: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - เราอยู่อย่างไร เราตายอย่างนั้น :
: เราอยู่อย่างไร เราตายอย่างนั้น :เขียน - Pema Chodronแปล - สดใส ขันติวรพงศ์
ขณะเขียนหนังสือเล่มนี้ Pema Chodron มีอายุ 85 ปี ท่านได้นำสิ่งที่เรียนรู้และศึกษาในเรื่อง ‘บาร์โด’ มาเรียบเรียงและเขียนขึ้นใหม่ เมื่อเริ่มตระหนักว่าความตายนั้นอยู่ใกล้ตัวเข้ามาเรื่อย ๆ คนที่ท่านรู้จักเริ่มล้มหายตายจากไปทีละคน ๆ‘บาร์โด’ คือ แนวคิดและความเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดตามหลักพุทธสายธิเบต ว่าด้วยช่วงเวลาหลังจากมนุษย์สิ้นลม จะมีช่วงเวลา ‘ก่อนเกิดหลังตาย’ ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต
การอ่านเนื้อหาและคำอธิบายของบาร์โด ทำให้ผมนึกถึงคำสอนของท่านพุทธทาสที่ว่า‘ตายก่อนตาย’‘ความตาย’ มักถูกทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัว หดหู่ เศร้าโศก เป็นคำอัปมงคลที่ไม่ควรหยิบมาพูดถึง แต่แท้จริงแล้ว ทุกคนต่างต้องตาย เราไม่อาจหลบหนีความตายได้เลย ความตายเกิดขึ้นโดยไม่เลือกเพศ วัย อายุ สถานะทางสังคม ความรวย ความจน ความโง่ ความฉลาด ความดี ความเลว ฯลฯ
ตายก็คือตาย เมื่อความตายเดินทางมาถึงประตูชีวิต เราต่างไม่มีทางเลือก นอกจากการยอมรับความจริง
บาร์โด คือ แนวทางคำสอนเพื่อทำให้เราเข้าใจขั้นตอนของความตาย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะใกล้ตาย หรือแม้กระทั่งช่วงที่หมดสิ้นลมหายใจไปแล้ว มนุษย์จะมีลักษณะอย่างไร
จะต้องทำอย่างไรจึงจะให้จิตหรือความคิดของเรา นำทางไปสู่ภพภูมิที่ดี จากภพภูมิหลังความตายซึ่งมีหลายระดับ ทั้งนรกภูมิ เปรตภูมิ มนุษย์ภูมิ ไปจนถึงเทพภูมิ
มายาภาพของชั้นนรกสวรรค์ อาจเป็นเพียงวิธีการอธิบายลักษณะของจิตก่อนแตกดับเพื่อให้เข้าใจง่าย จิตสุดท้ายจึงสำคัญมาก จนอาจกล่าวได้ว่า
“จิตสุดท้าย คือ ตัวกำหนดภพภูมิ” ในแนวคิดของการเวียนว่ายตายเกิด
การใช้ชีวิตอย่างหมกมุ่นมัวเมาอยู่ในกามกิเลส หลงรูป ขลุกอยู่กับอวิชชา ย่อมนำพาให้จิตสุดท้ายเมามัวอยู่ในตัณหา ราคะ โลภ โกรธ หลง ทั้งหมดทำให้ ‘ใจไม่สงบ จิตวุ่นวาย’ ซึ่งนั่นอาจทำให้วาระสุดท้ายของชีวิตเต็มไปด้วยความทุรนทุราย เจ็บปวด โกรธแค้น อาฆาตมาดร้าย กระเสือกกระสน ดิ้นรน ดื้อรั้น ไม่อยากจากไป หรือจากไปโดยมีห่วงหวงอาลัยอาวรณ์เต็มไปหมดในความรู้สึก
เช่นเดียวกัน หากช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ เราใช้ลมหายใจไปอย่างดี มีความสุข เปี่ยมศีลธรรม ไม่เห็นแก่ตัว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตาการุณทุกสรรพสัตว์ รู้จักฝึกฝนตนเองให้พร้อมรับมือกับความตายอยู่เสมอ ความตายในวาระสุดท้ายของชีวิต ย่อมสงบ งาม และง่ายอย่างที่ควรจะเป็น
การทำความเข้าใจใน ‘บาร์โด’ จึงต้องฝึกฝนตนด้วย ‘การปฏิบัติธรรม’‘การปฏิบัติธรรม’ ซึ่งมิได้หมายถึงการนั่งภาวนาหลับตาทำสมาธิ หรือการพิจารณาคำสอนซ้ำไปซ้ำมาเพียงเพื่อจดจำคำสอนให้ขึ้นใจ แต่ต้องนำความเข้าใจที่ได้รับจากการฝึกฝนตนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
หลักใหญ่ใจความของการรู้และเข้าใจ คือ การรู้ในต้นเหตุแห่งทุกข์ และการหาวิธีที่จะพ้นไปจากทุกข์นั้นให้ได้ เพราะหนึ่งในทุกข์ที่น่าหวั่นกลัวที่สุดของมนุษย์ คือ ‘ความตาย’
ความก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรม คือ การรู้ขั้นตอนและกระบวนการของการเกิดและการตาย การสิ้นสุดและการเริ่มต้นใหม่ รู้เพื่ออะไร ? --- ก็เพื่อจะได้เตรียมรับมือกับความตายอย่างมีสติ
เมื่อรับมือกับความตายอย่างมีสติ ความตายนั้นจะกลายเป็นเพียง ‘สิ่งหนึ่ง’ซึ่งพร้อมเกิดขึ้นกับตัวเราและคนที่เรารักได้เสมอ ไม่ว่าจะในที่ใดที่หนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง
การรู้ว่าเราจะต้องตายแน่ ๆ ไม่ได้เป็นการทำให้หมดอาลัยตายอยากในการใช้ชีวิต แต่กลับช่วยทำให้รู้ว่าเราควรใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เพราะที่สุดแล้วทุกคนก็ต้องตาย ก่อนตายทำไมไม่ใช้ชีวิตให้ดี มีความสุข ใช้ชีวิตเพื่อก่อเกิดประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นให้มากที่สุด ในฐานะเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลกซึ่งได้รับความตายอย่างเท่าเทียมกัน
ตายก่อนตาย คือ ตายจากความหลงผิด ตายจากการไม่ยอมรับความจริง ตายจากการทุกข์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ในเรื่องเดิม ตายจากการยึดติดในตัวตน
เราอยู่อย่างไร เราตายอย่างนั้น เราตายอย่างไร มันก็บ่งบอกชีวิตก่อนหน้านั้นที่เราใช้
หลายคนอาจไม่สนใจธรรมะ คิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตายเป็นตาย ตายก็ช่าง --- หลายคนคงคิดอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่ได้ผิดบาปอะไร
เพียงแต่การรู้ธรรมะบางข้อเอาไว้ก่อน ก็ไม่ต่างจากการมีคู่มือที่ดี คอยบอกสอนวิธีรับมือกับสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ทำให้รู้ขั้นตอนที่จะเกิดขึ้น เพื่อรับมือกับมันอย่างดีที่สุด
แม้เราจะตายเหมือนกันหมดทุกคน แต่การตายโดยมีอะไรให้เชื่อมั่น กับการตายอย่างเคว้างคว้างสับสน ก็ย่อมนำไปสู่ความแตกต่างในจุดสุดท้ายของชีวิต
ท้ายที่สุด เราจะมองเห็นตัวเองอย่างชัดเจนขึ้น เมื่อตระหนักว่าความตายไม่ได้อยู่ห่างจากชีวิตของเราเลย การใช้ชีวิตไม่เพียงเกิดขึ้นเพื่อ กิน นอน สืบพันธุ์ แล้วตาย ทำงาน หาเงิน ใช้เงิน แล้วตาย
ก่อนความตายมาเยือน เราจึงควรค้นพบ ‘คุณค่าและความหมาย’ ที่แท้จริงของชีวิต ใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ก่อนหมดเวลา และต้องคืนร่างนี้ไป
เราอยู่อย่างไร เราตายอย่างนั้น ตายแล้วจะไปที่ใด ? ใครอยากเกิด ก็ต้องเวียนว่าย ใครอยากตาย ก็ต้องกลับมาเกิด
มีเพียงการไม่เกิด ไม่ตายเท่านั้น ที่จะดับสิ้นตัวตน พ้นทุกข์ตลอดกาล นิพพาน --- ที่จะนำพ้นการเวียนว่ายตายเกิด ตลอดไป
Create Date : 02 มีนาคม 2566 |
Last Update : 2 มีนาคม 2566 4:53:42 น. |
|
17 comments
|
Counter : 1188 Pageviews. |
|
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณหอมกร, คุณเริงฤดีนะ, คุณtanjira, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณอุ้มสี, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณRain_sk, คุณnonnoiGiwGiw, คุณThe Kop Civil, คุณปัญญา Dh, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณทนายอ้วน, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณSweet_pills, คุณกิ่งฟ้า, คุณnewyorknurse |
โดย: หอมกร วันที่: 2 มีนาคม 2566 เวลา:5:27:10 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 2 มีนาคม 2566 เวลา:5:56:20 น. |
|
|
|
โดย: tanjira วันที่: 2 มีนาคม 2566 เวลา:7:19:41 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 2 มีนาคม 2566 เวลา:8:52:14 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 2 มีนาคม 2566 เวลา:10:38:38 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 2 มีนาคม 2566 เวลา:11:46:34 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 2 มีนาคม 2566 เวลา:21:01:55 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 2 มีนาคม 2566 เวลา:22:50:57 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 3 มีนาคม 2566 เวลา:0:13:21 น. |
|
|
|
| |
ใครๆ ก็ต้องตาย แต่ทุกคนก็กลัวที่จะตายอยู่ดี
ว่าแต่เมื่อไหร่ลุงนั่นจะตายไปจากการเมืองเสียที