วันนี้ฝนตกทั้งวันเลย
หม่นๆ มัวๆ ซึมๆ เซาๆ
เหงาๆ บอกไม่ถูก
เซ็งรายงาน อยากนั่งเขียนอะไรบ้าๆบอๆ
แล้วค่อยกลับไปทำรายงานต่อ
เมื่อวานนี้เอาเพลงไปให้พี่คนนั้นอีกครั้งหนึ่ง
พี่คนเดิม คนที่ทำเรา "บ้า" เมื่อปีที่แล้ว
ก็ไม่มีอะไร เฮฮา ปาร์ตี้
ก็เป็นเพลงเดิมที่เราแต่งให้เขานั่นแหละ
แต่ว่าปรับคอร์ด กับเมโลดี้ใหม่
ไม่ได้ไปที่นั่นนาน เลยยืนคุยกันนาน
ถามไถ่ข่าวคราวกัน
ก็เราไม่ได้เกลียดกันนี่เนอะ
แล้วก็คล้ายๆวันเก่า เขาร้องเพลงให้เราฟัง
เรา...................ทำไมเสียงพี่ใสขึ้น ไปทำอะไรมาคะ
พี่..ไม่ได้ทำอะไร แต่ว่ากินยามา (จริงสิเนอะ เค้าเพิ่งป่วยนี่)
เรา...................แล้วยังต้องกินยาสเตียรอยด์ป่าวคะ
พี่..ไม่ต้องแล้วจ้า
เรา...................ที่ถามเนี่ย เห็นหน้าบวมๆไง เหอๆๆ
พี่..นี่ๆๆ ผอมนักนี่เราน่ะ (ว่าแล้วก็จับแก้มย้วยของเราดึงซะ)
โอ้ย แต่ก็..
ขำก๊ากค่ะ
กี่ปีมาแล้วนี่ ไม่มีใครหยิกแก้ม เหอะๆๆๆ
รู้สึกดีนะ ที่เราเปลี่ยนใจตัวเองได้
ไม่งั้นคงไม่ได้มาคุยอย่างนี้หรอก
ถ้าเราทำใจไม่ได้ และสงสารตัวเองไม่เลิก
เราอาจจะเสียเขาไปเลย ตลอดชีวิต
โดยที่ไม่รู้ว่า เขาเป็นพี่ชายที่น่ารักได้ขนาดไหน
เมื่อวันอาทิตย์คุยกับเพื่อนคนนึง
เป็นผู้ชายอินเดียที่โตมาในโรงเรียน Inter
แปลกใจคำพูดอยู่คำหนึ่ง
เมื่อเราคุยกันถึงเรื่องมุมมองต่อความรัก
และเมื่อเราบอกเขาว่า
...ถ้าเราชอบใครสักคน
แต่ว่าอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว
เขาก็จะต้องจากไปแสนไกล แสนนาน
เราจะเลือกที่จะเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้
แล้วให้ความรู้สึกนั้นมันค่อยๆตายไปจากตัวเราเอง
เราจะไม่บอก เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้
เราอยากจะจำ...
เพียงความรู้สึกของการ "แอบชอบ" อยู่เงียบๆนั้นเอาไว้
ไม่อยากจะให้มีภาพวันที่เราผิดหวัง
เข้ามาอยู่ในความทรงจำของเราเลย
และถ้าตรงกันข้าม
ถ้า "สมมติ" สมมติเท่านั้น
"สมมติ" ว่าเขาเกิดมีใจให้เราเช่นกัน
มันไม่เจ็บปวดกว่าหรือที่เราจะมีกันและกัน
ได้เพียงแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น
แล้วหลังจากนั้น ...ต่างคนต่างฝัน ต่างทางต่างไป...
เพื่อนเราตอบว่า
งั้นเราว่า เธอไม่ได้ชอบเขาจริงๆน่ะสิ
เวลา 2 เดือนอะไรๆก็เปลี่ยนได้ตั้งมากมาย
เธอไม่อยากให้เขารู้เหรอ
เราบอกว่า
ถ้าเราจะให้เขารู้ ก็คงเป็นการบอกก่อนที่เขาจะไป
ก่อนที่เขาจะขึ้นเครื่อง ไม่ก็บอกตามหลังเขาไป
เพราะถ้าจะบอก เราไม่อยากรอฟังคำตอบกลับ
ไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่
เพื่อนเราบอกว่า
อย่างนั้น มันไม่เป็นการปิดโอกาสเหรอ
เราขยับปากจะถามต่อว่า
ปิดโอกาสใคร ปิดโอกาสยังไง
แต่ไม่มีโอกาสถาม
เพราะนักเรียนมาถึงแล้ว
เราก็ต้องสลัดคราบ "(เด็ก)ผู้หญิงอยากรู้"
ไปเป็นครูโยคะผู้สุขุม เรียบร้อย
-->
แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีก
เลยต้องเอามานั่งคิดต่อเองที่บ้าน
และก็ยังสงสัยอยู่ว่า...
ทำไมการที่คิดจะไม่บอก
มันถึงได้กลายเป็นเรื่อง
"เราว่าเธอไม่ได้ชอบเขาจริงๆ"
แล้วทำไมเรากับเพื่อนถึงคุยกันด้วยเรื่องพวกนี้น่ะเหรอ
เรากำลังชอบใครสักคนเหรอ
สำหรับคนที่ชอบถามเราว่า
กำลัง in love เหรอ
หรือว่า เมื่อไหร่จะมีแฟน
หรือว่า มีใครอยู่ในหัวใจรึเปล่า
ที่ผ่านๆมาที่เราปฏิเสธทุกข้อกล่าวหานั้น
ขอเรียนว่า...ดิฉันไม่ได้ตั้งใจโกหก
เพียงแต่ว่า ไม่เคยรู้ใจตัวเองต่างหาก
มันเหมือนคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง
ตลอดเวลา ไม่ขาดสาย และเป็นมานานแล้ว
เพียงแต่ว่า เราไม่ค่อยตั้งใจฟังเสียงคลื่นเท่าไหร่
ยัยเพี้ยนเอ๊ย...ได้เวลากลับไปนั่งทำรายงานแล้ว
จะได้สบาย
กลับมาลั๊ลลาต่อ
สู้ๆค่า