Me, Myself and Formula 1
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2558
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
26 พฤษภาคม 2558
 
All Blogs
 
อะไรทำให้เมอร์เซเดสเข้าใจผิด

จากการที่เมอร์เซเดสเรียกลูอิส แฮมิลตัน เข้าพิตเพื่อเปลี่ยนยางอีกครั้งช่วงเซฟตี้คาร์ในตอนท้ายของการแข่งขันที่โมนาโกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ชัยชนะที่ควรได้มาง่ายๆ ของแฮมิลตันเหลือเพียงโพเดียมอันดับที่ 3 สร้างความปวดใจให้แชมป์โลกคนปัจจุบันเองและสร้างความงุนงงให้กับแฟนๆ ทั่วโลกที่แทบไม่อยากเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น

ว่าแต่อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เมอร์เซเดสตัดสินใจเช่นนั้น เว็บไซต์ motorsport.com ได้วิเคราะห์ไว้ดังต่อไปนี้ค่ะ

ย้อนไปเมื่อเริ่มต้นการแข่งขัน ผ่านไปแค่ 5 รอบ แฮมิลตันก็นำนิโค รอสเบิร์ก 2.3 วินาที และก่อนที่นักขับเยอรมันจะเข้าพิตครั้งแรกในรอบที่ 37 ระยะห่างได้เพิ่มเป็น 7.4 วินาที ในรอบถัดมาเป็นคิวของแฮมิลตันที่จะเข้าพิตบ้างซึ่งเป็นครึ่งทางพอดี ดูแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไรกับการวิ่งอีก 40 รอบที่เหลือด้วยยางซอฟต์ใหม่เอี่ยม หลังจากออกมาเขาวิ่งเต็มที่ พอถึงรอบที่ 63 เขานำเพื่อนร่วมทีมไปแล้ว 19.6 วินาที

อย่างไรก็ตาม โมนาโกคือสนามที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ ดราม่ามักเกิดขึ้นเสมอและบ่อยครั้งจะเกิดขึ้นในตอนท้ายของการแข่งขัน ในระหว่างรอบที่ 64 ของแฮมิลตัน แม็กซ์ เวอร์สตัปเพ่น ชนท้ายโรแมง โกรส์ฌอง ก่อนจะพุ่งไปชนกำแพงยางที่โค้งแซงต์ดีโว้ต ซึ่งตอนแรกปล่อยสัญญาณ "เซฟตี้คาร์จำลอง" มาเป็นครั้งแรกของฟอร์มูล่าวัน

แฮมิลตันก็ทำเหมือนเช่นนักขับคนอื่น คือใช้ความเร็วต่ำลงตามที่กำหนด ทำให้เขาต้องช้าลงราว 14 วินาทีเมื่อเทียบกับเวลาในรอบก่อนหน้า โดยได้ข้ามเส้นครบรอบนั้นด้วยเวลา 1 นาที 33.047 วินาที แต่ผู้ที่ตามมาช้าลงกว่าเขาอีก กลายเป็นว่ารอสเบิร์กตามหลังเขา 25.7 วินาที

ในตอนนั้นฝ่ายควบคุมการแข่งขันตัดสินใจเปลี่ยนจากสัญญาณเซฟตี้คาร์จำลองซึ่งใช้งานไปแค่ 30 วินาที เป็นการปล่อยให้เซฟตี้คาร์ออกมานำการแข่งขันจริงๆ ทีมงานรู้ดีว่าแทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเพราะนักขับต้องใช้ความเร็วเท่ากันกับทั้งสองแบบอยู่แล้ว โดยช่วงนั้นเองที่เราได้เห็นจากในจอถ่ายให้เห็นว่าทีมงานรถของแฮมิลตันออกมายืนอยู่ตรงพิตเลนช่วงสั้นๆ พวกเขาแค่เตรียมพร้อมเผื่อจะต้องทำอะไรบางอย่างซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ

ที่จริงแฮมิลตันก็รู้ว่าเขาไม่ต้องเข้าพิต ดังนั้นใจเขาเลยคิดว่าคงเป็นรอสเบิร์กที่ต้องเข้า และไม่แน่ว่าเซบาสเตียน เวทเทล รวมทั้งคนอื่นในกลุ่มนำก็อาจจะเข้าพิตด้วยเหมือนกัน

ความคิดแรกของเขาจึงเป็นว่าถ้าเซฟตี้คาร์กลับเข้าพิตเลนแล้วเขาใช้ยางเก่าอยู่คนเดียวที่ทั้งอุณหภูมิและแรงดันตก ในขณะที่รอสเบิร์กและคู่แข่งคนอื่นได้ยางใหม่ ในตอนนั้นซึ่งเหลืออีก 15 รอบ เป็นระยะทางยาวเกินกว่าที่เขาจะกันไม่ให้ตนเองถูกแซงไหว





จากจุดนั้นนำมาซึ่งการคุยกันกับทีมงานในพิตวอลล์ แฮมิลตันแจ้งถึงความกังวลเรื่องยาง และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารที่ผิดพลาด เขาคิดว่ารอสเบิร์กจะเข้าพิต ซึ่งทีมไม่ได้สังเกตเลยว่าเป็นเพราะอะไรเขาถึงกังวลเรื่องยางมากนัก และแทนที่ทีมจะยืนยันกับเขาว่าทั้งรอสเบิร์กและเวทเทลไม่ได้จะเข้าพิต พวกเขากลับระวังเรื่องยางตามแฮมิลตันไปอีก

ทีมงานเมอร์เซเดสได้สรุปและตัดสินใจให้แฮมิลตันเข้าพิตเพราะมีเวลาพอ ด้วยคิดว่าถึงอย่างไรเซฟตี้คาร์ยังอยู่หน้ารอสเบิร์กและเวทเทล

ในทางทฤษฎีดูแล้วว่าไม่น่าจะเสียอะไร ดีเสียอีกที่จะช่วยให้แฮมิลตันหนีรอสเบิร์กออกไปได้อีกครั้งเมื่อกลับเข้าสู่การแข่งขันตามปกติ เพราะตัวเขามียางซูเปอร์ซอฟต์ชุดใหม่ ในขณะที่ยางของรอสเบิร์กเป็นยางซอฟต์ชุดเก่า นอกจากนั้น ยังเป็นการป้องกันไม่ให้นักขับเมอร์เซเดสทั้งสองคนต้องห้ำหั่นกันในช่วงท้ายที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายในท้ายที่สุดด้วย

แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือแม้จะวิ่งในความเร็วภายใต้เซฟตี้คาร์ แต่รอบการแข่งขันของโมนาโกผ่านไปเร็วมาก และการพูดคุยในเรื่องยาง การคำนวณ การตัดสินใจ ทุกอย่างใช้เวลาพอสมควร ส่วนปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือส่วนของสนามที่เซฟตี้คาร์วิ่งออกมาเจอกับแฮมิลตันคือบริเวณโค้งสวิมมิ่งพูลเป็นจุดที่วุ่นวาย มีรถหลายคันที่ต้องให้วิ่งผ่านไป

แฮมิลตันต้องลดความเร็วลงตามเซฟตี้คาร์อยู่หลายโค้ง ขณะที่รอสเบิร์กยังคงทำความเร็วได้สูงสุดเท่าที่กฎจะอนุญาตในภาวะนั้น จุดนี้สร้างความแตกต่างที่สำคัญ เมื่อสิ้นสุดรอบก่อนที่เขาจะเข้าพิต ความห่างระหว่างเขากับรอสเบิร์กได้ลดลงมาแล้ว

ประเด็นคือทีมวางกลยุทธ์ของเมอร์เซเดสลืมคิดถึงจุดนี้ ถึงแม้ว่าการตัดสินใจจะเกิดขึ้นเพียง 50 เมตรก่อนทางเข้าพิต

แฮมิลตันและเมอร์เซเดสรู้ตัวอีกทีว่าพลาดเมื่อรถออกมาจากพิตเลนแล้วพบว่ารอสเบิร์กและเวทเทลผ่านหน้าไป โตโต้ โวล์ฟ ทีมบอสเมอร์เซเดสให้สัมภาษณ์ว่าระบบให้ข้อมูลผิดพลาด พวกเขาคิดว่าแฮมิลตันนำห่างมากพอ และเพราะในโมนาโกไม่มี GPS ยิ่งทำให้ทุกอย่างซับซ้อนมากขึ้นไปอีก

โวล์ฟพูดถึงความเข้าใจผิดของแฮมิลตันที่คิดว่ารอสเบิร์กจะเข้าพิตเช่นกัน แต่นักขับอังกฤษลืมดูว่าคนอื่นไม่ได้เข้าพิต ข้อมูลของทีมบอกว่าเขามีเวลาพอ และเมื่อเขาพูดขึ้นมาว่ายางจะหมด อุณหภูมิยางลดลง รวมถึงข้อมูลที่มีทั้งหมด ทีมจึงตัดสินใจให้เขาเข้าพิตด้วยพื้นฐานข้อมูลที่บอกว่าเขามีระยะห่างพอ

โวล์ฟอ้างถึงระบบ GPS ของเอฟไอเอ แต่ข้อมูลไม่ได้เกี่ยวข้องกับการคำนวณของทีมเอง จริงอยู่ที่สภาพแวดล้อมของโมนาโกไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งาน GPS แต่เอฟไอเอและทีมต่างๆ ได้รับข้อมูลตำแหน่งจากแหล่งอื่น เช่น วงรอบในสนาม ซึ่งมีประมาณ 20 จุด และระบบ dead-reckoning

เมอร์เซเดสคิดว่าแฮมิลตันมีเวลาเหลืออีก 3.5 วินาทีแม้เข้าพิตแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่ พวกเขาพบว่าข้อมูลนิ่งไปซึ่งต้องหาว่าเกิดที่ตรงไหน และเซฟตี้คาร์ก็ชะลอรถอีกเล็กน้อยด้วย

จากคำกล่าวของทีมบอส ดูเหมือนว่าข้อสรุปของเมอร์เซเดสคำนวณจากความเร็วภายใต้ช่วงเซฟตี้คาร์จำลอง แต่จากการที่เซฟตี้คาร์จริงออกมาวิ่งหน้าแฮมิลตันทำให้เวลาของเขาช้าลงกว่าที่ควรเป็น เวลาของเขาในรอบที่ 65 ที่เข้าพิตแล้วอยู่ที่ 2 นาที 11.321 วินาที แต่หากเทียบกับเวลาของเฟลิเป้ นาสเซอร์ ซึ่งมาถึงปากทางเข้าพิตหลังจากเขาเพียง 4 วินาที แต่ไม่ต้องตามหลังเซฟตี้คาร์เหมือนแฮมิลตัน เวลาของนักขับบราซิลจึงเป็น 1 นาที 59.948 วินาที ขณะที่แดเนียล ริกเคียร์โด้ เข้าพิตตามหลังนาสเซอร์อีก 31 วินาที ทำเวลาต่อรอบได้ 1 นาที 59.200 วินาที สรุปได้ว่าแฮมิลตันเสียเวลาไปประมาณ 11 วินาทีจากเวลาที่เขาควรทำได้

ถ้าไม่คิดถึงเรื่องว่าข้อมูลบอกหรือไม่บอกอะไร ดูเหมือนว่าไม่มีใครในเมอร์เซเดสมองเห็นเลยว่าแฮมิลตันต้องติดเรื่องนั้น คนที่รู้คนเดียวคือแฮมิลตันเองซึ่งเป็นผู้ที่ขับตามเซฟตี้คาร์ แต่ไม่ทันคิดว่าตนเองต้องเสียเวลาที่สำคัญไปมากแค่ไหน บวกกับเวลาในการเข้าพิตครั้งที่ 2 ใช้เวลาไป 25.495 วินาที เทียบกับพิตแรก 24.181 วินาที อาจด้วยว่าเพราะต้องรอให้เฟลิเป้ นาสเซอร์ ผ่านไปก่อน ทำให้เขาเสียไปอีก 1.3 วินาที ถ้าเอาคืนมาได้อย่างน้อยก็น่าจะทำให้อยู่หน้าเวทเทลได้

โวล์ฟกล่าวเสริมว่า "เราต่างเป็นมนุษย์ บางครั้งต้องตัดสินใจในเศษเสี้ยวของวินาทีและคราวนี้เราก็ตัดสินใจพลาด เราต้องมาวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นอีก พร้อมทั้งขอโทษลูอิส ขอโทษ และขอโทษ"

นิกี้ เลาด้า ประธานทีมสรุปได้ดีที่สุด "มันไม่ได้มีความท้าทายหรือความเครียดใดๆ เลย เป็นเรื่องของความสับสนระหว่างทีมวางกลยุทธ์ว่าจะทำอะไร และนี่คือผลที่ได้ ก่อนอื่นเราต้องมาวิเคราะห์และดูว่าจะปรับปรุงเรื่องนี้อย่างไร ผมเสียใจกับเขาด้วยเพราะเราทำลายการแข่งขันของเขาไป..."












*ข้อมูลและภาพจาก motorsport.com



Create Date : 26 พฤษภาคม 2558
Last Update : 26 พฤษภาคม 2558 21:05:21 น. 5 comments
Counter : 1798 Pageviews.

 
อุต๊ะ...เห็นข้อผิดพลาดแบบนี้แล้ว ยิ่งอยากให้รถต้องเติมน้ำมันเร็วๆจัง 555


โดย: runtaro IP: 58.137.3.219 วันที่: 26 พฤษภาคม 2558 เวลา:14:37:59 น.  

 
^
^
^
คิดถึงอนาคอนดาเนอะ


โดย: hstgz IP: 1.10.207.103 วันที่: 26 พฤษภาคม 2558 เวลา:21:43:44 น.  

 
บางครั้ง ความสมบูรณ์แบบมากไป ก็ไม่ช่วยอะไร(ถ้าต้องการผลที่ได้เหมือนกันคือชัยชนะ) น่าเสียดายมากครับ รอบท่ายๆ แบบนั้น สนามก็แซงได้ยากยิ่ง(แซงในพิธด้วยซ่ำ)


โดย: ka IP: 183.89.170.243 วันที่: 27 พฤษภาคม 2558 เวลา:11:38:14 น.  

 
@hstgz ช่ายๆ


โดย: runtaro IP: 58.137.3.219 วันที่: 27 พฤษภาคม 2558 เวลา:18:07:28 น.  

 
สนามนี้ไม่ได้ดูค่ะ แค่อ่านก็ตื่นเต้น ท่่าจะสนุก ...แต่การที่นิโคชนะสนามนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกประหลาดประการใด เป็นถนนที่นิโคคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก..ท่าทางแฮมปีนี้น่าจะพลาดแชมป์ ดวงไม่ค่อยดี นิโคมือยังไม่ถึง โอ้ สงสัยแชมป์จะตกเป็นของใครน้า ..เสื้อแดงๆหรือเปล่า


โดย: simpun IP: 94.23.252.21 วันที่: 28 พฤษภาคม 2558 เวลา:20:32:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

finishline
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 110 คน [?]




ในประเทศไทยหาข่าวฟอร์มูล่าวันอ่านได้ยากเหลือเกิ๊นนนน...เขียนเองเลยดีกว่า!

**เจ้าของบล็อกเขียนข่าวขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลข่าวและแปลจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือของต่างประเทศเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์แก่ผู้ที่ชื่นชอบกีฬาชนิดนี้ ท่านใดที่นำข้อความในบล็อกไปเผยแพร่ต่อ ขอความกรุณาให้เครดิตบล็อกด้วยนะคะ**
Friends' blogs
[Add finishline's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.