:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณคล้ายดาว ::
:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณคล้ายดาว ::
“ธรรมะที่แท้ คือ การค้นพบ ไม่ใช่การค้นหา และถ้าเธอจะค้นพบมันได้ ก็ต้องค้นพบในตัวเธอเอง”
แล้วเราจะค้นพบด้วยวิธีไหนคะ เพราะอ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ พระมั่วสีกา พระดื่มเหล้า พระขายยาบ้า บอกตรงๆว่ารู้สึกเสื่อมศรัทธากับพระสงฆ์ผู้สืบทอพระพุทธศาสนา
จริงอยู่ว่าคำสอนของพุทธองค์ไม่มีวันเสื่อม แต่ทุกอย่างในเมื่อบางอย่างเราเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ได้ เราก็ต้องการผู้ชี้แนะ แล้วในเมื่อศิษย์ของตถาคตเป็นเสียแบบนั้นแล้ว เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่พระสอนเรา อย่างเช่นการนั่งกรรมฐานมันจำเป็นต้องนั่งด้วยหรือถึงจะบรรลุได้ ? การนั่งกรรมฐานเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ?
ไปวัดกับแม่ทีไรพระท่านจะชอบให้นั่งค่ะ ซึ่งฉันก็หลับประจำ
อย่าหาว่าลบหลู่เลยนะคะ แต่สงสัยจริงๆว่าพระไตรปิฎกนี่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์อะไรคะ ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ หาใช่คนจารึกขึ้นเอง หรือแค่เล่ากันต่อๆมาจนเป็นตำนาน
คำถามโดย : คล้ายดาว วันที่ : 17 ธันวาคม 2553 เวลา : 0:15:03 น.
ธรรมะที่แท้ คือ การค้นพบ ไม่ใช่การค้นหา และถ้าเธอจะค้นพบมันได้ ก็ต้องค้นพบในตัวเธอเอง
. .
เราจะค้นพบธรรมะที่แท้ได้ที่ไหน อย่างไร และเมื่อไหร่ ? เมื่อวานผมได้ตอบคำถามนี้กับเพื่อนบล็อกคนหนึ่งไปว่า
“ไม่ทราบครับ”
คือผมไม่ทราบจริงๆ ว่าคนๆหนึ่งจะพบธรรมะที่ทำให้ตัวเองตื่นรู้ได้ที่ไหน ในคัมภีร์โบราณบอกไว้เยอะมากครับ พระบางรูปกวาดลานวัดก้อนหินกระเด็นใส่ต้นไผ่เสียงดัง “กริ๊ก” ท่านก็บรรลุธรรมเลยในฉับพลัน บางคนโดนอาจารย์ตวาด โดนชก โดนฟาดด้วยไม้จนบรรลุธรรม บางคนเกิดดวงตาเห็นธรรมตอนที่สูญเสียคนรักที่สุดในชีวิต บางคนเกิดความอิ่มเอิบใจขณะปฏิบัติธรรมด้วยวิธีต่างๆ ฯลฯ
ธรรมะที่แท้จริงไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันหมดอายุ เพราะธรรมที่แท้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ สร้างอะไรมาแล้วเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ ยังจะสร้างอะไรให้เกิดขึ้นอีกเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ และจะหยุดสร้างเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้อีกเช่นกัน
ธรรมะที่แท้จึงไม่ใช่ พระพุทธ หมายถึง พระพุทธรูป พระธรรม หมายถึง คัมภีร์ คำสอนหรือพระไตรปิฏก พระสงฆ์ หมายถึง นักบวช
ถ้าเรามองเห็นเท่านี้ เราจะเห็นแต่การยึดติดในตัวบุคคล ความหลงผิดในหลักปฏิบัติ และการศรัทธาอย่างงมงายต่อตัวผู้สืบทอดคำสั่งสอนโดยขาดการไตร่ตรอง
แต่ถ้าลองเปลี่ยนนิยามความหมายของสามสิ่งด้านบนเป็น
พุทธะ หมายถึง ปัญญา ธรรมะ หมายถึง พลัง สังฆะ หมายถึง ความบริสุทธิ์
สามสิ่งนี้มีอยู่แล้วในตัวเรา
ปัญหาคือ เราไม่เคยรู้ว่าเรามี สอง ถึงรู้ว่าตัวเรามีแต่มันก็ใช้งานได้ไม่เต็มที่ (เพราะถูกความเห็นผิด หรือกิเลสบดบัง)
อาจมีคนช่วยแนะนำเราได้ แต่ก็แค่บอกว่า ในตัวเรามีสิ่งนี้นะ มีปัญญา มีพลัง มีความบริสุทธิ์นะ แต่เราจะค้นพบมันได้อย่างไร ครูที่ดีก็อาจพามาส่งได้แค่หน้าประตู แต่ประตูบานนี้จะเปิดออกมาได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเท่านั้นจริงๆ
ถึงมีคำพูดที่ว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยพาใครตรัสรู้หรือนิพพานได้เลย หากคนๆนั้นไม่คิด ไม่ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
การนั่งสมาธิหรือวิปัสสนาสำหรับผม จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำให้ความคิดเราหยุดฟุ้งซ่าน หยุดสร้างเรื่องราวที่ทำให้ปัญญาไขว้เขว และถูกบดบังไปด้วยความสงสัย
ถ้าเปรียบเทียบให้ง่ายขึ้น สมาธิ ก็เหมือน สายน้ำที่พัดแรง (ความคิดที่ไม่หยุดคิดฟุ้งซ่าน) เราเอาแก้วน้ำตักน้ำในแม่น้ำนี้ขึ้นมาวาง น้ำจะขุ่นเพราะมีโคลนผสมอยู่ ความคิดเราเหมือนน้ำในแก้วที่ขุ่นมัว เต็มไปด้วยตะกอนแห่งกิเลส ตัณหา และความทุกข์
เมื่อวางแก้วทิ้งไว้สักระยะเวลาหนึ่ง น้ำจะเริ่มนิ่ง ตะกอนและโคลนจะนอนก้น นี่คือสมาธิในความหมายของผม คือ ทำให้เราได้หยุดนิ่งและมีเวลาตั้งสติกับตัวเอง การกำหนดนับลมหายใจเป็นอุบายให้เรากลับมาอยู่กับตัวเราเอง อยู่กับลมหายใจตัวเอง จะได้ไม่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ด้วยความฟุ้งซ่าน
ส่วนวิปัสสนา เหมือนการนำโคลนออกมาจากแก้ว เราจะออกจากทุกข์นี้ได้ ต้องให้แก้วไม่เหลือโคลนอยู่ ไม่เช่นนั้นแก้วถูกเขย่าเมื่อไหร่ น้ำก็ขุ่นข้นอีกครั้ง (และครั้งแล้วครั้งเล่า)
วิปัสสนา คือ การพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง เป็นจริงตามที่มันต้องเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้มันเป็น ถ้าเราเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ก็เหมือนการนำโคลนออกจากแก้วน้ำ
นำเมฆที่บดบังพระอาทิตย์ออกไป เพื่อให้พระอาทิตย์ส่องแสงได้ตามปกติ โดยไม่ต้องไปแสวงหาวิธีเพิ่มแสงให้ดวงอาทิตย์แต่อย่างใด
พระไตรปิฏก จึงเป็นเพียงแนวทางในการสอนและการปฏิบัติ เหมือนคู่มือขับรถ แต่ถ้าเราอ่านแต่คู่มือโดยไม่ลงมือขับ ก็ยากที่จะขับรถได้ดี
พระไตรปิฏกเกิดจากการรวบรวมคำสอนจากลูกศิษย์ของพระพุทธองค์ และคำสอนเหล่านั้นย่อมผ่านการปรุงแต่ง การสอดแทรกแนวความคิดและความเชื่อมากมาย ของผู้ที่เข้าร่วมสังฆายนานั้น มีเรื่องของการเมือง การปกครองเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย
ถ้าจะเอา 84000 พระธรรมขันธ์มาย่นย่อให้เหลือหลักใหญ่ใจความเดียว ผมคิดว่าที่สุดแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าก็คือ
“การละเว้นความชั่วและการกลัวเกรงต่อการกระทำสิ่งไม่ดีทั้งปวง”
เราเพียงรักษาข้อนี้ไว้ให้ได้ เท่านี้ก็ครอบคลุมศีลและหลักทั้งหมดของพระพุทธองค์ได้แล้วล่ะครับ
Create Date : 24 มีนาคม 2554 |
Last Update : 24 มีนาคม 2554 5:14:50 น. |
|
83 comments
|
Counter : 833 Pageviews. |
|
|
|
เจิมก่อนเน้อเจ้า..