Oh!! my sassy boss ตอนที่ 25 หน้า 1
ถ้อยคำที่เถียงไม่ตกฟากนี่คืออะไรกัน? มันก็ช่างเถอะ จะได้เวลานอนอยู่แล้ว จะชวนทะเลาะทำไม แล้วทำไมชีวิตคู่ แค่เรื่องที่นอนก็ต้องมีปัญหากันเล่า คู่อื่นๆ เขาจะมีปัญหากันไหม ช่างเป็นการเริ่มชีวิตใหม่ที่เมขลาไม่ได้คุ้นชิน เมขลา ไปหาพัดลมมาอีกตัวเพื่อเปิดเพิ่ม
กฤษ “แล้วถ้าพี่ร้อน ทำไมต้องใส่เสื้อแขนยาวนอนด้วย”
เขาอดที่จะว่าเธอไม่ได้ แล้วชุดที่เขาหาให้ล่ะ ไหนบอกว่าจะใส่อ่อยสามีตอนกลางคืน แล้วนี่อะไร?
นี่ก็วุ่นวายกับเธอไม่เลิก นอนจะดีกว่า ปวดหัว เมขลาล้มลงนอนหันหลังให้ กฤษ เขามองดูร่างน้อยที่ไม่สนใจใยดีเขาแล้ว
กฤษ “นี่จะไม่ปิดไฟนอนเหรอครับ”
ยังมีคำถามรบกวนเธอไม่เลิกสักที
เมขลาลุกขึ้น หันมามองเขา
เมขลา “เธอ สวิซ อยู่ตรงโน้น”
เธอชี้ไปที่ประตู เพื่อบอกกฤษที่อยู่ใกล้กว่าให้ไปปิดเอง เขาเลยลุกขึ้นเพื่อเดินไปปิดไฟแล้วกลับมานอนที่เตียงตามเดิม มองผ่านความมืดร่างน้อยๆ ไม่ไหวติง เขาจึงใช้ความพยายามเพียงเสี้ยวลมหายใจเพื่อข่มตาลงนอน
ห้องเมขลาโทนสีครีมแลดูอบอุ่นใจแม้มันจะแปลกที่สำหรับเขาอยู่บ้าง ความรู้สีกอาจจะคล้ายกับที่เขามานอนบ้านหลังนี่ครั้งแรก กลิ่นเครื่องหอมของใช้ผู้หญิงอ่อนๆ โชยมาเป็นระยะ บวกกับกลิ่นหอมกายจากคนนอนข้างๆ จิตใจเขาต่อให้แกร่งดุจหินผา ก็อ่อนไหวราวยอดหญ้าต้องลม ในเงามือร่างน้อยนอนตะแคลงไม่ไหวติง เมื่อสายตาเขาปรับจนชินกับความมืดแล้ว แสงเงาจากไฟถนนที่ลอดเงาม่านมดบังมาได้ ทำให้พอเห็นแบบเลือนลาง
ถ้านับครั้งที่ได้นอนเตียงเดียวกัน น่าจะ 3-4 ครั้ง ครั้งแรกตอนไปเที่ยวกาญจนบุรี ตอนนั้นยังไม่แต่งงานกันและเป็นครั้งแรกที่ได้นอนเตียงเดียวกัน ถ้าสำหรับเขาก็เป็นครั้งแรกที่ได้นอนเตียงเดียวกับคนอื่นนับแต่โตเป็นหนุ่มมา แถมนอนกับผู้หญิงที่เขาแอบใจกระตุกทุกครั้งที่อยู่ใกล้ เขาตื่นเต้นใจสั่นจนนอนไม่หลับ ครั้งที่สองวันแต่งงานเข้าหอที่โรงแรม ตอนนั้นต่างคนต่างอารมณ์ขุ่นเมขลาหลับไปเพราะเมา ส่วนเขา นอนกระสับกระส่ายไม่รู้หลับไปได้ตอนไหน ส่วนครั้งที่ 3-4 ตอนไปเที่ยวกระบี่ด้วยกัน ถึงจะเปลี่ยนสถานะไปแล้ว ความตื่นเต้นก็ยังเกิดขึ้นในอกซ้ายเขาอยู่ดี กฤษนอนนับแกะวนไปเรื่อยๆ พยายามใช้ความเงียบกล่อมตัวเอง เมขลานิ่งแบบนี้น่าจะหลับเป็นแน่ จะชวนคุยเธอก็คงไม่ให้ความร่วมมือ แต่ถ้าจะให้นอนไปแบบนี้ เขาจะหลับยังไง
กฤษ “พี่เมข”
ความเคยชินที่เรียกเธอว่าพี่ แม้ชีวิตจะไปเปลี่ยนไปเยอะแล้วก็ตาม
เมข “หือ”
เสียงตอบรับในลำคอเบาๆ
กฤษ “พี่อยู่คนเดียวนานแค่ไหนแล้ว?”
เขาตั้งคำถามผ่าความมืด เมขลาไม่รู้ว่าเขาเคยถามเธอหรือยัง แต่ก็นึกได้ว่าเหมือนตัวเองเคยเล่าให้เขาฟังไปบ้างแล้ว เธอพลิกตัวมานอนหงายเพื่อที่จะได้คุยได้สะดวกเวลาคุยกับใคร เธอชอบมองหน้าคู่สนทนา แต่ยามนี้มองไปก็สบสายตาดุๆ ของกฤษไม่ได้
เมขลา “พ่อกับแม่ฉันท่านเสียมา 10 กว่าปีแล้วนะ ฉันก็อยู่มานานแล้ว ตั้งแต่เรียน”
กฤษ “แล้วแฟนเก่าพี่ล่ะ”
กฤษหันมานอนตะแคงมองร่างน้อยบ้างราวกับตั้งใจตั้งคำถามเอาจริงเอาจังจะไม่นอนกันแล้ว
เมขลา “เราคบกันอยู่ 5 ปี แล้วเลิกกันมา 10 ปีแล้วเหมือนกัน”
กฤษ “เขาอยู่ที่นี่ไหม?”
เมขลา “ไม่ เขาอยู่ที่กรุงเทพฯ ฉันเรียนและทำงานที่กรุงเทพมาก่อน แล้วพอมาเที่ยวอยุธยา เลยชอบที่นี่ มีความคุ้นเคย แล้วคงเป็นเมืองที่ฉันเคยเกิด ฉันเลยย้ายมาทำงานที่นี่ หลังจากที่สอบเสร็จแล้ว”
เมื่อ 15 ปีที่แล้ว เขาก็คงอายุ 11 ขวบ ส่วนเมขลาก็คงอายุ 23 พึ่งเรียนจบใหม่ๆ แล้วคงได้เจอแฟนคนแรกของเธอ
กฤษ “พี่เรียนอะไร?”
เมขลา “ฉันจบนักเทคนิคการแพทย์มาใหม่ๆ แต่ก็มีความสนใจด้านสมุนไพร ฉันก็เลยทำงานไปด้วยแล้วเรียนแพทย์แผนไทยไปด้วย พอสอบได้ใบประกาศของแพทย์แผนไทยก็เลยสมัครมาทำงานและหาประสบการณ์ในอยุธยา”
กฤษไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกันว่าเมขลาจะเป็นนักเทคนิคการแพทย์มาก่อน แต่เขาก็เห็นชุดครุยที่เขาคุ้นตาในรูปถ่ายรับปริญญาตรีของเธอในตู้โชว์ด้านล่างที่อยู่คู่กับมหาบัณฑิตด้านบริหารถ่ายภาพคู่กับครอบครัวของเธอที่จากไปแล้ว เขาควรไหว้พ่อยาแม่ยายที่ไม่ได้พบกัน
กฤษ “นักเทคนิคการแพทย์ก็เงินดีมากเลยนะครับ”
เมขลา “ก็ใช่ แต่แพทย์แผนไทยก็สนุก นักเทคนิกการแพทย์รักษาใครไม่ได้นิ ได้แค่ตรวจ แล้วส่งผลตรวจให้หมอเป็นคนฟันธงแล้วทำการรักษา”
กฤษ “ถ้าพี่อยากรักษาคนทำไมไม่เรียนหมอแผนปัจจุบันต่อล่ะครับ”
เมขลา “ฉันกลัวเลือด......”
เป็นคำตอบที่เคว้งในความมืดได้ดี อยู่ในวงการแพทย์แล้วกลัวเลือดกลัวเข็มก็เป็นจุดอ่อนที่ไปต่อไม่ได้ แต่แพทย์แผนไทยไม่ได้เจาะเลือด ผ่าตัด ก็นับว่าเหมาะกับเธอไม่น้อย
เมขลา “แล้วทำไมเธอ ถึงมาเลือกเรียนแพทย์แผนไทยล่ะ”
เธอถามเขากลับ
กฤษ “ตอนที่ผมเรียนจบ ม ปลาย ผมสอบเข้าแพทย์ศาสตร์ เพราะแม่ต้องการให้ผมเป็นหมอ แต่บังเอิญที่ผมไปสอบ ผมได้เจอพี่สาวคนหนึ่ง ได้ได้คุยกันอยู่ครู่นึ่ง แล้วเธอก็ให้ดอกพิกุลผมมา”
ดอกพิกุล คงเหมายถึงดอกไม้แห้งติดกระดาษที่เขาใส่กรอบไว้อย่างดี
กฤษ “ผมเรียนแพทย์แผนปัจจุบันจบ พอผมเรียนแพทย์เสร็จแล้วไปต่อเฉพาะทางที่ต่างประเทศและเรียนแพทย์ไทยไปด้วย แต่ก็จบช้าไป 1 ปี เพราะดรอปไปบวช”
เมขลาลองคำนวนระยะเวลาแล้ว กฤษ ทำงานมาก็นับว่า 2-3 ปี เขาเรียนไวกว่าที่คิดไว้อย่างนั้นหรือ
เมขลา “เธอ อายุ 26 ปกติ หมอเขาเรียน 5 ปีไม่ใช่เหรอ”
กฤษ “ใช่ ผมสอบตั้งแต่อายุ 17 เรียนจบหมอตั้งแต่ 22 ไปต่อ เฉพาะทางแค่ 1 ปี ระหว่างนั้นผมก็เรียนแพทย์ไทยควบไปด้วย”
เมขลา “เธอแบ่งเวลาได้ไง?”
เธออึ้ง แต่ก็ไม่แปลกใจหรอก ลูกคนรวย ไม่ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย วันๆ เรียนอย่างเดียว
กฤษ “บางอย่างชั่วโมงมันเรียนออนไลน์ ส่งงานออนไลน์ สอบออนไลน์ได้”
เมขลา “แล้วแบบนี้ความรู้จะแน่นได้ยังไงกัน?”
เธออดตำหนิไม่ได้
เมขลา “แล้วที่อยากเรียนแพทย์แผนไทย เพราะพี่สาวคนนั้นเหรอ?”
เป็นคำถามที่ช่างน่าสนใจนัก
กฤษนิ่งไปครู่ใหญ่
กฤษ “ถ้าจะบอกว่าจุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจพี่สาวคนนั้นก็มีส่วน เพราะผมดูดอกพิกุลทุกวัน อ่านสรรพคุณในกระดาษแผ่นนั้นทุกวัน มันเลยเกิดความอยากรู้ว่า แล้วจริงๆ ดอกพิกุลจะมีสรรพคุณตามที่เขียนไว้จริงหรือเปล่า แล้วพอผมเริ่มทำงาน ผ่านการรักษาคนไข้มาหลายๆ คน บางอย่างมันละเอียดอ่อน การใช้ยาทุกอย่างล้วนมีผลกับคนไข้ ทำให้ผมหันกลับไปมองดูดอกพิกุลอีกครั้ง แล้วอยากหาความหมายที่เขาเขียนในสรรพคุณไว้”