ตุลาคม 2557
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
14 ตุลาคม 2557

:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณม่วงคราม ::




:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณม่วงคราม ::




มูลเหตุของมรรค 8 คืออะไร ?



คำถามโดย : ม่วงคราม (the violetblue home )
















มรรค 8 สำหรับผม
เป็นวิธีหรือแนวทางในการปฏิบัติตนเพื่อให้ “เข้าใจ” ชีวิต
ไม่ได้เป็นทางดับทุกข์
แต่เป็นหนทางที่จะทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างรู้เท่าทันความจริงของชีวิต

ถ้าชีวิตของคนเราคือ “ความทุกข์”
ทำอย่างไรจึงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ท่ามกลางความทุกข์ที่อยู่แวดล้อมตัวเรา

จะทำเช่นนั้นได้
มีเพียงหนทางเดียว คือ การเข้าใจสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
ตาม “ความเป็นจริง” ที่เป็นไปของมันอย่างแท้จริง

ความเป็นจริงแห่งชีวิตนี้เองที่เราเรียกว่า “อริยสัจ”

ถ้าไม่เข้าใจอริยสัจ
ก็ไม่เข้าใจความจริงแห่งชีวิต
ถ้าไม่เข้าใจความจริงแห่งชีวิต
ก็คงไม่สนใจที่จะรู้ซึ้งถึงมรรคหรือวิธีในการปฏิบัติตน
คงไม่อยากเพียรหาหนทางเพื่อฝึกฝนตนให้เข้าใจโลกและตนเอง











อริยสัจ 4 คือ ความเป็นจริงที่นำพาเราออกจากกองทุกข์

อะไรคือกองทุกข์ ?

กองทุกข์ คือ ความเสื่อม
แล้วเราจะออกจากความเสื่อมนี้ได้อย่างไร ?
ก็จำต้องรู้ถึงความจริงแท้ 4 ประการของความเสื่อมนี้

ความจริง 4 ประการของความเสื่อมแห่งโลกธรรม


1. กายานุปัสนาสติปัฏฐาน

เราจะต้องพิจารณาให้เห็นแจ้งให้ได้ว่า
กายของใครก็ตามที่ก่อกำเนิดขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน
ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ
ล้วนเสื่อมอยู่ตลอดเวลา



2. เวทนานุปัสนาสติปัฏฐาน

คือ ความรู้สึกนึกคิดอันประกอบไปด้วย
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่เราพูดโดยรวมๆว่า “เวทนา”
เวทนา คือ ขบวนการของความรู้สึกที่เราต้องรู้ให้ถ่องแท้ว่า
ถึงที่สุดแล้วความรู้สึกนึกคิดที่เราปรุงแต่งขึ้นมานี้
เมื่อถึงเวลามันก็ไป มันก็เสื่อมไปตามเหตุปัจจัยเช่นเดียวกัน




3.จิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน

จิต คือ การรับรู้
รับรู้ผ่านทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ
ยกตัวอย่างเช่น ตาก็เห็นรูปหรือวัตถุ สิ่งที่ท่านเห็น ท่านรับรู้ได้
แต่ท่านจะให้มันอยู่ถาวร ท่านอยู่ได้ไหม ?
--- ไม่ได้ใช่ไหม
เสียงที่ท่านได้ยิน ท่านชอบ ท่านไม่ชอบ
ถึงชอบ...มันก็ไม่คงทน
แม้ไม่ชอบ มันก็ไม่อยู่กับท่านตลอดไป

กลิ่นต่างๆที่ท่านสูดดม ไม่ว่าเหม็นว่าหอม
คงทนไหม ?

ลิ้นรับรส...รสชาติทุกอย่างคงทนถาวรไหม ? --- ไม่มี
มันมาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไปอยู่ตลอดเวลา

กล่าวโดยสรุปก็คือ
การสอนให้ตัวเราให้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย รู้อะไรก็อย่าไปยึดติด
เพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่คงทนถาวร แม้กระทั่ง ความรู้ที่เรารู้


“ตรัสรู้” จึงแปลว่า ปล่อยวางสิ่งที่เรารู้
รู้อะไรก็ปล่อยวางสิ่งนั้น แต่มิได้หมายความว่าไม่ให้รับรู้
รับรู้ได้เพราะนั่นคือหน้าที่ของมัน ตามันต้องมอง
หูมันต้องได้ยินเสียง จมูกต้องได้กลิ่น ลิ้นต้องรับรส
กายต้องสัมผัสรู้สึกร้อนหนาว ใจหรือสมองต้องคิด

ไม่ใช่ไปห้ามสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ให้ทำหน้าที่ของมัน
แต่เราต้องเท่าทันความรู้สึกของตัวเอง
ต้องรู้ว่าทั้งสิ่งที่เราเห็นเรารู้สึก ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้เลย
ล้วนตั้งอยู่บนความเสื่อมทั้งสิ้น

ตั้งอยู่บนความเป็นจริงของธรรมชาติ
มีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ มีเสื่อมสลายไป

เรามีหน้าที่ใช้ชีวิตก็ใช้ไป
แต่ต้องอยู่แบบรู้ทันความเป็นจริงข้อนี้ของชีวิต




4. ธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน

ธรรมชาติแห่งการได้มา ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ล้วนไม่เที่ยง
ไม่เที่ยงเหมือนเช่นความจริงที่ได้กล่าวมาแต่เบื้องต้นว่า
สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นล้วนตั้งอยู่บนความไม่เที่ยง
กายไม่เที่ยง ความรู้สึกไม่เที่ยง การรับรู้หรือความคิดไม่เที่ยง
ตัวสุดท้ายที่พูดถึงก็คือ การได้มาไม่เที่ยง




อริยสัจ 4 คือ ความเป็นจริงแห่งชีวิต 4 ประการ
ที่หากคนใดสามารถปล่อยวางและเข้าถึงความจริงทั้ง 4 ประการนี้แล้วนั้น
เขาจะเข้าสู่ความเป็น “อริยะ” หรือ “ความรู้แจ้ง”
แค่รู้ความจริง 4 ประการนี้ แล้วปล่อยวางมันได้
ท่านก็เป็น “อริยะ” แล้ว










กลับไปสู่อริยสัจ 4 ในอีกหนึ่งชุดคำอธิบาย


1. ทุกข์

ทุกข์ แปลว่า เสื่อม
โลก แปลว่า โลกะ หรือ ห้วงทุกข์
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่ถือกำเนิดมาบนโลก
ล้วนแต่ต้องบอกว่าทุกสิ่งล้วนเกิดมาบนกองทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้น

สภาวะธรรมชาตินั้นไร้ทุกข์เกาะเกี่ยว
เพราะมันไม่มีตัวตน
เมื่อไม่มีตัวตนจึงไม่มีอะไรให้เสื่อม
เมื่อไม่เสื่อม ก็ไร้ทุกข์





2. สมุทัย

คือ เหตุแห่งทุกข์
อะไรล่ะทำให้เกิดทุกข์ ?
เพราะเรารู้ แล้วเราไปยึดติด จึงทำให้เกิดทุกข์
รู้อะไรแล้วไม่รู้จักปล่อย ทั้งๆที่รู้ว่าเราเป็นโลกธรรม
ที่เมื่อถึงเวลาเราก็เสื่อมต้องดับสลาย แต่ยังไม่ติดยึดว่านี่ของฉัน นั่
นของกู นี่ตัวกู ยึดแล้วก็ทุกข์




3. นิโรธ

เมื่อทุกข์ คือ ความเสื่อม
เสื่อมจากสิ่งใดบ้าง ?
เสื่อมจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
และพลัดพรากจากสิ่งของหรือบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ตลอดเวลา
สุดท้ายขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์

นิโรธจึงเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์
หรือเราอาจเรียกว่า “การปล่อยวาง”
หมายความว่าท่านจะดับทุกข์ได้ ท่านต้องปล่อยวางสิ่งที่ท่านรู้




4. มรรค

คือ ผลอันเกิดจากการที่ท่านจะเข้าสู่สภาวะว่าง
หรือ หนทางดำเนินไปสู่ความว่าง
หนทางนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการแยกให้ออกว่า
อะไรคือตัวก่อกำเนิดหรือโลกุตรธรรม
อะไรคือสิ่งที่ถูกก่อกำเนิดขึ้นหรือที่เราเรียกว่าโลกธรรม
ทั้งสองสิ่งมีความแตกต่าง
และมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างไร


นี่คือ



1. สัมมาทิฐิ

หรือ การเห็นได้อย่างถูกต้อง
เห็นโดยชอบโดยรู้ว่า โลกกุตระเป็นความว่าง
แต่มีพลังก่อกำเนิดสรรพสิ่ง
และจัดระบบระเบียบของมันเช่นนั้นเอง
มีความเป็นอมตะทั้งอายุและสภาวะ
อยู่เหนือจินตนาการและอยู่เหนือกาลเวลา

ส่วนโลกธรรม คือ ทุกสิ่งที่โลกกุตรธรรมสร้างขึ้น
อะไรที่โลกกุตรธรรมสร้างขึ้น
ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนแม้แต่อย่างเดียว
ไม่ว่าจะเป็น กาย ความรู้สึก ความคิด หรือสิ่งที่ได้มา

การเห็นที่ถูกต้อง คือการเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า
อะไรคือสภาวะอมตะ เป็นความเที่ยงแท้
และอะไรคือความไม่เที่ยง
เป็นสิ่งที่ต้องมีความเสื่อมเป็นของธรรมดา





2. สัมมาสังกัปปะ


ก็คือ คิดชอบ คิดอย่างถูกต้อง
คิดในเรื่องอะไร ?
คิดให้ถูกต้องในเรื่องของเรื่องของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
พึงรู้ไว้ว่าการรับรู้กับการปรุงแต่งนั้นมิใช่สิ่งเดียวกัน
เห็นสักแต่ว่าเห็น รู้สักแต่ว่ารู้
แต่มิยึดหมายในรู้ มิยึดหมายในสิ่งที่ใจปรุงแต่ง
และหากคิดได้ในสัจธรรมแห่งความเป็นจริงที่ว่า
แท้จริงแล้วเรา เขา คน สัตว์ สิ่งของล้วนถือกำเนิดมาจากสุญตาภาวะ
ล้วนเกิดมาจากความว่างด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
เมื่อคิดได้ดังนี้ยังจะยึดติด ยึดมั่นถือมั่น
แบ่งเขาแบ่งเราอยู่อีกหรือ




3. สัมมาวาจา

วาจาชอบ ...คิดไม่ดี นำไปสู่การพูดไม่ดี
พูดไม่ดี นำไปสู่การกระทำที่ไม่ดี
ทำซ้ำๆ เกิดเป็นความเคยชิน ทำจนเป็นอาจิณ
เกิดความยึดติดในอาจิณ นำไปสู่การทำแบบออโตเมติก
เช่น คนที่ชอบพูดหยาบ เวลาตกใจ
คำพูดหยาบมันจะออกมาโดยสมองยังไม่ทันคิด
หรือเวลาเห็นสัตว์เดินผ่าน
เห็นไม่ได้เกิดความรู้สึกว่าอยากเข้าไปทำร้ายมัน
ทั้งๆที่มันยังไม่ได้ทำอะไรเรา
ความรู้สึกออโตเมติกแบบนี้เองที่เราเรียกว่า กรรม
คิด พูด ทำ จนกลายเป็นความเคยชินที่ฝังลงไปในความคิด เป็นอาจิณ
แล้วกลายเป็นชะตากรรม
เป็นได้ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว แล้วแต่สิ่งที่เราปลูกฝังเข้าไปในความคิดของเรา
คิดดี ก็พูดดี พูดดี ก็ทำดี ทำดีก็กรรมดี ได้กุศล
คิดชั่ว ก็พูดชั่ว พูดชั่ว ก็ทำชั่ว
ทำชั่วบ่อยก็กลายเป็นกรรมชั่ว ได้อกุศลธรรม

การพูดยังนำไปสู่การคิด การคิดในเรื่องของอกุศลมูล 10
อันได้แก่

1. โลภ
2. โกรธ
3. หลง
สามตัวนี้เกิดที่ความคิด

4.พูดเท็จ
5. พูดหยาบ
6. พูดเพ้อเจ้อ
7. พูดนินทาว่าร้ายผู้อื่น
สี่ตัวนี้เกิดขึ้นที่การพูด

และอีกสามสิ่งที่เกิดขึ้นที่การกระทำ ได้แก่
8. ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
9. ประพฤติผิดในกาม
10. ลักขโมย หรือแย่งชิงทรัพย์อันมิใช่ของตัว

อกุศลมูลจึงเป็นตัวบอกให้เรารู้ถึง สิ่งต่างๆที่นำไปสู่สิ่งที่ไม่ดี

สัมมาวาจาจะเกิดขึ้นได้ คือ ท่านต้องไม่กระทำ 10 ตัวนี้
เมื่อใดที่ท่านละเมิดข้อหนึ่งข้อใด
นั่นหมายความว่าท่านกำลังเข้าสู่มิจฉาวาจา





4. สัมมากัมมันโต


กัมมะ แปลว่า การกระทำ
กัมมันโต ...นำไปสู่การทำ
สัมมากัมมันตะหรือสัมมากัมมันโต ก็คือ กระทำชอบ

ธรรมะ คือ การกระทำ
มิใช่การท่องบ่นหรือสวดมนต์ขมุบขมิบทั้งวันทั้งคืน เพื่อให้บรรลุธรรม
ธรรมะมิใช่การนั่งหลับตาทั้งวันทั้งคืนเพื่อบริกรรมหานิพพาน

ธรรมะ คือ การฝึกตนให้เห็นอะไร รับรู้อะไรแล้วก็รู้ทันสิ่งที่เห็น
รู้ทันอารมณ์ที่มากระทบ รู้ว่ามันไม่เที่ยง
แล้วก็ปล่อยวางซะ อะไรที่เห็นแล้วไม่ถูกใจวางเฉยได้ไหม
ได้ยินเสียงนินทาสรรเสริญ...วางเฉยได้ไหม
ได้กลิ่นที่ไม่พึงใจ รับรสชาติที่ไม่พึงปรารถนา..ทำใจได้ไหม
สัมผัสร้อน หนาว สุขเสียวซ่าน มันมาแล้วก็ไป..
ปล่อยวางการยุดติดในอารมณ์เหล่านี้ได้ไหม
ความคิดปรุงแต่ง รู้ทันไหม เข้าใจได้ไหมว่ามันไม่เที่ยง
ทุกความคิดมันมาแล้วก็ไป เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา




5. สัมมาไวยาโม

วิริยะหรือความเพียร
อะไรก็ตามที่เรารู้ไม่เท่าทันจะถูกนิสัยหรืออาจิณพาไปเร็วมาก
ความเพียรคือการฝึกและการกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของตัวเอง




6. สัมมาอาชีโว

อาชีพและหน้าที่การงาน
ให้รู้ตัวทั่วพร้อมว่าถ้าคุณเป็นพ่อ คุณต้องปฎิบัติหน้าที่อย่างไร
ถ้าคุณเป็นเจ้านายคุณต้องทำอย่างไร เป็นลูก เป็นเมีย เป็นเพื่อน
สัมมาอาชีโวมิได้แปลตรงตัวแค่ อาขีพชอบ หรืออาชีพที่สุจริตเพียงอย่างเดียว

ธรรมชาติสร้างคน สัตว์ สิ่งของขึ้นมาเพื่อให้มาทำหน้าที่
ทำหน้าที่เสร็จสิ้นก็กลับคืนสู่ธรรมชาติที่ตัวเองถือกำเนิดขึ้น




7. สัมมาสติ


สติคือ ระลึกได้ รู้ได้ เวลามีอะไรมากระทบทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
ก็ให้รู้ว่าทุกสิ่งที่มากระทบล้วนไม่เที่ยง
ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม
ที่ต้องใช้คำว่าสัมมามากำกับ ก็เพราะคนเรามันชอบคิดถึงแต่เรื่องไม่ดี
ชอบคิดแบบมิจฉาสติ
สติ คือ สิ่งที่คอยบอกเตือนตัวเรา
ให้ตระหนักถึงความจริงแท้แห่งการก่อกำเนิด
ให้เรารู้ว่า อ้อ...ที่แท้เราก็มาจากความว่างเดียวกัน
ที่สุดก็กลับไปสู่ตัวความว่าง




8. สัมมาสมาธิ

ตั้งมั่น หมายความว่ารู้ทันสิ่งที่มากระทบ
รู้ทันอยาตนะทั้ง 6 อีกเช่นกัน
ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้มั่นคง ไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ












มูลเหตุแห่งการเกิดขึ้นของมรรค 8
จึงเป็นหนทางเพื่อใช้เป็นวิธีการในการฝึกฝนตน
เพื่อให้ใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับโลกและผู้คน
ไม่ใช่แยกตนเองออกจากโลก
แล้วเคร่งเครียดเคร่งครัดกับการใช้ชีวิต

เหมือนการฝึกสมาธิที่มิได้หยุดอยู่เพียงการนั่งหลับตานิ่งสงบ
สมาธิเกิดขึ้นได้แม้แต่การเลี้ยงลูก ปักผ้า ทำกับข้าว ขับรถ
พูดคุยกับคนในครอบครัว การเล่นกีฬา
หรือแม้แต่ทำงานของตนอย่างดีที่สุด

สมาธิอันเกิดจากความต่อเนื่องของจิตที่ตั้งมั่น
จึงไม่จำเป็นต้องแสดงผ่านการนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เช่นเดียวกับ “หนทาง” แห่งการเข้าถึงซึ่ง “ความจริง” แห่งชีวิต
ย่อมมิได้จำกัดความอยู่แค่หนทาง 8 สายนี้

คนเราเข้าถึงซึ่ง “ความจริงแห่งชีวิต”
ได้หลากหลายหนทาง ได้ในทุกขณะจิต

ขอเพียงตระหนักถึง “ความจริง” อันเป็นความจริงที่แท้ได้
เมื่อนั้นทุกย่างก้าว
ก็คือ “มรรค” หรือ “หนทาง” นั่นเอง




























Create Date : 14 ตุลาคม 2557
Last Update : 14 ตุลาคม 2557 6:22:44 น. 30 comments
Counter : 1704 Pageviews.  

 

สวัสดีค่ะน้องก๋า

แวะมาอ่านธรรมะค่ะ

พี่ชอบหน้าใบไม้เปลี่ยนสี อากาศเย็นๆ ไม่หนาวมาก
แต่สวยดี ไม่อยากให้ถึงหน้าหิมะเลย สวยแต่หนาวเกิน

newyorknurse


โดย: newyorknurse วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:7:39:18 น.  

 
สวัสดีเช้าวันใหม่ค่ะคุณก๋า
วันนี้เป็นคำตอบด้วยข้อคิดทางธรรมะล้วนๆ
เมื่อก่อนเราอ่านคำสอนด้วยธรรมะสอนใจเข้าใจยากมากๆ
พอวัยเริ่มมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น มาอ่านอีกครั้ง
ถึงเข้าใจ อ๋อ... คือแบบนี้นี่เอง ลึกซึ้งและเป็นจริงตามนี้เลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ

กะว่าก๋า Dharma Blog ดู Blog



โดย: Tui Laksi วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:8:08:04 น.  

 
ลืมชมคร้า ชอบภาพประกอบด้วย สวยจัง ชอบแบบนี้
จะฝึกให้ถ่ายภาพได้แบบนี้ บ้างจะได้เหมือนมั๊ยค่ะนี่
น่าจะยากคงใช้เวลาฝึกนานแน่เลยสำหรับเราค่ะ


โดย: Tui Laksi วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:8:10:49 น.  

 
สวัสดียามเช้าค่ะ


ปล. น้องซีเป็นเด็กตั้งใจนะครับ
ทำอะไร ดูทำจริง ตั้งใจจริงตลอดเลย
โดย : กะว่าก๋า

ป่าป๊าน้องซีไปรับ ยังถามน้องซีเลยว่าเห็นเพื่อนๆเค้าหัวเราะเล่นกัน ทำไมน้องซีหน้าเฉยๆ ดูไม่ซน ซีบอกกลัวครูว่าเอาค่ะ..555555..ตกลงตั้งใจหรือกลัวครู


โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:8:11:19 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณก๋า

เรารอวันที่คุณก๋าปฏิบัติอย่างจริงจังนะคะ แล้วอยากให้คุณก๋ากลับมาอ่านสิ่งที่คุณก๋าตอบวันนี้

บางทีอาจจะมีมุมอะไรที่ต่างไป


เราเอง เคยคิดว่าเรารู้บางเรื่อง แต่พอปฏิบัติมากขึ้นรู้มากขึ้น ก็เปลี่ยนความคิดหลายๆ อย่างเหมือนกัน

ไม่ได้บอกว่าที่ตอบที่บอกนี่ผิดนะคะ แหะๆ แต่คิดว่า น่าจะมีบางอย่างที่คุณก๋าเปลี่ยนมุมมองหละ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:8:51:06 น.  

 
สวัสดีค่ะก๋า

วันนี้มีธรรมะที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายๆเลยนะคะ
คนเราถ้ามีธรรมะ อยู่ในใจ
ควาสุขย่อมเกิดนะคะ

รูปสวยๆ พี่ชอบค่ะ :)

....

จากบล็อกพี่...
สาวน้อยคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตค่ะ
เธอไม่เคยทำให้พี่เหนื่อยและหนักใจเลยค่ะ

สมัยน้องเด็กๆ พี่ยังแอบกังวลนะคะ
เพราะน้องเป็นคนเฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร
พี่ก็กลัวว่า การเลี้ยงลูกคนเดียว จะทำให้น้องรู้สึกแตกต่างไหม
แต่ก็ไม่เลยนะคะ น้องเข้าใจอะไรๆได้ดีมากๆ
แต่ความเป็นแม่ก็กังวลก็กลัวไปนะคะ
สุดท้ายน้องก็ทำให้พี่ภูมิใจได้เสมอๆค่ะ ในทุกๆเรื่อง

ก๋า มาดาม หมิงหมิง มีความสุขมากๆนะคะ


โดย: tanjira วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:9:10:49 น.  

 
วันนี้ไม่เรียนธรรมะเด้อครับ จะมารายงานตัว
ว่าอีกสองวันจะกลับไปซุกบ้านป่าสักสอง
อาทิตย์ ฝากบ้านหลังน้อยๆ ด้วยค้าบบบ



โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:9:26:58 น.  

 
คุณก๋ามีความรู้เรื่องธรรมะดีมาก ๆ อธิบายแจกแจงให้เข้าใจง่าย เราว่ามรรค ๘ ไม่ใช่แค่การเข้าใจชีวิต แต่เข้าใจความทุกข์และการพ้นจากทุกข์ด้วย

เพิ่งอัพบล็อกหนังสือท่านบาโชเสร็จก็แวะมารายงานตัวกับคุณก๋าเป็นคนแรกเลย แปลไปแปลมามีแอบท้อเหมือนกันเพราะแปลยากเอาการ แต่ก็จะพยายามแปลจนจบเล่มให้ได้ค่ะ


โดย: haiku วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:9:41:51 น.  

 

สวัสดีค่ะน้องก๋า

มาอ่านธรรมะ เขียนดีมากค่ะวันหลังมาโหวตค่ะวันนี้หมดแล้วค่ะ


โดย: พรไม้หอม วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:10:12:21 น.  

 




เอ่อ ..

หวัดดี ยามเช้า อา คุณก๋า ..

วันนี้ พี่ป๋อง รีบ ..

ไป นะ ..









หลังไมค์หน่อยก็ดี .. เนาะ ..


โดย: foreverlovemom วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:10:15:58 น.  

 
แวะมารับข้อคิดดีๆคะ


โดย: blog pu วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:11:28:47 น.  

 

มีความสุขมากมากนะคะ พี่ก๋า


โดย: white in the dark วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:11:48:47 น.  

 
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่น้องซีชอบมาก ภาพการ์ตูนของแม่ชีท่านหนึ่ง ชื่อ อริยะสร้างได้ ^^


โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:11:59:06 น.  

 
สวัสดีครับคุณก๋า

ปกติถ้าคนเราไม่ทุกข์ ไม่มีเรื่องร้อนใจ

มักจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้กันเลยนะครับ


ตอนนี้ อ.เต๊ะ สนใจแต่ปัจจุบัน ซะส่วนใหญ่

ขอมีความสุขในวันนี้ ก้พอใจแล้ว

อนาคต สิ่งที่ยังไม่เกิด ยังไม่คิดถึงครับ

เรื่องของพรุ่งนี้ ค่อยคิด ค่อยพิจารณา เป็นอย่างๆไปครับ

ปล.วันนี้ อ.เต๊ะ เม้นท์บลอกคุณก๋าสั้นๆนะครับ
เพราะคุณก๋า ขาว และ อึ๋ม สู้บลอกอื่นไม่ได้นะครับ 555


โดย: multiple วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:12:42:34 น.  

 
ธรรมมะวันนี้อ่านแล้วได้ข้อคิดและเข้าใจอะไรๆมากขึ้นค่ะ


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Dharma Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น

ขอบคุณคุณก๋าด้วยนะคะ







โดย: mambymam วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:15:05:44 น.  

 
ตำลึง (น่าจะใช่เนาะ) ในม่านฝน สวยดีค่ะ


บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Dharma Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น





โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:15:26:38 น.  

 
สวัสดียามบ่ายๆ ค่ะพี่ ฝนหยุดสองวัน ตอนนี้ตกลงมาอีกแล้วค่ะ


โดย: sawkitty วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:15:40:11 น.  

 
ใช่ค่ะ น้องซีชอบรูปประกอบมาก ^^


โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:15:50:53 น.  

 
เป็นคำถามที่ลึกซึ้งมากๆ

คนตอบก็ตอบได้อย่างแจ่มแจ้งนะครับ

ภาพประกอบสวยงามจับใจ

พระพุทธเจ้าเคยเล่าว่า ตอไม้ในแม่น้ำ ธรรมดาย่อมไหลไปสู่ทะเล ยกเว้นสี่ประการ คือไม่เกยตื้น ไม่เน่าใน ไม่ถูกอมและมนุษย์จับไว้ ไว้ถูกน้ำวนดูดไว้

ในความเห็นของผม มรรคมีองค์ 8
คือวิธีที่ตอไม้จะออกทะเลย คือถ้าเราไม่ติดในข้อต่างๆทั้ง 8 อย่าง สุดท้ายเราจะบรรลุธรรมได้ แต่เราก็คงจะติดกันมากบ้างน้อยบ้างนะครับ หรือ บางคนก็พอใจที่จะติดแบบไม่รู้
ท่านให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นพิเศษเพราะเป็นการลำดับจากง่ายๆไปก่อน ที่คนธรรมดาทำได้และได้ผลเป็นขั้นตอนด้วยนะครับ

โหวตธรรมะให้เลยนะครับน้องก๋า

ผมปิดเม๊นท์แล้วเจอกันงานตะพาบหน้านะครับ ^^






โดย: วนารักษ์ วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:16:18:44 น.  

 
ชอบภาพประกอบจริงๆ
Art มากมาย


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:16:43:58 น.  

 
สวัสดีตอนค่ำๆค่ะคุณก๋า

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ที่เห็นและเป็นมา Art Blog ดู Blog
กะว่าก๋า Dharma Blog ดู Blog


โดย: phunsud วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:17:57:54 น.  

 
มาทักทายตอนค่ำ ๆ ค่ะคุณก๋า


โดย: เนินน้ำ วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:19:26:53 น.  

 
หวัดดีค่าพี่ก๋า เพ่ิงเข้าบ้านมาก็วันนี้ค่ะ ปิดบ้านไว้หลายวัน เชียงรายเริ่มหนาวละคะ หมอกตอนเช้า สายลมกลางวันไม่ร้อนเลยค่ะ


โดย: mariabamboo วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:20:00:41 น.  

 
ขอบคุณค่ะคุณก๋า ที่ให้ความรู้เรื่องเทคนิคการได้ภาพสวยเช่นนี้
แต่มะมีเลนส์มาโครใช้เลยนี่จิ ...
ใช้โหมดมาโครของกล้องได้เท่าทีมีเอง
สไลด์ชมอีหลายรอบ ก็ชอบอ๊ะค่ะ
เป็นภาพสวยได้อารมณ์มือโปรมากเลยค่ะ


โดย: Tui Laksi วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:20:31:19 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณก๋า
แพทมาสองรอบวันนี้รอบแรกมาอ่านไม่จบ
วันนี้ลึกซึ้งนิดนึงนะคะ


โดย: blueberryblossom วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:21:14:13 น.  

 
สวัสดีค่ะน้องก๋า ต้องขอโทษด้วยะคะ ที่มาช้าค่ะ พักนี้พี่กิ่งยุ่งๆเพราะไปเปิดร้านค้าขายอาหารแล้ว เป็นแค่ร้านเล็กๆเองค่ะ
มาอ่านมรรค 8 ค่ะ น้องก๋านำมาเปรียบเทียบเห็นชัดดีค่ะ
พี่กิ่งไลท์ให้นะคะ

หลับฝันดีค่ะ





โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:21:41:50 น.  

 
สวัสดีค่า พี่ก๋า ^^

วันนี้ธรรมะปฏิบัติเลยค่ะ
เคยเรียนแต่ไม่ค่อยจำค่ะพี่ก๋า T T

มรรค 8 อริยสัจ 4

แม่ชอบบอกว่าหัดเรียนรู้ ศึกษาบ้าง
เริ่มจากนั่งสมาธิก่อนก็ได้ ช่วยการเรียนได้
ก็พยายามอยู่ค่ะ
แต่ว่ายังไม่ได้อะไรมาก

ขอบคุณสำหรับธรรมะดีๆค่า



โดย: lovereason วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:22:40:18 น.  

 
กะว่าก๋า Dharma Blog ดู Blog

อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีค่ะคุณก๋า
ชอบภาพประกอบด้วยค่ะ


โดย: AppleWi วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:23:22:36 น.  

 
วันนี้รู้สึกเหมือนพี่ก๋าจัดหนักเต็มที่เลย ตามความเห็นผม ถ้าจะเอาอย่างง่ายเลยสำหรับธรรมะในพระพุทธศาสตร์ แค่รักษาศีล 5 ได้ก็ครอบคลุมไปได้เยอะแล้วครับ

มรรค 8 อริยสัจ 4 หลายๆ ท่านก็คงรู้แต่ผมมองว่ารู้แบบผิวเผิน ผมก็อาจเป็นหนึ่งในนั้นด้วย

จะว่าไปในแต่ละวันนี่ก็น่าคิดนะว่า เรารักษาได้กี่ข้อ รู้สึกจะไม่ค่อยเกี่ยวกับที่พี่ก๋าเชียนเท่าไหร่ นี่ฉีกมาศีลได้ไง (ฟะ)

+


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 14 ตุลาคม 2557 เวลา:23:31:33 น.  

 


โดย: สมาชิกหมายเลข 1770075 วันที่: 16 ตุลาคม 2557 เวลา:16:58:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กะว่าก๋า
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 392 คน [?]




มองฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
หรืออาจไม่เห็นฉัน

ฉันแค่แวะผ่านทางมา
และอาจไม่หวนกลับมาทางนี้อีกแล้ว

เราเคยรู้จักกัน
และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

มองดูฉันอีกครั้ง
เธออาจเห็นฉัน
และฉันอาจมองไม่เห็นเธอ.





[Add กะว่าก๋า's blog to your web]