31 ธันวาคม 2557 ทำบุญส่งท้ายปีม้าต้อนรับปีแพะ 3 คน 4 ที่แต่ทุกคนเกิดวันอังคาร
ยังเป็นช่วงเก็บตกภาพปีที่แล้ว ไหนๆ ก็จะเข้าเทศกาลปีใหม่(ไทย) ก็เลยนำภาพส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในวันที่ 31 ธันวาคม 2557 อุ้ม-พี่แอ๋วแม่เจ้าน้องอุ้ม-ลักโตเย่น ทริปนี้เราสามคนตั้งใจไปทำบุญกัน 3 สาว 3 วัย แต่เกิดวันเดียวกันคือวันอังคาร พวกเราเลือกขึ้นรถโดยสารประจำทางสาย 12 มาลงที่ผ่านฟ้าแล้วต่อรถตุ๊กตุ๊กมาที่ศาลหลักเมือง หลายคนคงสงสัยว่าทำไมไม่เห็นเจ้าน้องอุ้ม เพราะน้องอุ้มขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่-เชียงรายกับคุณพ่อน้องอุ้มน่ะค่ะสถานที่แรกก็คือ ศาลหลักเมือง คนแห่มากราบไหว้สักการะขอพรในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เยอะมากค่ะ แต่ดีหน่อยตรงจะมีหมายเลขเรียงลำดับการสักการะแต่ละที่ถึงคนเยอะก็เลยไม่งงค่ะอุ้มเดินเข้าไปซื้อของที่จะไหว้ในศาลหลักเมืองค่ะ ไม่แน่ใจว่าชุดละ 40 บาทหรือเปล่า ก็จะมีดอกไม้ธูปเทียน ทองคำเปลว ผ้าสี และน้ำมันเติมตะเกียง พร้อมใส่ในถาดให้เลยค่ะเขาบอกมาว่าหากมาไหว้ที่ศาลหลักเมือง จะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต จะช่วยส่งเสริมวาสนาบารมี และจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและอาชีพ เสริมสร้างหลักปักฐานดั่งหลักชัยให้กับชีวิตของผู้ที่มาสักการะน่ะค่ะหลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงปราดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักกรี พระองค์ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมายังฝั่งพระนครแล้ว ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทำพิธีนาครสถาน เพื่อยกเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 เมษายน ปีพ.ศ. 2325ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร เป็นศาลที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีตามธรรมเนียมพิธีพราหมณ์ ก่อนที่จะสร้างเมืองจะต้องทำพิธียกเสาหลักเมืองในที่อันเป็นชัยภูมิสำคัญ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้นโดยศาลหลักเมืองตั้งอยู่บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของท้องสนามหลวง ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ถนนหลักเมือง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานครฯเสาหลักเมือง ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ด้านนอกประดับด้วยไม้แก่น กำหนดให้ตัวเสาสูงพ้นดิน 108 นิ้ว ฝังในดิน 79 นิ้ว มีหัวเม็ดเป็นยอดสวมไว้ด้านบน ยอด "เสาหลักเมือง" ลงรักปิดทอง ภายในบรรจุดวงพระชันษาพระมหานครเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำริว่า "เสาหลักเมือง" ทรุดโทรม จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำขึ้นใหม่ เนื่องจากพระองค์ทรงเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์จึงทรงแก้ไขดวงเมือง โดยทรงประกอบพิธีจารึกดวงพระชันษาพระนครลงบนแผ่นทองคำหนัก 1 บาท ในพระอุโบสถวัดพระแก้ว และให้สร้างศาลขึ้นใหม่ โดยก่อสร้างเป็นยอดปรางค์ตามอย่างศาลาที่กรุงศรีอยุธยา จากนั้นบรรจุดวงพระชันษาพระนครไว้ที่ "เสาหลักเมือง" แล้วจัดให้มีการสมโภชฉลองด้วย ด้วยเหตุนี้ภายในศาลหลักเมืองจึงมีเสาหลักเมืองอยู่ 2 ต้น โดยเสาต้นสูงคือครั้งรัชกาลที่ 1 ซึ่งได้ทำพิธีถอนเสาแล้ว ส่วนเสาต้นที่สูงทอนลงมาเป็นเสาหลักเมืองครั้งรัชกาลที่ 4 หายสงสัยแล้วใช่ไหมคะ ?มีเรื่องเล่ากันมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ในพิธีสร้างพระนครต้องทำพิธีฝังอาถรรพ์ 4 ประตูเมือง และพิธีฝังเสาหลักเมือง การฝังอาถรรพ์กระทำด้วยการป่าวร้องเรียกผู้คนที่มีชื่อ อิน-จัน-มั่น-คงไปทั่วเมือง เมื่อชาวเมืองผู้เคราะห์ร้ายขานรับก็จะถูกนำตัวมาสถานที่ทำพิธี และถูกจับฝังลงหลุมทั้งเป็นทั้ง 4 คน เพื่อให้วิญญาณของคนเหล่านั้นอยู่เฝ้าหลักเมือง เฝ้าประตูเมือง เฝ้าปราสาท และคอยคุ้มครองบ้านเมือง ป้องกันอริราชศัตรูและปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บมิให้เกิดแก่คนในนคร เรื่องเล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมาไม่มีบันทึกในพงศาวดารนะคะด้านทิศเหนือจัดสร้างซุ้มสำหรับประดิษฐานเทพารักษ์ทั้ง 5 นั่นก็คือ เจ้าพ่อหอกลอง เจ้าพ่อเจตคุปต์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และพระกาฬไชยศรี ส่งท้ายที่ศาลหลักเมืองด้วยภาพนี้จากนั้นเราสามคนก็ข้ามถนนไปไหว้พระต่อค่ะสถานที่ที่ 2 ก็มากราบไหว้สักการะพระแก้วมรกตที่วัดพระแก้วค่ะ ขอ-บอกว่า คนเยอะมากๆๆ ยืนติดกับที่เป็น 3 นาทีเลย สังเกตจากภาพค่ะ ออกจากไหว้พระเสร็จก็มารดน้ำมนต์จากนั้นก็มายืนถ่ายภาพที่หน้าประตูซะหน่อย อิอิอิ เรียกว่ามุมยอดนิยมของการมาวัดพระแก้วเลยเน๊าะเข้าสู่สถานที่ที่ 3 นั่นก็คือ วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนฯ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษชนิดราชวรมหาวิหาร และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาวัดโพธารามวัดเก่าที่เมืองบางกอก ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดหลวงข้างพระบรมมหาราชวัง และที่ใต้พระแท่นประดิษฐานพระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถ เป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วยค่ะในแง่ของการท่องเที่ยวแล้ว วัดโพธิ์ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาเป็นลำดับที่ 24 ของโลก ในปี พ.ศ. 2549 โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในปีนั้นถึง 8,155,000 คน ว๊าวววววิหารพระพุทธไสยาส หรือพระนอน สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ในคราวที่โปรดฯ ให้ขยายพระอารามออกมาทางทิศเหนือ (เข้ามาซ้อนทับเขตวัดโพธารามเดิม ที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้) โดยพระองค์โปรดให้พระองค์เจ้าลดาวัลย์เป็นแม่กองในการก่อสร้าง และได้สร้างพระนอนขึ้นก่อนแล้วจึงสร้างพระวิหารครอบพระนอนในภายหลัง โดยมีขนาดเท่ากับพระอุโบสถ บริเวณผนังของวิหารนั้น ด้านบนมีภาพเขียนสีเรื่องมหาวงศ์ และผนังระหว่างช่องหน้าต่าง เขียนภาพสีเกี่ยวกับพระสาวิกาเอตทัคคะ 13 องค์ อุบาสกเอตทัคคะ 10 ท่านและอุบาสิกาเอตทัคคะ 10 ท่านพระนอนเป็นพระพุทธรูปที่ก่ออิฐถือปูนปิดทองทั่วทั้งองค์ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยมีลักษณะพิเศษ ได้แก่ พระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกัน ให้สังเกตที่พระบาทประดับมุกภาพมงคล 108 ประการ ตรงกลางเป็นรูปจักรตามตำรามหาปุริสลักขณะ ลวดลายของมงคล 108 ประการนั้น เป็นการผสมผสานกันระหว่างคติความเชื่อที่รับมาจากชมพูทวีปและจีนค่ะสถานที่วัดสุดท้ายก็คือ ภูเขาทอง ณ วัดสระเกศนั่นเองค่ะวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณในสมัยอยุธยา เดิมชื่อวัดสะแก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และขุดคลองรอบพระอาราม แล้วพระราชทานนามใหม่ว่าวัดสระเกศ ซึ่งแปลว่า ชำระพระเกศา เนื่องจากพระองค์เคยประทับทำพิธีพระกระยาสนาน เมื่อเสด็จกรีธาทัพกลับจากกัมพูชามาปราบจลาจลในกรุงธนบุรีหลวงพ่อดำ เป็นพระปั้นปิดทองปางมารวิชัย หน้าตักว้าง 4 ศอก ฝีมือการปั้นสันนิษฐานได้ว่าอยู่ในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์หลวงพ่อดำเป็นพระพุทธรูปที่คู่กับบรมบรรพตภูเขาทองมาแต่ต้น เล่ากันมาว่าสร้างไว้ให้เพื่อเจ้านายและพุทธบริษัททั่วไปที่ไม่สามารถขึ้นไปบูชาบนภูเขาทองได้ ก็จะมากราบสักการะบูชาที่พระพุทธรูปหลวงพ่อดำองค์นี้ค่ะเมื่อมากราบไหว้ก็จะสมความปรารถนาน่ะค่ะเกร็ดประวัติบันทึกถึงผลงานพุทธศิลป์สมัยรัชกาลที่ 4 นั้นต่างจากรัชกาลที่ 3 เนื่องจากพระองค์ทรงผนวชนายถึง 27 พรรษา ทรงรอบรู้หลักธรรมและทรงพระปรีชาในคัมภีร์สุริยะยาตร แม้การสร้างสถูปเจดีย์ทรงพอพระราชหฤทัยในแบบอย่างเจดีย์ทรงระฆัง เหมือนกับพุทธิศิลป์สมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ดังนั้นพระพุทธเจดีย์ที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างปรากฏเป็นรูปแบบของพระรัตนเจดีย์ ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระปฐมเจดีย์ ที่เมืองนครปฐม และพระเจดีย์ภูเขาทองที่วัดสระเกศ พระบรมบรรพตภูเขาทองนี้มีความสูงประมาณ 100 เมตร พระบรมบรรพตภูเขาทองจัดเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกพระบรมบรรพตภูเขาทองใช้เวลาการสร้างถึง 3 รัชกาลด้วยกัน คือ รัชกาลที่ 3-4-5 ใช้เวลานานประมาณถึง 50 ปีทีเดียวค่ะเจดีย์ภูเขาทองนั้นเริ่มสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยทรงเลียนแบบมาจากภูเขาทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งแล้วเสร็จในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้รับพระราชทานนามว่าสุวรรณบรรพต มีความสูง 77 เมตรบนยอดสุวรรณบรรพตเป็นที่ตั้งของพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ขุดค้นพบที่เมืองกบิลพัสดุ์ ประเทศอินเดียและพิสูจน์ได้ว่าเป็นของพระสมณโคดม ซึ่งเป็นส่วนแบ่งของพระราชวงศ์ศากยราชเพราะมีคำจารึกอยู่ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ขณะนั้นกำลังทรงผนวชอยู่ที่ประเทศอินเดีย ได้ส่งพระบรมสารีริกธาตุเข้ามาถวายในฐานะที่พระมหากษัตริย์ไทย ที่ทรงเป็นกษัตริย์เพียงพระองค์เดียวที่เป็นพุทธมามกะ และสิ่งที่ไม่ควรพลาดในการมาภูเขาทองก็คือการขึ้นมากราบนมัสการปิดทองพระบรมสารีริกธาตุแรกสร้างพระเจดีย์ภูเขาทองนั้น รูปแบบเป็นปรางค์องค์ใหญ่ฐานสี่เหลี่ยมแบบย่อไม้สิบสอง อันเป็นพุทธศิลปสถาปัตยกรรมที่นิยมสร้างในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ฐานกว้าง 50 วา หรือ 100 เมตร สูง 9 วา หรือ 18 เมตรพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) บุตรของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ เป็นแม่กอง ให้ซ่อมสร้างพระเจดีย์ภูเขาทองที่ทิ้งค้างไว้ในสมัยรัชกาลที่ 3 ต่อพิธีห่มผ้าแดงสักการะองค์บรมบรรพต โดยมีขบวนอัญเชิญผ้าแดง พื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ปราศจากอันตรายนานาประการพิธีอัญเชิญผ้าแดงห่มภูเขาทอง นับเป็นประเพณีของวัดสระเกศฯ ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต ถือว่าเป็นการสักการบูชาพระพุทธเจ้า ซึ่งการได้มีโอกาสร่วมแห่ผ้าแดงนี้จะถือว่าได้บุญกุศลอย่างยิ่ง เป็นการยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือว่าเป็น 3 สถาบันหลักของประเทศไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันขบวนแห่ผ้าแดงขึ้นไปบนยอดภูเขาทองเพื่อทำพิธีห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ โดยพระสงฆ์ นำประทักษิณรอบองค์พระเจดีย์ 3 รอบ ถวายเครื่องสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ประจำทิศทั้ง 8จากนั้นกล่าวคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุและอัญเชิญผ้าแดงขึ้นห่มองค์พระเจดีย์ พระสงฆ์ เจริญชัยมงคลคาถาตามความเชื่อของคนไทยในการตีระฆัง จะทำให้ชื่อเสียงโด่งดังขจรไปไกลตลอดทั้งเป็นการไล่สิ่งไม่ดีออกจากตัว อีกทั้งเป็นการตีเพื่ออธิษฐานและขอพรอีกด้วยค่ะนับว่าเป็นบุญได้เดินถือผ้าแีงรอบองค์พระเจดีย์ด้วยค่ะพระบรมบรรพตภูเขาทองปัจจุบันมีขนาดสูงจากฐานถึงยอด 63.6 เมตร ฐานโดยรอบมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 150 เมตร ฐานโดยรอบยาว 330 เมตร มีบันไดทอดขึ้นเป็นบันไดเวียน 344 ขั้น นับเป็นอีกวันที่ท่องเที่ยวกับการไหว้พระในวันส่งท้ายปีเก่าอย่างมีความสุขค่ะขอขอบคุณ : เพลง : นักเดินทาง : ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ BG : น้อง KungGuenter / กล่องเขียนคอมเม้นท์ : คุณ lozocat โค้ดแต่ง BLOG : ป้ามด & น้องดอกหญ้าเมืองเลย ของแต่ง BLOG : คุณชมพร & น้องญามี่ & คุณเนยสีฟ้า
Create Date : 10 เมษายน 2558
Last Update : 13 เมษายน 2558 20:05:19 น.
29 comments
Counter : 2744 Pageviews.
อุ้มสี Travel Blog ดู Blog
9 เมษายน 2558 22:56:49 น.