:: ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 253 ::
:: ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 253 ::โจทย์ --- ความจริงใจที่ไม่จริงใจผู้คิดโจทย์ --- กะว่าก๋า:: ล่มเมืองด้วยตะเกียบคู่เดียว ::หิมะโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ท่ามกลางความหนาวเหน็บอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนบนแผ่นดิน ประชาชนทนทุกข์เทวษอย่างแสนสาหัส ผลผลิตการเกษตรย่อยยับเสียหาย การค้าขายชะงักงัน เนื่องจากคำประกาศจากทางการห้ามเคลื่อนย้ายผู้คนไปต่างเมือง โรคร้ายระบาดโดยมิรู้สาเหตุ ผู้คนล้มตายมากมายจนที่ฝังศพไม่พอเพียง
เซี้ยงเส้าหลงเป็นขุนนางตงฉินที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนแล้วในราชสำนัก เขาเป็นคนเดียวที่กล้าทูลคัดค้านองค์เหนือหัวเจ้าชีวิตโดยไม่กลัวตาย ถวายความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาจนขุนนางกังฉินที่แวดล้อมองค์ฮ่องเต้ขุ่นเคืองใจ
วันนี้อีกเช่นกัน เซี้ยงเส้าหลงเร่งรีบเข้าเฝ้าเพื่อถวายคำคัดค้านในการออกพระราชกฤษฎีกาฉบับสำคัญ ในโถงท้องพระโรงขุนนางฝ่ายซ้ายฝ่ายขวายืนรับเสด็จกันพร้อมหน้า องค์ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยพระพักตร์หน่ายเนือย ทรงมิสนใจในราชกิจหากแต่จิตใจลอยล่องไปถึงสระอาบรักในหอตำหนักชั้นใน ที่นั่นเหล่าสนมเปลือยกายรอพระองค์อยู่ในสระน้ำเกือบสามสิบนาง น้ำจัณฑ์จำนวนมากมายดื่มกินไม่หมด อาหารคาวหวานเลิศรสชั้นยอดจากสุดยอดพ่อครัว พระองค์แทบจะยกราชกิจให้กับเจียงม่อคุ่ยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนทั้งหมด แต่เจียงม่อคุ่ยก็ทำอะไรได้ไม่เต็มมือ เนื่องจากมักถูกเซี้ยงเส้าหลงขุนนางเก่าแก่คอยคัดค้านร่ำไป
“ใครมีอะไรจะเสนออีกก็ว่าไป อย่าได้ทำเสียเวลาของข้ามากไปกว่านี้เลย” องค์ฮ่องเต้ตรัสขึ้น
เซี้ยงเส้าหลงก้าวเท้ามาข้างหน้าแล้วทูลด้วยเสียงดังฟังชัด “ข้าพระองค์ขอทูลคัดค้านกฎหมายการปรับส่วยภาษีอากรของประชาชนฉบับใหม่พะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มองไปยังเจียงม่อคุ่ยผู้เสนอฏหมายฉบับนี้ให้พระองค์ลงตราประทับเมื่อวันก่อน วันนั้นพระองค์กำลังเมามายอย่างหนัก รู้ว่าลงตราประทับ แต่ไม่รู้ว่าเป็นกฎหมายอะไร เจียงม่อคุ่ยรีบก้าวเท้าเดินออกมาแล้วกล่าวว่า “กฎหมายฉบับนี้จะทำราชสำนักมีเงินเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัว ข้าพระองค์จึงทำการเสนอไปขอรับ” เซี้ยงเส้าหลงส่ายหน้าพร้อมสวนคำไปในทันที “แต่ในภาวะบ้านเมืองลำยากยากแค้นแบบนี้ การออกกฎหมายที่ไร้ความชอบธรรม เท่ากับการเหยียบย่ำซ้ำเติมประชาชนมิใช่หรือ” เจียงม่อคุ่ยหน้าแดงก่ำด้วยเพราะถูกขัดใจ “เจ้าจะไปเดือดร้อนทำไม เงินก็เงินประชาชน”
เซี้ยงเส้าหลงแหงนหน้ามองไปที่องค์เหนือหัว เขาไม่อยากสนทนาว่าความกับเจียงม่อคุ่ยแม้เพียงคำเดียว ด้วยรู้ดีว่านับวันเจียงม่อคุ่ยเริ่มกุมอำนาจในมือไว้ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในวังมีการกินสินบาทคาดสินบนขุนนางเต็มไปหมด ขุนนางกับเหล่าทหารแตกความสามัคคี พวกใครพวกมัน คนชั่วต่างกอบโกยแสวงหาผลประโยชน์กันอย่างไร้ยางอาย เอาพวก เอาพี่เอาน้อง เอาลูกเมียของตนเข้ามารับตำแหน่งราชการโดยไม่ดูความสามารถ ขุนนางที่รับมาก็มีแต่พวกไร้ประโยชน์ ดีแต่ประจบประแจง ใช้ลิ้นสามแฉกทำงานรับเงินเดือนไปวัน ๆ ใครคล้อยตามเจียงม่อคุ่ยก็ก้าวหน้า ส่วนใครขัดขวางก็ถูกบีบให้ต้องลาออกจากราชการไป ถึงตอนนี้แทบไม่เหลือคนดีมีความสามารถอยู่ข้างกายฮ่องเต้อีกต่อไป
เซี้ยงเส้าหลงจ้องมองเจียงม่อคุ่ยตาไม่กระพริบ เขาพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังก้องว่า “ลำพังแค่เก็บส่วย 12 ส่วนจากร้อยก็ว่าหนักหนาสาหัสแล้ว นี่เจ้ายังทำทุเรศ ปรับเพิ่มเป็น 28 ส่วน ช่างน่าบัดซบนัก ใจเจ้าทำด้วยอะไร จึงไม่เคยแยแสความรู้สึกประชาราษฎร์ ยิ่งตอนนี้เกิดกลียุคทุกข์เข็ญไปทั่วจากโรคร้ายและภัยธรรมชาติ การออกกฎหมายที่ไร้ความชอบธรรมเช่นนี้ มิใช่ผลักประชาชนให้กลายเป็นศัตรูต่อต้านราชสำนักใช่มิใช่”
ฮ่องเต้ทนนิ่งฟังมาพักใหญ่ พระองค์ตรัสเสริมขึ้น “มีภัยธรรมชาติอันใดเกิดขึ้นในแผ่นดินข้าด้วยรึ ใยข้ามิรู้ ?”
เซี้ยงเส้าหลงรีบทูลกล่าว “ขณะนี้มีโรคร้ายมิทราบสาเหตุเกิดขึ้นในแผ่นดิน ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน จนที่ฝังศพมีไม่เพียงพอ ผลผลิตการเกษตรย่อยยับจากภัยธรรมชาติ ประชาชนทนความหนาวอันโหดร้ายไม่ไหว พากันล้มตายไปเป็นอันมาก องค์เหนือหัวอาจมิรับรู้ถึงความหนาว เพราะพระองค์ห่มพระวรกายด้วยขนสุนัขจิ้งจอกอันหนานุ่ม ต่างกับประชาราษฎร์ที่ทั้งหนาว ทั้งหิวโหย จนแทบจะอดตายกันหมด ขอพระองค์โปรดทรงพิจารณาด้วยเถิดพระเจ้าข้า บัดนี้ชาวบ้านร้านช่องแทบจะไม่เหลือข้าวสารไว้ให้กรอกหม้อกินแล้ว” องค์ฮ่องเต้นิ่งฟัง ก่อนแย้มสรวล “ไม่มีข้าวกิน ใยไม่กินบะหมี่แทนเล่า”
เมื่อฮ่องเต้ตรัสจบความ ขุนนางกังฉินต่างหัวเราะขึ้นโดยพร้อมเพรียง เซี้ยงเส้าหลงสะท้านใจ พยายามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลรินออกมา เขาล้วงมือหยิบตะเกียบงาช้างคู่หนึ่งออกมาชูขึ้นพร้อมกล่าวว่า “ข้าพระองค์ทำงานรับใช้ราชสำนักมาอย่างยาวนานด้วยความซื่อสัตย์ ยึดมั่นในผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ด้วยรู้ดีว่าราชสำนักเป็นเหมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ เรือลอยอยู่ในน้ำ และน้ำนั้นก็ล่มเรือได้ ตะเกียบคู่นี้พระองค์ราชทานให้กับหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันมิเคยนำมันมาใช้เลย เนื่องเพราะรู้ดีว่าหากขุนนางกล้าใช้ตะเกียบงาช้าง ย่อมแสดงถึงความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ บัดนี้ข้ามิอาจแย้งทัดทานอะไรใดใดได้อีก เห็นทีราชวงศ์ของพระองค์คงต้องสิ้นสุดในกาลยุคนี้เป็นแน่แท้”
มิคาดคิด เมื่อพูดจบความ เซี้ยงเส้าหลงก็ใช้ตะเกียบงาช้างเสียบแทงทะลุคอตัวเอง ล้มลงขาดใจตายท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน
หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ลมพัดวู่หวิว กิ่งไม้แห้งลิ่วลู่ไปตามลม กฎหมายฉบับนั้นผ่านความเห็นชอบโดยปราศจากคนคัดค้าน ประชาชนล้มตายมากขึ้น ร้านรวงพากันเลิกกิจการแทบทั้งหมด ชาวบ้านร้านช่องพากันหลบลี้หนีตายจากแผ่นดินที่ไร้ความยุติธรรม จริงดั่งคำที่นักปราชญ์โบราณกล่าวไว้ --- ข้าราชการชั่วน่ากลัวกว่าพยัคฆ์
ไม่นานนัก....เมืองฉู่ที่อยู่ข้างกัน จึงกรีฑาทัพหลวงเข้ามาตียึดครองเมืองฉี ฮ่องเต้เผาตัวเองตายในวังหลวงอย่างหมดทางสู้ ขุนนางโฉดชั่วหนีตายมิรู้ทิศทาง ใช้เวลาเพียงไม่นานเมืองฉีก็ล่มสลายกลายเป็นหน้าประวัติศาสตร์หนึ่ง ที่ผู้คนจดจำในความเหลวแหลกแห่งการปกครองบ้านเมือง
Create Date : 21 พฤษภาคม 2563 |
Last Update : 21 พฤษภาคม 2563 6:58:33 น. |
|
17 comments
|
Counter : 1928 Pageviews. |
|
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณสองแผ่นดิน, คุณอุ้มสี, คุณnonnoiGiwGiw, คุณหอมกร, คุณตะลีกีปัส, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณเริงฤดีนะ, คุณเนินน้ำ, คุณtuk-tuk@korat, คุณTui Laksi, คุณhaiku, คุณThe Kop Civil, คุณชีริว, คุณSweet_pills, คุณtoor36, คุณnewyorknurse, คุณธนูคือลุงแอ็ด |
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 21 พฤษภาคม 2563 เวลา:8:19:26 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 21 พฤษภาคม 2563 เวลา:8:27:57 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 21 พฤษภาคม 2563 เวลา:9:27:17 น. |
|
|
|
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 21 พฤษภาคม 2563 เวลา:11:04:51 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 21 พฤษภาคม 2563 เวลา:13:37:30 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 21 พฤษภาคม 2563 เวลา:18:42:25 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 21 พฤษภาคม 2563 เวลา:23:15:30 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 21 พฤษภาคม 2563 เวลา:23:39:55 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 22 พฤษภาคม 2563 เวลา:0:21:29 น. |
|
|
|
| |