ผู้ทำเวลาต่อรอบเร็วที่สุด (fastest lap): ลูอิส แฮมิลตัน (เมอร์เซเดส) 1:50.417 - รอบที่ 39

อันดับเวลาต่อรอบเร็วที่สุด คลิกที่นี่

ข้อมูลการเข้าพิต คลิกที่นี่

*สภาพสนาม: แห้ง
สภาพอากาศ: มีเมฆเป็นบางส่วน
อุณหภูมิ: 32 องศา
อุณหภูมิพื้นสนาม: (ไม่มีข้อมูล)

ไฮไลท์

ตั้งแต่ก่อนเริ่มรอบอุ่นเครื่องก็เป็นเรื่องเสียแล้วเมื่อเมอร์เซเดสพบว่ารถของนิโค รอสเบิร์ก มีปัญหากับพวงมาลัยเนื่องจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทีมงานต้องรีบเปลี่ยนพวงมาลัย และเมื่อถึงเวลาวิ่งเพื่อวอร์มรถ ตัวเขาก็ยังพารถออกไปจากกริดที่ 2 ไม่ได้ ทำให้ต้องออกสตาร์ทจากพิตเลน ในขณะที่ลูอิส แฮมิลตัน ออกตัวนำสบายๆ ตามด้วยเซบาสเตียน เวทเทล และเฟอร์นันโด อลอนโซ่ ที่สตาร์ทพุ่งจากกริดที่ 5 แต่หลุดไปข้างโค้ง 1 ก่อนจะกลับมาเข้ามาในแทร็คตรงหน้าเวทเทล แต่ไม่นานก็คืนตำแหน่งให้และมาอยู่หน้าแดเนียล ริกเคียร์โด้ แทน กรรมการได้พิจารณาในกรณีนี้แต่ก็ตัดสินใจไม่ลงโทษแต่อย่างใด

รอสเบิร์กวิ่งออกไปจากพิตเลนก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก เขาแซงไม่ได้แม้กระทั่งรถแคเทอร์แฮมของมาร์คุส เอริกสัน เพราะไม่สามารถสั่งการไปยัง DRS ระบบ ERS ไปจนถึงเกียร์บ็อกซ์ เมื่อครึ่งชั่วโมงผ่านไปในรอบที่ 13 เขาถูกเรียกเข้าพิตพร้อมเปลี่ยนพวงมาลัย แต่ดูเหมือนสถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นและในที่สุดเมอร์เซเดสก็ต้องให้เขาออกจากการแข่งขันไป

เมื่อคู่แข่งโดยตรงไม่อยู่ในสนาม แฮมิลตันก็สามารถวิ่งได้เต็มที่โดยยืดระยะไปจากรถเร้ดบูลของเวทเทลเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงครึ่งทางเซฟตี้คาร์ต้องออกมานำการแข่งขันครั้งหนึ่งหลังจากปีกหน้ารถของเซอร์จิโอ เปเรซ หักกระจายเต็มพื้นแทร็คจากการปะทะกับรถของอาเดรียน ซูทิล ขณะนั้นเมอร์เซเดสตัดสินใจไม่เรียกแฮมิลตันเข้าพิตทั้งที่ยังไม่ได้ใช้ยางซอฟต์เลย ทำให้เมื่อการแข่งขันกลับสู่สภาวะปกติ แฮมิลตันต้องกดเวลาต่อรอบเต็มที่เพื่อจะได้เผื่อเวลาสำหรับการเข้าพิตครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตาม เร้ดบูลเลือกให้ทั้งเวทเทลและริกเคียร์โด้ใช้ยางซอฟต์ชุดเดิมที่เปลี่ยนตั้งแต่ก่อนเซฟตี้คาร์ออกมาและยาวไปจนจบการแข่งขัน โดยอลอนโซ่ถูกเวทเทลและริกเคียร์โด้แซงขึ้นมาได้ในจังหวะที่นักขับสเปนเข้าพิตช่วงเซฟตี้คาร์ ซึ่งทำให้ในช่วงท้ายเกิดความท้าทายในเรื่องของอายุยางในบรรดากลุ่มผู้นำ

แฮมิลตันจำเป็นต้องเข้าพิตอีกครั้งในรอบที่ 52 เขาออกมาไม่ทันเวทเทลตามคาด แต่การแซงไม่ใช่เรื่องยากเมื่อทั้งมีรถที่เร็วกว่าและยางสดกว่ามาก ไม่นานเขาก็แซงไปได้ ขณะที่เวทเทลโดนริกเคียร์โด้ไล่มาติดเพราะยางของฝ่ายแรกจวนเจียนจะหมดเต็มที แต่นักขับออสซี่ก็วิ่งได้ไม่เต็มที่เพราะเจอปัญหาของแบตเตอรี่จึงต้องระวังหลังจากอลอนโซ่อีกด้วย

เมื่อการแข่งขันยังไม่ครบรอบที่กำหนดแต่ระยะเวลาจะครบ 2 ชั่วโมงตามกฎแล้ว ทำให้กรรมการต้องตัดการแข่งขันเมื่อครบ 2 ชั่วโมงเต็ม ธงตราหมากรุกจึงโบกเมื่อสิ้นสุดรอบที่ 60 ซึ่งจากลักษณะของสนามที่แซงได้ยากทำให้ 3 อันดับแรกเรียงกันเข้าเส้นชัยตามนั้นไปในที่สุด


สรุปคะแนนสะสม 5 อันดับแรกหลังจากจบสนามที่ 14

ประเภทนักขับ
1. ลูอิส แฮมิลตัน (เมอร์เซเดส) 241 คะแนน
2. นิโค รอสเบิร์ก (เมอร์เซเดส) 238 คะแนน
3. แดเนียล ริกเคียร์โด้ (เร้ดบูล) 181 คะแนน
4. เฟอร์นันโด อลอนโซ่ (เฟอร์รารี่) 133 คะแนน
5. เซบาสเตียน เวทเทล (เร้ดบูล) 124 คะแนน
- อันดับคะแนนสะสมประเภทนักขับทั้งหมด คลิกที่นี่

ประเภททีมผู้สร้าง
1. เมอร์เซเดส 479 คะแนน
2. เร้ดบูล 305 คะแนน
3. วิลเลียมส์ 187 คะแนน
4. เฟอร์รารี่ 178 คะแนน
5. ฟอร์ซอินเดีย 117 คะแนน
- อันดับคะแนนสะสมประเภททีมผู้สร้างทั้งหมด คลิกที่นี่


แม้รถเมอร์เซเดสจะมีพละกำลังมากกว่าใคร แต่พวกเขายังประสบปัญหาทางเทคนิคอยู่เสมอ โดยคราวนี้เป็นนิโค รอสเบิร์ก ที่เก็บคะแนนไม่ได้เลย ทำให้ลูอิส แฮมิลตันมีคะแนนสะสมแซงเพื่อนร่วมทีมไป 3 คะแนน สถานการณ์พลิกกลับไปกลับมาตลอดแบบนี้น่าสนใจมากเลยค่ะ มาติดตามกันในสนามต่อไปกับการแข่งขันรายการเจแปนีส กรังด์ปรีซ์ วันที่ 3-5 ตุลาคมนะคะ











*ข้อมูลจาก autosport.com/f1
ภาพจาก formula1.com