10 ประการเพื่อเร่งการเผาผลาญอาหาร
1. พยายามสร้างมวลกล้ามเนื้อ ดังเช่นที่กล่าวไว้แล้วเมื่อตอนต้นว่าระบบการเผาผลาญจะทำงานช้าลง เมื่อเราอายุมากขึ้น ประมาณว่ามันจะทำงานช้าลงปีละ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีบางสิ่งที่คุณทำได้เพื่อต่อสู้กับธรรมชาติ
ชารี ลีเบอร์แมน ผู้เขียนหนังสือชื่อ Dare to Lose ให้ความเห็นว่า “กล้ามเนื้อนี่แหละคือตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุด ถึงระบบเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่คุณกินเข้าไป ชี้ให้เห็นด้วยว่าคุณเผาแคลอรี่และเผาไขมันไปได้มากน้อยแค่ไหน” เธอยังแนะนำด้วยว่า ถ้าคุณต้องการจะเร่งกระบวนการเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น อย่างน้อยก็ควรจะยกดัมบ์เบลหรือดึงแถบยางต้านแรง อย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง เพียงเท่านี้มันก็ช่วยได้มากเลยในการเร่งกระบวนการเผาผลาญ และข่าวดีก็คือระบบเผาผลาญของคุณที่ดีขึ้นนี้ จะยังคงทำงานหนักไปได้อีกหลายชั่วโมงทีเดียว ภายหลังจากออกกำลังมาแล้ว
2. เคลื่อนไหวอยู่เสมอ ถ้าบอกว่าต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ใคร ๆ ก็รู้ แต่ก็ต้องย้ำกันไว้สักหน่อยล่ะว่าคุณควรจะเคลื่อนไหวแบบไม่ธรรมดา ด้วยการหาเวลาให้ได้สัก 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง เพื่อมาเดินเร็ว ๆ, วิ่งจ็อกกิ้ง, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ หรือออกกำลังกายแบบแอโรบิกบางอย่างให้ได้ความถี่อาทิตย์ละ 3 ถึง 4 ครั้ง เรื่องนี้ลีเบอร์แมนคนเดิมบอกว่า “ใคร ๆ ต่างก็ไม่ชอบทำแบบนี้ทั้งนั้นแหละแต่มันก็จำเป็นต้องทำค่ะ”
3. กินเป็นปกติ อย่าได้อดอาหารเป็นอันขาด ลดน้ำหนักได้แต่อย่าอดอาหาร ฟังดูอาจจะเพี้ยนๆ หน่อยสำหรับใครก็ตามที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการกินให้น้อย ๆ เข้าไว้ แต่ความคิดแบบเก่า ๆ นี้กลับเป็นปัญหาตรงที่ว่า มันกลับไปทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานได้ช้าลง
ตามคำอธิบายของจูลี เบเยอร์ นักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนซึ่งกล่าวว่า “ทุก ๆ เซลในร่างกายเราก็ไม่ต่างอะไรจากหลอดไฟ เมื่อเรากินอาหารไม่เพียงพอหรือเปรียบกับได้รับเชื้อเพลิงน้อย เซลหรือไส้หลอดก็จะไม่เผาไหม้สว่างไสว ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ ห่างกันสามถึงสี่ชั่วโมงต่อมื้อก็จะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี และช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย
4. ละเว้นน้ำตาล แน่ล่ะ แม้จะไม่มีน้ำตาลคุณก็ยังเลือกกินอาหารอร่อย ๆ ได้ “เพราะเมื่อใดที่คุณกินน้ำตาลเข้าไป นั่นคือระบบการเผาผลาญ จะถูกเปลี่ยนไปเป็นระบบเก็บกักไขมันอย่างรวดเร็ว” ตามที่ลีเบอร์แมนพูด ในเมื่อเธอเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องการบริโภคอาหารน้ำตาลต่ำ ด้วยหลักความคิดว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ตามปกตินี้แม้ไม่มีน้ำตาล มันก็แตกตัวออก เพื่อช่วยรักษาระดับนำตาลในเลือดอยู่แล้ว
5. ไม่อดอาหารเช้า เป็นความจริงที่ไม่ค่อยจะมีใครคำนึงถึงเท่าไหร่เลยว่า คนที่กินอาหารเช้าที่ถูกสุขลักษณะเป็นประจำ มักจะสะโอดสะองกว่าพวกที่ไม่กิน ลองคิดแบบนอกกะลา (คิดนอกกรอบ) กันดูหน่อยเป็นไร ถ้าหากคุณจะกินอาหารเช้าที่เป็นสลัดผักหรือว่าข้าวซ้อมมือ อาหารแบบนี้แหละที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้ดีนัก ทั้งยังมีเส้นใยอาหารมากกว่าอาหารประเภทอื่นด้วย
6. กินเผ็ดเข้าไว้ คงไม่ต้องถึงกับควันออกหู แต่ถ้าคุณชอบอาหารไทยอยู่แล้วก็ย่อมถือว่าเดินมาถูกทาง แม้แต่ลีเบอร์แมนเองก็ยังพูดเลยว่า “อาหารเผ็ด ๆ นี่แหละช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญดีนัก” ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูเถอะว่า ใครบ้างในวงข้าวของคุณที่กินเผ็ดแล้วเหงื่อแตกพลั่ก ๆ นั่นแหละกระบวนการเผาผลาญของเขากำลังทำงานอย่างหนักอยู่
7. ดื่มชาเขียว มิแชลล์ สเตรฟ ผู้ฝึกซ้อมกีฬาจากเนบราสกาให้ความเห็นว่า “มีวิธีค่อนข้างทำลายสุขภาพตั้งหลายอย่าง ที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ อย่างการดื่มกาแฟแก่ ๆ สักแก้วหรือการรับนิโคตินเข้าร่างกาย แต่ดิฉันไม่ได้บอกว่าคุณต้องสูบบุหรี่นะ” แต่ลีเบอร์แมนเองก็ให้คำแนะนำที่น่าสนใจในเรื่องนี้เช่นกันว่า แทนที่จะดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนมาก ๆ แล้วต้องพบกับผลข้างเคียงค่อนข้างอันตราย ก็น่าจะใช้ชาเขียวร้อนแทน ซึ่งชาเขียวที่ว่านี้จะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้นานกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่ากาแฟเสียอีก
8. อย่าลืมดื่มน้ำ อย่าได้ละเลยการดื่มน้ำเป็นอันขาด การดื่มน้ำอยู่เป็นประจำนี้สำคัญมาก กับการขับของเสียออกจากร่างกายในระหว่างการเผาผลาญไขมัน แม้น้ำเย็นก็ยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้เล็กน้อย เนื่องจากร่างกายจะใช้ความร้อนมาเพื่อทำให้อบอุ่นขึ้น แล้วมันจะมาจากไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่ระบบการเผาผลาญแล้วได้ความร้อนเป็นผลพลอยได้
9. หลีกเลี่ยงความเครียด จงอยู่ให้ห่างความเครียดให้มากที่สุด ตามที่ลีเบอร์แมนพูดคือ “เพราะความเครียดสามารถเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้ โดยเฉพาะไขมันตรงหน้าท้อง” ทำไมคุณลีเบอร์แมนถึงพูดเช่นนั้น ก็เพราะทั้งความเครียดทางกายและจิตใจ มันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารคอร์ติโซลออกมาน่ะสิ และเพราะเจ้าคอร์ติโซลนี่ มันมีอำนาจชะลอกระบวนการเผาผลาญให้ช้าลงด้วย เราจึงควรทำทุกอย่างเพื่อให้ไม่เครียด หรือเครียดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
10. นอนหลับมาก ๆ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำวิจัยมาแล้วหลายครั้งในหมู่ผู้นอนหลับ พบว่าใครก็ตามที่นอนน้อยกว่าวันละเจ็ดหรือแปดชั่วโมง จะมีโอกาสน้ำหนักขึ้นได้มาก ยิ่งกว่านั้นเราก็รู้ด้วยว่า กล้ามเนื้อจะถูกเสริมสร้างขึ้นมาใหม่ด้วย ในช่วงชั่วโมงท้ายของการนอนก่อนจะตื่น ตามคำกล่าวอ้างของเบเยอร์ ถ้าจะทำตามข้อแนะนำข้อที่ 1 ไปพร้อม ๆ กับข้อนี้ด้วย ก็จะช่วยได้มากในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
ทั้งหมดนี้เราได้มาจากข้อความของคุณซูแซน วูดเวอร์ด ซึ่งปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในเมืองโอลิมเปีย รัฐวอชิงตัน เป็นคอลัมนิสต์เกี่ยวกับสุขภาพและวัฒนธรรมในนิตยสารหลายเล่ม รวมทั้งอเมซอน โพรมิส องค์กรเพื่อสุขภาพไม่หวังผลกำไร และมีบทความลงในนิตยสารลอส แอนเจลิส ไทม์สด้วย
ที่มา : //www.tlcthai.com //variety.teenee.com
สารบัญ ลดอ้วน ลดน้ำหนัก
Create Date : 27 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 4 สิงหาคม 2554 19:32:38 น. |
|
0 comments
|
Counter : 923 Pageviews. |
|
|
|
|
|