Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 
4 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
กินยังไง ไม่ให้อ้วน



วันนี้หมอกะว่า จะคุยกันเรื่องอ้วนสักหน่อย ผู้อ่านเชื่อไหมคะว่าหมอกลายมาเป็นนักเขียน
ก็เพราะบทความเรื่องอ้วนที่อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ขอให้เขียนลงหนังสือเป็นครั้งแรกในชีวิต
จนกลายเป็นคนเขียนหนังสืออยู่ทุกวันนี้

ความจริงหนังสือแนวสุขภาพคงต้องการเรื่องราวแบบสุขภาพของคนเป็นๆ มากกว่า
แต่หมอดันไปเขียนอิงเรื่องศพตามประสบการณ์ของหมอ ซึ่งเรื่องแรกที่หมอเขียนก็คือ ความอ้วน

หมอมีวิธีดูแลรูปร่างหลายแบบ เวลาที่พบผู้คนก็จะมีคำถามที่มักถูกทักทายบ่อยมากก็คือ เรื่องการดูแลรูปร่าง
แรกเริ่มเดิมที หมอเคยมีน้ำหนักสูงสุด 64 กิโลกรัม ไม่นับตอนท้องที่ขึ้นไปถึง 80 กิโลกรัม
สมัยอ้วนครั้งแรกนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 4 เรียนหนัก กินเก่ง

วิธีที่ทำให้น้ำหนักลดลงครั้งแรกคือ ความเศร้าจากการอกหัก มันขี้เกียจไปกินไปทุกมื้อ
จากน้ำหนัก 64 กิโลกรัม เหลือ 56 กิโลกรัม ได้อย่างง่ายดาย
พอหัวใจหายมัวซัว อารมณ์กินก็กลับมา เลยต้องคอยประคับประคองใจไม่ให้กินมากนัก

มาค้นพบวิธีลดความอ้วนอีกครั้ง ก็ตอนเข้ามาเรียนแพทย์เฉพาะทางสาขาพยาธิวิทยากายวิภาค
จากการที่ต้องผ่าศพ พอผ่าลงไปก็ได้เห็นสังขารของมนุษย์เรา
เวลาผ่าคนอ้วนๆ ก็จะเห็นไขมันที่หน้าท้องของเขาหนามาก หนายิ่งกว่าหมูสามชั้นซะอีก

ยิ่งเวลาคนอ้วนถูกไฟช็อต ไขมันก็จะละลายเหมือนเจียวน้ำมันหมูเลยแหละ
เพราะไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนสูงเหมือนกัน

หมอเองเห็นไขมันของคนอ้วนแล้วก็เลยปลงว่า
ไม่รู้จะกินไปทำไม อร่อยกับการกิน สุดท้ายก็กลายเป็นไขมันพอกที่หน้าท้องหมด

ที่ๆ ผู้คนอยากให้ไขมันคงมีอยู่ไม่กี่แห่ง ซึ่งมันก็จุไขมันได้น้อยเหลือเกิน
ของผู้หญิงอวัยวะที่ผู้คนต้องการให้มีไขมันก็คือ "นม" นั่นเอง
ส่วนหน้าท้องและต้นขานั้นไม่มีใครอยากให้มีไขมันสะสม แต่มันก็ชอบไปสะสมอยู่ตรงนั้น
ไม่รู้ว่าอีกหน่อยจะมีการผ่าตัด ตัดต่อยีนที่ทำให้ไขมันสะสมทั่วไป มนุษย์คงสวยคงหล่อกันไปหมด
แต่ไม่รู้ว่าใครมีของจริง ใครมีของปลอม แถมไม่รู้ว่าปลอมแบบใกล้ธรรมชาติ (พวกตัดต่อยีน)
หรือพวกห่างธรรมชาติ (พวกศัลยกรรมตกแต่ง)
คนพวกนี้จะรู้ว่าของจริงเป็นอย่างไรก็ต้องรอให้แต่งงานมีลูกก่อน
เพราะลูกอาจจะออกมามีลักษณะผิดพ่อผิดแม่กันไปหมด

เวลาผ่าศพนั้นนอกจากจะได้เห็นไขมันแล้ว หมอก็ได้เห็นเครื่องในของจริง
ซึ่งของมนุษย์กับสัตว์นั้นไม่ต่างกันเท่าไร ตับเอย ไตเอย ม้าม ปอด หัวใจ สมองเหมือนกันเด๊ะ
ดังนั้น เวลากินก๋วยจั๊บ ตือฮวน ต้มเครื่องใน มันก็ทำให้นึกภาพเปรียบเทียบกับเครื่องในของคน
ก็เลยพาลไม่อยากกินไปเลย ยิ่งตัวเองเป็นหมอก็จะรู้ว่าอวัยวะต่างๆ เหล่านี้ทำหน้าที่อะไร
พอลองคิดว่าอวัยวะที่กินมีหน้าที่อะไรยิ่งทำให้เลิกกินไปเลย

อย่างไตนั้นเอาไว้ฉี่ เวลากินเซี่ยงจี๊ก็คือกินฉี่ดีๆ นี่เอง
ส่วนไส้ตันก็คือมดลูกของหมูตัวเมีย เวลากินเข้าไปก็ทำให้นึกถึงการกินประจำเดือนนั่นเอง

วันนี้ใครอ่านเรื่องราวความอ้วนของหมอเสร็จ คงเลิกกินเครื่องในเป็นแน่
ความจริงหมอเล่ามา ก็เพียงเพื่อให้มนุษย์เราอย่าสรรหาอะไรมากินกันให้มากเรื่องเลย
เพราะมันไม่ใช่หลักการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง กินเพื่ออยู่เถอะ
อย่าไปอยู่เพื่อกินเลย นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว บางทียังอาจมีของเสียติดไปด้วย

วิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้ไม่อ้วนคือ การกินให้น้อยๆ เลือกกินหน่อย หมอเป็นคนกินโดยใช้ความรู้วิเคราะห์ก่อนว่า
สิ่งที่เรากินมีโครงสร้างอะไรบ้าง อาศัยว่าส่องกล้องตรวจชิ้นเนื้อดูอยู่ทุกวัน

อย่างลิ้นวัวหรือลิ้นหมูที่เรากินๆ นั้นมีไขมันเยอะมาก เวลาย่างมันส่งกลิ่นหอม
อะไรที่มีไขมันเยอะก็มีแคลอรีเยอะตามไปด้วย ถ้าได้ไปเยอะแล้วก็ต้องกินอย่างอื่นที่มีแคลอรีน้อย
เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมีแคลอรีสะสมมากเกินไป


ซึ่งการกินแบบวิเคราะห์แคลอรีคือ การพยายามสร้างสมดุลย์ไม่ให้มีแคลอรีเหลือ
เพราะอาจกลายเป็นไขมันสะสมแทน สมมุติว่ากลางวันกินอาหารฝรั่งเลิศหรูเนื้อนมเนยเพียบ แคลอรีย่อมสูงมาก
มื้อต่อไปก็ควรเป็นพวกผัก พยายามเฉลี่ยเอง บางคนมีอุปทานว่าถ้าไม่กินโปรตีน หรือแป้งจะทำให้ไม่อิ่ม
ถ้าคิดแบบนี้ก็ควบคุมน้ำหนักยาก เพราะเวลากินมักจะห้ามใจไม่อยู่ และไม่รู้สึกทุรนทุรายว่าน้ำหนักจะเกิน
แต่ถ้าไม่ได้กินนี่สิบางคนหงุดหงิดน่าดู

แสดงว่าใจนี่แหละสำคัญที่สุด ถ้ามองเห็นอะไรก็ดูจะน่ากินไปหมด
หรือเวลากินอะไรก็อร่อยไปเสียเรื่อยแบบนี้เรียบร้อยแน่ๆ เลย อ้วนทุกราย

ทีนี้เรื่องถัดมาก็คือ ต้องเข้าใจธรรมชาติของร่างกายด้วยว่า อายุต่างกันการเผาผลาญก็ต่างกัน

คนสูงอายุความต้องการพลังงานพื้นฐานน้อยกว่าเด็ก
เมื่อกินแล้วมักจะเหลือส่วนเกินซึ่งคงไม่พ้นการแปรสภาพเป็นไขมัน
ถ้าเราอายุมากขึ้นก็คงต้องระมัดระวังการกินเพิ่มขึ้นด้วย

แต่ถ้าน้ำหนักตัวมันขึ้นมาแล้ว การลดน้ำหนักโดยการกินน้อยลง เพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถช่วยได้เต็มที่
ต้องหาทางออกกำลังกายลดน้ำหนักด้วย เรื่องการออกกำลังกายนี่ก็เหมือนกัน
หมอก็มัวแต่เรียนหนังสือซะยี่สิบปี พักฝึกงานปีหนึ่งตอนเป็นแพทย์ฝึกหัด พอจบก็กลับเข้าเรียนต่ออีกสามปี
ซึ่งเป็นช่วงเรียนช่วงสุดท้ายก็เลยยังไม่ได้ ฝึกฝนกีฬาอะไรเลย
บังเอิญแต่งงานเสียกลางช่วงเรียนต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง เลยได้เริ่มเห็นคนเล่นกีฬาคือ สามีนั่นเอง
เช้ามืดของวันเสาร์-อาทิตย์ เขาจะออกไปวิ่งที่สวนลุมพินีเป็นประจำ (ตอนนั้นพักอยู่แถวๆ สีลม)

เมื่อเรียนจบกลับไปทำงานอยู่พิษณุโลก จึงได้ลองออกกำลังกายแบบเขาบ้าง หมอไม่ค่อยชอบวิ่งเท่าไร
เพราะน่าเบื่อและรู้สึกมันหนัก เนื่องจากมันต้องวิ่งต่อเนื่องเป็นระยะ

กีฬาที่หมอสนใจคือ เทนนิสและเต้นแอโรบิค
ซึ่งอย่างแรกเป็นกีฬาที่ท่าสวยแต่มีคนเล่นเยอะ นักกีฬาก็เลยต้องรอสนามนานหน่อย
ส่วนกีฬาชนิดที่สองตรงสเป็คหมอพอดีเลย เพราะเป็นคนชอบฟังเพลงเต้นรำ โดยเฉพาะเต้นแบบแด๊นเซอร์
นอกจากนี้ แอโรบิคเป็นกีฬาที่มีการเผาผลาญพลังงานได้มาก เพราะมันบังคับความต่อเนื่อง
และยังสามารถบริหารร่างกายได้หลายส่วน
ไม่เหมือนการวิ่งซึ่งอวัยวะขยับไม่กี่อย่าง

ช่วงที่เล่นแอโรบิคนี่เอง น้ำหนักเริ่มลง เอวเริ่มเล็ก เป็นรูปเป็นร่าง
เต้นไปเต้นมาก็ชักอยากทำผมใหม่ให้เข้ากับกีฬาเปรี้ยวๆ
หมอไปเห็นแบบผมของฝรั่งก็เลยเอามาดัดแปลงใช้กับตัวเองบ้าง นี่คือจุดเริ่มต้นของการแต่งตัวเปรี้ยว

การเต้นแอโรบิคจะมีท่าฟลอร์ให้ผู้เต้นได้ยกแข้งยกขา รวมถึงซิทอัพลดหน้าท้อง
นี่ก็คือวิธีควบคุมน้ำหนักอีกทางหนึ่ง ซึ่งทำร่วมกับการกินให้น้อย น้ำหนักจะลงเร็วมาก
ตอนหมอท้องน้องน้องเห็น น้ำหนักขึ้นไปถึง 80 กิโลกรัม ขนาดไม่ค่อยได้กินอะไรเลย
ตอนแรกก็กังวลว่าจะลดยังไงดี เพราะรูปร่างก็พะโล้เกินกว่าจะใส่ชุดแอโรบิคไปเต้นกับผู้คนได้

วิธีลดน้ำหนักของหมอก็คือ กินแต่ต้มจับฉ่ายทุกวันไม่กินหมูเลย
ตอนกลางวันไม่มีผู้คนก็แอบไปว่ายน้ำ ซึ่งก็เป็นกีฬาที่มีการเผาผลาญไขมันทุกส่วนได้ดีมาก

การลดน้ำหนักทำได้ แต่การลดน้ำหนักรวมของร่างกาย
ถ้ามุ่งหวังจะให้ต้นขาลดลงหรือหน้าท้องแบนลงดูจะยากเอาการ
หมอเองเป็นคนมีปัญหาต้นขาใหญ่ทำอย่างไรก็ยังใหญ่

ถ้าเผื่อไม่มีเวลาที่จะออกกำลังกาย แบบที่เอ่ยมาก็สามารถหาวิธีอื่นเสริมได้
ผู้คนชอบคิดว่าการออกกำลังกาย มีเฉพาะการเล่นกีฬาเท่านั้น
หมอมักใช้การออกกำลังกายในชีวิตประจำวันตลอดเวลา พยายามทำอะไรให้กระฉับกระเฉง
อะไรที่ใช้การเดินได้ก็พยายามไม่เลี่ยง เช่น การเดินระหว่างตึก การขึ้นลงบันได

สิบปีใน รพ.รามาธิบดี หมอจะเดินขึ้นลงบันได 4 ชั้นเสมอ เพราะสำนักงานของภาควิชาพยาธิอยี่ที่ชั้น 4
ซึ่งช่วงหลังกลับกลายเป็นข้อดีไปในตัว เพราะเวลาที่ผู้คนรู้จักหมอมากๆ คนก็จะยิ่งทักทายโดยเฉพาะอยู่ในลิฟท์
ประเดี๋ยวจะทำให้ผู้คนบางกลุ่มหมั่นไส้เอาได้

เห็นไหมว่า การออกกำลังกายไม่ได้จำเป็นต้องมีอุปกรณ์กีฬา
แต่สามารถดำเนินชีวิต ให้มีการเผาผลาญพลังงานได้ในกิจกรรมของทุกวัน


เป็นยังไงคะกับวิธีการกินอย่างไรไม่ให้อ้วน
การเริ่มต้นดูจะเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด เพราะหากไม่เริ่มตั้งใจทำก็จะยังเริ่มได้ยาก

การมีรูปร่างดีทำให้สามารถแต่งตัวสบาย สวย ซึ่งตัวอย่างนี้คงเป็นสัจธรรมข้อเดียวที่หมอยังไม่บรรลุ
ยังมีกิเลสอยู่ นอกนั้นปลงได้มากแล้ว ถูกด่าก็รู้สึกทนได้บ้าง แต่เรื่องไม่สวยยังยอมไม่ค่อยได้
เพราะสำหรับหมอแล้วการได้แต่งตัวถูกใจ ช่วยเป็นกำลังใจให้สู้งานหนักได้สบาย ทีเดียวแหละ

อย่าลืมนะคะ ไม่อยากอ้วนก็ต้องไม่ตามใจปาก ใช้หัวสมองคิดให้เยอะๆ เวลาจะกินอะไรก็หัดมองให้ทะลุทะลวง
ว่ามีไขมันเยอะไหม มีประโยชน์ไหม ต้องคิดก่อนกิน ไม่อย่างนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้แน่ๆ
ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะเป็นวิธีเผาผลาญส่วนเกินได้ดี
ที่สำคัญที่สุดคิดเสียว่า กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน จะได้ไม่มีอารมณ์บรรเจิดนักเวลาเจอะเจออาหารอร่อย
ถ้าเราไม่อ้วนเสียอย่าง สุขภาพอื่นๆ ก็จะดีตามมาด้วยแน่นอน

เอาละคะ คงเก็บเอาเกร็ดความรู้ไปดูแลตัวเองกันได้บ้าง สวัสดี


โดย พญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์
ที่มา ://www.elib-online.com/doctors45/food_obese004.html


สารบัญ บทความเรื่อง ไดเอท ที่มีในบล็อกค่ะ
คลิกดู ที่นี่ค่ะ




Create Date : 04 ธันวาคม 2552
Last Update : 4 ธันวาคม 2552 12:16:57 น. 2 comments
Counter : 1278 Pageviews.

 
ดีจังเลยนะคะ
เรากินเพราะเครียดนี่สิลดยากจังเพราะเข้าวัยเลข4
เนี่ย


โดย: chabori วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:12:41:24 น.  

 
ขอบคุณคร่าสำหรับความรู้และข้อคิดดีๆแต่รู้ทั้งรู้ยังอดใจไม่ได้นี่สิมันแย่เนอะ


โดย: phaclam วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:15:54:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.