5 ปีที่ผ่านมา กับความคิดที่เปลี่ยนไป "เราจะไม่มีวันยอมให้จุฬาฯมาเปลี่ยนเรา"
มองกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่ก้าวเข้ามาที่นี่
ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทำไมถึง 5 ปีน่ะเหรอ ในเมื่อชาวบ้านเค้าเรียนกัน 4 ปี
นั่นก็เพราะ เราเข้ามาเรียนที่นี่ด้วยความขัดแย้งในตัวเอง
สาเหตุที่ยอม entrance ก็เพราะเรื่องหน้าตาเป็นสำคัญ
อยากทำให้ที่บ้านภูมิใจ อยากให้ญาติๆเห็นว่า
เด็กนอกห้องเรียน ผู้มุ่งทำกิจกรรมแหลกลาญ
เรียนไปเล่นไปอย่างนี้ ก็เอ็นท์ติดได้เหมือนกัน
ใจจริงแล้ว อยากจะไปเรียนเต้นต่อเมืองนอก
หยิบ prospectus ของหลายต่อหลายโรงเรียนมาดู
ส่งอีเมลล์ไปถามมากมายหลายแห่ง แต่ยังไม่ตัดสินใจ
“กูจะเอ็นท์ติดให้ดูก่อน” บอกตัวเองอย่างนั้น
“แล้วค่อยคิดว่า จริงๆแล้วอยากทำอะไร”
มาคิดตอนนี้แล้ว แย่จัง ทำไมเราถึงเห็นแก่ตัวขนาดนั้นนะ

พอสอบเอ็นท์เสร็จ ถึงเวลาคะแนนออก
ต้องเลือกว่าจะไปเรียนอะไร เรียนที่ไหน
มธ. และศิลปากร คือที่ที่อยากอยู่ อยากเข้า
ชอบท่าพระจันทร์ ไม่มีเหตุผลอะไรมาก
แต่จุฬาฯใกล้บ้าน เดินทางไม่ลำบาก
ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียว “กูคงไม่อยู่นาน”
อยู่จุฬาฯแล้ว เดินทางไปเรียนบัลเล่ต์ง่ายที่สุด
ก็เลยเลือกจุฬาฯ คิดว่าอยู่แป๊บเดียว คงพอทน
ไม่รู้นะว่าอะไรเหมือนกัน
ที่ทำให้เรามีอคติกับมหาวิทยาลัยที่หลายๆคนอยากเข้า
ภาพลักษณ์เด็กจุฬาฯในความคิด มันแสนจะขัดกับสิ่งที่เราเป็น
...หรือคิดว่าเราเป็น....
ห้องเชียร์ก็เข้านะ แต่เข้าไปป่วนพี่ๆ
เข้าไปเพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ว่า
“กูไม่กลัวมึงหรอก แต่เมื่อให้กูทำ กูก็ทำให้ ถือซะว่าสงสาร”
แต่นั่นแหละ ในที่สุด เราก็เข้ามาอยู่ในคณะที่...
ใครหลายคนบอกว่า หรูที่สุดในจุฬาฯแล้ว (โว้ย)

แล้วทำไม 5 ปี ...ไม่หรอก 1 ปี เว้น 1 ปี แล้วกลับมาต่ออีก 3 ปีตะหาก
ก็คนมันอยากเต้นนี่นา ผลคือ ได้เรียนปี 1 แค่ปีเดียว แล้วก็เผ่น
หนีไปเต้นอยู่ ฮ่องกงได้ 6 เดือน แล้วก็

........หนีกลับบ้าน........

ถามว่าชอบมั้ยที่ไปเรียนที่ฮ่องกง
ก็ชอบนะ แต่ความอ่อนแอในจิตใจ ทำให้อยู่ไม่รอด
ถึงตอนนี้เสียดายมั้ย ถ้าถาม... ก็เสียดายมาก
หลายครั้งที่โพยตีพาย ด่าทอตัวเองที่ตัดสินใจอย่างแสนจะโง่เง่า
แต่เมื่อได้กลับไปอ่านสิ่งที่ตัวเองเพียรเขียน เพียรคุยกับตัวเอง
ในสมุดบันทึกหมี pooh สีม่วงอ่อน ที่ใช้อยู่ในตอนนั้น
ก็นึกย้อนระลึก และเข้าใจความคิดของตัวเอง
มันก็สมเหตุสมผลดีในบริบทชีวิตช่วงนั้น อย่าไปเสียใจเลย

ที่ร่ายมาทั้งหมด คือ คำอธิบายว่า ทำไมต้อง 5 ปี
นั่นแหละ 5 ปีที่แล้ว ที่ก้าวเข้ามาด้วยความไม่แน่ใจ
ไฟฝันมากมาย สาดแสงสว่างอยู่ในหัว
จนไม่รู้ว่าจะมุ่งไปตามลำแสงไหนดี




พอกลับมาจากฮ่องกง ก็ต้องเลื่อนรุ่นตัวเองลงมา 1 รุ่น
เริ่มเรียนปี 2 ชีวิตนิสิตคณะรัฐศาสตร์เริ่มขึ้นอีกครั้ง
แต่ยัง ยังไม่นิ่ง ส่งวิดีโอ audition ไปที่อังกฤษต่อ
ภาควิชา Musical Theatre แห่ง London Studio Centre
Audition ไปก่อน เพราะว่าอยากเป็นนักเต้น อยากเป็นนักแสดง
เพียงแต่ว่า ยังตอบตัวเองไม่ได้แค่นั้นเองว่าเต้นไปเพื่ออะไร
สุดท้าย ผลออกมาว่า London Studio Centre รับเรา
กันยายน 2005 เราจะได้ไปใช้ชีวิตเป็นนักเรียนอังกฤษแล้ว
ตื่นเต้นดีใจ ครูสอนเต้นของเราก็ต่างดีใจกับเราใหญ่

แต่อีกแล้ว ความคิดเดิมเข้ามา เต้นไปเพื่ออะไร
ค่ากินอยู่ กับค่าเล่าเรียนแพงหูดับ คือการลงทุนใช่ไหม
แล้วมันจะทำให้เรามีชีวิตที่เราจะมีความสุขกับมันจริงๆได้หรือเปล่า
ถามว่าเรารักศิลปะสายนี้รึเปล่า ก็คงบอกว่า รักเท่าชีวิต
จริงๆแล้ว...รักกว่าชีวิต เพราะก็เคยทำร้ายชีวิตเพื่อมันมาแล้ว
แต่พอมองไป เรียนจบแล้ว ทำอะไรล่ะ
นึกถึงคำพูดของเพื่อนสนิทชาวฮ่องกงที่ตื่นเต้นยินดีใหญ่
ที่เขา audition เข้าคณะบัลเล่ต์ที่เกาหลีได้
ตอนนั้นเราถามตัวเองว่า ถ้าเป็นเรา เราคงไม่ตื่นเต้นเลย
เราไม่ได้อยาก audition เข้าคณะเต้นแบบนั้น
ตื่นขึ้นมาเข้า class ตอนเช้า ตอนบ่ายซ้อม เย็นแสดง
เป็นแบบนี้เรื่อยไป จนกว่าจะปลดระวาง
ไม่ใช่คำตอบของเราเลย
เราไม่รู้เลยว่าชีวิตแบบนั้นมันมีประโยชน์อย่างไร
เราไม่กล้าลงทุนมากมายขนาดนั้นให้กับอนาคตที่เรายังไม่แน่ใจ

ชีวิตมันเหมือนกับมี 2 ด้าน 2 ขั้วที่ไปด้วยกันไม่ได้
ขั้วหนึ่งเราอยากเต้น อยากแสดง อยากสวยงาม อยากมีคนชื่นชม
อยากโด่งดังมีชื่อเสียง อยากเป็น superstar
อีกขั้วหนึ่งเราหลีกหนีสังคม หลีกหนีทั้งคำสรรเสริญเยินยอ และคำตำหนิติเตียน
เราหลีกหนีมายาอันไม่จีรัง หลีกหนีการแข่งขันและความชิงดีชิงเด่นในวงการ
และแล้ว เราก็สละสิทธิ์อันสวยหรูที่จะได้เข้าเรียนที่นั่นเสีย
ส่งอีเมลล์ไปขอโทษโรงเรียนนั้น แล้วบอกเขาว่า เรามีปัญหาการเงิน




(คุณเหนื่อยจะอ่านเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับคุณหรือยัง)




ชีวิตนิสิตคณะรัฐศาสตร์เริ่มคงที่
เริ่มเข้าหาอาจารย์มากขึ้น ขวนขวายทำรายงานเต็มที่
ปี 2 ผ่านไป ไม่ยากเย็นเท่าไหร่ เรียนไป เต้นไป สอนไป มีความสุขดี
พอขึ้นปี 3 อาการชักจะเริ่มหนัก ด้วยพายุรายงานที่ราวกับทอร์นาโด
พื้นฐานปี 1 ที่ไม่ค่อยแน่น ด้วยการเรียนอย่างลังเลเริ่มแสดงผลตอนนี้
ต้องอ่านหนังสือเยอะมาก search internet ลูกกะตาแทบหลุด
เรื่องไปเต้นอะไรไม่ต้องพูดถึง เวลานอนยังไม่มีเลย
สุดท้าย....อ้วน!!! ได้แต่บอกตัวเองว่า
“กูไม่มีวันยอมให้จุฬาฯมาเปลี่ยนกู”

ทุลักทุเลผ่านปี 3 มาได้ อย่างไม่มีวันปิดเทอม
เพราะปิดเทอมก็ยังคงทำรายงานหัวหกก้นขวิดอยู่ดี
ขึ้นมาปี 4 ได้ในที่สุด ความรักความผูกพันกับคณะเริ่มมีมากขึ้น
เริ่มมองเห็นความสวยงามของมิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงมากขึ้น
เริ่มเข้าใจคำพูดของอาจารย์ และบังเกิดความรักความนับถือขึ้นอย่างมั่นคง
มาถึงปี 4 เทอมปลาย ที่ใกล้จะจบอยู่รอมร่อ
หมดเวลาเรียน เหลือแต่วันสอบ
และรายงานที่ยืดเยื้อไปอีกประมาณ 3 สัปดาห์
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ที่เคยคิดว่าจะไม่ยอมให้จุฬาฯ มาเปลี่ยนนั้น
วันนี้ ความคิดนั้นกลับเปลี่ยนไปเสียเอง




ถึงวันนี้ เราไม่ได้ทรุดนั่งหน้าเปียโน
แล้วเล่นเพลงยูงทองอย่างที่เคยทำตอนปี 1
จุฬาฯก็คงเป็นเพียงแค่ชื่อ เป็นแค่สิ่งที่เรามองและตีความ
ความเป็นจุฬาฯคืออะไร มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่สำคัญคือ ในรั้วจุฬาฯ เราเจอใคร และเราได้เรียนรู้อะไร
ความเป็นคณะรัฐศาสตร์นั้นไม่สำคัญเท่ากับว่า เราได้พบใครในคณะนี้
ถึงตอนนี้ เรารู้แล้วว่า จุฬาฯ ไม่ใช่สิ ผู้คนที่เราพบเจอในจุฬาฯ ต่างหาก
ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ซึ่งเราเองก็ยินดีที่ได้เปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนที่ข้างใน เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมอง
ซึ่งมาช่วยฉายความสว่าง และเห็นทางออก
บุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรือจ้าง หากเป็นสะพานเชื่อมต่อ
ที่ทำให้เราได้อ่านหนังสือเหล่านี้ ได้พบสถานที่เหล่านี้ องค์กรเหล่านี้
ที่ทำให้เราพอเห็นเส้นทางข้างหน้าว่า เราจะไปทางไหน
และจะละลายความคิดของเราทั้ง 2 แพร่งอันแสนจะขัดกันนั้น
ให้กลายเป็นหนทางเดียวกันได้อย่างไร




การบอกใครๆว่า เราจบมาจากคณะนี้ ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้นั้น
มันไม่น่าภูมิใจเท่ากับบอกว่า ...เราเป็นลูกศิษย์ของใคร

หนูรักอาจารย์วีระ สมบูรณ์
อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้หนูรู้ว่า หนูจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร

หนูรักอาจารย์ศุภมิตร ปิติพัฒน์
อาจารย์ที่ปรึกษา ที่ทำให้หนูเชื่อมั่นในเส้นทางที่จะเดินต่อไปในอนาคต

หนูรักอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร
อาจารย์ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจตั้งแต่วันที่หนูยังไม่รู้จักอาจารย์


อาจารย์ทำให้การเรียนที่นี่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเกินกว่าที่หนูเคยศรัทธา
อาจารย์คะหนูสัญญาว่าหนูจะเป็นคนดี
และจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังแน่นอนค่ะ





ว่าจะเขียนนิดเดียว ยาวเลย





Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2551 14:49:55 น.
Counter : 1595 Pageviews.

19 comments
โจทย์ตะพาบ ... ติดเป็นนิสัย ... tanjira
(10 มี.ค. 2567 17:08:59 น.)
"ติดเป็นนิสัย" อาจารย์สุวิมล
(10 มี.ค. 2567 17:37:44 น.)
my dreams were valid พุดดิ้งรสกาแฟ
(7 มี.ค. 2567 16:40:04 น.)
Sangla, KINNAUR 2019 : โรงเรียนเก่า กาบริเอล
(2 มี.ค. 2567 12:47:43 น.)
  
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ค่ะ

บางที โอกาสดีๆก็มาหาตอนที่เราสับสน ไม่พร้อม

เราจึงต้องพร้อมและเติมเต็มสิ่งดีๆทุกวันเพื่อโอกาสดีๆเช่นกัน

ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ
โดย: COCOSWEET วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:59:53 น.
  
เขียนได้ดีมากๆเลยจ้า

ขอให้ได้ทำในสิ่งที่มีความสุขนะจ๊ะ
โดย: StarInDark วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:18:19 น.
  
แหม่...ชอบจังคะ...
น้องต้องประสบความสำเร็จในชีวิตแน่คะ..
เพราะน้องคิดดี เป็นคนดี รู้จักคิด รู้จักกตัญญู คะ...
ปล.น่ารักแบบนี้ พี่ add ไว้หน่อยนะ
โดย: a_mulika วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:59:18 น.
  
เคยคิดว่าเรียนสถาปัตย์เหมาะกับตัวเอง
แต่สุดท้ายก็รู้ว่ามันไม่ใช่ตัวเราเลย
เราอยากทำหนังสือ .... พอทำไปแล้ว... มันเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ
..... ต่อมาเราโชคดีได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน... สนุก ได้เพื่อน ได้ทำงานที่ชอบ.... งานก็คล้ายๆ เซลส์นั่นล่ะ....​แต่ฟังดูหรูกว่านิดหน่อย
Business Development.... ทำได้ปีครึ่ง รู้สึกอยากทำงานที่แบงก์ สุดท้ายอย่างไม่น่าเชื่อ ก็ได้ทำงานแบงก์ในแผนกกำกับและดูแล..​คล้ายๆ Internal Audit ยังงัยยังงั้น....​
ตอนนี้....​
เริ่มไม่แน่ใจว่าชีวิตจะเป็นอะไรอีก...
แต่คิดว่าเราจะไม่ตามหาว่าอยากเป็นอะไรแล้ว .... แต่เราจะสร้างมัน
I was born here on earth not to find myself.... but to create....​
โดย: Oak (nata339 ) วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:05:42 น.
  
ชอบโดราเอมอนเพียงเพราะ
มันได้ต่อเติมจินตนาการให้เต็ม
ไปด้วยความหวังครับ

ไว้หาหูฟังดีๆ มาต่อโน้ตบุ๊คก็จะได้ยินอะไร
หลายๆ อย่างชัดเจน

ยิ่งหากเป็นแบบแหย่เข้าไป
ในหู (In-ear) ก็ยิ่งดี บางทีมันก็ตัดเสียงจากภาย
นอกจนแทบจะได้ยินเสียง
ของความเงียบ.. และเมื่อ
ได้ฟังเพลงใดๆ แล้ว...
เพลงเหล่านั้นมันจะเพราะขึ้น
อีกมากอย่างเหลือเชื่อครับ
ลองดูสิครับเสี้ยว บางทีมันอาจชัดจนได้ยินเสียง
ของความคิดตัวเองครับ
โดย: Oak (nata339 ) วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:0:37:44 น.
  
หวัดดีคับพี่ ^^
โดย: น้องคณะ IP: 161.200.255.162 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:36:11 น.
  
เยี่ยม ดีใจที่มีเพื่อนแบบนี้
เป็นบันทึกที่ดีมากเลย
โดย: แพรว Pol Sci IP: 58.8.147.192 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:31:23 น.
  
เราเป็นอีกคนหนึ่งที่เดินตามความฝันของตัวเองอย่างเบี้ยวๆบูดๆ มองย้อนกลับไปเมื่อประมาณ เกือบ 10 ปีที่แล้วตั้งแต่รู้ว่าชีวิตนี้ต้องตกกระไดพลอยโจนเข้ามาเรียนแผนศิลป์-คำณวน ทั้งๆที่ตัวเองเลือกเรียนแผนวิทย์ ยังจพความรู้สึกตัวเองที่ยืนหน้าห้องทะเบียนของโรงเรียนเพื่อขอย้ายเเผนการเรียนได้อย่างแม่นยำ ว่าในวันนี้มันเจ็บปวดแค่ไหน
เรามองหน้าเขาแล้วตอบเพียงสั้นๆว่า จะเป็นผู้กำกับแบบลุงไง=https://www.bloggang.com/emo/emo14.gif>
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มันก็เหมือนกับว่าเรามีความหวัง เราสนุกสนานกับความฝันในอาชีพหลังเก้าอี้ผ้าใบมากขึ้นทุกวัน จวบจนวันที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เราสอบตรงได้ที่มหาวิทยาลัยริมทะเล(อย่างที่รู้กัน) แม้ว่าไอ้มหาลัยนี้จะไม่มีเอกภาพยนตร์ให้เราเรียน แต่เราก็รักที่จะเรียนในสาขาวิชานิเทศศาสตร์ และต้องมาเครียดอีกหนตอนเลือกวิชาเอก
....จนสุดท้ายตัวเองก็ใช้ปากกาเลือกสาขาวิชาวารสารฯด้วยไอ้เหตุผลง่ายๆในใจว่า เอาฟระ...อย่างน้อยเราก็ชอบเขียน
แม้ตอนเรียนมันจะสาหัสแค่ไหน แต่อย่างน้อย มันก็สอนอะไรเรามากมาย
ในสายตาเพื่อนๆ เราดูเหมือนตัวตลกสำหรับพวกเขาพอสมควร ด้วยความเงียบ สุขุม ชอบพูดจาตรงๆ ไม่ได้เฮฮาแบบคนอื่นเขา ทำให้เรากับเพื่อนในกลุ่มดูเป็นคนแปลกในห้อง(บางเวลา) แล้วด้วยคำถามยอดฮิตจากอาจารย์หลายคน ว่าจบแล้วจะไปทำอะไร
คำตอบของเราก็มักจะได้รับเสียงหัวเราะ หรือรอยยิ้มดูหมื่นตลอดเวลา
"อ๋อ จบไปอยากเป็นผู้กำกับหนัง ที่กำกับเอง ตัดต่อเอง เขียนบทเอง ทำเพลงเอง ค่ะ"


มันน่าชินชาพอสมควร แต่เราก็ไม่เคยท้อ ค่อยๆเก็บประสบการณ์ต่างๆไปเรื่อยๆ บทหนังก็เขียน เพลงก็เขียน จวบจนเรียนจบ
ออกมาทำงานด้านสื่อสารมวลชน และยังคงตามความฝันเสมอ คึอยต่อยอด และให้กำลังใจตัวเอง ต่อสร้างความฝันจนคนรอบข้างเริ่มเห็นรูปร่าง จากคำติ เริ่มกลายเป็นคำชม แม้ว่าวันนี้มันก็ยังไม่เป็นจริง แต่เราก้รักที่จะสร้างความฝันของเราต่อไปด้วยสองมือนี้

.....บ่นมานาน หวังว่าคุงเสี้ยวคงมีแรงใจมากขึ้นนะ งุงิ อย่างน้อยในโลกใบนี้ เราก็ไม่ได้ต่อสู้เพื่อความฝันอยุ่คนเดียว เอาใจช่วยจ้า
โดย: ผู้กำกับขยับพุง IP: 58.9.148.107 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:11:16 น.
  
โดย: เสี้ยวเบี้ยวๆ IP: 58.8.16.204 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:31:02 น.
  
โห ซึ้ง ดีใจน่าที่ได้เจอกับพี่มี่

love u ka

^___^
โดย: RikO IP: 58.8.252.164 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:41:57 น.
  
บางทีเราไม่ต้องสนใจว่าเราอยู่ที่ไหน แต่สนว่าเราอยู่กับใครและทำอะไร จุฬาไม่สามารถเปลี่ยนคุณได้หรอกค่ะ เพราะตอนนี้คุณก็ยังเป็นคนเดิมอยู่ดี ขอบคุณที่ชอบท่าพระจันทร์ค่ะ ถึงไม่เรียนตรงนี้ก็มาเที่ยวได้...คนอยู่ตรงนี้บางทีก็ยังอยากรู้ว่าจุฬาเป็นยังไง ธรรมศาสตร์เป็นบ้านหลังเล็ก จนๆแต่อบอุ่นเพราะอิสระทางความคิดและการไม่บังคับกัน... ส่วนจุฬาเป็นภาพที่ดูสูงๆ ไกลๆ เหมือนจะใกล้กันแต่จริงๆก็ไม่รู้เลยว่าคนในนั้นเค้าคิดยังไง.. และบางครั้งเราสงสัยว่า เค้าเหนื่อยมั้ย...กับการต้องประครองภาพของความหนึ่ง....

ใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์นะคะ ตอนนี้คงถึงเวลาที่คุณเปิดประตูบานใหญ่จริงๆแล้วล่ะค่ะ
โดย: untitled_krd วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:00:11 น.
  
หนูสัญญาว่าหนูจะเป็นคนด

^
^
^

ทำให้ได้อย่างที่คุณสัญญาไว้
แล้วคุณจะไม่เสียใจในการใช้ชีวิตของคุณ

โดย: ก.วรกะปัญญา (กะว่าก๋า ) วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:20:45 น.
  
ครูเสี้ยวโชคดีที่ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ
และเป็นสิ่งที่ทำให้่เราเข้าใจชีวิต

น่าดีใจแทนครูเสี้ยว
เพราะในขณะที่ครูเสี้ยวเริ่มค้นหา
บางคนยังไม่เคยเริ่มออกเดินก้าวแรกเลยด้วยซ้ำ

โดย: ก.วรกะปัญญา (กะว่าก๋า ) วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:23:13 น.
  
ช่วงนี้แอบนิสัยไม่ดีค่ะ แอบมาอ่าน แล้วไม่เม้น...........อืม.........บางทีก็แค่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรค่ะ

ดีใจแทนนะค่ะ ที่อย่างน้อยก็มีโอกาสได้วิ่งตามความฝัน แม้ว่ามันอาจจะไม่สวยหรูบ้างในบางครั้ง อย่างน้อยเราก็มีอากาสได้ทำ ในขณะที่มีอีกหลายๆคน ไม่มีแม้แต่โอกาสจะสัมผัสมัน

มีชีวิตแบบที่มีความสุขแบบนี้มันก็มากเกินพอแล้วค่ะ บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้ต้องการคำตอบหรือคำถามอะไรมากมาย ไม่ต้องมีกฏเกณฑ์ หรือมาตราฐานอะไรที่วุ่นวายต่างๆมารบกวน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วค่ะ

สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา มักจะสอนอะไรเราเสมอ ไม่มากก็น้อย

แค่เพียงแต่วันนี้ เราไม่เสียใจกับสิ่งที่เราทำลงไปก็พอแล้วค่ะ

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราก็จะตอบตัวเองว่าจะทำเหมือนเดิม ใช่ไหมค่ะ

ปล.เข้ามาอ่านทุกวันนะค่ะ แต่แค่ไม่รู้ว่าจะเม้นอะไร.............
เอาเป็นว่า มีความสุขทุกๆวันนะค่ะ

อากาศ

โดย: yonongi IP: 203.144.211.242 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:45:16 น.
  
ทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ย่อมสร้างความหมายให้แก่เราไม่ว่าจะเป็นด้านไหน

อ่านเรื่องคุณแล้วซึ้งมากค่ะ
โดย: Too Optimistic วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:13:11 น.
  
ดีใจด้วยนะครับ : )

ผมเชื่อว่าแสงส่องทางที่เห็น มันไม่ได้มาจากหลอดไฟดวงโตๆของคุณครูท่านไหน
แต่เป็นแสงไฟจากเปลวเทียนที่คุณครูได้จุดขึ้นในใจคุณเสี้ยวเอง

มันไม่ได้แค่ฉายเฉพาะเส้นทางที่ใครคนอื่นกำหนด
แต่จะสาดส่องตามไปทุกๆที่ ทุกๆทาง ที่จะเดินไป

นอกจากนี้ยังอาจจะใช้มัน จุดเทียนเล่มอื่นๆต่อไปได้อีกด้วย

เพียงแต่อาจจะตัองระวัง อย่าให้ฟ้าฝนลมแรงที่จะผ่่านเข้ามาดับมันไปเสียก่อน
โดย: อมดล. IP: 134.174.1.26 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:21:22 น.
  
ทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมา...ก็เหมือนเราอ่านหนังสือผ่านไปที่ละหน้า...ทีละหน้านะ...ป้ากล้วยคิดอย่างนั้น

ถ้าเราค่อยๆอ่านแล้วค่อยๆคิดก็จะได้อะไรมากมาย
แต่วัยหนุ่มสาวไฟแรงทำอะไรก็ปรู๊ดปร๊าด เลยอ่านแบบข้ามๆไปพอจบ
แต่พอถึงวันหนึ่งอยู่นิ่งๆแล้วค่อยๆอ่าน...จะพบว่ามีคำตอบมากมายที่เราอ่านข้ามไป

ดีใจแทนอาจารย์จริงๆค่ะ

โดย: Kluaytub วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:27:04 น.
  
ยอมรับว่า เป็นคนหนึ่งที่ งง มากๆ ที่มี่ตัดสินใจเลือกเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ทำไมนะเหรอ เพราะเราคิดว่า มี่จะเข้าอักษรศาสตร์ หรืออะไรที่เกี่ยวกับเต้นๆไปเลย
ยังจำได้อีกว่า ครูตุ้มเจอหน้าเรา โวยวายอยู่แปดสิบตลบที่มี่ตัดสินใจเลือกคณะนี้

ตัวเราเอง ก็คงเป็นคนนึงที่เป็นแบบมี่แหละ
เข้า บีบีเอ เพื่อครอบครัว ทั้งที่ใจจริงแล้ว อยากเข้าครุฯร้อง
แต่เมื่อมองกลับไป สี่ปีที่ผ่านมา เรากลับพบว่า เราได้อะไรมากกว่าที่เราคิด สิ่งที่ได้ในห้องเรียน มีค่ากับเรากว่าที่เราหวัง ในวันนี้ ถ้ามีใครถามเราว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ และมีอิสระในการเลือกเอ็นทรานซ์ เราจะเข้าอะไร เราอาจจะไม่ตอบว่า เราจะเข้า บีบีเอ แต่ ครุศาสตร์ ก็คงไม่ใช่คำตอบของเราเช่นกัน

และเราก็เป็นอีกคนนึง ที่อยากเข้า มธ. มากกว่า ด้วยเพราะว่า เพื่อนสนิท อยู่ มธ.กันหมด และ ชอบเพลงยูงทองมากกว่า (เกี่ยวไม๊เนี่ย) แต่ด้วยความที่จุฬาฯใกล้บ้าน สะดวกในการเดินทาง ทำให้เราตัดสินใจเข้าจุฬาฯ
มาวันนี้ เราไม่เสียใจเลย จุฬาฯให้อะไรเรามากมาย ฝังสิ่งดีต่างๆ ในหัวเราเต็มไปหมด ตอนเรียนอยู่ไม่รู้ มารู้ตอนที่จบออกมาแล้วนี่แหละ
เก็บเกี่ยวความสุขตอนใกล้จบไว้นะจ๊ะ มันเป็นประสบการณ์ที่หาค่าไม่ได้ และหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วเช่นกัน

ถ้าอยากเรียนเต้นต่อ มี่มาเทคคอร์สสั้นๆก็ได้นี่นา เอาประสบการณ์ เอาอะไรใหม่ๆกลับไปใช้ ไปพัฒนาวงการเต้นที่บ้านเราเนอะ บางทีใบปริญญาก็ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เราเรียนรู้หรอก
สู้ๆนะจ๊ะ และขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับความสำเร็จจ้า
โดย: เกศ IP: 84.233.227.59 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:57:59 น.
  
ยินดีด้วยที่เธอได้พบหนทาง
จากที่เคยเคว้งคว้างและสับสน
ในเส้นทางที่มุ่งมาดอาจวกวน
แต่อย่างน้อยฉันอีกคนยังก้าวไป

แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะไปถึง
ไม่คำนึงพรึงพรั่นหรือหวั่นไหว
อนาคตมันจะเป็นก็เป็นไป
รู้แต่เพียงหัวใจยังก้าวเดิน.
โดย: BlackMica วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:14:42:02 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Gluhp.BlogGang.com

gluhp
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]

บทความทั้งหมด