อเขาอยู่ด้วย เขาจะไม่ค่อยออกฤทธิ์ออกเดชค่ะ


พี่เป็นหวัดรอบนี้น่าจะหลายวันเลย เพราะอากาศเริ่มเย็นด้วย
แถมมีฝนอีก ร่างกายปรับไม่ทัน แต่อย่าหอบล่ะกันเนาะ 555

พี่มาก่อนคุณหอมกรนะคะเช้านี้


โดย: tanjira วันที่: 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา:6:30:26 น.  

 
อ่านเล่มนี้ถ้าจะไม่ช่วยบำบัด
ไม่อ่านจะบำบัดมากกว่าคุณก๋า
ป.ล. คุณธัญเริ่มกลับมาประจำการแล้ว



โดย: หอมกร วันที่: 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา:6:50:31 น.  

 
ไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรม จริงๆเลยนะครับ
คนจะเข้าวัดฟังธรรม หาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจก็ตอนมีเรื่อง มีทุกข์ในใจ
แต่ตอนมีความสุขก็ลั้นลาไปเรื่อย ไม่สนใจนะครับ

แล้วเดี๋ยวนี้คนมีความเครียดเป็นโรคจิตกันแยะ แต่บางทีไม่รู้ตัวว่าเป็นก็มาก มีอยู่ช่วงนึง เตาถ่าน เอาไว้รมควัน ฆ่าตัวตายขายดีมากๆเลยนะครับ ที่บ้านอาจารย์เต๊ะ ก็มีอยู่เตานึง
เตรียมพร้อมเสมอ เอาไว้ทำขนมครกกินเวลาอยากนะครับ 555

เมื่อวานอาจารย์เต๊ะ หลับปุ๋ยเลยครับเพราะไปตัดหญ้าตัดต้นไม้ซะลิ้นห้อย 555



โดย: multiple วันที่: 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา:10:16:33 น.  

 
เป็นหนังสือที่หมอเขียน
อ่านแล้วไม่ง่วง
แหล่มเลยจ้า


โดย: อุ้มสี วันที่: 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา:11:25:59 น.  

 
สวัสดีครับ
"ทั้งหมดคือหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวคือทั้งหมด" นี่คุ้นๆเหมือนเคยอ่านจากการ์ตูนเรื่องไหนนะ จำได้ลางๆ


โดย: กะริโตะคุง วันที่: 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา:13:46:14 น.  

 
โอวว ผมอยากอ่านรากเหง้าแห่งความทุกข์เลยครับ
อาทิตย์นี้ทั้งเรือใบ ปืนพลาดท่าหมดเลยนะครับ ลิเวอร์พูลขึ้นจ่าฝูงอีกครั้ง เริ่มหนาวอีกละครับ


โดย: The Kop Civil วันที่: 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา:16:24:58 น.  

 
สวัสดี จ้ะ น้องก๋า

เซนแห่งการบำบัด แต่ละศาสนาหรือ ศาสนาที่มีรากมาจาก
ที่เดียวกัน คือ เซนมาจากรากของพุทธศาสนา สังเกตได้จากที่
เธอยกตัวอย่างคำสอน เช่น เรื่องการยึดมั่นถือมั่น เรื่อง จิตว่าง
สมาธิ เรื่องเหล่านี้ มาจากพุทธ เนาะ
ปัจจุบัน นักจิตวิทยา เป็นอาชีพที่แพงมากทั้งในและนอกประเทศนะ อยากเรียน นะ อิอิ
โหวดหมวด แนะนำหนังสือ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา:18:17:34 น.  

 
เมื่อจิตปราศจากตัวตน เข้าประสานกีบ
พลังงานธรรมชาติสามารถนำมาช่วยบำบัดได้
บ้างค่ะ


โดย: mcayenne94 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา:20:11:08 น.  

 
เซน/ธรรมะแห่งการบำบัด
จิตที่ยึดมั่นถือมั่นก็เหมือนชาที่เต็มแก้ว ไม่รับอะไรเพิ่มเติม เลยไปไม่ถึงไหน

ไม่มีฝนแต่ก็ยังไม่หนาวครับ แต่ช่วงเย็นมืดเร็วมาก



โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา:22:15:43 น.  

 
บางอันผมอ่านแล้วไม่เข้าใจเลยครับ แต่อันที่บอกพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว อันนี้ในความเชื่อแบบอื่นๆ เคยมีคนพูดถึวเหมือนกัน ประมาณว่า มันอาจเป็นสิ่งๆ เดียวกันแต่ใช้คำเรียกที่แตกต่างกัน


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 4 พฤศจิกายน 2567 เวลา:22:48:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BlogGang Popular Award#20


 
กะว่าก๋า
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 395 คน [?]




มองฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
หรืออาจไม่เห็นฉัน

ฉันแค่แวะผ่านทางมา
และอาจไม่หวนกลับมาทางนี้อีกแล้ว

เราเคยรู้จักกัน
และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

มองดูฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
และฉันอาจมองไม่เห็นเธอ.





[Add กะว่าก๋า's blog to your web]