: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - วินาทีที่เป็นอิสระ :
: วินาทีที่เป็นอิสระ :เขียน - โตมร ศุขปรีชา และ นิ้วกลม
6 ปีที่แล้ว พี่พงศ์มอบหนังสือเล่มนี้ให้ผม ที่แผ่นรองปกพี่พงศ์เขียนไว้ว่า“ขอให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะครับ”ผมเพิ่งค้นหนังสือเล่มนี้เจอและนำกลับมาอ่านใหม่อีกครั้ง“วินาทีที่เป็นอิสระ” เป็นหนังสือความเรียงจากนักเขียนคุณภาพระดับประเทศสองคน คือ คุณโตมร ศุขปรีชา และคุณเอ๋ นิ้วกลม เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแนวคิดและประวัติสั้น ๆ ของเหล่านักคิดชื่อดังระดับโลก บางคนมีสถานะเป็นคุรุ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ นักวิทยาศาสตร์ นักเขียน ไปจนถึงนักบวช เช่น ท่านติช นัท ฮันห์ , โอโช , กฤษณมูรติ , จวงจื่อ , เอ็กฮาร์ท โทลเล , เฮอมานน์ เฮสเส , เขมานันทะ , เพม่า โชดรัน เป็นต้น ใน 12 คน มี 3 คนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน นอกนั้นเคยอ่านหนังสือผ่านตามาแล้วทั้งสิ้น
ผู้คนเหล่านี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ เป็นผู้นำเสนอแนวคิดที่ท้าทายตนเองออกมาในระดับที่สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมได้เป็นวงกว้าง ผมจำความรู้สึกในการอ่านครั้งแรกไม่ได้แล้ว แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกชอบ เหมือนคนได้ดื่มน้ำตอนที่กระหาย คล้ายว่าข้อความในหนังสือตอบโจทย์ความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้
------------------------------------------------
หลายวันก่อนมีเพื่อนเฟซบุ๊กคนหนึ่ง ทักผมมาในกล่องข้อความว่า เขาอยากขอเป็นลูกศิษย์ผม ผมกดส่งอีโมรูปยกนิ้วโป้งให้ แต่ไม่ได้บอกว่ารับหรือไม่รับ เขาปรึกษาข้อข้องใจในเรื่องธรรมะกับผมมาสองสามครั้งแล้ว ซึ่งผมก็ตอบคำถามไปตามที่ตนเองรู้ และแน่นอน --- ผมไม่เคยคิดว่าตนเองจะไปเป็นอาจารย์สอนธรรมใครได้ เพราะตัวเองก็ยังเป็นเพียงผู้ฝึกฝนตนคนหนึ่ง ยังอยู่ในระหว่างการเรียนรู้และปฏิบัติ
ผมนึกถึงคำตอบที่ท่านพุทธทาสเคยกล่าวไว้เมื่อมีคนมากราบท่านที่สวนโมกข์ (ขอคัดลอกเรื่องนี้มาลงให้อ่านกันอีกครั้งจากหนังสือ ร้อยคนร้อยธรรม 100 ปี พุทธทาส ครับ)
สมัยที่ท่านพุทธทาสยังดำรงขันธ์อยู่นั้น ท่านมักจะนั่งที่ม้านั่งประจำของท่าน เมื่อมีคนไปหาท่าน ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม ท่านก็จะถามด้วยคำถามเดิม ๆ ตามสไตล์ของท่านว่า “มาทำไม”
ครั้งหนึ่ง มีนักเขียนนวนิยายผู้มีชื่อเสียงเดินทางมาพบท่าน (ขณะนั้นยังไม่มีชื่อเสียง) ด้วยจิตใจที่เป็นทุกข์ เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิต นักเขียนคนนี้เคยอ่านหนังสือของท่านพุทธทาส แล้วเกิดความศรัทธา จึงดั้นด้นขี่จักรยานเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร เพียงเพื่อที่จะมาอยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านพุทธทาสที่สวนโมกข์ ด้วยความหวังว่าท่านคงจะมีทางออกให้ หรือไม่ก็ช่วยให้บรรลุธรรมไปเลย
นักเขียนคนนี้เดินทางมาถึงสวนโมกข์ในช่วงสาย ๆ ของวันหนึ่ง แต่กว่าที่ลูกศิษย์และคณะบุคคลที่มากราบนมัสการท่านพุทธทาสจะกลับไปหมด ก็ต้องรอถึงจนเย็น ระหว่างนั้น ท่านพุทธทาสคงจะสังเกตเห็นอาการกระสับกระส่ายของเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ท่านก็แกล้งทำเป็นเฉย เมื่อเห็นว่าปลอดคนแล้ว เขาจึงรีบเข้ามากราบท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสถามขึ้นเสียงดังว่า “มาทำไม ?!” เขาตอบว่า “ผมมากราบท่านครับ” “กราบฉันทำไม ?!” ท่านพุทธทาสถามเสียงดัง “ผมศรัทธาท่านครับ” เขาตอบแบบมีตกใจเล็กน้อย “ศรัทธาฉันทำไม... ทำไมถึงไม่ศรัทธาตัวเอง ?!” เขาถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติได้ แล้วพูดว่า “ผมอยากเรียนธรรมะกับท่านโดยตรงครับ” “ธรรมะก็มีอยู่ทั่วไปนั่นแหละ” ท่านพุทธทาสตอบ “คือ....ผมอยากฟังจากปากท่านครับ” “ฉันเขียนหนังสือเอาไว้ตั้งเยอะแยะ !” เจอแบบนี้ถึงกับอึ้ง หน้าชาไปพักใหญ่ แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ท่านพุทธทาสก็ตะเพิดขึ้นว่า “ไป๊ เอ้า...เณร ...พาเขาไปหาที่หลับนอนก่อน”
เขารู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก เพราะอุตส่าห์เดินทางไกลเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร เพียงเพื่อที่จะมาให้คนที่ตนศรัทธาดุด่าว่ากล่าวอย่างนี้ เช้าวันรุ่งขึ้นก็ปั่นจักรยานออกไปจากสวนโมกข์ทันที ด้วยความน้อยอกน้อยใจ ขณะที่ปั่นจักรยานนั้นใจก็ค่อย ๆ ทบทวนเหตุการณ์เมื่อวานนี้ไปเรื่อย ๆ คิดถึงวันก่อนที่จะมาหาท่านพุทธทาส คิดถึงเหตุผลที่ตนเดินทางมาสวนโมกข์ คิดถึงสิ่งที่ท่านพูด พลันนั้นเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างสว่างโพลงขึ้นในใจ เขาเริ่มจะเห็นอะไรราง ๆ แล้ว คำถามที่ท่านพุทธทาสถามว่า “มาทำไม” นั้นดูเหมือนจะง่าย แต่เอาเข้าจริง ๆ กลับเป็นคำถามที่ลึกซึ้ง การจะตอบคำถามนี้ได้ คนตอบต้องรู้ว่า ตนเองมาจากที่ไหน จะไปที่ไหน ไปที่นั่นทำไม อะไรคือจึงมุ่งหมายของการมีชีวิต
“ศรัทธาฉันทำไม ทำไมถึงไม่ศรัทธาตัวเอง” คำพูดนี้กระทบความรู้สึกเขามาก เวลาที่อยู่ต่อหน้าท่านพุทธทาส เขาไม่รู้สึกตัว แต่บัดนี้ เวลาที่อยู่คนเดียว เขาเพิ่งจะตระหนักว่า สิ่งที่ท่านพุทธทาสพูดนั้นตรงกับภาวะที่เขาเป็นอยู่ เป็นภาวะของคนที่สูญสิ้นความศรัทธาในตัวเอง
---------------------------------------------------
วินาทีที่เป็นอิสระ --- เราเคยลองถามตัวเองดูบ้างไหม ว่าเราอยากเป็นอิสระจากอะไร ? นิทานในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมนึกถึงคำถาม-คำตอบในใจ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในยามค่ำคืนขณะที่อินเดียนแดงเผ่าเชโรกีนั่งล้อมรอบกองไฟ ผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านสอนหลานตัวน้อยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในตัวของเราทุกคนนั้นมีหมาป่าสองตัวต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา ตัวหนึ่งเป็นหมาป่าแห่งความเกลียดชัง ขี้โมโห ขี้อิจฉา ละโมบ เศร้าสร้อย หยิ่งยะโส ดูถูกคนอื่นและชอบดูถูกตัวเองด้วย ส่วนอีกตัวเป็นหมาป่าแห่งความรัก ซึ่งร่าเริง มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สุขุมเยือกเย็น มีเมตตา เห็นอกเห็นใจและรักผู้อื่น” เจ้าหลานตัวน้อยจินตนาการตามถึงการสู้กันของหมาป่าทั้งสอง แล้วข้องใจสงสัยจึงเอ่ยปากถามผู้เฒ่า “แล้วตัวไหนเป็นฝ่ายชนะล่ะครับ” ผู้เฒ่ายิ้มแล้วตอบสั้น ๆ ว่า “ก็ตัวที่เจ้าให้อาหารมันนั่นแหละ”
....................................................
ใช่ --- ผมไม่เคยอยากเป็นอาจารย์ของใคร ไม่เคยอยากมีลูกศิษย์ ธรรมะที่ผมเรียนรู้ ต้องทำไป รู้ไป ต้องทำเอง รู้เอง การเขียนหรือโพสต์งานเขียน ภาพวาดแนวธรรมะของผม ไม่ได้เป็นการอวดตัวว่าผมรู้เยอะรู้มากกว่าคนอื่น ผมเขียนงานเหล่านี้เพื่อเตือนตัวเอง ว่าผมไม่ได้เหนือกว่าหรืออยู่ต่ำกว่าใคร เราต่างเท่าเทียมกันในการตื่นรู้ เราต่างเหมือนกันในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย บางอย่างผมรู้ บางอย่างผมไม่รู้ การที่ผมไม่รู้ จึงต้องเรียนรู้ไปจนกว่าจะรู้ และผมอยากรู้สิ่งนั้นด้วยตัวผมเอง
ผมชอบบทสนทนาในตอน “โอโช” ที่คุณนิ้วกลมเขียนไว้ว่า การอ่าน การคิด และการลงมือทำ ต่างกันอย่างไร ? คุณสาธนา ลูกศิษย์ของโอโช คุรุชาวอินเดียผู้ล่วงลับให้คำตอบไว้ว่า
“หากคุณหิว แล้วนั่งอ่านแต่ตำราทำอาหาร คุณขบคิดวิธีทำอาหาร คุณเข้าใจมันทะลุปรุโปร่งทั้งหมด คำถามก็คือ คุณหายหิวไหม ? --- ไม่หายหรอก คุณอย่ามัวมานั่งอ่านตำราทำอาหาร อย่ามัวนั่งคิด นั่งท่องสูตร คุณต้องลงมือทำอาหาร กินอาหาร คุณจึงจะหายหิว”
อยากเป็นอิสระจากความทุกข์ ? ก็ต้องหาวิธีออกจากความทุกข์นั้นให้ได้ ใครจะทำให้เราได้ ถ้าไม่ใช่เราต้องลงมือทำด้วยตนเอง อิสระแบบไหนหรือที่คุณต้องการ ? มันเป็นเพียงการออกจากกรงหนึ่งเพื่อบินเข้าไปในอีกกรงหนึ่ง แล้วหลงคิดไปว่าตัวเองเป็นอิสระแล้วหรือเปล่า
ร้อยคำสอน พันคำบอกเล่า หมื่นเรื่องราวบอกสอน ไม่อาจทำให้ใครพ้นทุกข์ หรือบรรลุธรรมได้“วินาทีที่เป็นอิสระ” อยู่ตรงไหน ที่ใด เมื่อไร ต้องทำอย่างไรจึงจะพบ
บางที....มีแต่การวางคำถามและความสงสัยทั้งหมดลงก่อน เดินย้อนเข้าไปในสิ่งที่ทำให้เกิดคำถาม บางทีคำตอบก็อยู่ตรงนั้นมาเนิ่นนานแล้ว เพียงแต่เราไม่เคยมองเห็นมัน
Create Date : 01 มีนาคม 2566 |
Last Update : 2 มีนาคม 2566 4:48:08 น. |
|
19 comments
|
Counter : 209 Pageviews. |
|
|
|
|
...
อ่านข้างบนแล้วได้แนวคิดว่า ควรสังเกตรอบ ๆ ข้างตัวเอง สังเกต
ตัวเราเองแล้วมา วิเคราะห์แยกแยะออก ว่าสิ่งไหนควรทำ หรือ
ปล่อยบางอย่างออกไป
ชีวิตจะสุขสงบ คนรอบข้างก็มีความสุขด้วย