เซฟตี้คาร์จะออกมาเมื่อกรรมการฝ่ายควบคุมการแข่งขันเห็นว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุอยู่ในจุดที่เสี่ยง และการกู้รถต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนกับจุดเดิม เซฟตี้คาร์ออกมาวิ่งนำการแข่งขันโดยอยู่ข้างหน้ารถผู้นำ เป็นการควบคุมความเร็วของรถบนแทร็คให้เหมาะสม ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป ขณะที่วิ่งตามหลังเซฟตี้คาร์ ห้ามไม่ให้มีการแซงกัน หากมีรถช้าที่วิ่งคนละรอบ (รถถูกน็อกรอบ) แทรกอยู่ กรรมการจะให้สัญญาณรถช้านั้นแซงเซฟตี้คาร์ขึ้นมาเพื่อวนกลับไปอยู่ในตำแหน่งจริงของตน ซึ่งนักขับอาจเข้าพิตไปเปลี่ยนยางได้ตามสัญญาณที่กรรมการแจ้งว่าพิตเลนเปิด
หากสถานการณ์ในแทร็คกลับมาเป็นปกติได้แล้ว เซฟตี้คาร์จะกลับเข้าพิตเลน โดยจะให้สัญญาณแก่ผู้นำด้วยการดับไฟสีเหลืองบนรถในรอบสุดท้ายที่วิ่ง เมื่อเซฟตี้คาร์กลับเข้าไปในพิตเลนแล้ว รถจะกลับมาแข่งขันด้วยความเร็วเต็มที่และแซงกันได้ตามปกติก็ต่อเมื่อวิ่งผ่านเส้นสตาร์ทเพื่อนับรอบใหม่ไปแล้ว ทั้งนี้ ผู้นำการแข่งขันมีสิทธิ์กำหนดจังหวะวิ่งผ่านเส้นสตาร์ท ถ้าผู้นำยังไม่ข้ามเส้นสตาร์ท แม้เซฟตี้คาร์จะกลับเข้าพิตเลนแล้วก็ยังแซงกันไม่ได้
ในกรณีที่การกู้รถที่เกิดอุบัติเหตุทำไม่สำเร็จภายในรอบการแข่งขันที่เหลือ เซฟตี้คาร์จะวิ่งอยู่จนจบการแข่งขัน แต่ก่อนถึงเส้นชัยเซฟตี้คาร์จะวิ่งกลับเข้าพิตเลนไปก่อนเพื่อปล่อยให้รถผ่านเส้นชัยตามปกติ
นอกจากนั้น ปัจจุบันมีการนำระบบเสมือนมีเซฟตี้คาร์ในสนาม (Virtual Safety Car - VSC) มาใช้โดยมีสถานะเทียบเท่ากับการโบกธงเหลืองคู่ แต่อาจไม่จำเป็นถึงขั้นใช้เซฟตี้คาร์ เมื่อกรรมการตัดสินใจให้ใช้ระบบ VSC จะมีป้ายไฟสัญญาณขึ้นแจ้งนักขับด้านข้างสนาม นักขับต้องลดความเร็วลงแต่ไม่ช้าเกินกว่าที่กำหนด และเมื่อสถานการณ์ในแทร็คกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ป้ายไฟสัญญาณจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว
*********************************************************
กฎด้านเทคนิคเบื้องต้นที่ควรทราบ
เครื่องยนต์นับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา เครื่องยนต์ฟอร์มูล่าวันใช้ขนาด 1.6 ลิตร V6 เทอร์โบ จำกัดความเร็วรอบเครื่องไม่เกิน 15000rpm นอกจากกำลังของเครื่องยนต์แล้ว ยังจะได้แรงม้าจากการใช้ระบบ ERS (Energy Recovery System) ซึ่งเป็นระบบที่จะเปลี่ยนพลังงานกลและพลังงานความร้อนมาเป็นพลังงานไฟฟ้า
รถแต่ละคันถูกกำหนดให้บรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่เกิน 100 กก. หรือประมาณ 130 ลิตรในการแข่งขันแต่ละสนาม และเครื่องยนต์จะต้องบริโภคน้ำมันไม่เกิน 100 กก./ชม. โดยน้ำหนักรถเมื่อรวมน้ำหนักนักขับและอุปกรณ์ความปลอดภัย แต่ไม่รวมเชื้อเพลิง จะต้องไม่ต่ำกว่า 702 กก.
สำหรับกฎการใช้หน่วยเครื่องยนต์ (Power Unit) ของปี 2016 ระบุไว้ดังต่อไปนี้
- นักขับแต่ละคนมีสิทธิ์ใช้หน่วยเครื่องยนต์ได้ 5 ตัวตลอดฤดูกาล
- หน่วยเครื่องยนต์ของรถฟอร์มูล่าวันประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 6 ส่วน ได้แก่
1. เครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน (Internal Combustion Engine: ICE)
2. เครื่องกำเนิดไฟฟ้า - พลังงานจลน์ (Motor Generator Unit - Kinetic: MGU-K)
3. เครื่องกำเนิดไฟฟ้า - พลังงานความร้อน (Motor Generator Unit - Heat: MGU-H)
4. ระบบสะสมพลังงาน (Energy Store: ES)
5. ตัวชาร์จเทอร์โบ (Turbo Charger: TC)
6. ระบบควบคุมไฟฟ้า (Control Electronics: CE)
- นักขับแต่ละคนจะสามารถใช้ส่วนประกอบของหน่วยเครื่องยนต์ 6 ส่วนข้างต้นได้ส่วนประกอบละ 5 ตัวตลอดฤดูกาล
- หากนักขับต้องใช้ส่วนประกอบใดๆ ของเครื่องยนต์มากกว่า 5 ตัว นักขับจะต้องรับโทษปรับอันดับกริดสตาร์ทลงมาตามที่เอฟไอเอกำหนดไว้ในทุกๆ ครั้งแรกของการใช้ส่วนประกอบของเครื่องยนต์เพิ่มเติม
> นักขับใช้ส่วนประกอบใดก็ตามเป็นตัวที่ 6 ครั้งแรก นักขับผู้นั้นจะต้องถูกปรับกริดสตาร์ท 10 อันดับ
> นักขับใช้ส่วนประกอบอื่นๆ ที่เหลือเป็นตัวที่ 6 ตามมา นักขับผู้นั้นจะต้องถูกปรับกริดสตาร์ท 5 อันดับ
โดยกระบวนการลงโทษจะเป็นไปเช่นนี้อีกเมื่อเริ่มใช้ส่วนประกอบใดๆ เป็นชิ้นที่ 7 8 9 ฯลฯ
- นอกจากนั้น ฟอร์มูล่าวันยังมีการปรับปรุงเสียงของเครื่องยนต์ให้ดังขึ้นด้วยการกำหนดให้ท่อไอเสียหลักมีท่อไอเสียรองเพิ่มขึ้นมา 1-2 ท่อ ซึ่งต้องไม่มีผลทางด้านแอโรไดนามิกส์ใดๆ และในส่วนของการพัฒนาเครื่องยนต์ระหว่างฤดูกาล ผู้ผลิตเครื่องยนต์แต่ละรายจะได้รับสิทธิ์พัฒนารายละ 32 โทเค่น (tokens) โดยหากมีผู้ผลิตเครื่องยนต์รายใหม่เข้ามาในฟอร์มูล่าวันก็จะได้รับสิทธิ์ 15 โทเค่นในปีแรก และเพิ่มเป็น 32 โทเค่นในปีที่ 2
เกียร์บ็อกซ์หรือชุดเกียร์- นักขับแต่ละคนจะต้องใช้เกียร์บ็อกซ์ในการแข่งขันชุดหนึ่ง 6 สนามติดต่อกัน
- หากนักขับคนใดเปลี่ยนเกียร์บ็อกซ์ก่อนกำหนดจะต้องรับโทษปรับกริดสตาร์ทลง 5 อันดับในสนามที่มีการเปลี่ยน
- ถ้านักขับคนใดไม่จบการแข่งขันด้วยสาเหตุที่เหนือการควบคุมทั้งจากนักขับหรือทีม นักขับสามารถลงแข่งขันในสนามต่อไปได้ด้วยเกียร์บ็อกซ์ชุดใหม่โดยไม่ต้องรับโทษ
อากาศพลศาสตร์/แอโรไดนามิกส์งานด้านแอโรไดนามิกส์ของรถฟอร์มูล่าวันมี 2 เรื่องสำคัญด้วยกัน คือ แรงกด (downforce) และแรงลาก (drag) ดาวน์ฟอร์ซจะกดยางลงบนพื้นถนนและช่วยให้เข้าโค้งได้เร็วยิ่งขึ้น โดยจะลดแรงลาก ซึ่งเป็นเหมือนกำแพงต้านอากาศขณะรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ทั้งนี้ ดาวน์ฟอร์ซจะช่วยเพิ่มความเร็วให้รถระหว่างวิ่งบนทางตรงอีกด้วย (อ่านเรื่องดาวน์ฟอร์ซเพิ่มเติมได้
ที่นี่ / อ่านเรื่องแรงลากเพิ่มเติมได้
ที่นี่)
ทุกตารางนิ้วบนรถฟอร์มูล่าวันมีผลกับแอโรไดนามิกส์โดยรวมของรถเองและการทำให้แอโรไดนามิกส์เกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทีม
*********************************************************
ประวัติฟอร์มูล่าวันโดยสังเขปการแข่งขันฟอร์มูล่าวันชิงแชมป์โลกเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1950 โดยเกิดจากการรวบรวมการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตรายการใหญ่ (Grand Prix) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในทวีปยุโรประหว่างยุคทศวรรษที่ 1920 และ 1930 เข้าไว้ด้วยกัน การแข่งขันฟอร์มูล่าวันกรังด์ปรีซ์เกิดขึ้นครั้งแรกที่สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1950 ซึ่งจวบจนถึงวันนี้ฟอร์มูล่าวันแข่งขันกันมาแล้วมากกว่า 900 ครั้ง
แชมป์โลกคนแรกของฟอร์มูล่าวันคือ จูเซปเป้ ฟาริน่า ส่วนทีมแชมป์โลกทีมแรกได้แก่ทีมแวนวอลล์ (ตำแหน่งแชมป์โลกประเภททีมมอบให้ในปี 1958 เป็นปีแรก) สำหรับนักขับที่ครองแชมป์โลกจำนวนมากที่สุดคือ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ซึ่งคว้าแชมป์โลกทั้งสิ้น 7 สมัย ในปี 1994-1995 และ 2000-2004 เขายังถือสถิติเป็นผู้ชนะการแข่งขันมากที่สุดจำนวน 91 สนาม โดยเฟอร์รารี่เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดด้วยจำนวนแชมป์โลก 16 สมัย จากชัยชนะทั้งสิ้น 221 ครั้ง
ในวงการมอเตอร์สปอร์ตมีรายการที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชรยอดมงกุฎอยู่ 3 รายการ ได้แก่ อินดี้ 500 เลอมังส์ 24 ชั่วโมง และโมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งรายการหลังจัดการแข่งขันครั้งแรกในปี 1929 และอยู่ในปฏิทินการแข่งขันฟอร์มูล่าวันมาตลอดนับตั้งแต่ปี 1950
*ข้อมูลจาก formula1.com / bbc.com / wikipedia.org
ภาพจาก formula1.com / twitter.com/ausgrandprix / thenational.ae / instagram.com/f1