กรุงเทพมหานคร : บานประตูวัดสุทัศนเทพวราราม (2)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้เสวยราชสมบัติทรงมีพระราชดำริว่า พระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่เสาชิงช้านั้นเป็นพระราชดำริของรัชกาลที่ 1 ที่จะสร้างวัดใหญ่ขึ้นกลางพระนคร แต่พอก่อรากพระวิหารก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน จึงโปรดให้สร้างพระวิหารให้แล้วเสร็จ เพื่อจะได้ครบองค์ประกอบของวัดต่อไป
แล้วทรงโปรดให้ช่างเขียนเส้นลายบานประตูวัดพระใหญ่ โดยทรงพระศรัทธาลงลายพระหัตถ์สลักภาพกับกรมหมื่นจิตรภักดี เรื่องฝีพระหัตถ์คงไม่เป็นที่กังขา แต่คงยากที่จะเชื่อว่าในเวลาที่พระองค์ ขณะดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แล้วจะมีเวลามาแกะสลักบานประตูได้
ไม้บานประตูพระวิหารนี้ เป็นไม้กระดานแผ่นเดียว หนา 16 ซ.ม. หน้ากว้าง 1.3 ม.สูง 5.64 เมตร สลักลึกลงไป 14 ซ.ม. เป็นรูปภูเขาต้นไม้ มีถ้ำคูหา รูปสัตว์ต่างๆ เสือ ลิง กวาง หมู จะขาบ งู อึ่งอ่าง นก
ด้วยความลึกของการแกะทำให้รูปสลักนั้นเป็นสามมิติ สลับซับซ้อนเป็นชั้นๆ โดดเด่นราวกับมีชีวิต ไม่มีที่ไหนจะทำได้เหมือนอย่างนี้มีคำเล่าสืบกันมาว่า ช่างที่สลักบานพระวิหารพระโตนี้เมื่อทำการเสร็จแล้ว ได้เอาเครื่องมือทิ้งน้ำเสีย
ด้วยเชื่อว่าเครื่องมือที่ใช้ในการแกะสลักนั้น ประดิษฐ์ทำขึ้นใช้เป็นการเฉพาะ เมื่อมีความต้องการเครื่องมือเล็กใหญ่รูปคดโค้งอย่างไร ก็สั่งให้ช่างเหล็ก ทำขึ้นมาตามนั้น ครั้นเสร็จแล้วเครื่องมือชุดนั้นก็คงใช้การอื่นไม่ได้อีก คงเอาไว้แต่ลายฝีมือที่สุดแสนจะวิจิตรบรรจง คงคู่กับวัดมาจนถึงในปัจจุบัน
พ.ศ. 2367 ตัวโครงสร้างพระวิหารหลวงเสร็จลง แต่ยังไม่มีการยกช่อฟ้าใบระกา ส่วนการสลักบานประตูก็ยังคงไม่เสร็จ รวมไปถึงการเขียนภาพจิตกรรรมฝาผนัง แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็เสด็จสวรรคตลงเสียก่อน วัดนี้มาเสร็จสมบูรณ์ในรัชสมัยต่อมา รวมถึงการสร้างมุขเด็จด้านหน้า
เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงสร้างพระอุโบสถวัดราชประดิษฐ์มีพระราชประสงค์ อยากจะให้สลักบานอย่างพระวิหารพระศรีศากยมุนี โปรดให้กรมขุนราชสีห์ และช่างสลักมีพระยาจินดารังสรรค์ไปคิดอ่านสลักให้เหมือนเช่นนั้น แต่ไม่สำเร็จเพราะถากไม้ไม่เป็นเหลือวิสัย ต้องสลักเป็นสองชั้นวางซ้อนกัน
พ.ศ. 2502 เกิดเพลิงไหม้ทำให้บานประตูใหญ่ด้านขวาเสียหายไป กรมศิลปากรจึงย้ายบานประตูคู่ที่อยู่ด้านหลังพระวิหารมาใส่แทน แล้วทำประตูคู่ใหม่ลายรดน้ำพันธุ์พฤกษามาทดแทนประตูคู่ที่อยู่ด้านหลัง แล้วถอดอีกบานที่ยังคงไม่ชำรุดไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร
เรื่องราวอาจจะจบลงเพียงเท่านี้เหมือนเช่นทุกสิ่งที่เป็นมา หากไม่ได้พระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงโปรดให้ศูนย์ศิลปาชีพแกะสลักบานประตูไม้ที่ชื่อว่าตำนานเพชรรัตน์ เพื่อเป็นการอนุรักษ์งานศิลปกรรมด้านการแกะสลักไม้ของไทยให้คงอยู่ โดยใช้ช่างแกะสลักจำนวน 69 คน กับเวลาทำ 10 เดือน 3 วัน จึงแล้วเสร็จ
ผมมีโอกาสได้เห็นบานแกะสลักไม้ชิ้นนี้ในงานศิลป์แห่งแผ่นดิน แรกเห็นนั้นมันเหมือนค้อนที่ตอกความเป็นชาตินิยมลงที่กลางใจ เพราะแม้จะเป็นของใหม่แต่การแกะสลักไม้ชิ้นนี้มันสุดแสนจะงดงาม จนเชื่อได้ว่าไม่มีชนชาติอื่นใดในโลกที่จะสามารถทำสิ่งนี้ขึ้นมาได้
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างบานประตูสลักไม้สองชิ้นนี้ก็คือ งานที่แกะขึ้นใหม่นี้ไม่มีการปิดทองให้อร่ามจนบดบังความงดงามของลวดลาย ในขณะที่บานประตูวัดสุทัศน์ได้มีการปิดทองพอกทับลวดลายไปทุกครั้งที่มีการซ่อมแซม
นี่คงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลร้ายที่เราเรียกกันว่าการบูรณะ ถึงเวลาหรือยังที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าความงามของศิลปะไทย
จริงแท้แล้วมันคืออะไร
Create Date : 28 ธันวาคม 2554 |
|
2 comments |
Last Update : 29 ธันวาคม 2554 13:18:42 น. |
Counter : 7336 Pageviews. |
|
|
มีนกเกาะเอียงคอ กระรอก ต้องคิดแบบทีเดียวเพราะเป็นไม้ชิ้นเดียวจะเติมลายไม่ได้