ต้นเหตุที่เมอร์เซเดสชนกันนั้นอยู่ตรงไหน?
หลังจากเกิดอุบัติเหตุระหว่างนิโค รอสเบิร์ก กับลูอิส แฮมิลตัน ที่โค้ง 4 รอบแรกของสแปนิช กรังด์ปรีซ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีการวิเคราะห์หาสาเหตุความผิดพลาดของคู่นักขับเมอร์เซเดสอย่างกว้างขวาง จขบ. อ่านเจอคำอธิบายหนึ่งที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ motorsport.com จึงขอยกมาแปลให้ได้อ่านกันค่ะ
จากการที่กฎห้ามนักขับสื่อสารทางวิทยุกับทีมงานในช่วงตั้งแต่ตั้งกริดจนถึงสตาร์ท ทีมงานเมอร์เซเดสจึงได้ติดคำแนะนำไว้บนพวงมาลัยแบบเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งในการสตาร์ทต้องใช้โหมด "STRAT 3" โหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับปริมาณน้ำมันที่ใช้ การใช้พลังงานจาก MGU-K ว่าจะเก็บหรือใช้แค่ไหน เป็นต้น และปรับจูนได้ต่อไประหว่างแข่งขัน แต่ภาพจากกล้องติดรถแสดงให้เห็นว่าตอนสตาร์ท รอสเบิร์กยังแช่อยู่ที่โหมด "STRAT 12" ซึ่งเป็นโหมดประหยัดเชื้อเพลิงและพลังงาน โดยปกติสามารถใช้โหมดนี้ระหว่างรอบวอร์มอัพเพื่อประหยัดน้ำมันและช่วยส่งกำลังให้ตอนสตาร์ทหากเลือกโหมด STRAT ที่เหมาะสม
เมื่อรอสเบิร์กใช้โหมด STRAT 12 ขณะสตาร์ท แรกเริ่มรถของเขายังมีกำลังในการตามดูดลมท้ายรถของแฮมิลตันและแซงขึ้นหน้าได้ด้วยพลังงานที่เขาสะสมไว้ก่อนหน้านี้ แต่จากการที่ระบบ ERS ใช้พลังงานที่เก็บในแบตเตอรี่ (ES) และใช้โดยตรงจาก MGU-H ก็สันนิษฐานได้ว่า STRAT 12 ไม่ได้ช่วยให้การทำงานข้างต้นทั้งสองออกมาในอัตราเต็มในช่วงเวลานั้น กลายเป็นว่าระบบกลับไปเก็บเกี่ยวพลังงานจากตอนออกตัวแทน หมายความว่ารอสเบิร์กเข้าโค้ง 3 โดยไม่มีแรงช่วยจาก MGU-K ซึ่งกำลังรถหายไป 160 bhp
แฮมิลตันตามหลังรอสเบิร์กเข้าโค้ง 3 โดยรู้สึกว่ารถคันหน้าช้าลงพร้อมกับเห็นไฟท้ายกะพริบ นักขับอังกฤษจึงรู้ทันทีว่าเพื่อนร่วมทีมยังอยู่ในระบบประหยัดพลังงาน นั่นคือรอสเบิร์กใช้โหมดเครื่องยนต์ผิด และแฮมิลตันต้องการฉวยโอกาสจากความผิดพลาดนั้น ขณะเดียวกันรอสเบิร์กรู้แล้วว่าตนปรับผิดโหมดอยู่ กล้องแสดงให้เห็นว่าเขาเริ่มหมุนจากโหมด STRAT 12 ทางซ้ายไปยัง STRAT 3 ทางขวา และยังปรับบาลานซ์ของเบรกขณะเข้าโค้ง 4 ก่อนจะกดปุ่ม OT (แซง) สีเหลืองตรงซ้ายบนของพวงมาลัย เพื่อช่วยเพิ่มกำลังสูงสุดให้กับรถ
แต่จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วของรอสเบิร์ก ทำให้แฮมิลตันผู้ซึ่งปรับโหมดไว้ที่ STRAT 3 อย่างถูกต้องพุ่งเข้ามาติดท้ายด้วยความรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตา รถทั้งสองก็เกี่ยวกันออกจากการแข่งขัน เป็นครั้งแรกที่รถเมอร์เซเดสไม่จบการแข่งขันเลยสักคันนับตั้งแต่ปี 2011
ความเห็นของกรรมการ
ด้านกรรมการในสนามมีความคิดเห็นอย่างไรจึงตัดสินให้อุบัติเหตุของรอสเบิร์กกับแฮมิลตันเป็นอุบัติเหตุจากการแข่งขันทั่วไป (racing incident) ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องรับโทษ เรามาดูตามด้านล่างนี้ค่ะ
รถหมายเลข 6 (รอสเบิร์ก) ใช้โหมดเครื่องยนต์ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเร็วแตกต่างของรถทั้งสองคันอยู่ที่ 17 กม./ชม. ขณะอยู่บนทางตรงหลังออกจากโค้ง 3 ต่อมารถหมายเลข 6 ป้องกันตำแหน่งตนเองโดยเบี่ยงรถออกไป ซึ่งมีสิทธิ์ทำได้ตามกฎการแข่งขันข้อที่ 27.7* ขณะเดียวกันรถหมายเลข 44 (แฮมิลตัน) ที่เร็วกว่าเห็นช่องว่างด้านในและจะแซงขึ้นมา ทั้งนี้ ตามกฎข้อที่ 27.7 นักขับของรถคันนำต้องเผื่อพื้นที่ให้หากรถที่พยายามแซงขึ้นมาอยู่ใน "สัดส่วนที่มีนัยสำคัญ"
รถหมายเลข 44 แซงขึ้นมาโดยปีกหน้าอยู่ด้านในของรถหมายเลข 6 เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่รถหมายเลข 44 จะหลบลงไปด้านขวาของแทร็คเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุในเบื้องต้น ด้วยอาจเชื่อว่าตนมีสิทธิ์ขึ้นทางขวา แต่รถหมายเลข 44 ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ซึ่งหลังจากฟังคำให้การทั้งสองฝ่ายและทีมงานแล้ว กรรมการมึความเห็นว่ารถหมายเลข 6 มีสิทธิ์ป้องกันตำแหน่งของตนตามที่กระทำนั้น และรถหมายเลข 44 พยายามแซงก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล จึงไม่ตัดสินลงโทษใดๆ กับทั้งสองฝ่าย
*กฎการแข่งขันข้อที่ 27.7 ระบุว่า "นักขับคนใดที่กำลังป้องกันตำแหน่งของตนบนทางตรง ขณะก่อนเข้าถึงพื้นที่เบรก สามารถใช้ความกว้างเต็มขนาดแทร็คในการป้องกันเพื่อไม่ให้รถคันที่พยายามแซงขึ้นมามีสัดส่วนที่มีนัยสำคัญขนาบข้างรถของตน
"ขณะที่ทำการป้องกันตำแหน่งในลักษณะนี้ นักขับต้องไม่ออกนอกแทร็คโดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยเพื่อป้องกันความสับสน หากส่วนใดส่วนหนึ่งของปีกหน้าของรถคันที่พยายามแซงขึ้นมาทาบล้อหลังของรถคันหน้า เช่นนี้จึงจะถือว่าเป็น 'สัดส่วนที่มีนัยสำคัญ'"
หมายเหตุ
1. ดูภาพประกอบคำอธิบายเพิ่มเติมได้ที่นี่ 2. คลิปวิเคราะห์จังหวะนี้จากช่องสกายสปอร์ตส์ของอังกฤษ
*ข้อมูลจาก motorsport.com
Create Date : 17 พฤษภาคม 2559 |
Last Update : 17 พฤษภาคม 2559 0:55:29 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2158 Pageviews. |
|
|
|
กฎกติกาการแข่งขันกีฬา มันตัดสินกันที่เทคนิคจริงๆ
ถึงจะเข้าที่ 1 แต่ถ้าใช้เครื่องยนต์โมดิฟายผิดสเปก ก็โดนปรับแพ้ได้
แต่ถ้าเป็นเรื่องกฎหมาย Roseberg ถูกแน่นอน
เสี้ยววินาทีจริงๆ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลความรู้ใหม่ๆ