ฝึกวิ่งเพื่อลดไขมัน
เหตุที่เราต้องออกมาวิ่งมาราธอนกันอย่างช้าๆในตอนต้น ก็ด้วยเหตุว่า การวิ่งช้านั้นเผาผลาญไขมันที่มีมากในร่างกาย แต่ถ้าวิ่งเร็ว ร่างกายก็จะดึงพลังงานมาจากสารไกลโคเจน ที่ร่างกายสกัดมาจากสารแป้งทั้งหลาย ที่มันมักจะหมดเร็วก่อนถึงเป้าหมาย แม้ว่ามันจะเป็นสารให้พลังงานที่ดี แต่เราไม่สามารถเก็บสะสมไกลโคเจน ที่กล้ามเนื้อและตับในร่างกายได้มากนัก ส่วนไขมัน ดูๆยังไงมันก็ไม่ยอมหมดไปอย่างง่ายๆ ในการวิ่งมาราธอนหนึ่งๆเราสลายไขมันไปได้จี๊ดเดียวเอง
นักวิทยาศาสตร์รายงานว่า เราไม่มีทางที่จะสลายไขมันให้เกลี้ยงไปจากร่างกายได้ แม้ว่า (ที่ไม่มีทางเป็นไปได้จริง) เราจะวิ่งไม่หยุดจนร่างกายสิ้นสภาพ ตายไปอย่างฟิดิปปิดีสในตำนานมาราธอน เราก็ยังเหลือไขมันอีกพอสมควร ฟิดิปปิดีสตายไม่ใช่เพราะไขมันหมด แต่เขาตายเพราะเหตุอย่างอื่น
มีนักวิทยาศาสตร์ คำนวณเล่น ๆ ว่า ไขมันในร่างกายที่มีอยู่ จะสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเดินทางด้วยการวิ่งไปได้ไกลขนาดไหน ก็ได้คำตอบว่า วิ่งรอบโลกได้ถึง 2-4 รอบ แล้วแต่ความแตกต่างของระดับไขมันในตัว
จากความเป็นจริงอย่างนี้เอง ทำให้มีการสรุปว่า การออกกำลังกาย เพื่อลดความอ้วน ลดน้ำหนัก หรือเพื่อสลายไขมันแล้วแต่จะเรียก ที่มีประสิทธิภาพว่า จะต้องวิ่งให้ช้า (เพื่อผลาญไขมัน) ไม่ใช่วิ่งเร็วที่จะเผาผลาญไขมันได้ดีกว่า เป็นทฤษฎีที่เชื่อกันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งทุกวันนี้
ฟังๆดูก็สมเหตุสมผลดี แต่ผิดครับ ผิดเต็มใบ อ้าว..แล้วไง จะต้องวิ่งให้เร็วหรือ ? ใช่ครับ ถ้านักวิ่งคนใดยังมีปัญหาควบคุมน้ำหนัก ที่ขนาดยังวิ่งอยู่นี้ ก็ยังคุมน้ำหนักไม่ได้ นี่ก็วิ่งมาได้หลายปีแล้ว น้ำหนักไม่เคยลดเลย อย่างนี้ต้องลงคอร์ทครับ ขอย้ำว่า สมควรเป็นวิธีการลดน้ำหนักในรายที่วิ่งอยู่แล้ว และไม่สมควรให้ไปทำในราย ที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ในการวิ่งออกกำลังมาก่อน ค่าที่ว่าคุณจะเดี้ยงเสียก่อนที่ไขมันก็ยังไม่ลด หากขืนออกกำลังหักโหมตั้งแต่ต้น จากการศึกษาของ Quebec’s Laval University สถาบันที่มีชื่อเสียงในการวิจัยกับมีห้องแลปที่เชี่ยวชาญ ได้รายงานผลการศึกษาในจุลสาร Metabolism ที่ทางนักวิจัยได้ศึกษาจาก Subjects หญิง 14 คน และ ชาย 13 คน โดยเปรียบเทียบการออกกำลังกาย 2 ชนิด คือ แบบธรรมดา (ต่อเนื่องปานกลาง) กับแบบ Interval – training (หนักสลับเบา) โดยใช้อุปกรณ์ที่เป็นจักรยานอยู่กับที่ ในคาบระยะเวลา 20 สัปดาห์
โดยให้กลุ่มแรก ปั่นแบบต่อเนื่อง นาน 30-45 นาที ที่ความเข้มราว 60-85% ของระดับอัตราชีพจรสูงสุด และอีกกลุ่มหนึ่งปั่นแบบลงคอร์ท ที่ 4-5X90 วินาที (ปั่นนาน 90 วินาที จำนวนประมาณ 4-5 เที่ยว) ในคาบระยะเวลาที่นานเท่ากัน แต่เป็นที่ความเข้มราว 95% ของชีพจรสูงสุด
การทดสอบนี้นักวิจัยวัดระดับไขมันจาก Skin-fold Caliper ที่วัดความหนาของผนังท้อง , ไหล่ ,ต้นแขน , ต้นขา , หลังบน , หลังล่าง ผลวิจัยพบว่า กลุ่มหลังสามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าเยอะ ราว 3-4 เท่าของกลุ่มแรกทีเดียว ในขณะที่ใช้ แคลลอรี่ไปน้อยกว่าครึ่งด้วยซ้ำ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ นักวิจัยจากควีเบค อธิบายว่า เพราะการออกกำลังกายชนิดเหนื่อยจัดมากๆ แม้มันจะเผาผลาญไกลโคเจนให้หมดเร็วระหว่างฝึกหรือแข่งก็ตาม แต่กระบวนการเมตาโบลิซึ่มยังทำงานอย่างต่อเนื่องไป หลังการหยุดออกกำลังกายอีกนานหลายชั่วโมง เหตุนี้เอง ร่างกายมิได้ใช้ไกลโคเจนอีกต่อไปแล้ว แต่กลับใช้ไขมันแทน
จากผลการเก็บค่าสถิติชีพจรเต้นในวันฝึกเบา หรือวันหยุดเก็บไว้เพื่อเปรียบเทียบ ถ้าเราจะสังเกตในวันที่ฝึกลงคอร์ท , ในวันที่ฝึกหนัก , หรือในวันแข่ง ที่เย็นนั้นคืนนั้น ร่างกายจะมีชีพจรที่เต้นเร็วกว่าปกติ นั่นเป็นสัญญาณการเร่งกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร
เย็นนั้น หลังจากที่คุณกินอาหาร ได้คาร์โบไฮเดรตใหม่ ร่างกายจะแปลงเป็นไกลโคเจนทดแทนที่หมดไปกับการออกกำลัง แต่กระบวนการเผาผลาญอาหารจากที่วิ่งไปเมื่อเย็นนี้ ยังคงมีอยู่ โดยจะค่อยๆลดลงในคาบระยะเวลาที่นานมาก จนดึกดื่น เราหลับใหลไปแล้ว ไขมันก็ยังถูกเผาผลาญอยู่เรื่อยไป อย่างนี้ไงครับที่มันแตกต่างจากแบบจ็อกเบาเสมอ ที่แม้จะเผาผลาญไขมันมากกว่าไกลโคเจนขณะนั้นก็จริง แต่จบแล้วจบเลย หลังจากนั้น กระบวนการเผาผลาญมิได้เผาผลาญต่อหรือต่อแต่น้อย
แต่ในความเป็นจริง ผู้ที่อยู่ในข่ายลดความอ้วนมักจะยังอ้วนอยู่ และผู้ที่ต้องการจะลดน้ำหนัก มักจะตัวหนักอยู่ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะให้ผู้มีน้ำหนัก และอ้วนมาฝึกลงคอร์ทหน้าตั้ง ซึ่งเป็นจำนวนมากทีเดียวมักจะไม่ใช่นักวิ่งที่มีประสบการณ์ ขายังไม่แข็งแกร่ง และอาจจะบาดเจ็บหากทำเช่นนั้น
ดังนั้นประเด็นก็คือ ให้ค่อยๆเขยิบแผนฝึกทีละน้อย เหมือนหยดน้ำทีละหยดลงตุ่มด้วยความเพียร หรือออมสินวันละบาทจนเต็มหมู แต่ไม่ว่าจะอ้วนใหญ่หรือหนักขนาดไหน ย่อมจะพ่ายแพ้แก่ความบากบั่น ไม่มีอะไรที่เกินความสามารถมนุษย์ไปได้หรอก กัดไม่ปล่อยจนตัวตายก็มนุษย์ ขี้เกียจจนตัวตายก็มนุษย์ แล้วแต่เราจะเลือก
ถ้าคุณฟังและปิ๊ง อยากลองวิธีนี้ดู อย่างแรกที่แนะนำก็ให้ปรึกษาโค้ช หรือเพื่อนนักวิ่งผู้มีประสบการณ์น่าเชื่อถือได้ ให้ช่วยร่างแผนฝึกให้ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ร่างเอง โดยใช้หลักการจากน้อยไว้ก่อนที่ราว 60% ของชีพจรสูงสุด แล้วค่อยๆไล่เร็วขึ้นไปเรื่อยๆ อย่ากระโดดไปที่ 90% เลย เดี๋ยวจะเจ็บ ให้รู้จักบันยะบันยัง และจัดการ “แช่เย็น” ความเข้มนั้นให้คงระดับเดิมนิ่งอยู่ อย่าเพิ่มเข้าไปอีก ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายค่อยๆปรับ และเรียนรู้กระทั่งซึมซับและควรจะให้มีแผนฝึกนี้ เพียงวันเดียวในรอบสัปดาห์ ในขั้นต้น ผู้เขียนอยากให้คุณเซ็ทวันหยุดเพิ่มจาก1 วันต่อสัปดาห์ เป็น 2 วัน แล้วค่อยๆปรับกลับมาอย่างเดิมภายหลังจากอะไรๆเข้าที่แล้ว
สำคัญอีกเรื่อง อย่าเพิ่งเบื่อ คือ ต้องยืดเส้น และวอร์ม-อัพก่อนเสมอ หรือ วิ่งช้าๆแบบห้ามเหนื่อย นานราว 20 นาที ก่อนลงมือ และอีกครั้งแบบเดียวกันเมื่อหลังฝึก เราเรียกว่า “คูล-ดาวน์” เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ อย่าลัดขั้นตอนเป็นอันขาด
โดย กฤตย์ ทองคง ที่มา : //www.thairunning.com/running_lower_fat.htm
สารบัญ ไดเอท ลดน้ำหนัก คลิกดู ที่นี่ค่ะ
Create Date : 23 ธันวาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 23 ธันวาคม 2552 13:07:41 น. |
Counter : 1520 Pageviews. |
|
|
|