วันที่ตัวกับใจไม่ตรงกัน...*__*
วันนี้กับชีวิตที่ไม่มี concordia กับ jus naturale ช่วยบอกทีว่าอาการอย่างนี้ปกติมั้ย
พูดภาษาอะไรของมัน...ใช่มะ
ถ้าอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง แปลว่า ปกติดีทุกประการ
ถ้าอ่านแล้วรู้เรื่อง แปลว่า ปกติมากกว่าปกติไปเล็กน้อย
ถ้าอ่านแล้วน้ำตาร่วง แปลว่า.....ไปพบจิตแพทย์กับคนเขียนเลยค่ะ
วันที่ตัวกับใจไม่ตรงกัน....ทะเลใจ
วันนี้เลยแหละที่ ตัว กับ ใจ มันไปกันคนละทาง
ไร้ทิศทาง ไร้จุดมุ่งหมาย เป็นชีวิตที่ไร้ซึ่ง Telos
เสมือนหนึ่งเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตแบบคนยุค Hellenistic เท่านั้น
การอยู่เพื่อ autarkeia แบบ cynic ก็เป็นความสุขอยู่ไม่น้อย
ไม่เห็นจะต้องยุ่งวุ่นวายกับสิ่งต่างๆมากมายเลย
สุดท้าย เราก็พอเพียงในตัวเอง
ไม่ต้องไปยึดติดกับสิ่งใดๆมาก เพราะว่า
I am a citizen of the world.
St. Aquinas บอกว่า...
มันมีกฎบางอย่างที่อยู่คนละ synderesis เราไม่มีทางไปเข้าใจ
กฎของพระเจ้า กับ เหตุผลของการดำรงอยู่ ไม่ต้องไปทำความเข้าใจ
แล้วเรื่องของหัวใจที่เข้าใจไม่ได้ ควบคุมไม่ได้เนี่ยล่ะ
มันเป็นระดับ Eternal law หรือว่า Divine law
สุดท้ายมันคือ Human knowledge ไม่สามารถเข้าใจได้
หรือ คือความรักไม่ต้องการการตีความ
อาศัยเพียง Faith แล้วเราก็จะเข้าใจมันเอง
ความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้ามีสอนใน Bible
แล้วความเชื่อ ความศรัทธาในความรักมันอยู่ในคัมภีร์เล่มไหน
หรือว่า Bible เหมือนกัน
เราแต่ละคนก็ต่างเพียงแต่อยากจะมีชีวิตในสังคมดีๆเท่านั้น
Sociableness และ เหตุผลของมนุษย์ จึงนำให้เกิดสังคม
แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันกลับแยกเราออกจาก jus naturale
หรือไม่จริง.....หรือว่ามันพูดอะไรของมันวะ
การสร้าง jus civile มันจะไปด้วยกันได้กับ jus naturale งั้นหรือ
ถ้า naturale ของสังคมมนุษนั้น มันไร้ซึ่ง jus
และเป็น War of all against all ที่ต่างก็มี natural liberty
ในระดับใต้ปัจเจก ...
ในจิตใจเรา มันก็คงจะเป็นอย่างนั้นด้วย
แปลว่าความคิดเราเป็น War of all against all!!!
สิ่งที่เราคิดมันจะรบกันเองตลอดเวลา
ด้วยความระแวงซึ่งกันและกัน
แต่ละความคิดมันมี Vain Gloryของมันเอง
อันจะไปสร้างความเวรกรรมให้กับชีวิต
การตัดสินใจจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยเลย
แล้วถ้าแต่ละ Vain Glory มัน Sapare Aude
แล้ว Concordia จะเกิดจากไหน
แตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง
แปลว่าเราจะต้องควบคุมมันให้สอดคล้องกันใช่ไหม
เพราะว่าเราในฐานะเจ้าผู้ปกครองจะต้องทำตัวให้ดูดีอยู่เสมอ
ไม่ว่าในความคิดเราจะแตกแยก หรือล่มสลายยังไง
เพราะว่าเจ้าผู้ปกครองต้องทำตัวให้ดูดีมีศีลธรรมอยู่เสมอ
และจะต้องเอาชนะเทพีแห่งโชคชะตาให้ได้
Machiavelli ว่าไว้อย่างนั้น
รวมทั้งต้องไม่ไว้ใจความคิดใดๆด้วย
เราคงต้องเป็น Hegemon ของตัวเอง
เพื่อให้จิตใจมันไปทำอะไรก็ตามที่มันอยากจะทำ
แล้วก็ให้ Hegemon อันนั้นตัดสิน
Hegemon ของปัจเจก คือ การใช้เหตุผลรึเปล่า
ถ้าใช่ ก็บ่อยครั้งไปที่ Hegemon เกิดเป็น tyrant ขึ้นมา
ทำอะไรไม่ได้ก็ทำใจ
แต่เมื่อเกิด stability ขึ้นมา เป็น Thesis แล้ว
แล้ว anti-thesis ของมันคืออะไร
ความขัดแย้งในตัวเอง หาทางออกไม่ได้ อย่างที่เราเป็นอยู่ใช่ไหม
แล้วมันจะ Aufheben ไปเป็น synthesis อย่างไร
สติแตก ระเบิด โรงพยาบาลบ้า หรือบวชชี
หนีกันพ้นหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นภาวะ Eudaimonia ของมนุษย์
และถ้าเป็นอย่างนั้น Telos ของชีวิตมีจริงๆหรือ
ไม่ต้องพูดถึงTelos ของสังคมที่ Kant ว่า
ไม่ต้องพูดถึงวิวัฒนาการของ Human species
เพราะแค่จิตใจตัวเองยังพัฒนาไม่ค่อยจะได้เลย
และการพัฒนานั้นไปขัดกับ jus naturale รึเปล่า
การบังคับใจตัวเองมันย่อมทำให้เกิดความลำบาก
ซึ่งมันก็ไปกระตุ้นความทะยากอยากของตัวเอง
อยากที่จะควบคุมมันให้ได้
แล้วก็อยากที่จะควบคุมความอยากควบคุมให้ได้
แล้วก็อยากที่จะความคุมความอยากที่จะควบคุมความอยากนั้นให้ได้
แล้วก็........พอเหอะ
กลายเป็นเรื่องสมศรีจะตัดผมให้ใครพอดี
แล้วใครจะตัดผมให้สมศรี....เลิกพูด
ตอนนี้หา Telos ไม่เจอ
เจอแต่วิวัฒนาการของทุนนิยม ที่แปรทุกอย่างตัดสินด้วยมูลค่า
ความผูกพันกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ถูกจำกัดด้วยความผูกพันทางธุรกิจ
ไร้เพื่อน ไร้พี่ ไร้น้อง ไร้ญาติ ไร้สหาย
เกิดลูกค้า เกิดหัวหน้า เกิดลูกน้อง เกิดนายห้าง
ด้วย Private Property ทั้งหลาย
เอาเหอะ กำลังรอให้สักวันระบบนี้กินตัวเอง
แต่ช่วยกินตัวเองให้เร็วๆหน่อย ก่อนที่มันจะกัดทึ้งวิญญาณมนุษย์หมดสิ้น
คนมีอำนาจไม่ต้องมีความรู้
และคนมีความรู้ไม่ควรมีอำนาจ
เพราะความรู้จะทำให้อำนาจนั้นเสื่อม
คนมีความคิดไม่ต้องมีความรัก
และคนมีความรักไม่ควรมีความคิด
เพราะความคิดจะทำให้ความรักนั้นเสื่อม
เทียบกันพอได้
หรือว่า กลับอีกด้าน
คนมีความรักไม่ต้องมีความคิด
และคนมีความคิดไม่ควรมีความรัก
เพราะความรักจะทำให้ความคิดนั้นเสื่อม
แตกต่างกันหรือเปล่า
หรือว่าจะต่าง หรือไม่ต่าง มันก็ไม่ต่างกัน
ชอบเขียนอะไรงงๆวุ้ย
Essentialism คงเอามาใช้งานไม่ได้
แล้ว Skepticism ล่ะ น่าจะพอได้
เพราะมันน่าสงสัยไปหมด
ทั้งหมดนี้เกิดจากการเคว้งคว้างล่องลอย...ในห้องสมุด
ด้วยอาหารและขนมที่เต็มกระเพาะ
ชนิดสั่งการไม่ถูก ไม่รู้จะย่อยอะไรก่อนดี
กับปรัชญาการเมืองที่เต็มหัว
และตัวอักษรจีนที่เต็มโต๊ะ
รวมไปถึงรายงานการปฏิบัติการใน Somalia ที่ค้างอยู่บนหน้าจอ
และเรื่องราวของ neo-liberalism ของฟิลิปปินส์ที่ยังค้างๆคาๆอยู่ในแฟ้ม
ต้องการGuardian และ Philosopher King ด่วน!!!
กูจะบ้า....!!!
การเรียนทำให้คนดีๆกลายเป็นบ้า
หรือว่าคนนั้นมันบ้าแต่มันคิดว่ามันดี
พอมันเรียนแล้วมันดี มันกลับคิดว่ามันบ้า
แล้วตกลงว่าเรานี่บ้าหรือดี
หรือจริงๆแล้วเราไม่มีตัวตน
ที่สุดแล้ว
"Cogito, ergo sum"
I think; therefore I am
- อวสาน
ป.ล. อีกสัก 2 สัปดาห์มาอ่าน
คงงงๆตัวเองเหมือนกันว่าเขียนอะไร