Apple has lost a visionary and creative genius, and the world has lost an amazing human being.

But his spirit will forever be the foundation of Apple. 6 October 2011

<<
เมษายน 2558
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
3 เมษายน 2558

สืบหาทวารวดี : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์ (3)

Untitled

ปูนปั้นประดับฐานประทักษิณด้านตะวันออกเฉียงใต้
พิริยะ ไกรฤกษ์ให้ความเห็นว่าเป็นอวทานชาตกะ เรื่อง ษัฑทันตะ


เหล่าช้างมีฤทธิ์เหาะไปในอากาศได้ อาศัยอยู่ที่สระฉันททันต์
ในป่าหิมพานต์ พระโพธิ์สัตว์เกิดเป็นลูกช้างของช้างหัวหน้าโขลง
เมื่อเติบโตขึ้นมีร่างกายใหญ่โตมากกว่าช้างเชือกอื่น ๆ ที่งามีแสงรัศมี 6 ประการ

เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้ว พระโพธิสัตว์ได้เป็นหัวหน้าช้างแทน
มีชื่อว่า พญาช้างฉัททันต์ มีภรรยา ๒ เชือก คือมหาสุภัททาและจุลลสุภัททา

พญาช้างฉัททันต์ได้พาบริวารไปหากินที่ป่า ใช้กระพองชนต้นรังให้ดอกหล่นลงมา
นางช้างจุลลสุภัททายืนอยู่เหนือลมจึงถูกกิ่งไม้แห้งมีมดดำมดแดงตกใส่ร่างกาย
ส่วนนางช้างมหาสุภัททายืนอยู่ใต้ลมเกสรดอกไม้โปรยปรายใส่ร่างกาย
นางช้างจุลลสุภัททาจึงเกิดความน้อยใจว่าสามีรักใคร่แต่นางช้างมหาสุภัททา
ส่วนตนมีแต่มดดำมดแดงร่วงใส่ จึงผูกความอาฆาตในพญาช้างฉัททันต์

วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ พญาช้างได้ไปอุปัฏฐากถวายน้ำผึ้งแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
นางช้างจุลลสุภัททาถวายผลไม้แล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า
ถ้าตายไปแล้วขอให้ไปเกิดเป็นมเหสีของราชาผู้มีอำนาจสามารถฆ่าพญาช้างนี้ได้

นับแต่วันนั้นนางก็อดหญ้าอดน้ำ ร่างกายผ่ายผอม ไม่นานก็ล้มป่วยตาย
นางไปเกิดเป็นธิดาของพระราชาในแคว้นมัททรัฐ เมื่อเจริญวัยแล้ว
ก็ได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าเมืองพาราณสี เป็นที่รักใคร่โปรดปรานมาก

เมื่อระลึกชาติหนหลังได้ วันหนึ่งจึงทำทีเป็นประชวรไข้หนักบรรทมอยู่
พระราชาเสด็จมาตรัสถามว่า เหตุใดนางจึงดูโศกเศร้าซูบผมเช่นนี้
นางจึงตอบว่า ฝันเห็นช้างเผือกที่งามีรัศมี 6 ประการและนางต้องการงาคู่นั้น

--------------------------------------------------------------------

พระราชาให้เรียกพรานป่าทุกสารทิศเข้าประชุมกันที่ท้องพระโรง
แต่เหล่าพรานป่าต่างจนปัญญา ด้วยไม่รู้ว่าจะไปหาช้างเชือกนี้ได้ที่ไหน
พระมเหสีได้ตรวจดูพรานป่าทั้งหมด เห็นพรานป่าคนหนึ่งชื่อโสณุตระ
มีเท้าใหญ่ เข่าโต หนวดดก เคราแดง ตาเหลือง ลักษณะเป็นผู้โหดร้าย

จึงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าแล้วตรัสบอกทิศทางไปว่า จากนี้ไปทางทิศเหนือ
ข้ามภูเขา 7 ลูก มีภูเขาสูงที่สุดลูกหนึ่งชื่อ สุวรรณปัสสคีรี
เจ้าจงขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้นมองดูตามเชิงเขา จะเห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง
ใต้ต้นไทรนั้นเป็นที่อาศัยของพญาช้างเชือกที่ข้าต้องการงา

นายพรานเดินทางจนเข้าไปถึงที่อยู่ของพญาช้างที่กำลังลงอาบน้ำในสระ
เมื่อถึงเวลากลางคืน จึงขุดหลุมสี่เหลี่ยมเพื่อใช้เป็นที่แอบดักยิงพญาช้าง
คลุมร่างกายมิดชิดด้วยผ้าเหลือง แล้วลงไปยืนถือธนูมีลูกอาบยาพิษ
แอบอยู่ในหลุมนั้น รอการมาของพญาช้างในเวลาใกล้รุ่ง

วันต่อมาพญาช้างได้พาบริวารลงอาบน้ำ แล้วก็ขึ้นมายืนบนฝั่งใกล้หลุม
ทันใดนั้น พญาช้างก็ร้องขึ้นสุดเสียงเมื่อถูกลูกศรของนายพราน
ฝูงช้างได้ยินเสียงร้องต่างตกใจวิ่งหนีเข้าป่าไป

พญาช้างเหลียวดูที่มาของลูกศรแล้วพลิกกระดานขึ้นเห็นนายพราน
คิดจะจับขึ้นมาฆ่าพอเห็นผ้าเหลืองพันกายของนายพราน
ความโกรธก็หายไป ด้วยตระหนักว่า ผ้าเหลืองคือธงชัยแห่งพระอรหันต์
บัณฑิตไม่ควรทำลาย ควรสักการะเคารพอย่างเดียว

--------------------------------------------------------------------

จึงกล่าวถามนายพรานว่า ท่านยิงเรา เพื่อตนเอง หรือคนอื่นใช้ให้มาฆ่าเรา
นายพรานตอบว่า พระนางสุภัททามเหสีของพระเจ้ากาสีกราช
ได้ทรงสุบินเห็นท่าน จึงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเพื่อประสงค์งาทั้งคู่ของท่าน

พญาช้างก็ทราบโดยทันทีถึงการผูกเวรของนางจุลลสุภัททา จึงกล่าวว่า
พระนางมิได้ต้องการงาทั้งสองของเรา นางประสงค์จะฆ่าเราเพียงเท่านั้น
ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเถิดนายพราน จงหยิบเลื่อยมาตัดงาเราขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เถิด
นายพรานจึงใช้เลื่อยตัดงาทั้งคู่แล้วรับถือกลับเมืองไป

พญาช้างมอบงาให้นายพรานแล้วตั้งจิตอธิษฐาน
ขอให้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ แล้วล้มลงขาดใจตาย

นางช้างมหาสุภัททาพร้อมฝูงช้างวิ่งหนีไปได้ระยะทางหนึ่ง เมื่อไม่เห็นศัตรูตามมา
ก็พากันกลับเห็นพญาช้างสิ้นใจตาย ก็ร่ำไห้คร่ำครวญอยู่ที่ตรงนั้น
นายพรานนำงาทั้งคู่เข้าถวาย พระนางสุภัททาทอดพระเนตรดูงาของอดีตสามี
เกิดความเศร้าโศกสลด พระนางก็ได้ใจแตกสลายสวรรคตในวันนั้นเช่นกัน


Untitled


ปูนปั้นประดับฐานประทักษิณด้านตะวันออกเฉียงใต้
พิริยะ ไกรฤกษ์ให้ความเห็นว่าเป็นอวทานชาตกะ เรื่อง กัจฉปะ



พระพุทธองค์ได้เสวยชาติเป็นเต่าและได้ช่วยเหลือเหล่าพ่อค้า 500 คน
ที่เรือเกิดอัปปางโดยให้โดยสารขึ้นหลังไปส่งอย่างปลอดภัย
แต่เมื่อช่วยได้ทั้งหมดแล้ว พ่อค้าพยายามที่จะฆ่าและกินเนื้อพระองค์
พระองค์จึงทราบว่าพ่อค้าทั้งหลายนั้นคงจะหิวมาก

ด้วยความเมตตาพระองค์จึงสละชีวิตบริจาคเนื้อให้เพื่อเป็นทาน

Untitled


ปูนปั้นประดับฐานประทักษิณด้านตะวันออกเฉียงใต้
พิริยะ ไกรฤกษ์ให้ความเห็นว่าเป็นอวทาน เรื่องสุปารคะ


สุปารคะเป็นนายเรือผู้มีชื่อเสียงที่มีอายุแก่ชราและตาเกือบบอด
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นที่นับหน้าถือตาแก่ผู้ที่รู้จักกัน
วันหนึ่งมีพ่อค้ามาขอความช่วยเหลือโดยการให้ร่วมโดยสารไปกับเรือ
เพราะเชื่อว่าสุปารคะจะทำให้การเดินทางปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง

ในระหว่างการเดินทางเกิดพายุ เรือได้ออกนอกเส้นทางและเกิดหลงทางขึ้นมา
เหล่าพ่อค้าทั้งหลายต่างสิ้นหวังที่จะรอดกลับไป จึงขอร้องให้สุปารคะช่วยเหลือ
สุปารคะจึงอธิษฐานต่อพระพุทธองค์ให้ขอความช่วยเหลือ โดยกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าไม่เคยเบียดเบียนกับสิ่งมีชีวิตใดในชาตินี้
ขอให้บุญบารมีของข้าพเจ้าได้บันดาลให้เดินทางด้วยความปลอดภัยเถิด”
จนในที่สุดเรือและพ่อค้าทั้งหมดก็ได้เดินทางกลับอย่างปลอดภัย

แต่ผมว่าเรื่องนี้พ้องกับ สุปปารกชาดก หนึ่งในพระเจ้า 500 ชาติของเถรวาทเช่นกัน

พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นลูกหัวหน้าต้นหนในหมู่บ้านท่าเรือกุรุกัจฉะ
นามว่า สุปารกกุมาร เมื่อพ่อตายก็ได้เป็นหัวหน้าต้นหนแทน
เรือที่ท่านควบคุมไม่เคยล่มอับปางเลย ต่อมาดวงตาบอดเพราะถูกน้ำทะเล
จึงเข้าเฝ้าพระราชาขอทำงานด้วย ท่านได้เป็นนักตีราคา

คอยประเมินราคาช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมุกดา แก้วมณี
ครั้งหนึ่งมีคนนำช้างสีดำ ม้ามงคล รถมงคล ผ้า มาให้พระราชา
สุปารกะก็อธิบายที่มาที่ไปได้ถูก แม้มีตำหนิเพียงนิดก็รู้ได้
ทุกครั้งพระราชาจะให้รางวัล 8 กษาปณ์เรื่อยมา

วันหนึ่งสุปารกะเห็นว่าเงิน 8 กษาปณ์ มีค่าเพียงกับราคาของช่างตัดผม
ท่านจึงเดินทางกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านพ่อค้าเดินเรือทั้งหลายจึงมาเชิญ
ให้ท่านเป็นต้นหนทั้งที่ตาบอด ล่องเรือไป 7 วัน ผ่านท้องทะเลมีแก้วเพชร
เงินทองมากมาย สุปารกะจึงใช้อุบายให้ขนของมีค่าขึ้นมาแต่พอดี

อย่าได้โลภแล้วเรือจะจม จนถึงทะเลพลวามุขที่น้ำเดือดพุ่งเป็นพริก
ไม่เคยมีใครรอดไปได้ สุปารกะให้พ่อค้าทำสัจจกิริยาว่าตั้งแต่เกิดมา
ไม่เคยเบียดเบียนสัตว์ ขอเรือกลับโดยสวัสดิภาพ
ขาดคำเรือก็บ่ายหัวกลับท่าเรือกุรุกัจฉะใช้เวลาเพียง 1 วันเท่านั้น

------------------------------------------------------------------


นันทนา ชุติวงศ์ ให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องเรื่อง สมุททวาณิชชาดก
หนึ่งในพระเจ้า 500 ชาติของเถรวาท


ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี
ในเมืองมีบ้านช่างไม้หมู่ใหญ่ มีครอบครัวอาศัยอยู่พันครอบครัว
พวกเค้าต่างออกไปรับปากกับชาวเมืองว่า จะทำเครื่องเรือนต่างๆ ให้
แล้วรับเงินมา แต่ทว่ากลับนำเงินไปใช้โดยไม่ยอมไปหาซื้อไม้มาทำของ

เมื่อไม่ได้รับของ ฝูงคนจึงพากันมาทวงถามสินค้าจากพวกช่างไม้
พวกนั้นพูดกันว่า พวกเราพากันไปอยู่เสีย ณ ที่ใดที่หนึ่งเถอะ
ว่าแล้วชวนกันเข้าป่าตัดไม้ต่อเรือขนาดใหญ่ เข็นลงน้ำนำมาจอดไว้
ถึงเวลากลางคืนพากันมาบ้านรับลูกเมียไปสู่ที่เรือจอดพากันขึ้นสู่เรือนั้น
จากนั้นเรือก็แล่นมุ่งหน้าออกไปในมหาสมุทรไปถึงเกาะอันอุดมสมบูรณ์

แต่ก่อนหน้าที่เหล่าช่างไม้จะมาถึง มีคนเรืออับปางคนหนึ่งไปถึงเกาะนั้นก่อน
เมื่อไปพบบุรุษนั้นจึงแจ้งว่า เกาะนี้มี อมนุษย์ครอบครองแต่ก็ไม่เคยทำอันตราย
แต่หากพวกเค้าเห็นอุจจาระและปัสสาวะของพวกท่านพึงโกรธได้
ดังนั้นเมื่อจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะพึงขุดทรายแล้วก็กลบเสียด้วยทราย

เหล่าช่างไม้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม มีหัวหน้าปกครองกลุ่มละ 500 ครอบครัว
หัวหน้าคนหนึ่งเป็นพาล แต่อีกคนหนึ่งเป็นบัณฑิตไม่หมกมุ่นในรสทั้งหลาย
ทั้งหมดอยู่กันอย่างสบายจนร่างกายอ้วนพี ต่างคิดกันว่า ล้วนห่างสุรามานาน
จึงพากันทำเมรัยดื่ม แล้วร้องรำเล่นประมาทไปด้วยอำนาจที่เมา

-----------------------------------------------------------------------------

ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะไว้ในที่นั้นแล้วไม่กลบ
ฝูงเทวดาโกรธว่า คนพวกนี้พากันทำสนามเล่นของเราให้สกปรก
พากันกำหนดวันไว้ว่า ในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เมื่อดวงจันทร์ขึ้นแล้ว
พวกเราต้องให้น้ำทะเลท่วมฆ่าพวกนี้เสียให้หมดเลยคราวนี้

ในกลุ่มเทวดามีเทพบุตรองค์หนึ่งเป็นผู้ทรงธรรมนึกสงสาร
จึงลงมายืนอยู่บนอากาศทางเหนือเพื่อแจ้งเตือนภัยพิบัติ
เทพบุตรอีกองค์หนึ่งนั้นเหี้ยมโหด คิดว่าต้องไปหลอกให้พวกชาวเกาะไม่ระแวง
จึงปรากฏกายยืนอยู่บนอากาศทางทิศใต้ กล่าวว่าจะไม่มีน้ำท่วมหรอก

หัวหน้าช่างไม้ที่เป็นคนพาลเชื่อถ้อยคำของเทพบุตรทางทิศใต้ ก็ตั้งอยู่ในความประมาท
แต่หัวหน้าช่างไม้บัณฑิตอีกคนหนึ่งเชื่อถ้อยคำเทวดาทิศเหนือสั่งให้ต่อเรือใหญ่
เมื่อถึงวันเพ็ญ ช่างไม้ฝ่ายบัณฑิตทั้ง 500 ครอบครัวก็พากันลงเรือ
จากนั้นคลื่นก็ซัดขึ้นจากท้องทะเลสูงประมาณเพียงเข่า

พวกครอบครัวกลุ่มช่างไม้พาล ต่างพูดกันว่าคลื่นจากท้องทะเลคงมีเพียงนี้เท่านั้น
แต่คลื่นลูกต่อมาก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พัดพาทุอย่างหายลงไปในท้องทะเล
จึงมีเพียงกลุ่มของหัวหน้าช่างไม้บัณฑิต 500 ครอบครัวเท่านั้น ที่รอดตาย



Create Date : 03 เมษายน 2558
Last Update : 7 เมษายน 2558 11:24:58 น. 2 comments
Counter : 2136 Pageviews.  

 
สนุกทุกเรื่องค่ะ



โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 3 เมษายน 2558 เวลา:16:14:24 น.  

 
เราเป็นลูกช้างลูก ม.ช.ค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 4 เมษายน 2558 เวลา:14:21:24 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ผู้ชายในสายลมหนาว
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]




New Comments
[Add ผู้ชายในสายลมหนาว's blog to your web]