ครึ่งปีหลังของปี 2009 เราเขียนบล็อกน้อยมากๆ
เรียกได้ว่าแทบจะหายตัวไปจาก bloggang เลยทีเดียว
ทั้งๆ ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย มีอะไรควรจะเขียนเต็มไปหมด
ทั้งเรื่องเต้น เรื่องต้นไม้ เรื่องแมว เรื่องความรัก เรื่องโรงเรียน
รวมทั้งเรื่องความฝัน และความเพ้อเจ้อทั้งหลายแหล่
แต่สุดท้ายก็แทบจะไม่ได้เขียนอะไร เพราะนั่งลงหน้าคอมทีไร
ก็เปิดแต่ MS Word จัดการกับนิยายที่ยังแต่งไม่เสร็จ แก้แล้วแก้อีกอยู่นั่น
ก็ขอสัญญาไว้ตรงนี้แล้วกันว่า .. จะเขียนให้จบ จะต้องจบให้ได้
ไม่ว่ามันจะทุเรศทุรัง ไม่มีใครอยากอ่าน หรือไม่มีสนพ.ไหนอยากรับก็ตาม
ต้นไม้เราโตวันโตคืน ก็รู้ตัวน่ะนะว่าเรามันเป็นคนเบื่อเร็ว
เหมือนจะเนิร์ดแต่ก็ไม่ใช่ เพราะเดี๋ยวเดียวก็เลิกสนใจละ
แต่กับต้นไม้.. ไม่เลย ยิ่งปลูกยิ่งมันยิ่งวันยิ่งสนุก
ยังคงมีความสุขกับการนั่งที่ระเบียงตอนเช้านานๆๆๆๆๆ
มีความสุขกับการเอาต้นไม้ใส่กระถางสวยๆ
แต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ย รดน้ำ แล้วเฝ้าดูมันเติบโต ออกดอก ติดเมล็ด
ชีวิตมันมีความหวังน่ะ เวลาอยู่กับต้นไม้
แต่นั่นแหละ ... มีคนเขามองว่า เรามัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ไม่รู้จักโต เขาว่างั้นนะ แล้วเราก็ว่ามันก็คงจะจริง
เรื่องการสอน บางทีเราก็สงสัย เราสอนเด็กไปทำไมนะ
ไม่มีผู้ปกครองคนไหนหรอกที่อยากเห็นลูกตัวเองโตขึ้นไป เต้นกินรำกิน
บางครั้งเราก็อยากจะรู้ พ่อแม่เขาให้ลูกเขาเรียนเต้นทำไม
ใช่.. คิดอย่างนี้ก็ออกจะคับแคบไปหน่อย แต่มันก็เป็นสิ่งที่คิดจริงๆ
ตอนเขียนแผ่นพับประชาสัมพันธ์คอร์สเรียนนั่นแหละ ..จุดประสงค์?
คิดไปคิดมาก็ท้อใจ แล้วก็เลิกล้มเสียกลางคัน แล้วก็โดนด่าซ้ำว่าไม่มีความอดทน
ก็คงจริงอีกนั่นแหละ
บางแวบคิดถึงฟรีฟอร์มเหมือนกันนะ
นั่นเป็นงานที่เราอยากทำ เป็นบริษัทที่เราชื่นชอบ
แล้วเราออกมาทำไมนะ บ้ารึเปล่า บ้าๆๆๆ บ้าจริงๆ
ออกมาเรียน แล้วไง ก็เลิกเรียนแล้วนี่ตอนนี้
ออกมาเต้น แล้วไง ล่องลอยเป็นอย่างยิ่ง
...เสียดาย...
เรื่องเต้น เรากลับไปเต้นแทบจะเต็มเวลาแล้วนะ เหมือนได้ชีวิตกลับคืน
แต่.. จะทำอย่างไรให้มีชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความหมายอย่างมั่นคงและไม่อดตายนะ
เพราะอย่างที่บอกเมื่อกี้ ชีวิตแบบนี้มันล่องลอยเหลือเกิน ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน
อีกทั้งยังมีสารพัดปัญหาของการเมืองในวงการที่เรายังดิ้นไม่หลุด
ปีที่ผ่านมา เราเห็นความใจแคบของคน เห็นความโง่ของตัวเองได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่เราไม่กล้าที่จะฉีกกรอบที่มันครอบเราอยู่ออกโดยที่ไม่รู้สึกผิด
ความรักและความกตัญญูมันเป็นเรื่องเดียวกับความโง่งมดักดานหรือเปล่า
ตอนนี้เราเดินออกมาจากบ้านเก่าที่เป็นที่หลบอาศัยอยู่ 18 ปีได้
เราทำใจกล้า แล้วเปิดประตูออกสู่โลกที่กว้างขึ้น
และนั่นทำให้เรารู้ว่า ..ที่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเป็นมืออาชีพแล้วนั้น
ไม่ทั้งเพ! ไม่มีสิ่งไหนเลยที่จริง เรายังอ่อนหัดนัก มีคนมากมายที่เขาเก่งกว่า
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เราถูกเสี้ยมสอนให้เชื่อว่าคนพวกนั้นมันไม่ได้เรื่อง
เราเลยไม่เคยเปิดตามอง แต่เราจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว
ก็งานเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2552 นั่นแหละ ที่ Cicada Market หัวหิน
ที่จู่ๆ เราก็กระโดดเข้าไปเต้นกับเพื่อนๆ ที่ Bangkok City Ballet
มันทำให้เรารู้ว่า แท้จริงแล้ว เราสู้พวกเขาไมได้เลยในแง่ของการทำงาน
ขอบคุณเฟียต อั๋น แต้ม ที่ทำให้เราเข้าใจว่าเราสำคัญตนผิดมาตลอดอย่างไร
เราไม่เก่งเลย เราอ่อนหัดกว่าพวกเธอหลายขุมนัก
ทั้งๆ ที่เราก้าวเข้าสู่วงการนี้ก่อนพวกเธอเป็น 10 ปี
เรามัวแต่หลงระเริงอยู่ในกะลา ไม่รู้เลยว่าโลกมันหมุนเร็วเท่าไหร่แล้ว
เราอยากจะก้าวออกไปให้สุดตัว แล้วเดินไปตามทางของเรา
แต่ใช่ คนเรามันมีความรัก ความผูกพัน ความกตัญญู
ถ้ามันเกิดทำให้เราอยู่กับที่ไปไหนไมได้ เราควรทำอย่างไร
แล้วชีวิตล่ะ จะทำอย่างไรให้มันเปี่ยมไปด้วยความหมาย
ในสิ่งที่เราเชื่อและศรัทธา เป็นสุข และพึ่งพาตัวเองได้
..เรื่องมันยาก..
ส่วนนี่ งานที่ cicada market หัวหิน ที่เราได้ร่วมงานกับ เฟียต อั๋น แต้ม
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2552 ..อีกครั้ง.. ขอบคุณนะทุกๆ คน