กรุงเทพมหานคร : วังสวนผักกาด (1)
ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่ บริเวณถนนศรีอยุธยา เป็นวังของ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรกรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต เดิมเคยเป็นสวนผักกาดของชาวจีนมาก่อน ต่อมาท่านได้ซื้อที่ดินผืนนี้ เมื่อ พ.ศ. 2495 พระองค์ทรงเริ่มสะสมและตกแต่งตำหนักไทยด้วยโบราณวัตถุที่ค้นพบในประเทศไทย ภายหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2502 หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ได้ดูแลวังสืบต่อมาและได้มอบให้ในความดูแลของ มูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด ตั้งแต่ 2511 เป็นต้นมา
ศิลปาคาร จุมภฏ-พันธุ์ทิพย์
เมื่อเราซื้อบัตรในราคา 50 บาทแล้วก็ฝากกระเป๋าไว้กับเจ้าหน้าที่แล้ว เราจะพบอาคารสมัยใหม่คือ ศิลปาคาร จุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ เป็นอาคาร 4 ชั้น วัตถุโบราณทั้งหมดที่จัดแสดงนั้นคือของโบราณยุค "บ้านเชียง" เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านโบราณคดี และความเข้าใจต่อชุมชนในยุคนั้น ด้านหลัง วังสวนผักกาดเป็นสระน้ำ คูน้ำ และปลูกพรรณไม้ดอก ไม้ประดับ มากมายหลายชนิด ทำให้ผู้ที่ได้มาชมวังสวนผักกาดแห่งนี้จะได้ชื่นชม ทั้งด้านศิลปะวัฒนธรรมและสัมผัสบรรยากาศที่สงบร่มลื่นรอบๆ วังอีกด้วย
เรือพระที่นั่ง เก้ากึ่งพยาม
ข้างหอเขียน มีเรือพระที่นั่ง "เก้ากึ่งพยาม" ซึ่งเป็นเรือโบราณขนาดยาว 9 วาครึ่ง ตัวเรือทำด้วยไม้ตะเคียนทองและไม้สักทอง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ทูลกระหม่อมบริพัตร เดิมใช้เป็นเรือพระที่นั่งของทูลกระหม่อมบริพัตร ในขบวนเรือตามเสด็จประพาสต้นของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2536 กรมอู่ทหารเรือได้ให้การซ่อมแซมเรือให้อยู่ในสภาพที่ดี
หอเขียน
หากจะถามว่าสิ่งใดงามและมีคุณค่ายิ่งในวังแห่งนี้ หนึ่งในนั้นก็คงเป็นหอเขียน เมื่อทรงทราบว่าวัดบ้านกลิ้ง ซึ่งเป็นวัดเล็กตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือนโบราณเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมมากและไม่มีผู้ใดบูรณะรักษาเลย แต่ภายในมีสิ่งสวยงามเป็นภาพลายรดน้ำเรื่องพุทธประวัติ ท่านจึงทำผาติกรรมคือไถ่ถอนเรือนโบราณนี้มาจากวัดบ้านกลิ้ง ย้ายมาไว้ที่วังสวนผักกาดเพื่อนำมาทำการบูรณะซ่อมแซมทั้งตัวอาคารและภาพลายรดน้ำ แล้วทรงสร้างศาลาวัดสวดมนต์และศาลาท่าน้ำ ถวายให้แก่วัดเป็นการทดแทน
หอเขียนนี้มีลักษณะเป็นเรือนไทย ชั้นในนั้นมีภาพลายรดน้ำ ส่วนบนเป็นเรื่องพุทธประวัติ ส่วนล่างเป็นเรื่องรามเกียรติ์ และเรื่องราวที่บันทึกในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ได้ส่งทูตเข้ามาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับไทย ช่างเขียนได้บันทึกความสวยงามของธรรมชาติไว้ด้วยภาพ ภูเขา ลำธาร และภาพขนบธรรมเนียมในราชสำนักในสมัยนั้น และยังมีภาพเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า ซึ่งนับว่าเป็นภาพที่มีค่ายิ่งทางสถาปัตยกรรมไทย
จากเรือนเขียนก็จะเป็นหมู่เรือนไทยทั้งหมด 8 เรือน โดยเรือนไทยหลังที่ 1 ตั้งอยู่ด้านหน้าทิศเหนือ ขนานกับถนนศรีอยุธยา มีสะพานเชื่อมเรือนไทยหลังที่ 2,3 และ 4 ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ ส่วนเรือนไทยหลังที่ 5-8 ปลูกอยู่ห่างกันทางด้านตะวันตกของวัง และหอเขียนอยู่ถัดจากสนามหญ้าไปทางทิศใต้
เรือนไทยหลังที่ 1
บริเวณระเบียงทางทิศเหนือ มีบานประตูโบสถ์ไม้สักแกะสลักเรื่องสังข์ทอง ด้านข้างประตูมีซุ้มเรือนแก้ว แกะสลักลายไทยปิดทอง มีช่องเล็กๆ บรรจุพระเครื่อง ส่วนบนประตูและหน้าต่างมีภาพไม้แกะสลักสมัยอยุธยาตอนปลาย ภายในห้องด้านตะวันตก มีปราสาทเจ้าลอง ทำด้วยไม้แกะสลักลงรักติดกระจก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปจาก 3 ประเทศ ถัดมามีแจกันจากประเทศจีน สมัยราชวงศ์หมิงและชิง บนฝาผนังรอบห้องมีอาวุธโบราณสมัยอยุธยา มุมห้องทั้งสี่มีอาวุธที่ใช้ในการรบบนหลังช้าง บนตู้ไม้แกะสลักทางด้านเหนือของห้อง มีเศียรเทวรูปสมัยสุโขทัย เหนือตู้ด้านบนฝาผนังมีกรอบซุ้มเรือนแก้วเก็บพระเครื่องสมัยลพบุรี
ระเบียงทางทิศตะวันออกมีตู้พระธรรมลายรดน้ำ สมัยรัตนโกสินทร์ เหนือตู้พระธรรมบนฝาผนัง มีภาพเขียนสีเกี่ยวกับพุทธประวัติ ตู้ที่อยู่ทางทิศเหนือของระเบียงมีภาชนะดินเผาสังคโลก ศิลปะสุโขทัย ถัดมามีหินแกะสลักพร้อมฐาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมจักร ตรงระเบียงด้านตะวันตก มีเศียรพระพุทธรูปสมัยทวาราวดีผสมลพบุรี ในห้องถัดมาจัดแสดงเทวรูปศิลปะขอม ด้านบนฝาผนังมีภาพพระบฎ แสดงการเสด็จกลับลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระพุทธเจ้า
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2551 |
|
5 comments |
Last Update : 1 มิถุนายน 2553 14:22:14 น. |
Counter : 2644 Pageviews. |
|
|