วันที่อ่อนไหว ของคนที่เป็นกึ่งๆนิสิต กึ่งๆครู
ฉันเขียนรายงานเสร็จตอนตี 4
เป็นรายงานเดียวในชีวิตเด็กรัดสาด IR ที่เขียนในเรื่องดีๆ
เขียนในเรื่องอุดมคติ ไม่ใช่เรื่องสงคราม
ไม่ใช่เรื่องอำนาจ ไม่ใช่เรื่องเสรีนิยมใหม่
ฉันมีความสุขที่ได้เขียนรายงานฉบับนี้
ฉันเขียนเรื่องการศึกษาที่ควรจะเป็น
ฉันเขียนเรื่องความรัก ความเอื้ออาทรของมนุษย์
ฉันเขียนเรื่องครู ฉันเขียนเรื่องเด็กๆ
9 โมงเช้า ฉันออกจากโลกอุดมคติไปสู่ความจริง
เด็กนักเรียนของฉันที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า
ฉันมองเขา และฉันมีความสุข
พวกเขาน่ารัก และสดใส
พวกเขาเล่น ยิ้ม และหัวเราะ
เขาไม่สนใจเสียงที่คุณครูดุเขาหรอก
ฉันมองนักเรียนของฉัน
11 คนนี้ เป็นเด็กๆที่ฉันสอนเขามา 3 ปีเต็ม
3 ปีที่แล้ว พวกเขาอายุ 3 ขวบ
ในวันนั้น ใช่ ฉันเต้นเป็น ฉันสอนเด็กโตได้
แต่ฉันไม่รู้จะสอนเด็ก 3 ขวบยังไง
ฉันมีความรู้ในสิ่งที่ฉันจะสอน แต่ฉันไม่รู้จักเด็กๆ
3 ปีที่แล้ว ฉันอายุ 20 กำลังเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่
น้องไม่เคยมี ลูกยิ่งไม่เคยมี
ประสบการณ์อ่อนด้อย และเอาแต่ใจ
เด็กๆพวกนี้ เขาสอนฉันต่างหาก
จนวันนี้ที่พวกเขากำลังจะไปจากโรงเรียนนี้
ฉันรู้สึกผิดที่ตลอด 3 ปีนี้ ฉันสอนเขาให้ดีกว่านี้ไม่ได้
ฉันอยากให้เขากลับมาเรียน ballet กับฉันต่อปีหน้า
แต่ 2 รุ่นที่ผ่านมา ฉันรู้ว่ามันยากเหลือเกิน
เด็กประถมดูจะมีกิจกรรมที่โรงเรียนให้ทำมากมาย
ฉันจะไม่มีโอกาสสอนนักเรียนกลุ่มนี้อีกแล้ว
ฉันเศร้านะ
วันเสาร์หน้าเป็นวันรับประกาศนียบัตร
นักเรียนของฉันจะเต้น ballet ให้ทุกคนดู
ว่า 3 ปีนี้ เขาได้อะไรไปจากฉันบ้าง
วันนี้วันซ้อมใหญ่ คุณรู้มั้ย ฉันเศร้า เศร้าที่สุดในชีวิตเลยวันนี้
ฉันทำหน้าที่ครูได้ไม่ดีเลยจริงๆ
พวกเขาทำได้ดีที่สุด เท่าที่พวกเขาทำได้
แต่สิ่งที่ฉํนไม่เห็น คือ แววตาแห่งความสุขในขณะที่เขาเต้น
และนั่นทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันล้มเหลวเหลือเกิน
ฉันมองเด็กๆอนุบาล 1 และอนุบาล 2
ที่ฉันยังคงมีโอกาสแก้ตัวอยู่
ฉันไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ฉันเขียนลงไปในรายงาน
ฉันจะทำมันได้สักแค่ไหน
เย็นๆ ฉันออกไปวิ่งที่ fitness เพราะกลัวไขมันทับหัวใจตาย
ที่นั่นเปิดช่อง HBO ให้ดู
มันเป็นหนังเกี่ยวกับขบวนการลักลอบขนเพชรในแอฟริกา
มันมีแต่ความรุนแรง มันมีแต่ "ความจริง" ของโลก
ฉันชักไม่อยากจะส่งรายงานฉบับนั้นแล้ว
ฉันไม่ค่อยเชื่อมันเท่าไหร่แล้ว ไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเขียนเอง
ฉันอยู่กับหนังสือพวกนั้น อยู่ในโลกความฝันนานเกินไป
ฉันดูหนังตอนทีฉันวิ่ง แล้วฉันก็น้ำตาไหล
ฉันอ่อนไหวเกินไปแล้ว ฉันบอกตัวเองว่าแกมันบ้า
นี่มันเป็นแค่หนัง แล้วก็ไม่เกี่ยวกับชีวิตฉันเลย
แต่ไม่จริง ที่จริงแล้วมันเกี่ยว ฉันเถียงตัวเองกลับมา
แล้วฉันก็ทนดูต่อไปไม่ได้ ฉันเปลี่ยนไปมองอีกหน้าจอนึง
เป็นช่องข่าว CNN ที่กำลังฉายหน้าใครบางคนที่เพิ่งกลับเข้าประเทศมา
ฉันลืมตัวสะบัดหน้าหนีหน้อจอนั้นอย่างเร็ว แล้วก้มหน้าวิ่งอีกตลอดครึ่งชั่วโมง
ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทาง fitness ไม่ได้เปิดเสียงทีวีไว้
ฉันจึงไม่ต้องได้ยินเสียงอะไรบาดหู ที่มันทำให้ฉันเจ็บหัวใจ
และยิ่งตั้งคำถามกับความดีงามในโลกนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก
ฉันอ่อนไหวเกินไปรึเปล่า
ฉันเคยเล่าให้พอ่กับแม่ฟังถึงความรู้สึกพวกนี้
พวกเขาบอกว่าฉันอ่านหนังสือพวกนี้มากเกินไป
ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า มันเป็นเพราะอย่างนั้นจริงๆรึเปล่า
ฉันอยากจะค้นหาความจริง แต่พวกเขากลับทำให้ฉันรู้สึกว่า
ยิ่งวัน ฉันยิ่งห่างจากโลกความเป็นจริง
พวกเขาบอกว่า แล้วฉันจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้ยังไง
ฉันจะต้องมีภูมิต้านทาน ฉันจะต้องอยู่กับความเป็นจริง
แต่ฉันสงสัยว่า ภูมิต้านทาน ต่างกับยาชายังไง
วันนี้ฉันรู้สึกสิ้นหวัง และหมดแรง
ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ฉันเขียน มันเป็นเรื่องเพ้อฝัน
ฉันกลัวว่า สักวัน ฉันจะลืมเลือนสิ่งที่ฉันคิด ที่ฉันเชื่อ และศรัทธาเหล่านี้
ฉันกลัวว่า ทั้งหมดนี้ มันเป็นแค่ความฝันของเด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ฉันกลัวว่า วันหนึ่ง ฉันจะต้องเติบโต อย่างที่ใครๆเขาบอกให้ฉันเป็น