5 กรกฎาคม 63 เที่ยวไทยเท่กับอาจารย์เอ็มมี่กับเส้นทางบุญครั้งที่ 26 ที่จังหวัดชัยนาท
นางจิรารัตน์ มีงาม ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานลพบุรี เปิดเผยว่า จังหวัดชัยนาทเป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคกลางเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่จริงๆ มีความเป็นมาอันยาวนานทางประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่าวัดวาอารามมีจำนวนมากไม่แพ้จังหวัดใดในภาคกลาง แต่ยิ่งกว่านั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ มีความเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์ ที่สำคัญอย่างที่อาจารย์เอ็มมี่ไปสำรวจมาแล้ว จะรู้ว่าแต่ละแห่งมีจุดเด่นมีความสำคัญไม่เหมือนกัน หลายคนอาจจะรู้จักวัดเพียงไม่กี่วัดที่มีชื่อเสียง แต่จริงๆ มีวัดที่เล็กๆ วัดที่สำคัญกระจายอยู่ตามอำเภอต่างๆ มากมาย แล้วก็มีความโดดเด่นแตกต่างกันด้วย ถ้ามีโอกาสอย่างไรก็ตามนะคะ ถ้าเราสามารถเที่ยวได้ ไปชมได้ ไปสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้ทุกวัดเลยก็ยิ่งดีค่ะ มาคราวนี้อาจารย์เอ็มมี่พาไปทั้งหมด 6 วัด เป็นวัดที่สำคัญทั้งสิ้น ซึ่งก็มีวัดอื่นๆ อีกในเส้นทางบุญครั้งที่ 26 ครั้งนี้เพิ่งมาจังหวัดชัยนาทเป็นครั้งแรกและจะมีครั้งต่อไปอีกเพราะว่ามีวัดอื่นๆ อีกมากมาย
วัดส่วนใหญ่ตอนนี้เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นวัดใหญ่ๆ วัดที่สำคัญๆ ที่คนนิยมมาท่องเที่ยวทุกวัดเปิดหมดแล้ว จริงๆ ทางจังหวัดชัยนาทยังคงมีมาตรการที่เข้มข้นอยู่ แต่ไม่รวมกับวัดที่เราจะไปตอนนี้ เพราะเราจะเน้นไปที่วัดที่สำคัญที่ไม่ค่อยจะมีคนรู้จัก แต่ก็สามารถมาท่องเที่ยวกันได้อย่างเต็มที่ โดยเรารักษามาตรฐานของสุขอนามัยอย่างที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ขอเชิญชวนมาท่องเที่ยวได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามสอบถามมาที่ ททท.สำนักงานลพบุรี โทร. 036-770096-7 ได้เลยค่ะ
จังหวัดชัยนาทเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำเจ้าพระยา นับเป็นต้นๆ ของเขื่อนเจ้าพระยา อาหารที่ทำมาจากปลามีแน่นอนในเรื่องความสด ร้านอาหารดังๆ ใหญ่ๆ เป็นอาหารปลาสดๆ มีหลายร้านด้วยกัน ไม่รวมถึงร้านอาหารที่เป็นร้านชาวบ้านมีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ ราคาไม่แพง ที่สำคัญนักท่องเที่ยวใครที่มาท่องเที่ยวที่จังหวัดชัยนาททุกคนพูดกันทั้งหมดเลยว่า อาหารอร่อย แหล่งท่องเที่ยวสวย และราคาก็ไม่แพง เพราะว่าวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนชัยนาทเป็นชาวบ้านชาวบ้าน เราอยู่กันแบบพอเพียง เรามีกินมีใช้ นักท่องเที่ยวจะได้มาสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านได้อย่างใกล้ชิดในราคาที่ไม่แพง
สำหรับวิถีชีวิตชนบทในภาคกลางมีหลายแห่ง แต่ทุ่งนาที่จังหวัดชัยนาทจะสวยมากเป็นพิเศษเพราะจะเป็นที่นาแปลงใหญ่ เพราะเจ้าของที่ดินจะเป็นเจ้าของคนเดียวกัน จะเป็นที่นาแปลงใหญ่ไม่มีคันนาไม่มีอะไรกั้น ทุ่งนาจะเขียวสวยเป็นพิเศษ และน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ วิถีชุมชนชาวบ้านที่นี่ก็น่าสนใจ มีการผลิตผลิตภัณฑ์จากผักตบชวา อาหารจากพืชผักจะเยอะมาก ก็เป็นวิถีชุมชนที่หลายคนชอบที่จะมาเรียนรู้ อย่างที่บอกเมื่อสักครู่ว่าจังหวัดชัยนาทเป็นจังหวัดที่ปลอดภัย เพราะว่าเป็น 1 ใน 8 จังหวัดที่ตัวเลขเป็น 0 เรื่องโควิด-19 เพราะว่าท่านผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชนเราเข้มงวดมากๆ เพราะฉะนั้นนับเป็นหนึ่งเป้าหมายหลักของการท่องเที่ยวที่เมื่อเปิดให้มีการท่องเที่ยวแล้ว จังหวัดชัยนาทเป็นหนึ่งที่เปิดให้มาท่องเที่ยวเพราะว่ามีความปลอดภัยสูงค่ะ
อาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ เล่าให้อุ้มฟ้งว่า กิจกรรมในวันนี้เป็นเส้นทางบุญครั้งที่ 26 ของอาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ เรามาที่จังหวัดชัยนาทภายใต้ concept ที่ว่า "ถวายพระประทีปและผ้าอาบพรรษามหามงคล เพื่อรับความสุขแบบนี้ดี๊ดีที่จังหวัดชัยนาท"
กิจกรรมในครั้งนี้เราเน้นการให้คนได้เข้าวัดวาอาราม ได้รู้จักหลักธรรมของศาสนา ได้รู้จักศิลปะตามยุคตามสมัย เพราะจังหวัดชัยนาทเป็นจังหวัดที่เก่าแก่ที่แฝงซ่อนเร้นไปด้วยอารยธรรมหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมลพบุรี อารยธรรมอยุธยา และอารยธรรมสุโขทัย แต่ละวัดมีความก่าแก่ที่ซ่อนลึกมาก ซึ่งจะต่างจากจังหวัดอื่นตรงที่ว่าจังหวัดชัยนาทเป็นจังหวัดที่มีศิลปะลึกและซ่อนไว้อยู่ "ถ้าเป็นจังหวัดอื่นเขาจะมีเส้นทางที่เปิดเผย" แต่จังหวัดชัยนาทเป็นเมืองเล็กๆ ก็จะเป็นเส้นทางที่ไม่ถูกเปิดเผยมากนัก แต่ตอนนี้จังหวัดชัยนาทนี้ได้เริ่มที่จะเปิดและหันมาที่จะโปรโมตจังหวัดตัวเอง ให้คนมาท่องเที่ยวในเชิงศาสนามากขึ้น แล้วมีวัตถุมงคลจากเกจิดังๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อหลายๆ วัด อาทิ หลวงพ่อย้อย-วัดทรงเสวย, หลวงปู่ศุข-วัดปากคลองมะขามเฒ่า,หลวงปู่นะ-วัดหนองบัว
วัดที่เรามาในวันนี้เก่าๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น "วัดป่าสัก" เป็นวัดแรก เกจิอาจารย์ชื่อดังนั่นก็คือ "หลวงพ่อกำจัด" ตอนนี้ท่านยังคงมีชีวิตอยู่ มาวัดที่สองคือ "วัดพระบรมธาตุ" พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสก็เป็นเจ้าคณะจังหวัด เป็นพระเถรานุเถระใหญ่ที่ผู้คนนับถือมากนะครับ แล้วมาวัดที่สาม "วัดทรงเสวย" ซึ่งเป็นวัดตามรอยเสด็จประพาสต้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 5 ที่ได้เคยเสด็จประพาสต้นและค้างอ้างแรมที่นี่ และทรงเสวยพระกระยาหารร่วมกับพระราชโอรสและข้าราชบริพารที่นี่ เขาจึงเรียกว่า "วัดทรงเสวย" คนจึงนิยมมาที่วัดทรงเสวยเพราะมีความเชื่อกันว่า ถ้าได้มากินอาหารที่วัดทรงเสวยเมื่อกลับไปจะได้มีความสุข เสวยสุขอิ่มหมีพีมัน อายุมั่นขวัญยืน ที่วัดก็จะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่หมายถึงอายุวัฒนะอายุมั่นขวัญยืน
จากนั้นวัดที่สี่เป็น "วัดพระแก้ว" วัดพระแก้วเป็นโบราณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เรียกว่าเป็นราชินีของเจดีย์ในเอเซียอาคเนย์ได้ "หลวงพ่อพระฉาย" เป็นหลวงพ่อพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิิ์ เป็นศิลปะร่วมสมัยขอมที่เข้าสู่อู่ทอง ที่ด้านหลังองค์หลวงพ่อฉายมีการนำ "ทับหลังพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณในภาพกลับหัว" ทับหลังแกะสลักด้วยหินทรายมาติดอยู่มาติดไว้ที่ด้านหลังของหลวงพ่อ มีลักษณะเป็นภาพหงายไม่ใช่ภาพคว่ำแตกต่างจากทับหลังทั่วไป ทับหลังมีลักษณะเป็นภาพหงายเป็นรูปช้างมอบหงายอยู่บนแท่น โดยส่วนบนสุดเป็นรูปพระอินทร์กำลังหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ไหลถึงตัวช้าง โดยสันนิษฐานว่าทับหลังน่าจะขนย้ายมาจากปราสาทแห่งหนึ่งในประเทศกัมพูชา การที่ทรงช้างเอราวัณของพระอินทร์ เพราะมีความเชื่อกันว่าพระอินทร์ทรงบันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง
เจดีย์องค์นี้หมายถึงเจดีย์เก็จแก้วจุฬามณี ผู้คนเดินทางมาขอที่นี่มักจะขอเรื่องอาชีพหน้าที่การงาน การเงิน ขอพรแล้วมักจะจะสำเร็จ "หลวงพ่อพระฉาย" จะให้ตามความต้องการ ที่วัดพระแก้วแห่งนี้ ถ้าเราย้อนรอยไปดูอาณาจักรหริภุญชัยในสมัยเจ้าแม่จามเทวี จะเห็นได้ว่าเจดีย์จะคล้ายกันมาก
จากนั้นมาต่อวัดที่ 5 "วัดมหาธาตุ" จะสังเกตได้ว่าชื่อวัดมหาธาตุจะมีอยู่ทุกจังหวัด สังเกตได้ง่ายว่าจังหวัดไหนที่มีอารยธรรมที่เก่าแก่มักจะมีชื่อวัดมหาธาตุอยู่ในจังหวัดนั้น นั่นก็คือเป็นวัดที่มีพระบรมสารีริกธาตุอันยิ่งใหญ่เขาจึงเรียกว่าวัดมหาธาตุ ที่วัดแห่งนี้จะมี "หลวงพ่อพระหมอ" ซึ่งเป็นหลวงพ่อที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ คนเป็นโรคภัยไข้เจ็บอะไรมาบนบานสานกล่าว หรือมาขอพรจากท่านแล้ว มีความเชื่อกันว่ามักจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ชาวชัยนาทอำเภอสวรรคบุรีต่างมีความเชื่อและนับถือเป็นอย่างมาก ที่วัดแห่งนี้เป็นโบราณสถานที่ร่วมสมัย โดยผสมผสานอารยธรรมลพบุรี อู่ทองและสุโขทัยมารวมกันอยู่ที่นี่ หากคุณได้มาที่วัดมหาธาตุ อำเภอสวรรคบุรี จังหวัดชัยนาท คุณจะนึกว่าคุณได้กลับไปอยู่ที่จังหวัดสุโขทัยน้อยๆ เลยนะครับ ที่ด้านหลังจะมีวิหารคล้ายกับที่จังหวัดสุโขทัย พอเราขอพรจากหลวงพ่อพระหมอเสร็จ เราก็มาเข้าสู่ "วัดโพธาราม" เป็นวัดที่ 6 ซึ่งวัดโพธารามจะอยู่ตรงกันข้ามกับวัดมหาธาตุ เรียกว่าอยู่คนละซอย แต่ว่าอารยธรรมไม่ทิ้งกันเลยเพราะว่าที่นี่ได้ขุดค้นพบ "พระหิน" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศิลปะทวารวดีอันเก่าแก่มีอายุเป็นพันปี ซึ่งเชื่อกันว่า มีสักการะที่พระหินองค์นี้จะทำให้เรามีจิตใจที่กล้าแกร่ง ใครที่มีความทุกข์ มีความน้อยเนื้อต่ำใจ ให้มาขอพรท่านจะเกิดความมุมานะเกิดขึ้น และเขาเชื่อกันว่า "หลวงพ่อหิน" จะบันดาลโชคขอพรสิ่งใดมักจะประสบความสำเร็จ เป็นที่เลื่องลือในเรื่องความประสบความสำเร็จทั้งนี้ทั้งนั้นคุณจะต้องมาสัมผัสเอง
นอกจากหลวงพ่อหินแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ "หลวงพ่อผอม"เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่า "หลวงพ่อผอม" แสงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ชาวบ้านละแวกนี้ได้ประจักษ์ จากคนใกล้จะเสียชีวิตเข้าโรงพยาบาลในอาการโคม่า เขาเชื่อกันว่าหลวงพ่อผอมไปเข้าฝันและรักษาคนๆ นั้นจนหาย และหากใครมาบนบานสานกล่าวกับหลวงพ่อผอมก็หายป่วย นั่นก็เลยเป็นที่มาที่ไปว่าใครได้มาขอพรจาก "หลวงพ่อผอม" ก็จะมีแต่ความสุข และมีสุขภาพที่แข็งแรงอายุมั่นขวัญยืน
อาจารย์เอมมี่อยากจะบอกว่าทริปเส้นทางบุญครั้งที่ 26 ครั้งนี้เป็นทริปแห่งสุขภาพ อย่างวัดพระบรมธาตุ-มีบ่อน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนเชื่อกันว่ารักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ เพราะเป็นบ่อน้ำทิพย์ที่มีอายุมากกว่า 1,100 ปี เพราะสร้างตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีวิชัย อยากจะบอกว่าทริปครั้งนี้เป็นทริปเส้นทางบุญเพื่อตามรอยอารยะแห่งพุทธะและเพื่อสุขภาพ หรือที่เรียกว่า "พุทธะเทวะวารีบำบัด" นั่นเอง
ในทริปครั้งต่อไปอาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์คิดว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ครั้งต่อไปจะมีขึ้นในเดือนกันยายนจะทำทริปไปไหว้พระที่จังหวัดลพบุรี เพราะมีวัดที่อยู่นอกเมืองลพบุรีแต่มีความสำคัญมาก แล้วถัดจากนั้นก็จะมีทริปต่อไปที่จังหวัดเพชรบุรีเป็นทริปแห่งการถือศีลกินเจ ซึ่งก็จะเป็นทริปเพื่อสุขภาพอีกนั้นแหละ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นทริปของอาจารย์เอมมี่เป็นการทำบุญไหว้พระเสริมสิริมงคลตามความเชื่อแล้ว เรายังเน้นในเรื่องเพื่อสุขภาพอีกด้วย ให้จับต้องได้ในทริปที่เราทำเส้นทางการท่องเที่ยวแห่งนี้ นอกจากจะได้รับความสุขกายสุขใจแล้วเรายังได้รับความรู้ด้านอารยธรรมประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้นผู้ที่ร่วมทริปกับอาจารย์เอมมี่ จะได้รับพลังความรู้ พลังแห่งความเชื่อ พลังแห่งสุขภาพ ซึ่งครบครันลงตัวกับชีวิตมากเลยครับ
และนั่นจึงเกิดเป็นเส้นทางบุญครั้งที่ 26 ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ณ จังหวัดชัยนาท ทริปนี้ไปเช้า-เย็นกลับ นำโดยอาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ ที่นำพุทธศาสนิกชน 35 คน จำนวน 1 รถบัส มาร่วมทริปในเส้นทางบุญครั้งที่ 26 เอาบุญมาฝากค่ะ
วัดป่าสัก เลขที่ 17170 ตำบลหางน้ำสาคร อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เวลาเปิดให้สักการะได้ในเวลา 08.00-16.00 น. วันที่เราไปวัดป่าสัก อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เป็นวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 หลวงพ่อกำจัด สุจิตโต เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาได้วันสองวันนี้เองค่ะ
ประวัติหลวงพ่อกำจัด วัดป่าสัก (พระครูสุจิตต สังวรคุณ) หลวงพ่อเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2503 ที่ อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย โยมพ่อเป็นชาว อำเภอภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา (ตอนโยมพ่อของหลวงพ่อบวชพระรวยเป็นกรรมวาจารย์ (หลวงพ่อรวยวัดตะโก อยุธยาซึ่งโยมพ่ออายุตอนนี้ 83 ยังมีชีวิตอยู่) โยมแม่เป็นชาวตำบลห้วยกรดพัฒนา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท
หลวงพ่อกำจัด ได้บรรพชาอุปสมบท ณ วัดเทพกุญชรวราราม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี พระอุปัชฌาย์ พระมงคลธรรมภาณี หรือหลวงปู่มัง (ศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่อ่ำ) อดีตเจ้าคณะจังหวัดลพบุรีเจ้าอาวาสวัดเทพกุญชรวราราม (ธรรมยุติ มรณภาพแล้ว..) พระกรรมวาจาจารย์ พระครูพรหมจริยาริทร(เจ้าอาวาสวัดมณีชลขัณฑ์ลพบุรี) หลวงพ่อสังกัดนิกายธรรมยุติและเมื่อปี พ.ศ.2537 จึงได้เดินธุดงค์มาที่จังหวัดชัยนาท (แท้จริงตั้งใจเดินทางไปวัดหลวงปู่แหวน) แต่พอธุดงค์มาถึงที่หลังวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชัยนาท ท่านได้มาปักกลดในบริเวณที่ของนายสมาน ภูมิเมือง ต่อมาได้มีโยมผู้มีจิตศรัทธาซื้อที่ป่าสักถวายผืนแรก(เป็นผืนนาเก่า)จำนวน 12 ไร่ ผู้ที่ซื้อถวายคือ คุณยุพิน อมาตยกุล ซึ่งเป็นชาวพระนคร ต่อมาหลวงพ่อได้เริ่มสร้างวัดและถาวรวัตถุและได้รับตราตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสักรูปแรก เป็นเจ้าคณะตำบลหางน้ำสาครธรรมยุติ และได้รับสมณศักดิ์ ตราตั้งเจ้าคณะตำบลชั้นโทในนาม พระครูสุจิตตสังวรคุณ และหลวงพ่อได้ก่อสร้างเจดีย์รายองค์ใหญ่และได้สร้างโบถส์ ซึ่งมีคุณหญิงใหญ่ เสถียรสุต เป็นเจ้าภาพ หลวงพ่อได้มีลูกศิษย์ลูกหามากมายและได้สร้างวัตถุมงคลไว้หลายรุ่น จนเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักสะสมพระเครื่องและวัตถุมงคล
วัดป่าสักแห่งนี้ มีสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตะกรุดมหารอดขนาดใหญ่โตมหึมา ตั้งอยู่ภายในวิหาร อยู่ตรงกลางเหนือศีรษะ โดยมีพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ด้านใน ตะกรุดมหารอดยักษ์องค์นี้สร้างขึ้นโดยหลวงพ่อกำจัด เมื่อปี พ.ศ.2557 ซึ่งถือว่าเป็นตะกรุดที่หล่อจากทองเหลืองบริสุทธิ์ทั้งองค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 79 เซนติเมตร ความยาวตลอดทั้งองค์ 299 เซนติเมตร และมีน้ำหนักมากถึง 4 ตัน เปิดให้ประชาชนได้ขึ้นลอดตามด้านยาวของตะกรุด ที่ทำโพรงทรงกลมไว้สำหรับคลานลอดเพื่อความเป็นสิริมงคล มีข้อจำกัดคือ ผู้หญิงและผู้ชายที่น้ำหนักเกิน 70 กิโลกรัมห้ามคลานลอด แต่ให้เดินรอบตะกรุดยักษ์ได้
มีความเชื่อกันว่าตะกรุดมหารอดนี้ ปลุกเสกด้วยพระคาถาที่มีพุทธคุณทางด้านแคล้วคลาดปลอดภัย ผู้ที่ต้องทำงานบนความเสี่ยงหรือต้องเดินทางตลอด ควรหาตะกรุดมหารอดมาบูชาและพกติดตัวเพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจดีนักแล
ร่ำลานมัสการ "หลวงพ่อกำจัด" ด้วยภาพหมู่ภาพนี้ค่ะ แล้วก็มุ่งหน้าสู่วัดพระบรมธาตุวรวิหารในจังหวัดชัยนาทกันต่อไป
เข้าสู่วัดที่ 2 วัดบรมธาตุวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตตำบลชัยนาท อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท อยู่ห่างจากเขื่อนเจ้าพระยาประมาณ 4 กิโลเมตร เดิมชื่อวัดพระธาตุหรือวัดหัวเมือง บริเวณแถบนี้เคยเป็นที่ตั้งของเมืองชัยนาทมาก่อน สร้างตั้งแต่สมัยขอมมีอำนาจอยู่ในดินแดนลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยมีพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ในองค์พระธาตุเจดีย์เป็นที่รวมใจ ในรัชสมัยพระเจ้าลิไทแห่งกรุงสุโขทัยได้ทรงจัดการบำรุง และสมโภชพระธาตุ ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์แห่งกรุงศรีอยุธยา
ต่อมาเกิดศึกกับพม่าวัดจึงถูกทอดทิ้งทรุดโทรมลงไปมาก จนกระทั่งปี พ.ศ.2260 พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ ในสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินวัดพระบรมธาตุ เมื่อปี พ.ศ.2498 และได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวงเมื่อปี พ.ศ.2499
วัดพระบรมธาตุ ฯ เป็นหนึ่งในบรรดาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ น้ำหน้าวัดพระบรมธาตุฯ ถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ สำหรับนำไปใช้ในพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา กรมศิลปากรได้ประกาศเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ.2478
ว่าแล้วเจอกันก็ขอถ่ายภาพคู่กับ ผอ.ติ๋ว ผอ.ททท.สำนักงานลพบุรี
วัดพระบรมธาตุวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองชัยนาทมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ภายในวัดมีสถาปัตยกรรม ศิลปะสมัยอยุธยาที่สำคัญมากมาย อาทิ วิหารโบราณ แผ่นศิลาจารึก พระอุโบสถเก่าแก่ที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ พุทธลักษณะเฉพาะแบบสรรคบุรี และ พระบรมธาตุเจดีย์ สถาปัตยกรรมอู่ทอง ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนชาวจังหวัดชัยนาท
พระบรมธาตุเจดีย์ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างในสมัยใด เป็นเจดีย์แบบศรีวิชัย องค์เจดีย์เป็นทรงกลมตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจตุรัสซึ่งต่อมุมขึ้นไปรองรับใต้องค์ระฆัง มีซุ้มจระนำเล็กๆ ทั้งสี่ด้าน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางนาคปรกทั้งสี่ทิศ หน้าบันของซุ้มจระนำมี 2 ชั้นซ้อนกัน พระพุทธรูปในซุ้มกลางหน้าทางทิศตะวันออกหน้าตักกว้าง 23 เซนติเมตร สูงจากฐานจรดพระเศียร 31 เซนติเมตร ครองจีวรแบบห่มดองหรือห่มเฉียงชายสังฆาฏิเกือบถึงฝ่าพระหัตถ์ พระเศียร และพระพักตร์มีเค้าศิลปแบบลพบุรีหรืออู่ทองรุ่นแรก ระหว่างซุ้มจระนำมีผนังทำเป็นมุมเหลี่ยมขึ้นไปรองรับองค์ระฆังเหนือมุม ระหว่างหน้าบันของซุ้มจระนำทำเป็นเจดีย์ขนาดเล็ก มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปอีกหลายองค์เรียงรายอยู่โดยรอบ ต่อจากนั้นถึงองค์ระฆังทรงกลมรองรับปลียอด ส่วนบนสุดมีฉัตรประดับ
ในจดหมายเหตุระยะทางไปพิษณุโลก สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงนิพนธ์ว่า "วัดนี้เป็นวัดเก่า มีพระธาตุเล็กประมาณ 4 วา รูปเป็นหน้าบรรพ์ชั้นสิงห์อย่างปรางค์ฐาน 2 ชั้น เป็นฐานบัลลังก์ องค์เป็นต่อมน้ำ ยอดมีบัวกลุ่มดอก 1 แล้วปลีข้าวบิณฑ์เป็นรุ่มร่ามไม่เข้าแบบแปลว่าของใหม่ คนไม่เป็นทำหลังพระธาตุมีแผ่นศิลาจาฤกหนังสือของ....."
องค์พระบรมธาตุเจดีย์สร้างสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบแต่การบูรณะซ่อมแซมจากศิลาจารึกที่พบอยู่ในวัด สันนิษฐานว่าวัดพระบรมธาตุเป็นวัดที่เคยรุ่งเรืองมาก่อน ตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจอยู่ในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา การแกะสลักศิลารูปตามซุ้มเป็นฝีมือช่างโบราณสมัยขอม เข้าใจว่าคงจะเอาแบบมาจากอินเดียแต่มีศิลปะขอมอยู่ด้วย องค์พระบรมธาตุเจดีย์ก่อด้วยศิลา และจับเป็นก้อนเดียวกันทั้งองค์แปลกกว่าที่อื่นๆ ทุกปีเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนหกจะมีงานเฉลิมฉลองให้ได้นมัสการและปิดทองที่พระบรมสารีริกธาตุ
เมื่อถึงวันเข้าพรรษา (แรม 1 ค่ำ เดือน 8) ของทุกปี จะมีการจัดงานประเพณีอัญเชิญผ้าห่มพระบรมธาตุเจดีย์ และมีประชาชนจำนวนมากจากพากันหลั่งไหลเดินทางมากราบนมัสการ พร้อมเที่ยวชมงานวัดอย่างไม่ขาดสาย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานลพบุรี ได้ร่วมสืบสาน ประเพณีอัญเชิญผ้าห่มพระบรมธาตุเจดีย์ " เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563 ณ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท ร่วมกันกับอาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ พร้อมทั้งพุทธศาสนิกชนผู้ร่วมทริปมาร่วมสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งสมัยโบราณ อีกทั้งยังเป็นมงคลแห่งชีวิตที่ได้เข้ามากราบนมัสการพระบรมธาตุเจดีย์ ตลอดจนเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดชัยนาทอีกทางหนึ่งด้วย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร โทร. 095 8812278 และ ททท.สำนักงานลพบุรี โทร.036 770096 7 ได้ทุกวันเวลา 08.30 16.30 น. หรือ https://www.tat7.com และ Facebook Fanpage : Tat Lopburi
บ่อน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเชื่อกันว่ารักษาโรคภัยไข้เจ็บหายค่ะ
เจ้าอาวาสเลยบรรจงพรมน้ำมนต์จากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้กันถ้วนหน้า
จากนั้น ผอ.ททท.สำนักงานลพบุรี ก็กล่าวคำอำลาเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ส่วนรถบัสทริปนี้ของเราก็มุ่งสู่วัดที่สาม คือวัดทรงเสวย
วัดทรงเสวย ตั้งอยู่ตำบลหนองน้อย อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2430 เดิมชื่อว่าวัดหนองแค แต่หลังจากที่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จตรวจลำน้ำเก่าและแวะพักเสวยพระกระยาหารที่วัดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2451 จึงได้พระราชทานนามว่า ทรงเสวย ซึ่งชาวบ้านเห็นว่าเป็นคำราชาศัพท์ จึงเพิ่มคำว่า ทรง และเรียกว่า วัดทรงเสวย มาถึงปัจจุบัน และหลังจากเสด็จกลับพระองค์ได้พระราชทานของที่ระลึกแด่ หลวงพ่อคล้อย เจ้าอาวาสวัดหนองแคในสมัยนั้น เนื่องในงานพระศพของพระเจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภชน์ มีบาตร ปิ่นโต พระขรรค์ ตาลปัตร ใบลาน ตะเกียงลาน เรือสำปั้น ป้านน้ำชา 1 ชุด นับเป็นของพระราชทานที่ยังสมบูรณ์ที่สุดและทำการเก็บรักษาเป็นอย่างดี ปัจจุบันมีการสร้างพิพิธภัณฑ์สำหรับเก็บสิ่งของพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 และมีงานประจำปีในวันที่ 6 ธันวาคม เป็นประจำทุกปี
ประวัติวัดทรงเสวย เมื่อวันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2451 (ร.ศ.127) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินตรวจสอบลำน้ำเก่า โดยทางรถไฟถึงจังหวัดนครสวรรค์ แล้วเสด็จประทับเรือพระที่นั่งครุฑเหิรเท็จ เพื่อมาตรวจสอบแม่น้ำมะขามเฒ่า (แม่น้ำท่าจีน) ทรงประทับแรมที่วัดหัวหาด อำเภอมโนรมย์ นับเป็นการเสด็จเมืองขัยนาท เป็นครั้งที่ 3 ต่อจากนั้นวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2451 เสด็จตามแม่น้ำมะขามเฒ่า ผ่านตลาดวัดสิงห์ ลำน้ำมะขามเฒ่า สมัยนั้นเต็มไปด้วยผักตบชวา และตอไม้ พระองค์ประทับแรมที่บ้านหนองแค ซึ่งในสมัยนั้นขึ้นกับตำบลคลองจันทน์ ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลหนองน้อย อำเภอวัดสิงห์ ในครั้งนั้นพระอธิการคล้อยเป็นเจ้าอาวาส ได้ชักชวนราษฎรสร้างพลับพลารับเสด็จ พระองค์มีพระราชประสงค์เสวยยอดหวายโปง ตาแป้นมัคทายกวัดหนองแคจึงให้ชาวบ้านไปหายอดหวายโปงมาเผาไฟ หยวกกล้วยต้ม น้ำพริกปลาร้า (ปลามัจฉะ) มาถวาย พระองค์ทรงเจริญพระกระยาหาร (เสวยอย่างเอร็ดอร่อย) และตรัสกับชาวบ้านว่า "ต่อไปนี้ให้เรียกวัดนี้ว่า วัดเสวย" แต่ชาวบ้านเติมคำว่า ทรง ไปด้วย จึงเรียกว่า วัดทรงเสวย
พระครูปลัดศิริ สุวรรณฺรํสี เจ้าอาวาสวัดทรงเสวย เปิดเผยว่า โครงการทำบุญไหว้พระขอพร อิ่มบุญ อิ่มท้อง ก๋วยเตี๋ยว ชามละ 1 บาท เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาไหว้พระ และเที่ยวชมวัดได้มีอาหารมื้อเที่ยงรับประทานกัน มาเที่ยววัดไหว้พระอิ่มบุญแล้วจะได้อิ่มท้องกลับไปด้วย เพราะหลายๆ วัด มีแต่ไหว้พระอย่างเดียวไม่มีอาหารให้รับประทาน
เพื่อให้คล้องต่อชื่อวัดทรงเสวย ที่หมายถึงการรับประทาน และเป็นชื่อพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ได้ทรงพระราชทานชื่อวัดให้ เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมาประทับแรม และเสวยพระกระยาหาร ณ วัดแห่งนี้
โครงการนี้ได้เริ่มดำเนินการมาทุกวันเสาร์ -อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 12.00 - 14.45 น. ทางวัดจะทำก๋วยเตี๋ยวหมู 200 ชาม มาให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้กินกัน โดยคิดค่าก๋วยเตี๋ยวชามละ 1 บาทเท่านั้น ให้ประชาชนนำเงินค่าก๋วยเตี๋ยวใส่ในตู้บริจาคแล้วแต่ศรัทธา ถือเป็นการทำบุญให้แก่ทางวัด แถมรสชาติก๋วยเตี๋ยวก็อร่อยแบบไม่ต้องปรุง ทำให้ต่างติดใจ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนชรา มาวัดนี้ต้องแวะกินก๋วยเตี๋ยวก่อนกลับบ้านนะคะ
ต้นทุนในการทำก๋วยเตี๋ยวจะมีเจ้าภาพบริจาคเงิน จำนวน 3,000 บาท ให้แก่ทางวัด ซึ่งจะมีแม่ครัวที่เป็นคนในหมู่บ้านมาช่วยกันทำ ซึ่งท่านพระครูบอกว่า "ยอดผู้ใจบุญมาจองคิวรับเป็นเจ้าภาพค่าก๋วยเตี๋ยววันละ 3,000 บาท คิวยาวไปถึงเดือนกันยายนแล้ว สนใจจะร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพสามารถติดต่อได้ที่วัดทรงเสวย โทร. 0919906909 หมายเหตุ : ตอนที่เดินแถวเข้าไปรับภาพและพระจากเจ้าอาวาส เห็นหน้าละอ่อนมาก อุ้มก็เลยสงสัยเลยถามเจ้าอาวาสไปว่า "หลวงพี่คะ ขอโทษนะคะหลวงพี่อายุเท่าไหร่คะ เจ้าอาวาสอึ้งนิ่งเงียบไปนิดหนึ่งแล้วตอบกลับมาว่า อาตมาอายุ 28 ปี"
นางประวงษ์ กานนท์รังษี ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดชัยนาท เปิดเผยว่า วันนี้ก็ขอยินดีต้อนรับคณะเส้นทางบุญครั้งที่ 26 ของอาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ ที่ได้เดินทางมาจังหวัดชัยนาทในวันนี้เป็นครั้งที่สอง จังหวัดชัยนาทของเรามีสถานที่มีวัดที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรกราบไหว้บูชาอยู่หลายวัดด้วยกัน อย่างเช่น วัดบรมธาตุวรวิหาร, วัดธรรมมูลของหลวงพ่อธรรมจักร วัดหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า และอีกสถานที่หนึ่งนั่นก็คือวัดทรงเสวย วัดทรงเสวยแห่งนี้ตอนนี้มีโครงการอะไรหลากหลายอย่าง ก็ขอเชิญชวนให้ท่านได้รับชมและมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดแห่งนี้นะคะ นอกจากนั้นทางวัดโดยเฉพาะวันอาทิตย์จะมีอาหารคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว หรือผู้แสวงบุญที่มาทางวัดจะมีอาหารไว้ให้รับประทานกันค่ะ ก็ขอเชิญท่านมารับประทานอาหารและมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่อไปค่ะ สำหรับจังหวัดชัยนาทท่านคงทราบแล้วนะคะว่า เป็นเมืองที่ปลอดจากโควิด-19 ไม่มีผู้ป่วยที่จังหวัดชัยนาท ขอให้มาท่องเที่ยวได้อย่างมั่นใจอย่างเต็ม 100 % ค่ะ
ผู้ที่พิสมัยตัวเลข ต้องแวะมาหาน้องส้มฉุน ณ วัดทรงเสวย ต.หนองน้อย อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ที่นี่จะมีชาวบ้านชาวช่องแห่กันเดินทางมาที่ศาลาการเปรียญ เพื่อนำสิ่งของทั้งอาหารหวานคาว ขนมนมเนย น้ำแดง และของเล่นเด็ก เสื้อผ้าต่างๆ ที่เป็นสีแดง มาถวาย ไอ้ส้มฉุน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อของชาวบ้านที่ได้สร้างรูปปั้นตั้งไว้บนศาลาแห่งนี้ เนื่องจากหลวงปู่คล้อย เจ้าอาวาสองค์แรกทั้งรักและเอ็นดูมาก และไอ้ส้มฉุนจะออกมาปรากฏให้ชาวบ้านเห็นอยู่ตลอด ซึ่งที่ผ่านมามีคนมากราบไหว้ขอโชคลาภแล้วสมหวังกันไปจำนวนมาก หลายงวดติดกัน ทำให้ผู้คนที่ทราบข่าวเดินทางมาด้วยความหวังที่จะได้โชคลาภกลับไปเหมือนกัน
เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล ด้วยความศรัทธาและบารมีหลวงปู่ย้อย เทพเจ้าวาจาสิทธิ์ ลูกศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และไอ้ส้มฉุน เด็กวัดทรงเสวย ณ วัดทรงเสวย ตำบลหนองน้อย อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท โพสต์นี้ให้ส้มฉุนเด็กวัดทรงเสวยช่วยให้สมหวังด้วยเทอญ
"อิติ อิติ ส้มฉุน จะมหาเถโร ลาภะ ลาภา ภะวันตุเม"
ให้คิดดีทำดี ฝึกสมาธิ ปฏิบัติธรรม ทำบุญแผ่เมตตาให้ตนเอง และส้มฉุนเด็กวัดทรงเสวย ขอให้บารมีส้มฉุนเด็กวัดทรงเสวยช่วยให้สมหวังด้วยเถิด สาธุ ขอให้รวยทั้งแผ่นดินนะคะ
จากนั้นอาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ และคุณแม่ประวงษ์ กานนท์รังษี ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดชัยนาท ถวายถวายพระประทีปและผ้าอาบพรรษามหามงคลที่วัดทรงเสวย
จากนั้นมาเข้าแถวรับของที่ระลึกจากเจ้าอาวาสวัดทรงเสวย เรียกว่านับเป็นบุญที่ไปวัดไหนก็ได้รับมาจากเจ้าอาวาสทั้งสิ้น ทริปนี้อิ่มบุญกันจนตัวกลมค่ะ
จากนั้นไปต่อที่วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ 4 วัดพระแก้วตั้งอยู่ที่ ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ห่างจากตัวเมืองชัยนาทประมาณ 23 กิโลเมตร วัดพระแก้วเป็นวัดที่เก่าแก่รุ่นเดียวกับวัดมหาธาตุ เมืองสรรคบุรี
ปกติอุ้มเป็นคนที่หลับแล้วจะไม่ฝัน หรือถ้าฝันตื่นมาก็จะจำความฝันตัวเองไม่ได้ เพิ่งจะมาช่วงเดือนก่อนที่จะมาวัดพระแก้ว จังหวัดชัยนาท อุ้มฝันเห็นพญานาคสองตัวพ่นน้ำสวยงามมาก เห็นแล้วมีความสุข สวยมาก สวยจริงๆ ตื่นขึ้นมาจำความฝันได้ครบทุกภาพเลยพยายามนั่งทบทวนว่าพญานาคที่ไหน ตอนแรกคิดว่าเป็นพญานาคที่วัดพระธาตุหนองบัวที่จังหวัดอุบลราชธานี แต่พอมาที่วัดพระแก้วเห็นพญานาค 2 ตนที่นี่ ใช่เลยค่ะ นี่แหละ 2 ตัวที่อยู่ในความฝันของอุ้ม
นี่แหละ 2 ตัวที่อยู่ในความฝันของอุ้ม เลยได้มาที่วัดพระแก้ว 2 ครั้งเลยค่ะ
"วัดพระแก้ว" หรือวัดพระแก้วเมืองสรรค์ แต่เดิมมีชื่อว่าวัดป่าแก้ว เป็นวัดของคณะสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ซึ่งต่อมามีคนพบพระพุทธรูปองค์เล็กขนาดเท่าปลายนิ้วมือทำด้วยแก้วจากในเจดีย์ จึงเรียกกันติดปากว่าวัดพระแก้ว
ที่หน้าประตูทางเข้าวัดพระแก้ว จังหวัดชัยนาท เขียนอธิบายได้อย่างน่าสนใจว่า
ศิลปกรรมชิ้นนี้...ซึ่งอยู่ด้านหลังขององค์หลวงพ่อฉาย นักโบราณคดีเรียกว่า "ทับหลัง" เป็นภาพจำหลักบนศิลาทราย ภาพที่เห็นเป็นรูปพระอิศวรทรงช้างเอราวัณ อยู่ในซุ้มเรือนแก้วเป็นศิลปะขอมที่มีอายุเป็นพันปีขึ้นไป เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลงคงมีผู้นำโบราณชิ้นนี้มาจากอาณาจักขอม และนำแท่งศิลทรายที่มีภาพจำหลักพระอิศวรทรงช้างเอราวัณมาแกะเป็นพระพุทธรูป แต่ได้หงายเศียรช้างเอางวงขึ้นด้านบน คงบอกเป็นปริศนาธรรมว่า
"ผู้ที่ต้องการความสำเร็จสูงสุดเช่นพุทธองค์ จะต้องรู้จักปฏิบัติตนทวนกระแสแห่งโลภะ โทสะ โมหะ ถึงจะพบกับความสุขในชีวิต"
ภายในพระอุโบสถที่ด้านหลังพญานาคจะมีพระพุทธรูปพระประธานคือ หลวงพ่อฉาย ที่สำคัญด้านหลังองค์หลวงพ่อฉายมี "ทับหลัง" แกะสลักด้วยหินทรายติดอยู่ ลักษณะเป็นภาพหงายไม่ใช่ภาพคว่ำแตกต่างจากทับหลังทั่วไป เป็นรูปช้างมอบหงายอยู่บนแท่น โดยส่วนบนสุดเป็นรูปพระอินทร์ หรือพระศิวะกำลังหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ไหลถึงตัวช้าง โดยสันนิษฐานว่าทับหลังน่าจะขนย้ายมาจากปราสาทแห่งหนึ่งในประเทศกัมพูชา
ภายในวัดพระแก้วมีสิ่งที่สำคัญคือองค์สถูปเจดีย์ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของศิลปะอู่ทอง ที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะแบบปาละของอินเดีย เป็นเจดีย์ที่มีความงามที่สุดแห่งหนึ่งของไทย มีลักษณะเป็นเจดีย์แบบละโว้ทรงสูงผสมกับเจดีย์แบบทวาราวดีตอนปลาย ใช้เทคนิคการสร้างแบบสอปูนเป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมตั้งอยู่บนฐานไพที ฐานเขียง และฐานเรือนธาตุแบบลดท้องไม้มีพระพุทธรูปปูนปั้นแบบนูนสูงประดับทั้งสี่ด้าน มีเจดีย์ต่อจากฐานเรือนธาตุตอนบนทั้งสี่มุมต่อจากเรือนธาตุเป็นฐานสูงแปดเหลี่ยม มีซุ้มจระนำทั้งสี่ทิศ ต่อขึ้นไปเป็นบัวลูกแก้วและบัวถลาจนถึงองค์ระฆัง
ลักษณะของเจดีย์คล้ายเจดีย์สุโขทัย อาจได้รับอิทธิพลร่วมระหว่างศิลปะสุโขทัยกับศรีวิชัย บนฐานชั้นสามในซุ้มตรงกลางเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางถวายเนตร มีพระพุทธรูปปูนปั้นปางประทานอภัยอยู่สองข้างลักษณะของพระพุทธรูป น่าจะเป็นศิลปะอยุธยาตอนต้น เ พราะมีเค้าโครงศิลปะสุโขทัยผสมที่เห็นได้ชัดถัดจากแท่งสี่เหลี่ยมทรงสูงขึ้นไป เป็นแท่งแปดเหลี่ยม มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปางถวายเนตรทั้งสี่ด้าน เหนือขึ้นไปเป็นย่อเหลี่ยมอีกชั้นหนึ่ง ต่อจากองค์ระฆังเป็นปล้องไฉน 12 ปล้องรวมความสูง 77 เมตร สันนิษฐานว่า สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 น่าจะได้มีการแฝงคติธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาเอาไว้ด้วย หลายประการ อาทิ ฐานสี่เหลี่ยมหมายถึงอริยสัจสี่ฐานสูงแปดเหลี่ยมหมายถึงอริยมรรคมีองค์แปด ปล้องไฉน 12 ปล้อง หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท12 ข้อ ที่เกี่ยวพันกันเหมือนลูกโซ่ ยอดเจดีย์หมายถึงพระนิพพาน
โดยอาจารย์ น. ณ ปากน้ำ บรมครูทางด้านศิลปะไทยถึงกับยกย่องว่า สถูปวัดพระแก้วเมืองสรรคบุรีนี้เป็น "ราชินีแห่งเจดีย์ในเอเชียอาคเนย์"
เดิมพระสมุท์โปร่งเจ้าอาวาสวัดพระแก้ว ได้พบ "หลวงพ่อฉาย"ในสภาพชำรุดหักเป็นสามท่อนอยู่ในป่าแฝกจึงได้จัดทำฐานไว้ชั่วคราว และต่อมา พ.ศ. 2498 ได้บูรณะซ่อมแซมให้สมบูรณ์ดังเช่นในปัจจุบัน และประดิษฐานอยู่ในวิหารหน้าเจดีย์วัดพระแก้ว เป็นที่เคารพสักการะของประชาชน วัดนี้จึงเป็นอีกวัดหนึ่งที่เป็นวัดสำคัญของจังหวัดชัยนาทที่คุณต้องมาให้ได้สักครั้ง
จากนั้นอาจารย์เอมมี่พามากราบสักการะหลวงพ่อขาว และมาห่มผ้าใหม่ให้หลวงพ่อขาว
เข้าสู่วัดที่ 5 ณ วัดมหาธาตุ อ.สวรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นเส้นทางบุญครั้งที่ 26 ของอาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ เรามาที่จังหวัดชัยนาทภายใต้ concept ที่ว่า "ถวายพระประทีปและผ้าอาบพรรษามหามงคล เพื่อรับความสุขแบบนี้ดี๊ดีที่จังหวัดชัยนาท"
วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่ที่ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท ในวัดมีโบราณสถานที่สำคัญของจังหวัดชัยนาทอยู่อย่างมากมาย ด้วยเพราะเป็นวัดเก่าแก่โบราณคู่เมืองแพรกหรือเมืองสรรค์ เดิมมีชื่อว่า วัดพระธาตุ หรือ วัดหัวเมือง ที่ก่อสร้างขึ้นมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา
โบราณสถานภายในวัดมหาธาตุ มีมากทายที่น่าสนใจและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ พระปรางค์กลีบมะเฟือง สร้างด้วยอิฐถือปูน 3 องค์ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลื่ยม เป็นศิลปะสมัยลพบุรี นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปซึ่งแบ่งเป็น 2 แบบ กล่าวคือ ศิลปะแบบลพบุรีและแบบอยุธยาตอนต้น
วัดมหาธาตุ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน้อยตอนหักโค้งไปทางทิศตะวันออก สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.1897 ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาลิไล แห่งกรุงศรีอยุธยา และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยา นับเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสรรคบุรีมาแต่อดีต กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ.2478 ปัจจุบันก็ยังเป็นศูนย์รวมใจของชาวสรรคบุรีมีหลักฐานทางโบราณคดีว่า "วัดนี้เป็นวัดกษัตริย์สร้าง"
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงมีลายพระหัตถ์บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า ....วัดมหาธาตุตั้งอยู่ใจกลางผ่านคูเมืองทั้งสองด้าน..... วัดมหาธาตุนั้นตามฝีมือทำเป็น 2 คราวหรือ 3 คราว ชั้นเดิมทีเดียวเป็นอย่างเมืองละโว้ ชั้น 2 เป็นเมืองลพบุรี เป็นการทำเพิ่มเติมซ้ำๆ กันลงไป..... สร้างวิหารใหญ่เห็นจะเป็นครั้งเจ้ายี่พระยา ด้วยพระธาตุนั้นก็เป็นรูปสี่เหลี่ยมซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่จะเป็นยอดเล็กยอดน้อยนั้นไม่ใช่พระปรางค์
พระอุโบสถ แบ่งออกเป็น 7 ห้อง มีพาไลด้านหน้าและด้านหลัง มีพระพุทธรูปนั่งสององค์ ก่อด้วยอิฐถือปูน ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ หลังคาแบบซ้อนกันสองชั้น สันนิษฐานว่า คงจะมีการซ่อมแซมในยุคหลัง มีหน้าต่างด้านหน้าคล้ายมุขเด็จ ดังเช่น พระที่นั่งจันทรพิศาลในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ที่ลพบุรี มุขของพระอุโบสถ อาจใช้ทำประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองในสมัยนั้นเพราะบริเวณหน้าวัดชาวบ้านยังคงเรียกว่าหน้าพระลาน
เข้าสู่วัดที่ 6 ณ วัดโพธาราม ตั้งอยู่ที่บ้านช่อง ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นเส้นทางบุญครั้งที่ 26 ของอาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ เรามาที่จังหวัดชัยนาทภายใต้ concept ที่ว่า "ถวายพระประทีปและผ้าอาบพรรษามหามงคล เพื่อรับความสุขแบบนี้ดี๊ดีที่จังหวัดชัยนาท"
วัดโพธาราม ตั้งอยู่ในเขตบ้านซ่อง เลขที่ 87 หมู่ที่ 5 ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนหรือในระหว่างที่เจ้าพระยาสร้างเมืองสรรคบุรี วัดโพธารามเดิมชื่อวัดบ้านซ่อง เป็นวัดราษฎร์ จะเป็นเพราะชาวบ้านซ่องพร้อมใจกันสร้างขึ้น เพื่อจะได้เป็นที่ทำบุญกุศลเป็นประจำสำหรับชาวบ้านซ่อง ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์เมื่อประชาชนมาตั้งถิ่นฐานมากขึ้นมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้สร้างวัด วัดโพธารามนี้ ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าใครเป็นผู้สร้าง และสร้างแต่เมื่อใด เพราะคนโบราณได้สร้างไว้ ยังเหลืออยู่แต่ซากฐานวิหารกับซากฐานเจดีย์เท่านั้นอย่างอื่นอันตรธารไปหมดสิ้น หากจะประมาณเห็นจะเป็นตอนต้นที่ชาวบ้านเมืองสรรคบุรี ได้สร้างบ้านสร้างเมือง พอสร้างบ้านเมืองเสร็จ จึงพร้อมใจกันสร้างวัด คู่บ้านคู่กับเมือง เพราะถือกันว่าประเทศชาติคู่กับพระศาสนา จึงเป็นธรรมเนียมมาถึงปัจจุบันนี้ เพื่อจะได้มีวัดเป็นที่ทำบุญและเพื่อให้ลูกหลานได้มีที่เล่าเรียนศึกษาหาความรู้อนึ่ง
การสร้างวัดโพธาราม ที่เหลือแต่ซากฐานวิหารกับเจดีย์ มีวิธีการสร้างเหมือนกับการสร้างวัดมหาธาตุ (วัดศรีษะเมือง) ซึ่งอยู่ภายในเขตพระราชฐานของเมืองสรรคบุรี เช่นที่วัดมหาธาตุ ทำการสร้างกำแพงแก้วที่หน้าอุโบสถและวิหาร ก่ออิฐแล้วสออิฐด้วยดินเหนียวก่อขึ้นไป แล้วฉาบรอบนอกด้วยปูนขาวอย่างไรวัดโพธารามได้มีวิธีทำอย่างนั้นเหมือนกัน
พระอุโบสถ สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยช่างชาวจีน ลักษณะโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบจีน กล่าวคือ บริเวณประตูทางเข้าเป็นภาพวาดสัตว์ต่าง ๆ เช่น ปลา กุ้ง ไก่ และรูปคนจีน หลังคาประดับด้วยสิงห์โตปูนปั้น พระประธานในอุโบสถเป็นศิลปะสมัยอู่ทอง และภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับสภาพสังคมในยุคนั้น ผนังด้านนอกอุโบสถ ประดับด้วยเครื่องเคลือบจีน
แวะมาที่ถนนคนเดินสรรพยา ตลาดเก่าสรรพยา และโรงพักสรรพยา
โรงพักเก่าสรรพยา ตั้งอยู่บริเวณตลาดเก่าสรรพยา หมู่ 4 ตำบลสรรพยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เป็นอาคารโรงพักของตำรวจ เป็นอาคารสมัยรัชการที่ 5 ซึ่งมีอายุมากกว่า 120 ปี และถือว่าเก่าแก่ที่สุดในประเทศ เป็นสถานที่แสดงเรื่องราวประวัติศาตร์ท้องถิ่น เพื่อให้คนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวได้เข้าชมและศึกษา และยังได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2561 ข้างๆ โรงพักสรรพยาเป็นถนนคนเดินตลาดสรรพยา เปิดขายทุกวันทุกเสาร์-อาทิตย์ต้นเดือน และมีธีมต่างๆ ขอเชิญนักท่องเที่ยวไปร่วมเดินท่องเที่ยวและซื้อสินค้ากันนะคะ
ณ ชุมชนสรรพยาเป็นชุมชนเล็ก ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในจังหวัดชัยนาท เป็นที่ตั้งของตลาดเก่าสรรพยา หมู่ 4 ตำบลสรรพยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์หลากสีสันที่ยังคงอนุรักษ์วิถีชีวิตดั้งเดิมได้อย่างงดงาม นอกจากโรงพักสรรพยาแล้วที่เป็นโรงพักที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยมีอายุกว่า 120 ปี เพราะสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว
ที่นี่มี Street Art ศิลปะบนกำแพงที่บอกเล่าเรืองราววิถีชีวิตชุมชนในอดีต ที่ซ่อนตัวอยู่ตามกำแพงบ้านเรือนในชุมชนให้เดินเล่นถ่ายรูป ว่าแล้วอุ้มกับน้องกะปุกก็ต้องแบกภาระงานใหญ่ช่วยลากควายให้ขึ้นจากน้ำให้ได้ก่อนนะคะ สงสารน้องควายแช่น้ำนานอาจจะเปื่อยได้ คริคริ ที่ถนนคนเดินตลาดเก่าสรรพยาก็มีสตรีทอาร์ต 3 ภาพด้วยค่ะ อุ้มถ่ายภาพสตรีทอาร์ต 3 ภาพ ครบพอดีแล้วจ้าพี่น้องชาวไทย
บัวลอยลอนตาล ฝีมือคุณแม่อร่อยมากค่ะ
วัดสรรพยาวัฒนาราม ตั้งอยู่ในตลาดเก่าต.สรรพยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท มีศิลปะที่งดงามในสมัยอยุธยาอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์มหาอุตต์ พระวิหาร ศาลาพระพุทธ หลวงพ่อพุทธสำเร็จ ตลอดจนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าวัด
วัดสรรพยาวัฒนารามตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมชื่อว่า "วัดเสาธงหิน" หรือ "วัดวังหิน" ตามลักษณะวังน้ำวนหน้าวัดที่ไหลเชี่ยวเป็นเกลียวเหมือนเสาหิน ชาวบ้านเชื่อกันว่าใต้พระอุโบสถมีทางเข้าออกเชื่อมต่อกับริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นถ้ำที่อาศัยของจระเข้ วันดีคืนดีจะปรากฏกายให้ชาวบ้านแถวนั้นเห็น แต่ไม่เคยทำอันตรายให้กับชาวบ้านที่หาปลาแถวบริเวณนั้น เพราะจระเข้ตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของหลวงพ่อเฟื่อง อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 2
โบสถ์มหาอุตต์ ที่มีตัวอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาเครื่องไม้ทรงจั่ว ก่อซุ้มโค้งกลีบบัว มีประติมากรรมปูนปั้น "พระฉาย" หรือองค์พระพุทธเจ้าในท่าปางถวายเนตร ประทับเงาพระองค์บนหน้าผาเป็นพระอุเทสิกเจดีย์ให้คนเคารพ สันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 25
ไฮไลต์ของอุ้มอยู่ที่วัดสรรพยา ต้องมาชมมากราบให้ได้นะคะ พระพุทธรุปปางกราบพระบรมศพ อุ้มเห็นมีอีกแห่งหนึ่งก็ที่วัดอินทารามฝั่งธนบุรี ในกรุงเทพมหานคร
โดยพระพุทธเจ้าประทับนอนในหีบพระบรมศพ มีพระสงฆ์ อาทิ พระมหากัสสปะ (องค์สีทอง) พระอริยสงฆ์ นั่งสมาธิปลงสังเวช และพระสมมติสงฆ์นั่งชันเข่าในอาการเศร้าโศกเป็นตัวแทนของปุถุชน เสมือนเป็นหลักธรรมคำสอนหรือพระธรรม
ส่วนพระบาทยื่นออกมานอกหีบเป็นปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า เพื่อให้พระมหากัสสปะถวายบังคม ก่อนไฟลุกไหม้พระบรมศพ มองให้เห็นเป็นสัจธรรมชีวิตที่ไม่มีใครหลีกหนีพ้นความตาย ส่วนภาพชาวบ้านยังนิยมกราบไหว้พระพุทธรูปปางกราบพระบรมศพ เพื่อขอพรเกี่ยวกับสุขภาพให้หายจากอาการเจ็บป่วยหรือให้ร่างกายแข็งแรง
นับเป็นมงคลแห่งชีวิตของอุ้มที่ได้มาทำบุญในวันเข้าพรรษาถือว่าชีวิตนี้ไม่เสียชาติเกิด นับเป็นเส้นทางบุญครั้งที่ 26 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ณ จังหวัดชัยนาท ที่นำโดยอาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ เสริมบุญเสริมบารมีต่อเติมชีวิตให้ประสบความสำเร็จ มีความสุขในวันนี้มากเลยค่ะ เอาบุญมาฝากพี่น้องชาวไทย ปิดท้ายทริปทำบุญในวันเข้าพรรษาด้วยภาพนี้ 7 วัดในวันเข้าพรรษา
ขอขอบคุณ อาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ สภาวัฒนธรรมจังหวัดชัยนาท ภาพบางส่วน : น้าเสริฐ Prasert Thepsri การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานลพบุรี เพลง : เที่ยวเมืองไทยกันเหอะ...ดีกว่าเยอะ / อิน บูโดกัน BG : ลักกี้ / กล่องเขียนคอมเม้นท์ : lozocat / Banner : oranuch_sri ของแต่ง BLOG : ป้ามด + ดอกหญ้าเมืองเลย + ชมพร + ญามี่ + เนยสีฟ้า
Create Date : 08 กรกฎาคม 2563 |
Last Update : 4 กันยายน 2563 10:58:32 น. |
|
23 comments
|
Counter : 2920 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณเริงฤดีนะ, คุณSleepless Sea, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณhaiku, คุณวลีลักษณา, คุณtoor36, คุณสองแผ่นดิน, คุณKavanich96, คุณกะว่าก๋า, คุณnonnoiGiwGiw, คุณmariabamboo, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณnewyorknurse, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณmultiple, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณThe Kop Civil, คุณเนินน้ำ, คุณTui Laksi, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณหอมกร, คุณauau_py |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 8 กรกฎาคม 2563 เวลา:22:22:18 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 8 กรกฎาคม 2563 เวลา:23:42:46 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 9 กรกฎาคม 2563 เวลา:3:53:39 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 กรกฎาคม 2563 เวลา:7:49:44 น. |
|
|
|
โดย: mariabamboo วันที่: 9 กรกฎาคม 2563 เวลา:19:04:03 น. |
|
|
|
โดย: วลีลักษณา วันที่: 9 กรกฎาคม 2563 เวลา:21:25:00 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 กรกฎาคม 2563 เวลา:7:05:47 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 10 กรกฎาคม 2563 เวลา:9:38:03 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 กรกฎาคม 2563 เวลา:10:21:21 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 10 กรกฎาคม 2563 เวลา:12:39:24 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 10 กรกฎาคม 2563 เวลา:12:40:18 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 10 กรกฎาคม 2563 เวลา:14:49:45 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 กรกฎาคม 2563 เวลา:14:24:55 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 12 กรกฎาคม 2563 เวลา:22:48:17 น. |
|
|
|
โดย: Love Memoirist (blue_medsai ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2563 เวลา:8:38:18 น. |
|
|
|
โดย: opleee วันที่: 13 กรกฎาคม 2563 เวลา:9:19:08 น. |
|
|
|
โดย: auau_py วันที่: 14 กรกฎาคม 2563 เวลา:6:43:31 น. |
|
|
|
|
|