1. เครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน (Internal Combustion Engine: ICE)
2. เครื่องกำเนิดไฟฟ้า - พลังงานจลน์ (Motor Generator Unit - Kinetic: MGU-K)
3. เครื่องกำเนิดไฟฟ้า - พลังงานความร้อน (Motor Generator Unit - Heat: MGU-H)
4. ระบบสะสมพลังงาน (Energy Store: ES)
5. ตัวชาร์จเทอร์โบ (Turbo Charger: TC)
6. ระบบควบคุมไฟฟ้า (Control Electronics: CE)
- กำหนดให้นักขับแต่ละคนสามารถใช้ส่วนประกอบของหน่วยเครื่องยนต์ 6 ส่วนข้างต้นได้ส่วนประกอบละ 4 ตัว (หรือหน่วยเครื่องยนต์ 4 ชุด) ตลอดฤดูกาล
- หากนักขับต้องใช้ส่วนประกอบใดๆ ของเครื่องยนต์มากกว่า 4 ตัว นักขับจะต้องรับโทษปรับอันดับกริดสตาร์ทลงตามที่เอฟไอเอกำหนดไว้ในทุกๆ ครั้งแรกของการใช้ส่วนประกอบของเครื่องยนต์เพิ่มเติม
> นักขับใช้ส่วนประกอบใดก็ตามเป็นตัวที่ 5 ครั้งแรก นักขับผู้นั้นจะต้องถูกปรับกริดสตาร์ท 10 อันดับ
> นักขับใช้ส่วนประกอบอื่นๆ ที่เหลือเป็นตัวที่ 5 ตามมา นักขับผู้นั้นจะต้องถูกปรับกริดสตาร์ท 5 อันดับ
โดยกระบวนการลงโทษจะเป็นไปเช่นนี้อีกเมื่อเริ่มใช้ส่วนประกอบใดๆ เป็นชิ้นที่ 6 7 8 ฯลฯ อย่างไรก็ตาม หากตัวเลขของการปรับกริดสตาร์ทสูงเกินกว่าที่จะรับโทษตามจริงได้ ในทางปฏิบัติรถคันนั้นๆ จะได้รับอนุญาตให้สตาร์ทเพียงแค่จากกริดอันดับสุดท้าย
- ห้ามไม่ให้นักขับยอมรับโทษจำนวนมากในสนามเดียวโดยจงใจ เพื่อสะสมส่วนประกอบของหน่วยเครื่องยนต์ที่เกินโควต้าไปใช้ในสนามอื่นๆ หากมีการเปลี่ยนส่วนประกอบใดๆ ของหน่วยเครื่องยนต์มากกว่า 1 ตัวในสุดสัปดาห์การแข่งขัน จะอนุญาตให้ใช้เฉพาะส่วนประกอบตัวล่าสุดเท่านั้นในสนามถัดไปโดยไม่ต้องรับโทษอีก
- ในส่วนของการพัฒนาเครื่องยนต์ระหว่างฤดูกาล ปีนี้เอฟไอเอได้ยกเลิกระบบโทเค่น (tokens) ทำให้ผู้ผลิตเครื่องยนต์แต่ละรายมีอิสระในการพัฒนาได้ตลอดปี ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตเครื่องยนต์ในฟอร์มูล่าวันมี 4 ราย ได้แก่ เมอร์เซเดส เฟอร์รารี่ เรโนลต์ และฮอนด้า
เกียร์บ็อกซ์/ชุดเกียร์ในฤดูกาลนี้ นักแข่งแต่ละคนต้องใช้เกียร์บ็อกซ์ 1 ตัวสำหรับ 6 สนามติดต่อกัน เว้นแต่ถ้าไม่จบการแข่งขันก็สามารถใช้เกียร์บ็อกซ์ตัวใหม่ได้ในสนามถัดไปโดยไม่ต้องรับโทษ
อากาศพลศาสตร์/แอโรไดนามิกส์งานด้านแอโรไดนามิกส์ของรถฟอร์มูล่าวันมี 2 เรื่องสำคัญด้วยกัน คือ แรงกด (downforce) และแรงลาก (drag) ดาวน์ฟอร์ซจะกดยางลงบนพื้นถนนและช่วยให้เข้าโค้งได้เร็วยิ่งขึ้น โดยจะลดแรงลาก ซึ่งเป็นเหมือนกำแพงต้านอากาศขณะรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ทั้งนี้ ดาวน์ฟอร์ซจะช่วยเพิ่มความเร็วให้รถระหว่างวิ่งบนทางตรงอีกด้วย (อ่านเรื่องดาวน์ฟอร์ซเพิ่มเติมได้
ที่นี่ / อ่านเรื่องแรงลากเพิ่มเติมได้
ที่นี่)
ทุกตารางนิ้วบนรถฟอร์มูล่าวันมีผลกับแอโรไดนามิกส์โดยรวมของรถและการทำให้แอโรไดนามิกส์เกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทีม
*********************************************************
ประวัติฟอร์มูล่าวันโดยสังเขป
การแข่งขันฟอร์มูล่าวันชิงแชมป์โลกเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1950 โดยเกิดจากการรวบรวมการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตรายการใหญ่ (Grand Prix) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในทวีปยุโรประหว่างยุคทศวรรษที่ 1920 และ 1930 เข้าไว้ด้วยกัน การแข่งขันฟอร์มูล่าวันกรังด์ปรีซ์เกิดขึ้นครั้งแรกที่สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1950 ซึ่งจวบจนถึงวันนี้ฟอร์มูล่าวันแข่งขันกันมาแล้วมากกว่า 900 ครั้ง
แชมป์โลกคนแรกของฟอร์มูล่าวันคือ จูเซปเป้ ฟาริน่า ส่วนทีมแชมป์โลกทีมแรกได้แก่ทีมแวนวอลล์ (ตำแหน่งแชมป์โลกประเภททีมมอบให้ในปี 1958 เป็นปีแรก) สำหรับนักขับที่ครองแชมป์โลกจำนวนมากที่สุดคือ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ซึ่งคว้าแชมป์โลกทั้งสิ้น 7 สมัย ในปี 1994-1995 และ 2000-2004 เขายังถือสถิติเป็นผู้ชนะการแข่งขันมากที่สุดจำนวน 91 สนาม โดยเฟอร์รารี่เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดด้วยจำนวนแชมป์โลก 16 สมัย จากชัยชนะทั้งสิ้น 221 ครั้ง
ในวงการมอเตอร์สปอร์ตมีรายการที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชรยอดมงกุฎอยู่ 3 รายการ ได้แก่ อินดี้ 500 เลอมังส์ 24 ชั่วโมง และโมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งรายการหลังจัดการแข่งขันครั้งแรกในปี 1929 และอยู่ในปฏิทินการแข่งขันฟอร์มูล่าวันมาตลอดนับตั้งแต่ปี 1950
*ข้อมูลจาก formula1.com / bbc.com / wikipedia.org / dhl-in-motion.com
ภาพจาก autoblog.com / thecheckeredflag.co.uk / thenational.ae
นับจากปีนี้เป็นต้นไป จขบ. จะลดการโพสต์บล็อกลง เนื่องจากแฟนๆ ฟอร์มูล่าวันในนี้ส่วนใหญ่หันไปติดตามจากทางแฟนเพจ //www.facebook.com/f1starfanclub แทนแล้ว ซึ่งข่าวทางนั้นจะทันเหตุการณ์และหลากหลายมากกว่า จึงขอแนะนำให้ทุกท่านกดไลค์และติดตามได้จากทางเพจเป็นหลักตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปนะคะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามกันมาโดยตลอดค่ะ