มีอะไรน่าติดตามในสนามนี้- การต่อสู้ระหว่างสองนักขับเมอร์เซเดสดำเนินต่อไป ฮังกาโรริงเป็นหนึ่งในสนามเก่งของลูอิส แฮมิลตัน เขาได้มาแล้ว 4 โพลและ 4 ชัยชนะจากการลงแข่ง 8 ครั้งในสนามแห่งนี้ ผลการแข่งขันแต่ละสัปดาห์เรามักเดาที่ 1-2 ของเมอร์เซเดสไว้ก่อน แต่แท้จริงแล้วจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ แล้วถ้าใช่ ผู้ชนะจะเป็นแฮมิลตันหรือนิโค รอสเบิร์ก ผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งของเขา
- วิลเลียมส์กับเฟอร์รารี่มาสู้กันต่อเพื่อแย่งอันดับทีมที่ดีที่สุดต่อจากเมอร์เซเดส ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับ เฟอร์รารี่รถดีในแคนาดาและออสเตรียแต่วิลเลียมส์เป็นผู้ที่ได้โพเดียมไป ในขณะที่วิลเลียมส์ดีในซิลเวอร์สโตน แต่โพเดียมก็หลุดมือไปให้เฟอร์รารี่เมื่อเจอฝน สำหรับสนามฮังกาโรริงที่ได้ชื่อว่า "เป็นโมนาโกภาคไม่มีกำแพง" SF15-T อาจไม่ได้แสดงจุดแข็งชัดเจน แต่วิลเลียมส์เตรียมรับความลำบากมากกว่า และน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่เฟอร์รารี่จะฉกฉวยความได้เปรียบอีกครั้งก่อนพักครึ่งทาง
- โตโร รอสโซ เป็นทีมหนึ่งที่รถของพวกเขาเหมาะกับสนามที่มีโค้งความเร็วปานกลางค่อนไปทางสูงอย่างเซกเตอร์ที่ 2 ของสนามฮังกาโรริง ทั้งแม็กซ์ เวอร์สตัปเพ่น และคาร์ลอส ซายนซ์ จูเนียร์ ต่างเคยลงแข่งขันที่นี่มาแล้วในซีรีส์เล็กแม้ผลงานจะไม่เป็นไปตามที่หวัง ในสุดสัปดาห์นี้ทีมหวังว่าจะมีผลการแข่งขันดีกว่าที่ผ่านมา ซึ่งวันศุกร์และเสาร์มักทำได้ดีกว่าวันแข่งเสมอ
- สิ่งที่น่าสนใจและประเด็นร้อนที่สุดตอนนี้หนีไม่พ้นตลาดนักขับปี 2016 หรือที่เรียกช่วงแบบนี้ของฤดูกาลว่า "silly season" ข่าวมาแรงที่สุดเป็นข่าวที่สื่ออิตาเลียนรายงานว่าเฟอร์รารี่และวิลเลียมส์ตกลงกันแล้วในการย้ายมาของวาลท์เทรี่ บอตทาส แม้เฟอร์รารี่ได้ออกมาปฏิเสธข่าวในทันทีแล้วก็ตาม ความสงสัยที่ว่าคิมี่ ไรค์โคเน่น จะรักษาที่นั่งไว้ได้หรือไม่ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนรอคำตอบ และเมื่อใดที่สถานะนักขับอีกคนของเฟอร์รารี่กระจ่างก็จะส่งผลให้ที่นั่งของทีมอื่นๆ ชัดเจนตามไปด้วย
************************************************
แม้ผลการสอบสวนของเอฟไอเอในกรณีอุบัติเหตุของฌูลส์ เบียงคี่ ที่สนามซูซูกะ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2014 จะออกมาแล้วตั้งแต่ปลายปีก่อน ซึ่งสรุปได้ว่าเบียงคี่ลดความเร็วในช่วงธงเหลืองไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้เขาหลุดโค้งไปชนกับรถยกขนาด 6,500 กก. ที่กำลังย้ายรถคันอื่นอยู่ข้างแทร็คด้วยความเร็ว 126 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม ล่าสุดหนังสือเอาโต้ มอเตอร์ อุนด์ สปอร์ต ของเยอรมัน ได้ตีพิมพ์รายงานพิเศษที่ทำให้เราได้รับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมจากอุบัติเหตุครั้งนี้ที่ต้องทำให้เบียงคี่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยสรุปได้ดังนี้ค่ะ
- เบียงคี่สูญเสียการควบคุมรถที่ความเร็ว 213 กม./ชม. และชนเข้ากับรถยกที่ความเร็ว 126 กม./ชม. หลังจากนั้น 2.61 วินาที
- รถของเบียงคี่พุ่งเข้าใต้ส่วนท้ายของรถยกทำมุม 55 องศา
- แรงชนของรถอยู่ที่ 58.8G ซึ่งถือเป็นระดับปกติเมื่อรถเกิดการชนวัตถุแข็งอย่างเช่นแบริเออร์กันชน แต่อุบัติเหตุครั้งนี้รุนแรงกว่าปกติเพราะรถของเบียงคี่มุดเข้าใต้ท้ายรถยก ทำให้เจอแรงกดลงมา
- ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากเอียร์ปลั๊ก (ที่อุดหู) ของเบียงคี่ ระบุว่าเมื่อเกิดเหตุขึ้น เขาได้รับแรง 92G แต่จากการสันนิษฐานคาดว่าแท้จริงแล้วแรงอาจมากกว่านั้น
ทั้งนี้ แอนดี้ เมลเลอร์ รองประธานคณะกรรมการความปลอดภัยของเอฟไอเอ อธิบายว่าปัญหาอยู่ที่บางส่วนของรถมารุสเซียมุดเข้าไปต่ำกว่าแกนกลางของรถยก ทำให้รถมารุสเซียถูกกดจากส่วนท้ายของรถยกนั่นเอง ซึ่งจากตรงนั้นเหมือนเป็นเบรก ทำให้รถถูกลดความเร็วลงอย่างฉับพลัน และในกระบวนการนี้ก็เกิดการกระแทกระหว่างหมวกกันน็อกและรถยก โดยเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ขณะที่ปีเตอร์ ไรท์ ประธานคณะกรรมการความปลอดภัยของเอฟไอเอ กล่าวว่าในบางครั้งมักต้องเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นก่อน เราจึงจะได้เรียนรู้ อย่างกรณีนี้พวกเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาอุบัติเหตุครั้งนี้ไปจนถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่สุด พวกเขาไม่เคยใช้เวลาและความพยายามในการวิเคราะห์กรณีใดมากเท่านี้มาก่อน
หลังจากอุบัติเหตุของเบียงคี่ เอฟไอเอเร่งแก้ไขใน 2 เรื่องที่สำคัญทันที ได้แก่ ปรับปรุงการป้องกันศีรษะนักขับในที่นั่งนักขับ และใช้ระบบจำลองเซฟตี้คาร์ (Virtual Safety Car หรือ VSC) ซึ่งเป็นระบบที่บอกให้นักขับชะลอรถในสถานการณ์อย่างเช่นกรณีที่มีรถยกทำงานอยู่ข้างแทร็ค (เตือนให้รู้ว่ามีรถคันอื่นหรือเจ้าหน้าที่อยู่ในภาวะที่อาจเป็นอันตราย แต่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องใช้เซฟตี้คาร์)
*ข้อมูลจาก formula1.com / gpupdate.net / wikipedia.org / motorsport.com
ภาพจาก formula1.com / motorsport.com