สูตรสำเร็จ 'บาลานซ์ ไดเอท'
บริโภคถูกหลัก...เลี่ยงโรคร้าย
เดี๋ยวนี้เมื่อรู้สึกหิว หลายคนนึกถึงอาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารจานด่วน เพราะหากินง่าย สะดวก รวดเร็ว แถมรสชาติก็ดีหวาน ๆ เค็ม ๆ มัน ๆ อร่อยถูกปากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ที่สำคัญวิถีชีวิตของคนเราก็เปลี่ยนไป มีการเร่งรีบขึ้น ทำให้ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นที่นิยม จนบางครั้งเราลืมนึกถึงไปว่า อาหารประเภทนี้มีสารอาหารไม่ครบถ้วนและให้พลังงานสูง ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่เรียกอาหารฟาสต์ฟู้ดว่าเป็นอาหารขยะ...!!! แต่การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่โทษต่อร่างกาย เพราะอาหารส่วนมากจะเป็นเนื้อสัตว์ ขนมปัง และของทอดต่างๆ หากเรารู้จักเลือกรับประทานอย่างพอเหมาะ อาหารเหล่านี้จะให้โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินบางชนิดในปริมาณที่มากพอควร
ดังนั้นการกินอาหารฟาสต์ฟู้ด ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม ทุกคนสามารถรับประทานได้ แต่ต้องรู้จักการรับประทานที่ถูกวิธี โดย ศ.นพ. พิภพ จิรภิญโญ หัวหน้าหน่วยโภชนาการภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล แนะนำการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดให้อร่อยแบบสุขภาพดีด้วยวิธี “บาลานซ์ ไดเอท” (Balance Diet) เริ่มจากตรวจสอบสุขภาพอย่างง่ายๆ ด้วยการเปรียบเทียบน้ำหนักตัวกับความสูงก่อน ถ้าเป็นผู้หญิงใช้ความสูงลบกับ 110 ส่วนผู้ชายลบด้วย 105 และเด็กลบด้วย 100 จะได้น้ำหนักตัวที่มาตรฐานขาดเกินนิดหน่อย สำหรับคนที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว ในเรื่องของการรับประทานอาหารต้องรับประทานให้ครบ 5 หมู่ โดยเริ่มจากพลังงานควรได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไปจะได้ไม่อ้วนและไม่ผอมจนเกินไป ส่วนโปรตีน ก็ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไปเช่นกัน เพราะหากเรารับประทานมากไปจะทำให้ไปบดบังสารอาหารกลุ่มอื่น และถ้าทานน้อยไปร่างกายก็จะขาดวิตามินและเกลือแร่ “โดยเฉลี่ยแล้วภายใน 1 วัน เราควรรับประทานอาหารให้ได้พลังงานประมาณ 1,400-1,600 กิโลแคลอรี ถ้าเป็นผู้หญิงควรรับประทานประมาณ 1,400-1,500 กิโลแคลอรี ส่วนผู้ชายประมาณ 1,600 กิโลแคลอรี หากเรารับประทานมากเกินกว่านี้จะทำให้เป็นโรคอ้วน และถ้ายิ่งรับประทานอาหารที่มีไขมันมากๆ จะเป็นอันตรายต่อตับ ทำให้ตับอักเสบ โดยเฉพาะเด็กหรือผู้ใหญ่ที่อ้วนลงพุง จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และสุดท้ายก็เป็นมะเร็ง จากสถิติทั่วโลกพบว่าผู้ที่มีอายุ 40-50 ปีก็เริ่มเป็นกันแล้ว คุณหมอพิภพ ให้เคล็ดลับในการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น พิซซ่า แฮม เบอร์เกอร์ ไก่ทอด เฟรนซ์ฟรายส์ ฯลฯ ที่เราชื่นชอบกันแบบกินแล้วไม่อ้วนด้วยวิธีบาลานซ์ไดเอทว่า ถ้าวันนี้รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดแล้ว ในวันรุ่งขึ้นสามารถแก้ไขได้ ด้วยการรับประทานอาหารเช้าที่ให้พลังงานต่ำ เช่น ข้าวต้มกับ ผักดอง ไข่เค็ม ต้มจับฉ่าย ปลาทูนึ่ง หรือโจ๊ก จะได้พลังงานประมาณ 200 กิโลแคลอรี มื้อกลางวันกินก๋วยเตี๋ยวน้ำแบบไม่พิเศษจะให้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี ส่วนมื้อเย็นอาจจะกินตามปกติ และปิดท้ายมื้อบาลานซ์ตอนปลายก่อนนอนด้วยผลไม้ เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล สาลี่ มะละกอ ถือเป็นการปิดภาคปฏิบัติสำหรับคนทำงาน จะได้พลังงานที่บาลานซ์กับเมื่อวาน ที่เรารับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดมื้อหนักเข้าไป การแก้ไขบาลานซ์ไดเอท ควรแก้ไขภายใน 1-2 วันจึงจะได้ผลดี เพราะน้ำหนักตัวจะคงอยู่เท่าเดิม แต่หากอยากรับประทานอาหารมากขึ้นอีกหน่อย เราสามารถนำเอาการออกกำลังกายเข้ามาช่วยลดได้ ซึ่งวิธีการออกกำลังกายในการลดน้ำหนักที่ดี จะต้องใช้การเคลื่อนที่ของขา เพราะขาของเราเป็นแหล่งใช้พลังงานที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย เช่น การเดินหรือวิ่งมาก ๆ การขี่จักรยาน การว่ายน้ำ ถ้าเราออกกำลังกาย 1 ชั่วโมงจะสามารถลดพลังงานได้ 300 กิโลแคลอรี และถ้า 2 ชั่วโมงก็ลด 600 กิโลแคลอรี ทำให้เราสามารถกินอาหารที่ชอบได้มากขึ้นอีกนิดหน่อย
ที่สำคัญอย่าลืมชั่งน้ำหนักตัวทุกสัปดาห์ ในช่วงวันและเวลาเดียวกัน เพื่อตรวจสอบน้ำหนักตัวว่าเราปฏิบัติวิธีบาลานซ์ ไดเอทถูกต้องหรือไม่ หากน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็ถือว่าเราสุขภาพดีแล้วแทบไม่ต้องเจาะเลือด ตรวจโรคเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าน้ำหนักตัวยังเกินอยู่ ควรปรับลดอาหารหรือเพิ่มการออกกำลังกาย แต่สำหรับใครที่รับประทานมากเกินจนอ้วน และน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานไปแล้ว ก็สามารถนำวิธีบาลานซ์ ไดเอท มาปรับใช้ได้ด้วยการยอมขาดทุนใช้พลังงานวันละ 700-800 กิโลแคลอรี เช่น คนน้ำหนักตัวปกติกินอาหารที่ให้พลังงาน วันละ 1,500-1,600 กิโลแคลอรี แต่เราต้องกินแค่ประมาณวันละ 700-800 กิโลแคลอรี หรือจะเลือกวิธีการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ก็จะสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงมาได้ 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ซึ่งน้ำหนักตัวที่ลดไปนั้นจะเป็นไขมันล้วนๆ ส่งผลให้เรามีหุ่นที่เพรียวขึ้น นอกจากนี้การสังเกตก้อนอุจจาระ ก็สามารถตรวจสอบได้ว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวันนั้น มีปริมาณสารอาหารที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เช่น หลังจากถ่ายแล้วก้อนอุจจาระจมน้ำ แสดงว่าอาหารที่รับประทานเข้าไปมีเนื้อสัตว์มากและไม่มีกากใยอาหาร หรือมีกากใยน้อย ทำให้หนักและจม เราจึงแก้ไขได้ด้วยการรับประทานผักและผลไม้เพิ่ม จะทำให้อุจจาระเบาขึ้นและลอยน้ำ เคล็ดลับที่คุณหมอแนะนำมานี้ไม่ยากเกินไป เราสามารถปฏิบัติตามได้ง่ายๆ ถึงแม้จะต้องใช้ความคิดและอยู่กับตัวเลขทุกวัน แต่ก็ยังดีกว่ารอให้เกิดโรคก่อนแล้วจึงค่อยคิด เพราะจะทำให้แก้ไขยาก
ส่วนผู้ประกอบธุรกิจอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด คุณหมอแนะนำทิ้งท้ายว่า ควรเพิ่มเมนูอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น สลัดผัก สลัดผลไม้ หรือเมนูอาหารควบคู่กับผัก หรืออาจจะระบุพลังงานอาหารแต่ละจานให้ผู้บริโภคทราบ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ.
บทความโดย //www.dailynews.co.th ที่มา : //www.gm-malestyle.com ภาพจาก : //www.younglivin.org.uk
สารบัญไดเอท ลดน้ำหนัก
Create Date : 09 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2553 1:47:06 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2296 Pageviews. |
|
|
|