"แล้วมันก็ผ่านไป"
Group Blog
 
All blogs
 
อุบายดูแล "ความโกรธ"

ทำไม ต้อง "ดูแล" ความโกรธด้วยล่ะ ?

มันต้องกำจัด หรือ จัดการไม่ใช่เหรอ ?

วันนี้ เราจะไม่กำจัด หรือ จัดการกับความโกรธค่ะ แต่เราเลือกดูแลความโกรธ ไม่ให้ทำร้ายเราได้

ขอยกเอาคำสอน ของ ท่าน ติช นัท ฮันห์ พระมหาเถระในพุทธศาสนา มหายานนิกาย เซน ที่กล่าวถึงโทสะในมิติของความเมตตาไว้ ดังนี้ค่ะ

นี่ไม่ใช่การเก็บกดหรือการต่อสู้
ทว่าเป็นการรับรู้ เวลาที่รับรู้โทสะ
เราจะโอบกอดมันไว้ด้วยความระลึกรู้
ด้วยความอ่อนโยนอย่างยิ่งยวด

 - จาก ปฏิบัติต่อความโกรธด้วยความอ่อนโยน - ท่านติช นัท ฮันห์ -


อาจมีใครพูดถึงเรื่องนี้กันมามากมาย ทั้งวิธีจัดการกับความโกรธ หรือ วิธีทะเลาะให้ได้ดี (ฮา)

แต่น้อยนัก ที่เราจะได้ยิน ถึงอุบายในการ "ดูแลความโกรธ"

      ขึ้นชื่อว่า "ความโกรธ" คงไม่ค่อยมีใครอยากข้องแวะกับมันซักเท่าไหร่ เพราะมันเป็นอารมณ์ที่นำพาแต่เรื่องร้ายๆมาให้เราเสมอ ยิ่งถ้ามันรุนแรงถึงขั้น ทำให้เกิด "การทะเลาะ"ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรให้มันเกิดเป็นอย่างยิ่ง จริงไม๊คะ ?

แต่บางครั้ง จากประสบการณ์ตัวเอง กลับพบว่า แม้เราจะไม่ชอบอารมณ์โกรธ แต่เราก็ไม่พยายามพาตัวออกจากอารมณ์โกรธนี้ แม้เราจะเพียรอ่านหนังสือ ฟังผู้รู้ หรือคิดค้นหาวิธีจัดการกับความโกรธ มากมายเท่าไรก็ตาม แต่เรากลับไม่ประสบความสำเร็จเลย เพราะเราเอง ยินดีที่จะอยู่ในอารมณ์โกรธนั่นเอง

ตอนที่เราไม่โกรธ เราจะบอกตัวเองว่า เราไม่ชอบมัน แต่พอมีใครชวนทะเลาะ เรากลับกระโดดลงไปในสมรภูมิแห่งความโกรธ และ การทะเลาะนั้น ด้วยความเต็มใจ ไม่เคยคิดฝืน คิดต้านมัน คิดเพียงว่า ฝ่ายตรงข้ามทำไม่ถูก เราก็ไม่สามารถสงบใจให้นิ่งเฉยได้ เราต้องจัดการทันที  !!!

       วิธีดูแลตัวเอง ไม่ให้หลงวนอยู่ในอารมณ์โกรธนี้ เกิดจากการเผชิญหน้ากับความโกรธของตัวเองค่ะ โดยอาศัยอาวุธคือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า และการถ่ายทอดธรรมจากครูบาอาจารย์ที่พร่่ำสอน และผ่านการลองผิด ลองถูก ของตัวเอง ดังนั้น ถ้าผู้อ่านท่านใด รู้สึกว่าวิธีที่บอก น่าจะใช้ได้ หรือ ตรงกับจริตของท่านเอง ก็ทดลองดูค่ะ

ข้อ 1 ระลึกถึงโทษภัยของความโกรธไว้เสมอ

ว่าเราไม่ยินดีเป็นผู้ตกอยู่ในอารมณ์โกรธ ข้อนี้สำคัญมากนะคะ ก่อนที่จะไปคิดหาหนทาง ทำยังไงเวลาที่เราโกรธ หรือทำอย่างไรไม่ให้โกรธ ขอให้บอกตัวเองไว้เสมอ ว่าเราไม่ยินดีตกเป็นทาสของอารมณ์โกรธ !

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ความโกรธนั้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายนัก อย่าพึงให้เกิดขึ้น เพราะจะทำให้เกิดผลกรรมต่างๆ ได้มากมายดังนี้

“ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำ มีจิตอันความโกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โกรธย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ฯ” เกสปุตตสูตร ๒๐/๕๐๕

ข้อ 2 พึงตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า เราไม่สามารถห้ามความโกรธได้

แต่เราหลุดจากความโกรธได้(เร็ว)

ความโกรธเป็นอารมณ์ มีเหตุให้โกรธ ก็โกรธ หมดเหตุก็ดับ เป็นเรื่องธรรมดา หากยังไม่สามารถทำลายกิเลสให้บริสุทธิ์แล้ว เราทุกคนย่อมมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นได้ค่ะ 

เป้าหมายของผู้ยังไม่บรรลุธรรมเบื้องสูง คือ เราจะต้องมีสติให้เร็ว เพื่อหลุดจากวังวนของอารมณ์โกรธ ออกมาให้เร็ว ยิ่งสติไว อารมณ์โกรธก็เข้าย้อมใจเราไม่ได้เลย และบางครั้ง ก็ต้องทำความเข้าใจว่า เรื่องบางเรื่อง ที่ทำให้เราโกรธ มันใหญ่กว่า สติ บางครั้งสติมี แต่ยังไม่พอ จึงเอาไม่อยู่ เราจึงต้องหมั่นฝึกสติให้แข็งแรงมากขึ้น มากขึ้นค่ะ

  ท่าน ว. วชิระเมธี กล่าวไว้ว่า

"ที่ใดที่มีความโกรธ ที่นั่นไม่มีสติ ที่ใดมีสติ ที่นั่นไม่มีความโกรธ

ความโกรธเปรียบเสมือนหนู สติเปรียบเสมือนแมว ที่ใดมีแมว ที่นั่นไม่มีหนู ที่ใดมีหนู ที่นั่นไม่มีแมว

ฉะนั้นสติจึงเป็นธรรมซึ่งใช้เป็นคู่ปรับกับความโกรธได้เป็นอย่างดี

ถ้าเราอยากจะหนีความโกรธ เราก็ควรฝึกสติในทุกๆอิริยาบถ เมื่อเรามีสติอยู่ในทุกอิริยาบถ ก็คือเรามีความตื่นรู้อยู่ในทุกอิริยาบถ จิตของเราที่มีความตื่นรู้เป็นอารมณ์แล้ว ก็ไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับที่ความโกรธจะแทรกตัวเข้ามา 

ฉะนั้น สันนิษฐานได้อย่างหนึ่งว่า ใครโกรธคนนั้นกำลังขาดสติ" 

 

ข้อ 3 งดพูดกับฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่เราโกรธ

หรือ ฝ่ายตรงข้ามโกรธ อย่างเด็ดขาด

ข้อนี้ขอย้ำเป็นพิเศษนะคะ เพราะเจอกับตัวแล้วหลายครั้ง จึงได้รู้ว่า ในขณะที่เราโกรธ คำพูดของเรานั้นหลุดมาจากใจที่ขาดเมตตา และเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ ไม่มีทางที่มันจะเป็นคำพูดที่ดีได้เลยค่ะ แม้เราจะเก่งมาก ควบคุมน้ำเสียงได้ดีเยี่ยม แต่เราไม่สามารถควบคุมจิตใจเราได้หรอกนะคะ กระแสของจิตใจ ที่โกรธเคืองนั้น ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ได้ค่ะ 

  หรือ ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ได้โกรธ แต่ต้องการชี้แจงให้ฝ่ายตรงข้าม (ซึ่งกำลังโกรธคุณอยู่) เข้าใจในตัวคุณ ก็ต้องยุติการเจรจาเช่นกันค่ะ เพราะความโกรธของฝ่ายตรงข้าม บดบังสติของเขาไปหมดแล้ว ต่อให้คุณพูดด้วยใจที่เมตตา เขาก็ไม่อยากรับฟังค่ะ หรือฟังไป ก็ไม่เข้าใจคุณอยู่ดี 

บอกตัวเอง และคู่กรณีว่า ขอเวลานอกก่อนนะ ตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะคุย แต่ตอนที่ขอเวลานอกนี้ ขอให้พูดด้วยความเมตตาทั้งต่อตนเอง และคู่กรณีนะคะ เพราะเคยเจอเหมือนกันว่า อีกฝ่ายไม่ยอมให้เราขอเวลานอก เพราะเหมือนเป็นการเดินหนี ทั้งที่อีกฝ่ายหนึ่ง เขายังอยากจะพูด อยากจะระบายความโกรธให้เต็มที่ก่อน เราจึงต้องพูดด้วยเมตตาจริงๆ เช่น "เราไม่อยากทำร้ายคุณด้วยคำพูดของเราเลย ขอเวลาเราซักนิดนึง แล้วเราจะกลับมาคุยกับคุณแน่นอน"

 

ข้อ 4 เมื่อตกอยู่ในอารมณ์โกรธ คนที่ควรดูแลมากที่สุด ก็คือ ตัวคุณเอง

มองย้อนกลับมาที่ตัวคุณก่อนนะคะ ปล่อยอีกฝ่ายหนึ่งไว้ก่อน ขอยกข้อธรรมะ

จากหนังสือ  "เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก" โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก  ดังนี้ค่ะ

ไฟไหม้บ้าน – ดับไฟก่อน

เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ จะโกรธ อยากโกรธ
หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
จนกว่าใจจะสงบสบาย เมื่อเราไม่พอใจ ไม่ต้องคิด
อย่าคิดไปตามอารมณ์ คิดว่า ทำไมเขาทำอย่างนี้
เขาไม่น่าทำเช่นนี้

..... ดอกไม้ ..... พิจารณาดู..... สมมติเมื่อเรากำลังกลับเข้าบ้าน
มองเห็นควัน มีไฟลุกขึ้น ไฟกำลังไหม้บ้านของเรา
ถึงแม้เรามองเห็นว่า มีใครวิ่งหนีไปก็ตาม
เราไม่ต้องคิดสงสัยว่า เขาเป็นผู้ร้ายหรือเปล่า
สิ่งที่ต้องทำก่อนทุกอย่างคือ วิ่งเข้าไปหาทางดับไฟ
ให้เร็วที่สุด หาน้ำ หาเครื่องดับไฟ ผ้าห่ม ฯลฯ
ทำดีที่สุดเพื่อที่จะดับไฟให้สำเร็จ

เมื่อดับไฟแล้ว จึงค่อยคิดหาสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดไฟไหม้
เช่น เป็นอุบัติเหตุ หรือมีใครลอบวางเพลิง
มีใครประสงค์ร้ายคิดทำลายทรัพย์สมบัติของเราหรือไม่

เมื่อเกิดอารมณ์ ไม่พอใจ ไม่ต้องคิดหาเหตุว่าใครผิด ใครถูก
ระงับความร้อนใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เมื่อใจสงบแล้ว
จึงค่อยคิดด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผล

 


ข้อ 5 เมื่อคิดว่าพร้อมเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว เริ่มต้นที่ปัจจุบันค่ะ

หมายถึง คุณไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปในอดีต เพื่อเอาเรื่องที่ทำให้ทะเลาะกันมาพูดกันอีก เรื่องจบลงแล้ว เป็นอดีตแล้ว แต่ขอให้อยู่กับปัจจุบัน ลองถามคนข้างๆ (ย้ายจากฝั่งตรงข้าม มาอยู่ข้างเดียวกันแล้วนะ) ว่า ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกไม่ดีตรงไหน อยากให้เราทำอะไร ถึงจะทำให้คุณดีขึ้นขอให้บอกมา

ถ้าคนที่เราทะเลาะด้วย เป็นคนในครอบครัว สามี,ภรรยา, แฟน หรือคนใกล้ชิด ขอให้ตกลงกันไว้ก่อนว่า หากเราต้องทะเลาะกัน ขอให้การคุยกันอีกครั้ง เริ่มที่ปัจจุบันนะ ไม่ต้องยกเรื่องที่ทะเลาะกลับมาพูดอีก เพราะการถอยกลับไปในอารมณ์โกรธในอดีต ถ้าสติไม่แข็งแรง อารมณ์โกรธก็จะกลับมาได้อีกครั้งค่ะ

 

ทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นการดึงธรรมะมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง แน่นอนว่า อาจไม่ได้ครอบคลุม หรือ ตรงกับจริตของทุกคน แต่หากว่าข้อใดข้อหนึ่งใน 5 ข้อนี้ จะสามารถช่วยท่านใดให้สามารถ ดูแลความโกรธ และดูแลใจ ของท่านให้ดียิ่งขึ้นแล้ว ฉันขอยกความดีทั้งหมดน้อมถวายเป็นพุทธบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม และองค์พระอริยสงฆ์ ตลอดจนครูบาอาจารย์ทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ ค่ะ

ขอให้ทุกท่านมีความสุข แม้ในวันที่เผชิญหน้ากับ ความโกรธ นะคะ

Smiley

 

 

 

 




Create Date : 01 เมษายน 2556
Last Update : 3 เมษายน 2556 13:40:57 น. 9 comments
Counter : 1121 Pageviews.

 
เป็นหลักธรรมที่ดีมากๆครับคุณนิว
ผมเองก็ใจร้อนมากครับ
กำลังฝึกฝนตนให้อยู่กับควาฒโกรธแบบรู้ทันตัวอยู่ครับ 555




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 เมษายน 2556 เวลา:19:45:12 น.  

 
ขอนำหลักธรรมไปปฏิบัติครับ ความโกรธเป็นปีศาจที่สิงอยู่ในตัวเราทุกคน


โดย: Don't try this at home. วันที่: 2 เมษายน 2556 เวลา:0:08:50 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับคุณนิว








โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 เมษายน 2556 เวลา:6:23:15 น.  

 
โย พาโล มญฺญตี พาลฺยํ ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส
พาโล จ ปณฺฑิตมานี ส เว พาโลติ วุจฺจติ

คนโง่ รู้ตัวว่าโง่ ยังคล้ายเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้วอวดฉลาด นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้

เจริญศีล สมาธิ ปัญญาเนือง ๆ เพื่อขจัดอวิชชาให้สิ้น ตลอดไป...นะคะ




ขอบคุณที่แวะทักทายกัน...นะคะ

ความโกรธ ไม่ดีเลย
กำจัดได้ ชีวิตจะเป็นสุขมากมาย...นะคะ

หนึ่งไลค์สำหรับข้อความดี ๆ...ค่ะ



โดย: พรหมญาณี วันที่: 2 เมษายน 2556 เวลา:10:00:07 น.  

 
เมื่อก่อนผมเป็นคนโกรธง่ายมากครับคุณนิว
โกรธแรงด้วย
แต่ตอนนี้ก็เย็นลงเรื่อยๆ

ด้วยการฝึกวิธีคิดนี่ล่ะครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 เมษายน 2556 เวลา:10:33:22 น.  

 
ด้วยความยินดีครับคุณนิว



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 เมษายน 2556 เวลา:12:29:51 น.  

 
สวัสดีครับ

ผมก็ชอบคิด
คิดวนๆซ้ำๆไปเรื่อยๆ
เมื่อก่อนจะด่าพนักงาน
คิดแล้วคิดอีกเครียดไปสามวันครับ 555

เจ้าตัวไม่รู้เรื่องอะไรกับเราเลย 555

ก็เลยไม่อยากทุกข์แบบนั้นแล้ว
ต้องมาฝึกฝนตนเองใหม่ครับ
เพื่อไม่ให้เป็นคนคิดมากแบบนั้น




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:11:03:08 น.  

 
ผมก็ยังต้องฝึกฝนตนอีกเยอะเลยล่ะครับคุณนิว 555

ปล. หมิงหมิงช่วงนี้ก็ซนมากครับ แหะๆๆ


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:13:50:42 น.  

 
ได้ข้อคิดจัดการความโกธรดีมากเลยครับ
คิดว่าเหมือนเพลงก้อนหินก้อนนัน
ถ้าเรากำไว้ก็คือโกธร
ถ้าเราปล่อยทิ้งคือให้อภัย
อยู่ที่เราจะเลือก

กินร้อนช้อนกลางล้างมือ ท่องไว้
จะได้ป้องกันโรคได้ เพื่อนสอนอีกทีครับ


โดย: moresaw วันที่: 3 เมษายน 2556 เวลา:14:34:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

newanatta
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Friends' blogs
[Add newanatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.