กรุงเทพมหานคร : บานประตูวัดสุทัศนเทพวราราม (1)
เนื่องในการเฉลิมฉลองในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบ 84 พรรษา ได้มีการจัดการแสดง แสง สี เสียง และสื่อผสม เรื่อง วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษามหาราช โดยการฉายภาพพาโนรามาที่กำแพงพระบรมมหาราชวัง
เริ่มจากวันที่ 3 ธันวาคม 2544 แต่เพียงข้ามคืนต่อมากลับถูกสั่งระงับอย่างกะทันหัน โดยให้การแสดงจัดในวันที่4 ธันวาคม 2554 เป็นวันสุดท้าย สร้างความพิศวงงงงวยให้กับผู้คนที่ที่วางแผนจะไปชมในวันการแสดงในวันหลัง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เราก็ยังสามารถหาการแสดงชุดนี้มารับชมได้จาก internet
หลังจากการชมจบลงแล้วคงต้องบอกว่าน่าเสียดาย หากคุณไม่ได้ชม
โดยเริ่มการแสดงจากการฉายสไลด์ เล่าเรื่องราวของการสร้างกรุงเทพ ขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ จากนั้นเป็นสื่อผสมการแสดงจากนักแสดง กล่าวถึงสิ่งสำคัญในรัชกาลพระบรมสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างไทยและพม่าในสงครามเก้าทัพ พ.ศ. 2328
การแสดงของนักแสดงในการศึกที่สมรภูมิทุ่งลาดหญ้าที่นำการศึกโดย สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ หลังจากการแสดงของนักแสดงจบลง ก็เป็นการกลับเข้าสู่การฉายสไลด์เรื่องราวในสมัยต่อมา ที่บรรยายโดยการขับเสภาที่ไพเราะงดงามจับใจ
เมื่อกาลสุดพระพุทธยอดฟ้า ยุคพระพุทธเลิศหล้าจึงมาสู่ สรรพศิลป์ ธ เสกสรรพลันฟื้นฟู ล้วนชั้นครูดั่งอินทร์สร้างมาวางลง บานประตูวัดสุทัศน์พิลาศนัก ธ สลักงามวิจิตรพิศวง วัดระฆังซ่อมหอไตรให้คืนคง แล้ว ธ ทรงจำหลักไม้ไว้ดุจกัน
ภาพของบานประตูไม้และหอไตรวัดระฆังลอยโดดเด่นออกมาจากหน้าจอ กลอนบทต่อมาเป็นเรื่องราวของการสร้างเจดีย์วัดอรุณ ซึ่งเราได้เขียนถึงไปมากแล้ว เพียงภาพของบานประตูเพียงบานเดียวก็ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายที่อยากจะเขียนถึง แม้บานประตูพระวิหารจะมีอยู่มากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับการกล่าวขาน
อยุธยายอยศรุ่งฟ้าเมืองสวรรค์อยู่ถึงสีทศวรรษ สะสมความรุ่มรวยทั้งทรัพย์สิน และศิลปกรรมอันสูงค่า เมื่อต้องเสียเมืองให้พม่าอยุธยาถูกทำลายลงอย่างราบคาบ ตลอดเวลากว่า 15 ปีต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินบ้านเมืองต้องตกอยู่ ในการสงครามแทบจะตลอดเวลาเพื่อกอบกู้อิสรภาพและขยายอาณาจักรให้กลับมา
เมื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุครัตนโกสินทร์การสงครามได้ลดน้อยลง ทุกคนล้วนคิดถึง ยามที่ครั้งเมื่อบ้านเมืองยังดี พระบรมมหาราชวังและวัดวาอารามที่สร้างขึ้น ก็มักถ่ายแบบมาจากกรุงศรีอยุธยา มีการอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญจากหัวเมือง ที่ถูกทิ้งร้างเพื่อเข้ามาในกรุงเทพเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นหลักของบ้านเมือง
พ.ศ. 2350 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระบรมราชโองการให้สร้างวัด ให้สูงใหญ่เท่าวัดพนัญเชิง แล้วให้พระพิเรนทรเทพขึ้นไปชะลอพระโตเมืองสุโขทัย ลงแพมายังกรุงเทพ แพพระพุทธรูปได้มาเทียบที่ท่าช้างประทับท่าสมโภชอยู่ 7 วัน แล้วเลื่อนชักมาทางบกมากลางพระนครแต่ที่ท่าช้างองค์พระใหญ่กว่าประตูเมืองเข้าไม่ได้
ต้องรื้อกำแพงออก เมื่อแห่พระมาถึงแล้วจึงก่อกำแพงขึ้นใหม่จึงเรียกเป็นท่าพระมาทุกวันนี้ แม้พระองค์จะประชวรแต่ก็เสด็จพระราชดำเนินตามกระบวนแห่พระโดยไม่ทรงฉลองพระบาท จนถึงพลับพลาพระราชทานนามว่าพระศรีศากยมุนี แล้วโปรดให้สร้างวิหารครอบไว้
พ.ศ. 2352 มีขุดพื้นรากเป็นฐานวิหารหลวงแล้วก่อฐานชุกชีให้สูงขึ้นเหนือพื้น จากนั้นก็อัญเชิญพระพุทธรูปโบราณองค์ใหญ่ขึ้นบนฐานชุกชี ในเวลานั้นรัชกาลที่ 1 ทรงประชวรหนัก ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นการเชิญ องค์พระขึ้นทันสมพระราชประสงค์ทรงพระโสมนัสและอุทานว่า สิ้นธุระแล้ว
Create Date : 23 ธันวาคม 2554 |
|
4 comments |
Last Update : 29 ธันวาคม 2554 13:19:33 น. |
Counter : 2130 Pageviews. |
|
|
แต่ตะก่อนประวัติศาสตร์ไม่เอาไหนเลยค่ะ