ต่อมาในการประชุมระหว่างผู้จัดการทีมฟอร์มูล่าวันกับชาร์ลี ไวติ้ง ผู้อำนวยการการแข่งขัน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2015 ที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ได้มีการนำเรื่องนี้ขึ้นมาถกกันอีกครั้ง พร้อมกับมีการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตจากนักวางกลยุทธ์ของทีมต่างๆ ซึ่งผลปรากฏชัดเจนว่าการเติมน้ำมันไม่ได้ช่วยให้การแข่งขันสนุกตื่นเต้นยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างในฤดูกาล 2010 ที่เป็นปีแรกหลังการเติมน้ำมันระหว่างการแข่งขันถูกแบน แต่กลับมีการแซงเกิดขึ้นมากกว่าฤดูกาล 2009 ถึงสองเท่า อีกประเด็นที่มีการคุยกันไว้ก็คือหากให้มีการเติมน้ำมันระหว่างการแข่งขันกลับมาก็จะทำให้นักขับต้องลงวิ่งรอบควอลิฟายด้วยปริมาณน้ำมันที่พร้อมวิ่งต่อในวันแข่งขัน ซึ่งบรรดาทีมแข่งรู้สึกว่าคอนเซ็ปต์นี้ไม่เหมาะสมเพราะทำให้เวลาที่ออกมาไม่ได้แสดงภาพที่ชัดเจนว่ารถคันไหนเร็วที่สุด

สำหรับเรื่องความปลอดภัยยังเป็นความกังวลกันอยู่ ความต้องการที่จะให้พิตสต็อปยังคงเร็วตามเวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนยางอาจทำให้อัตราการไหลของน้ำมันต้องเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก นั่นหมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามมา โดยหลังจากการประชุมที่มอนทรีออล ไวติ้งได้นำผลการประชุมกลับไปรายงานเอฟไอเอ ทำให้ความคิดที่จะนำการเติมน้ำมันระหว่างการแข่งขันกลับมาถูกปัดตกไปอย่างเงียบๆ ในการประชุมครั้งถัดมาของกลุ่มกลยุทธ์ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2015 และถึงขณะนี้ทีมต่างๆ พากันแปลกใจที่เรื่องนี้จะกลับมาอยู่ในวาระของที่ประชุมกลุ่มกลยุทธ์อีกครั้ง เมื่อนับว่าการประชุมครั้งนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าการเติมน้ำมันระหว่างการแข่งขันไม่น่าจะดีกับฟอร์มูล่าวันแล้ว

นอกจากนั้น ทีมต่างๆ ไม่ปลื้มที่ท็อดท์พูดถึงตัวเลขค่าใช้จ่ายหากมีการนำการเติมน้ำมันนี้กลับมาว่าอยู่ที่ 50,000 ยูโรต่อปี เพราะค่าอุปกรณ์และค่าดำเนินการแท้จริงแล้วอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านปอนด์ในปีแรก และ 500,000 ปอนด์ในปีต่อมา ซึ่งแน่นอนว่าทีมต้องใช้บุคลากรเพิ่มขึ้นด้วย

ข้อสรุปของบทวิเคราะห์นี้ชี้ว่าแนวโน้มที่ทีมฟอร์มูล่าวันจะยืนยันคำเดิมว่า "ไม่เอาอีกแล้ว" มีสูงมาก และบทสรุปจากการประชุมของเอฟไอเอกับกลุ่มกลยุทธ์ฟอร์มูล่าวันจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...











*ข้อมูลและภาพจาก motorsport.com