น้ำหยด..... เล็กน้อย แต่สม่ำเสมอ
ที่บ้านปลูกต้นเฟินชายผ้าสีดาไว้ต้นหนึ่งค่ะ เจ้าหญิงสีดานี้ แอบอิงแนบชิดอยู่บนอกของเจ้าชายการบูร  ด้วยความไม่รู้ใจต้นไม้มากนัก อีกทั้งไม่เคยหาความรู้ เกี่ยวกับเจ้าหญิงสีดามาก่อน ก็ได้แต่อนุมานคิดเอาเองว่า มันคงชอบน้ำเยอะๆ แดดร่มๆ ตามประสา ต้นไม้ประเภทเฟิน เวลาให้น้ำ ก็ให้เยอะเลย มันจะได้กินอิ่มๆ แล้วโตไว ไว ก็แอบสังเกตว่า ตอนที่มันกินน้ำใหม่ๆ ก็ดูอิ่มหนำสำราญดี ผิวพรรณผุดผ่องเต่งตึง แต่พอตกบ่าย ผิวที่ตึงๆก็กลับเหี่ยวหดตัว สรุปว่า ตึงอยู่ประเดี๊ยวประด๋าวแค่ช่วงที่กินน้ำใหม่ๆเท่านั้นเอง หน้าฝน ยังพอทนค่ะ แต่ ช่วงหน้าร้อนไม่ต้องพูดถึงค่ะ หน้าหงิกงอตลอดเชียวล่ะ ต่อมา คุณแฟนก็มีไอเดียบรรเจิด จัดการเอาที่ให้น้ำเกลือมาแขวนให้น้ำเจ้าหญิงสีดา
 ถ้าเป็นช่วงเช้า และช่วงเย็นที่ไม่มีแดด ก็ปรับระดับให้หยดช้าหน่อย ช่วงกลางวันอากาศร้อนๆ ก็ปรับให้หยดเร็วขึ้น
ทดลองมาครบเดือน ปรากฏว่า เจ้าหญิงสีดา ชอบใจมาก มันเต่งตึงตลอดเวลาเลยเชียว ไม่ต้องรดน้ำแบบฉีดซู่ ซู่ แบบเคยอีกเลย พอเห็นเจ้าหญิงสีดาแล้ว ก็เลยปิ๊งแว๊บขึ้นมาว่า เรื่องเล็กๆอย่างน้ำหยด ห้ามมองข้าม หรือดูถูกมันเชียวนะ คนเราถ้าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ต้องมาก แต่ขอให้ทำสม่ำเสมอ เห็นผลดี กว่าคนที่ทุ่มเททำอะไรใหญ่ๆ แต่ทำไม่บ่อยซะอีก เหมือนกระต่ายวิ่งแข่งกับเต่า เต่าชนะกระต่าย แม้จะช้าแต่ไม่เคยหยุดเดิน เหมือนการเก็บเงินในกระปุกออมสิน เหรียญบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสิบบาทเก็บทุกวัน ไม่นานก็ได้เงินเป็นพัน การปฏิบัติธรรมก็เช่นกันค่ะ ถ้าปฏิบัติในรูปแบบด้วยการนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรม วันละชั่วโมง สองชั่วโมง แต่หลังจากนั้นก็หลงตลอดเกือบ 20 กว่าชั่วโมง ก็คือการประมาทเหมือนเจ้ากระต่าย ที่เดินเร็วก็จริง แต่ก็แอบงีบระหว่างทาง
การกินข้าวแล้วดูหนัง โดยที่ใจลอยไปอยู่ที่หนังไม่ได้อยู่ที่ข้าว แปรงฟันก็ใจลอยคิดไปเรื่องนู้นเรื่องนี้ ล้างจาน ก็มัวแต่คิดจะให้เสร็จเร็ว มือล้างไป แต่ใจหนีหายไปไหนละเนี่ย การปฏิบัตินั้นก็ให้ผลช้า แต่ถ้าเราฝึกสติในชีวิตประจำวัน ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด มีสติรู้ตัว ทำอะไรรู้ตัว ทีละนิด ทีละนิด เหมือนน้ำหยด เล็กๆ แต่สม่ำเสมอ เหมือนเต่าที่เดินช้าก็จริง แต่มันไม่หยุดเดิน เราก็จะมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม รู้กาย รู้ใจตนเอง
ถ้าถามว่า ทำไมต้องปฏิบัติธรรม เจริญสติด้วยล่ะ ? ก็ต้องตอบว่า คนในโลกส่วนใหญ่ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์ และคนส่วนใหญ่ก็อยากหาทางออกจากความทุกข์นั้น โดยไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง พอบอกให้ปฏิบัติธรรม บางคนส่ายหน้า ประหนึ่งจะต้องกินยาขม หรือออกรบกับข้าศึก สุดท้ายก็ขอจมอยู่กับความทุกข์กันต่อไป ก็ได้แต่รอให้มีใครยื่นมือมาช่วยฉุดให้พ้นจากทุกข์นั้น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะคะ
ถ้าคุณไม่อยากทุกข์ ก็อย่าหนีมัน เผชิญหน้ากับทุกข์ด้วยความเข้าใจ ซึ่งความเข้าใจนี้ เกิดได้จากการฝึกสติ ภาวนาให้เกิดปัญญาขึ้นมา ใจมันจะยอมรับ ไม่ดีดดิ้นหนีความทุกข์ แต่เห็นทุกข์ด้วยใจเป็นกลาง รู้มันแบบซื่อๆ ว่าความทุกข์มาเยี่ยม แล้วมันก็ผ่านไป เริ่มแบบเล็กๆเหมือนน้ำหยดนี่หละ มีสติอยู่กับสิ่งที่คุณกำลังทำในชีวิตประจำวัน อยากให้ชีวิตดีขึ้น ทำให้ครบองค์ คือ ทาน ศีล ภาวนา ให้ทานเพื่อสละความตระหนี่ออกจากใจ รักษาศีลใจให้ใจเป็นปกติสุข ภาวนาให้เกิดปัญญา สติ ไม่ทิ้งเรา ถ้าเราไม่ทิ้งสตินะคะ
Create Date : 19 เมษายน 2556 | | |
Last Update : 19 เมษายน 2556 18:02:42 น. |
Counter : 1468 Pageviews. |
| |
|
|
|