ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณtanjira, คุณหอมกร, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณทนายอ้วน, คุณ**mp5**, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณเนินน้ำ, คุณThe Kop Civil, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณnewyorknurse |
| |
โดย: หอมกร 9 มิถุนายน 2566 7:00:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: tanjira 9 มิถุนายน 2566 7:11:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: tanjira 9 มิถุนายน 2566 7:12:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทนายอ้วน 9 มิถุนายน 2566 8:55:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทนายอ้วน 9 มิถุนายน 2566 14:19:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนินน้ำ 9 มิถุนายน 2566 19:37:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนินน้ำ 9 มิถุนายน 2566 19:38:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปัญญา Dh 9 มิถุนายน 2566 21:28:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 9 มิถุนายน 2566 23:18:27 น. |
|
|
|
| |
นั่นคือตัวปฏิบัติที่แท้จริง
ฉะนั้น การไปเห็นจิตมันคิด เห็นความคิด
เห็นกิเลสที่มากับความคิด
พวกนี้เป็นตัวปฎิบัติที่จะสามารถละเหตุของความทุกข์
คือ สมุทัยได้
การรู้กายที่มันเคลื่อนไหว
คือ การกระตุ้นจิตให้ตื่น
ถ้าจิตไม่ตื่น กิเลสมันจะตื่น
ถ้ากิเลสตื่น มันก็จะเป็นใหญ่เหนือจิตใจเรา
การรู้การเคลื่อนไหว เป็นแค่เหตุ
นำไปสู่การเห็นการคิดเป็นผล
เมื่อใครฝึกเจริญสติ"ดี"แล้ว
ท่านบอกไปดูความคิดเลยก็ได้
เน้นว่า ต้อง"ดีแล้ว"นะ
คือ ผ่านความหลงแล้วจิตตื่นมา
แล้ว จึงค่อยไปดูความคิด
ถ้าไปดูความคิด สติยังไม่ตั้งมั่นพอ
มันจะไปไม่ถึงจิต มันจะไม่ใช่การตื่นรู้
แต่มันจะกลายเป็นการใช้ความคิดเข้าไปรู้
เป็นเรื่องของสมอง ไม่ใช่จิต
แต่ถ้ารู้สึก "สัมผัสรู้" ปุ๊บนี่ จิตมันจะดีดตัวออกมา
เป็นผู้รู้ทันทีเลย
เรียกว่าเป็นวิปัสสนา แปลว่า รู้ ดู เห็น"