Welcome to my blog

1 วัน อูไหล (Wulai) หมู่บ้านชนเผ่าพื้นเมืองแห่งเกาะไต้หวัน


สถานที่ท่องเที่ยว : น้ำตกอูไหล (Wulai Waterfall), China
พิกัด GPS : 24° 50' 52.56" N 121° 33' 9.18" E

ณ ประเทศไต้หวัน มีหมู่บ้านเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงอย่างกรุงไทเป ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไหลผ่านใจกลางหมู่บ้าน ทำให้เกิดทัศนียภาพที่เงียบสงบและสดชื่น ในช่วงเช้าอากาศจะเย็นสบาย มีสายหมอกบาง ๆ ลอยอยู่เหนือแม่น้ำ ผสมผสานกับเสียงน้ำไหล ที่สำคัญ หมู่บ้านนี้ยังเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองที่ไม่ใช่ชาวจีนเหมือนอย่างเมืองใหญ่ของไต้หวัน ซึ่งยังยังคงรักษาวัฒนธรรม วิถีชีวิต และอาหารพื้นเมืองไว้ได้อย่างน่าสนใจ ผมกำลังพูดถึง หมู่บ้านอูไหล (Wulai) ซึ่งผมได้ไปเที่ยวแบบ one day trip จากกรุงไทเป ในรีวิวนี้ ผมเลยจะขอมารีวิวหมู่บ้านแห่งนี้ครับ

รู้จักกับอูไหล (Wulai)

อูไหลเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก อยู่ในเขตนิวไทเป (New Taipei City) ซึ่งเป็นเขตปริมณฑลของกรุงไทเป เมืองหลวงของเกาะไต้หวัน โดยคำว่า อูไหล เป็นภาษาของชนเผ่าพื้นเมืองที่ชื่อว่า อตายาล (Atayal) หมายถึง น้ำร้อน เนื่องจากที่นี่มีบ่อน้ำพุร้อนตั้งอยู่ครับ

ต่อมาเมื่อไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นก็ได้พัฒนาให้อูไหลเป็นเมืองออนเซ็น มีการสร้างโรงอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่นขึ้น จนเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลไต้หวันภายใต้การนำของเจียงไคเช็กก็ได้พัฒนาให้อูไหลเป็นแหล่งท่องเที่ยว

การเดินทางไปยังอูไหล

การเดินทางมายังที่นี่ต้องเริ่มต้นจากกรุงไทเป เมืองหลวงของประเทศไต้หวันครับ โดยเราจะต้องขึ้นรถเมล์สาย 849 ไปลงที่สุดสาย โดยจุดที่คนมักจะขึ้นกันมีอยู่ 2 ที่คือ

  • Taipei Main Station ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
  • Xindian MRT station ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของรถไฟฟ้าสายสีเขียว จากจุดนี้จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที 

 
ข้อดีของการขึ้นที่ Taipei Main Station คือยังไงก็มีที่นั่ง เพราะเป็นต้นสายรถเมล์ แต่ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน ส่วนถ้าขึ้นที่ Xindian ข้อดีคือใช้เวลาเดินทางน้อยกว่า แต่ก็ต้องวัดดวง ถ้าที่นั่งเต็ม ก็อาจจะต้องยืนไปตลอดทาง ถ้าใครจะไปก็ลองชั่งน้ำหนักดูนะครับว่า จะขึ้นที่ไหน (ทริปนี้ผมเลือกขึ้นรถเมล์ที่ Xindian)

มีอะไรให้ทำที่อูไหลบ้าง?

อูไหลสามารถเที่ยวได้ภายในครึ่งวันครับ ทั้งหมู่บ้านเล็กนิดเดียว แต่ถ้าใครมีเวลาแนะนำให้อยู่ที่นี่ทั้งวันไปเลยดีกว่า เพราะที่นี่สามารถเดินชิลล์ เสพบรรยากาศ แช่ออนเซ็น ชิมอาหารพื้นเมืองได้ตลอดทั้งวัน

จุดแรกที่ผมแนะนำให้มาเยี่ยมชมก่อนเลยก็คือ พิพิธภัณฑ์อู่ไหลอตายาล (Wulai Atayal Museum) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เข้าชมได้ฟรี มีทั้งหมด 4 ชั้น ด้านในจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อทางศาสนา พิธีกรรม และเทศกาลต่างๆ ของชนพื้นเมืองอตายาล รวมไปถึงระบบนิเวศทางธรรมชาติในบริเวณอู่ไหลอีกด้วย 

 

 







ทั่วทั้งหมู่บ้านจะมีการนำเอาวัฒนธรรมของชนเผ่าอตายาลมาโชว์ เช่น สตรีทอาร์ต มีการตกแต่งตามรั้วเป็นลวดลายชนเผ่า อารมณ์ที่แตกต่างจากไต้หวันในแถบอื่นๆ
 



จากพิพิธภัณฑ์จะเจอกับถนนคนเดินที่เรียกว่า Wulai Old Street ที่ขายพวกอาหาร โดยของกินที่ห้ามพลาดถ้ามาที่อูไหลก็คือ ไส้กรอกเนื้อหมูป่า ราคาประมาณ 40 ดอลลาร์ไต้หวัน โดยรวมผมชอบนะ รสชาติแปลกๆ ออกแนวหวานปนเผ็ด หอมกลิ่นสมุนไพรอะไรซักอย่าง
 


 



 
ถัดจากถนนคนเดิน จะเจอกับสะพานสีเขียวที่เชื่อมระหว่างฝั่งถนนคนเดินกับถนนที่มีบ่อน้ำพุร้อนตั้งเรียงรายเต็มไปหมด สะพานนี้ชื่อว่า สะพานหลานเชิ่ง (Lansheng) ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของอูไหล


 
ทั้งสองฝั่งของแม่นํ้า เต็มไปด้วยโรงอาบนํ้าสำหรับให้บริการแช่ออนเซ็น
 


 
ไฮไลท์ของอูไหลคือ น้ำตกอูไหล (Wulai Waterfall) ครับ เราจะต้องขึ้นรถรางไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งรางที่ใช้วิ่งรถราง สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นครับ (ค่ารถราง 50 ดอลลาร์ไต้หวันต่อขา)
 

บริเวณน้ำตกจะมีคาเฟ่ ใครอยากเข้าไปถ่ายรูปต้องสั่งน้ำหรืออาหารนะ ผมเลยถ่ายจากนอกร้านก็พอ
 

ขากลับ เราตัดสินใจเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยครับ ช่วงที่ไปอากาศเย็นสบาย เลยเดินได้ชิลล์ๆ
 



เดินจากน้ำตกประมาณ 20 นาทีก็กลับมาที่ถนนสายออนเซ็นครับ ในเมื่อมาที่นี่ทั้งทีก็ขอแช่ออนเซ็นซะหน่อย โดยผมเลือกมาแช่ที่ Full Moon Spa อยู่แถวถนนคนเดิน ราคาสำหรับบ่อสาธารณะอยู่ที่ประมาณ 500 ดอลลาร์ไต้หวัน

รูปนี้มาจากในเน็ตนะ

 

โดยรวมผมไม่ค่อยชอบที่นี่เท่าไหร่ครับ บ่อเล็ก คนเยอะ ส่วนใหญ่เป็นคนแก่เสียงดังครับ ใครไปที่อูไหล แนะนำให้ลองหาที่อื่นดูนะ หรืออาจจะแช่แบบส่วนตัวก็ได้

พอแช่เสร็จก็เย็นพอดีก็ได้เวลากลับเข้าตัวเมืองไทเป ทริปหนึ่งวันที่อูไหลก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ

 

โดยรวมที่นี่ เป็นหมู่บ้านที่ผมชอบมากครับ ด้วยความที่เป็นเมืองในหุบเขาที่มีครบทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมชนเผ่า เดินทางก็สะดวก ถือเป็นเมืองที่เหมาะกับการมาเที่ยวแบบ one day trip จากกรุงไทเป หรือถ้าใครมีเวลามากหน่อย จะมานอนค้างซักคืน ผมว่าก็น่าสนใจครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 21 มีนาคม 2568    
Last Update : 31 มีนาคม 2568 20:28:59 น.
Counter : 424 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

1 วัน เป่ยโถว+ตั้นสุ่ย ทริปนั่งรถไฟฟ้าสู่เมืองท่าประวัติศาสตร์แห่งเกาะไต้หวัน


สถานที่ท่องเที่ยว : แม่น้ำตั้นสุ่ย (Tamsui River) ถ่ายจากวัดกวนตู้ (Guandu Temple), Taiwan
พิกัด GPS : 25° 7' 4.08" N 121° 27' 50.43" E

ไทเปนับเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นวัดเก่าอย่าง วัดหลงซาน, ตึกสูงอย่าง ตึกไทเป 101, พิพิธภัณฑ์ต่างๆ เช่น National Palace Museum รวมทั้งตลาดกลางคืน ไปจนถึงธรรมชาติสวย ๆ อย่างอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน ซึ่งทั้งหมดนี้ผมได้รีวิวไปในตอนก่อนๆแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าใครที่มาเที่ยวไทเปหลายวันจนเริ่มรู้สึกว่า เริ่มเบื่อที่นี่ อยากหาอะไรที่แปลกใหม่  ผมขอแนะนำให้ไปที่ เป่ยโถว (Beitou) และ ตั้นสุ่ย (Tamsui) ซึ่งเป็นเมืองขนาดเล็กๆ ตั้งอยู่นอกกรุงไทเป สามารถเดินทางได้โดยรถไฟฟ้าได้อย่างสะดวกครับ

การเดิินทางมายังทั้งสองเมืองนี้ สามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟฟ้าสายสีแดง หรือที่รู้จักกันในชื่อ Tamsui-Xinyi Line ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักของระบบรถไฟฟ้าไทเป (Taipei Metro หรือ MRT) ที่เชื่อมต่อพื้นที่สำคัญของเมืองไทเปและพื้นที่โดยรอบ รวมทั้ง Taipei Main Station โดยในรีวิวชุดนี้ เราได้แวะเที่ยว 3 สถานีด้วยกัน ได้แก่
  • สถานีซินเป่ยโถว (Xinbeitou station) ที่ใกล้กับแหล่งน้ำพุร้อน
  • สถานีกวนตู้ (Guandu station) จากสถานีนี้เดินไป 10 นาทีจะเจอกับวัดกวนตู้ (Guandu Temple)
  • สถานีตั้นสุ่ย (Tamsui station) มีย่านชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำ

ย่านเป่ยโถว (Beitou District)

มาเริ่มกันที่ย่านแรกครับ นั่นก็คือ เป่ยโถว (Beitou) วิธีการเดินทางให้ขึ้นรถไฟฟ้าสายสีแดงจาก Taipei Main Station มาลงที่ Beitou station จากนั้นต้องต่อรถไฟอีก 1 สถานีไปที่ Xinbeitou station ค่ารถรวมทั้งหมดอยู่ที่ 40 ดอลลาร์ไต้หวัน และใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีครับ (ย้ำว่า ถ้าจะไปเที่ยวต้องลงที่ Xinbeitou นะ ไม่ใช่ Beitou)


 
คำว่า เป่ยโถว (Beitou) มาจากภาษาของชนเผ่าพื้นเมืองบนเกาะไต้หวัน หมายถึง สถานที่ของแม่มด เพราะที่นี่มีบ่อน้ำพุร้อนทำให้ชนเผ่าพื้นเมืองมองว่า ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ ต่อมา เมื่อไต้หวันตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นพัฒนาพื้นที่เป่ยโถวให้เป็น เมืองออนเซ็นแบบญี่ปุ่น โดยสร้างโรงอาบน้ำ โรงแรม และระบบน้ำพุร้อน
 

พอออกจากสถานีรถไฟฟ้า เราจะเจอกับสถานีรถไฟเก่าครับ สถานีนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1916 ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น และได้ถูกใช้งานเรื่อยมา จนถึงปี 1988 ที่ไต้หวันเริ่มสร้างรถไฟฟ้า MRT สถานีนี้รวมทั้งรถไฟก็เลิกให้บริการ ปัจจุบันภายในอาคารสถานีรถไฟถูกปรับปรุงให้เป็นนิทรรศการ บอกเล่าประวัติความเป็นมาของสถานีรถไฟแห่งนี้
 
 

ขบวนรถไฟเก่า
 

 

ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า เดินไปอีกไม่ไกล ก็เจอกับ ห้องสมุดเป่ยโถว (Beitou Library) ซึ่งเป็นหนึ่งใน ห้องสมุดที่สวยที่สุดในไต้หวัน และยังเป็น ห้องสมุดสีเขียวแห่งแรกของประเทศ เนื่องจากมีการออกแบบให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผสมผสานกับธรรมชาติรอบข้างได้อย่างลงตัว
 

 
ติดๆกับห้องสมุดจะมี Beitou Hotspring Museum ซึ่งเข้าชมฟรี
 

 
ในอดีตที่นี่เคยเป็นโรงอาบน้ำสาธารณะแบบญี่ปุ่น โดยสร้างมาตั้งแต่ปี 1913 เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น จนเมื่อไต้หวันถูกปกครองโดยเจียงไคเช็ก ที่นี่ก็ถูกปล่อยทิ้งร้าง จนชาวบ้านในบริเวณเมืองเป่ยโถว ได้เข้ามาทำการดูแลและพัฒนาจนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์
 



เดินต่อไปอีก เราก็เจอกับ Thermal Valley หรือที่รู้จักกันในชื่อ หุบเขานรกแห่งเป่ยโถว (Hell Valley) เป็นหนึ่งในแหล่งน้ำพุร้อนที่ร้อนที่สุดในไต้หวัน โดยมีอุณหภูมิสูงถึง 80-100 องศา น้ำที่นี่มีแร่ธาตุ Beitou Stone ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบได้เพียงไม่กี่แห่งในโลก
 




 
อย่างไรก็ตาม บ่อนี้ร้อนเกินไปครับ แช่ไม่ได้ เดี๋ยวสุกก่อน แต่ใครที่อยากแช่ออนเซ็น แนะนำให้ไปตามโรงแรมต่างๆ หรือตามบ่อน้ำพุร้อนสาธารณะ โดยออนเซ็นที่นี่มีทั้งแบบใส่ชุดว่ายน้ำกับแบบถอดหมด อันนี้ต้องเช็คเงื่อนไขแต่ละที่

สำหรับออนเซ็นที่ผมแช่ในวันนี้ เป็นบ่อของ โรงแรม Beitou Shanshui ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้า ค่าเข้าอยู่ที่ 500 ดอลลาร์ไต้หวัน โดยผมซื้อคูปองผ่าน Klookไว้ล่วงหน้า ใครสนใจจองได้ที่นี่ครับ https://www.klook.com/th/activity/74504-hot-spring-beitou-voucher/

 


 
โดยรวมก็พอใจนะ มีทั้งบ่อทั้งแบบอินดอร์ และเอาท์ดอร์ น้ำที่แช่ก็ถือว่า โอเค ไม่ร้อนเกินไป คลายความเมื่อยล้าตลอด 10 วันของทริปไต้หวันไปได้เยอะเลย

วัดกวนตู้ (Guandu Temple)

 หลังจากเที่ยวที่เป่ยโถวเสร็จ เราก็นั่งรถไฟฟ้า MRT สายสีแดงต่อมาที่สถานี Guandu ครับ จากสถานีรถไฟฟ้า เดินต่อไปอีก 15 นาทีก็ถึงวัด (ใครจะไป แนะนำให้เปิด google map นะครับ เพราะป้ายทางไปวัด ขาดๆหายๆ แล้วต้องเดินเข้าซอยผ่านบ้านคนไป ค่อนข้างซับซ้อนลึกลับหน่อยครับ)

 

วัดกวนตู้ (Guandu Temple) เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในภาคเหนือของไต้หวัน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1661 เพื่ออุทิศให้กับ เจ้าแม่หม่าโจ้ว (มาจู่) เทพธิดาแห่งท้องทะเล
 

ภายในวัดมีอุโมงค์ยาวกว่า 80 เมตร ซึ่งนำไปสู่พระโพธิสัตว์กวนอิม ระหว่างทางเดินมีรูปปั้นเทพเจ้า 28 องค์เรียงราย เชื่อกันว่าสามารถปัดเป่าความชั่วร้ายได้
 



 

วัดตั้งอยู่บนเนินเขาในเขตเป่ยโถว เมืองไทเป ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของแม่น้ำตั้นสุ่ย


เมืองตั้นสุ่ย (Tamsui)

 เมืองนี้อยู่สุดปลายทางของรถไฟฟ้าสายสีแดงเลย โดยเราต้องมาลงที่ สถานีตั้นสุ่ย (Tamsui) ครับ

 

ตั้นสุ่ย เป็นเมืองท่าเก่าแก่ในเขตนิวไทเป (New Taipei City) ตั้งอยู่ปากแม่น้ำตั้นสุ่ย (Tamsui River) ที่ไหลลงสู่ทะเลจีนตะวันออก ด้วยสภาพที่ตั้ง ทำให้เมืองนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกี่ยวข้องกับการค้าขาย และยังเคยตกเป็นอาณานิคมของชาติต่างๆ ทั้งฮอลันดา สเปน และญี่ปุ่น
 
 
พอเดินออกมาจากสถานีสิ่งที่เราจะเจอคือ ทางเดินริมแม่น้ำตันสุ่ย แนะนำให้มาเดินเล่นตอนเย็นครับ บรรยากาศดีมาก
 

นอกจากทางเดินริมแม่น้ำแล้ว อีกฝั่งถนนยังมี ถนนเก่าตั้นสุ่ย (Tamsui Old Street) ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านขนม ของฝาก และคาเฟ่ดีๆเพียบ
 

ที่ตั้นสุ่ย มีโบสถ์เก่าแก่และสถานที่ทางศาสนาที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะโบสถ์ที่ได้รับอิทธิพลจากมิชชันนารีตะวันตกที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในไต้หวัน หนึ่งในนั้นคือ โบสถ์ตั้นสุ่ย (Tamsui Church) ซึ่งเป็นโบสถ์โปรเตสแตนต์เก่าแก่ ก่อตั้งโดยมิชชันนารีชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 19 มีความสำคัญต่อการเผยแผ่ศาสนาและการศึกษาของไต้หวัน
 

หนึ่งในไฮไลท์สถานที่ๆต้องห้ามพลาดที่ตั้นสุ่ยก็คือ ป้อมซานโดมิงโก (Fort San Domingo) ครับ ป้อมนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาของเมือง มองลงมาเห็นแม่น้ำ จึงเป็นชัยภูมิสำคัญในการตั้งป้อมขึ้นที่นี่ (ที่นี่จะมีค่าเข้าอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ไต้หวัน)


ป้อมถูกสร้างขึ้นในปี 1629 โดยชาวสเปน ต่อมาดัตช์ก็ได้ขับไล่สเปนออกไป และได้สร้างป้อมใหม่ที่แข็งแรงยิ่งขึ้น จนเป็นป้อมแบบที่เห็นในปัจจุบัน

 

ต่อมาชาวจีนก็สามารถขับไล่ดัตช์ออกไปได้ จนเมื่อจีนแพ้สงครามฝิ่น อังกฤษได้เช่าป้อมนี้จากจีนและปรับปรุงให้เป็น สถานกงสุลอังกฤษ บนเกาะไต้หวัน
 



ปัจจุบัน สถานกงศุลอังกฤษได้รับการบูรณะและเปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
 



จากป้อม เราเดินลงมา จะเจอกับป้ายรถเมล์ แนะนำขึ้น รถเมล์สาย R26 นั่งไปลงที่ ป้าย Fisherman’s Wharf ค่ารถ 15 ดอลลาร์ไต้หวันครับ

 
บริเวณตรงนี้เป็นท่าเรือชาวประมง ซึ่งว่ากันว่า เป็นหนึ่งในจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดบนเกาะไต้หวัน
 

นอกจากนี้ยังมี สะพานคู่รัก (Lover’s Bidge) เป็นสะพานสีขาวที่มีดีไซน์สวยงาม คล้ายใบเรือ
 



 
ปิดท้ายวันที่ตรงนี้เลยล่ะกันครับ จริงๆแล้วรูทเป่ยโถว+ตั้นสุ่ย ก็ถือเป็นรูทยอดนิยมสำหรับ one day trip นอกกรุงไทเป ถ้าใครสนใจอยากสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ ออนเซ็น วัฒนธรรม และวิวพระอาทิตย์ตกสวยๆ แนะนำให้มาเที่ยวตามแพลนนี้ได้เลย ที่สำคัญรูทนี้เที่ยวง่ายมาก เพราะทั้งสองเมืองนี้อยู่บนสายเดียวกัน (สายสีแดง) ไม่ต้องเปลี่ยนสายให้ยุ่งยาก

สุดท้ายนี้ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นไอเดียให้กับทุกคนที่กำลังวางแผนเที่ยวไต้หวันนะครับ ถ้าใครได้ลองเดินทางตามรูทนี้แล้ว อย่าลืมมาแชร์ประสบการณ์การเดินทางให้ฟังกันบ้างนะ


ล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 19 มีนาคม 2568    
Last Update : 22 มีนาคม 2568 22:59:06 น.
Counter : 269 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

1 วัน จีหลง+จิ่วเฟิ่น จากท่าเรือสายฝนสู่หมู่บ้านโคมแดงแห่งเกาะไต้หวัน


สถานที่ท่องเที่ยว : อุทยานเกาะเหอผิง (Heping Island Park), เมืองจีหลง, ไต้หวัน
พิกัด GPS : 25° 9' 44.93" N 121° 45' 52.83" E

หลังจากที่เราเที่ยวทั้งกรุงไทเป รวมทั้งเมืองแถบภาคกลางของเกาะไต้หวันไปแล้ว ในรีวิวตอนนี้ผมจะพาทุกคนเที่ยวชายฝั่งทางตอนเหนือของเกาะไต้หวันกันบ้างครับ โดยสองเมืองที่ผมจะมารีวิวในตอนนี้ สามารถเดินทางจากกรุงไทเปแบบ one day trip ได้อย่างสบายๆ เหมาะสำหรับใครที่อยากหาที่เที่ยวไม่ไกลจากกรุงไทเป

สำหรับแผนการเดินทางในวันนี้ ในช่วงเช้าผมจะนั่งรถไฟจาก Taipei Main Station ไปยังเมือง จีหลง (Keelung) จากนั้นก็จะเดินทางด้วยรถเมล์ต่อไปยังหมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่นในช่วงบ่าย และนั่งรถเมล์กลับเข้ากรุงไทเปในช่วงค่ำ ตามแผนการทางด้านล่างนี้ครับ

 

มาเริ่มกันที่เมืองแรกครับ เมืองนี้มีชื่อว่า จีหลง (Keelung) จากสถานีรถไฟ  เดินไปไม่ไกล เราจะเจอกับ Keelung Maritime Plaza ซึ่งเป็นลานกิจกรรมอยู่ริมท่าเรือของเมืองจีหลง
 

 
 
จีหลงเป็นเมืองชายทะเลที่ตั้งอยู่ปลายสุดทางตอนเหนือของเกาะไต้หวัน เดิมทีเมืองนี้ในอดีตเป็นที่อยู่ของ ชนเผ่าเคอทาเก๋อหลัน (Ketagalan People) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมือง แต่ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 17 ก็ได้มีคณะสำรวจชาวสเปนเดินทางมาที่บริเวณแถบนี้ และได้สร้างเป็นเมืองขึ้นชื่อว่า ซานซัลวาดอร์ (San Salvador) แต่ต่อมาเมืองนี้ก็ได้ถูกยึดครองโดยชาวฮอลันดา และได้เปลี่ยนชื่อเมืองมาเป็น นูร์ท ฮอลแลนด์ (Noort Hoollant) จนเมื่อชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ ได้เข้ามาขับไล่ชาวฮอลันดาออกไปได้สำเร็จในสมัยราชวงศ์ชิง
 

เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่า ทำไม Keelung ถึงอ่านว่า “จีหลง” ไม่อ่านว่า “กีลัง” อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ จีหลงเป็นภาษาจีนกลางครับ คนไต้หวันส่วนใหญ่จะออกเสียงแบบนี้ ส่วนที่เขียนว่า Keelung มาจากการที่คนตะวันตกพยายามสะกดถอดคำจากภาษาชนพื้นเมืองที่เป็นชาว Ketagelan แล้วเพี้ยนออกมาเป็นแบบนี้ แต่เนื่องจากใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่คนตะวันตก มันเลยกลายเป็นชื่อเรียกในภาษาอังกฤษไปโดยปริยาย
 

 
จีหลงเริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ในช่วงนั้นได้เริ่มมีการสร้างท่าเรือแบบสมัยใหม่ขึ้นที่นี่ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเมืองนี้กลายเป็น เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศ เป็นรองแค่เมืองเกาสง (Kaoshuing) ทางภาคใต้ นอกจากนี้ เมืองจีหลงยังเป็นเมืองที่มีฝนตกมากที่สุดของไต้หวันด้วยด้วย ทำให้ที่นี่ได้สมญานามว่าเป็น ท่าเรือแห่งสายฝน (The Rainy Port)


จีหลงเริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ในช่วงนั้นได้เริ่มมีการสร้างท่าเรือแบบสมัยใหม่ขึ้นที่นี่ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเมืองนี้กลายเป็น เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศ เป็นรองแค่เมืองเกาสง (Kaoshuing) ทางภาคใต้ นอกจากนี้ เมืองจีหลงยังเป็นเมืองที่มีฝนตกมากที่สุดของไต้หวันด้วยด้วย ทำให้ที่นี่ได้สมญานามว่าเป็น ท่าเรือแห่งสายฝน (The Rainy Port)


เวลาจะสั่งอาหารที่นี่ ทางร้านจะให้ใบสำหรับเขียนสั่งอาหารมา แต่ปัญหาคือ มันมีแต่ภาษาจีนครับ  ดังนั้นใครที่อ่านจีนไม่ออก พูดจีนไม่ได้ แต่อยากมากิน แนะนำให้ใช้ google translate แปลเอา มันจะแปลออกมางงๆหน่อย แต่ก็พอเข้าใจอยู่
 
อาหารสั่งมา 4 อย่างคือ ข้าวหน้ากุ้ง, ข้าวหน้าเซ็ทซาซิมิรวม (รวมซุปมิโซะ), ซุปรวมมิตรทะเล, ปลาหมึกนึ่ง โดยส่วนตัวผมชอบข้าวหน้ากุ้งมากที่สุด รสชาติแปลกดี แต่อร่อย นอกนั้นก็อร่อยใช้ได้ วัตถุดิบสดมาก คนไทยน่าจะชอบ หมดไปประมาณ 6 ร้อยกว่าบาท โดยรวมก็ถือว่าโอเค พอใจกับรสชาติและคุณภาพอาหารครับ

 

 
พอทานข้าวเสร็จ เราก็เดินกลับมาที่ฝั่งตรงข้าม Maritime Plaza เพื่อขึ้นรถเมล์ต่อไปที่ ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing Habour) ซึ่งถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นในปี 1934 และถือเป็นท่าเรือประมงทื่ใหญ่ที่สุดของเกาะไต้หวันในยุคนั้น จนเมื่อไต้หวันอยู่ภายใต้การปกครองของจอมพลเจียงไคเช็ก ที่นี่ก็ค่อยๆถูกลดบทบาทลงไป ต่อมาทางรัฐบาลท้องถิ่นของเมืองจีหลง ได้ทำการปรับปรุง ทาสีบ้านเรือน ทำให้ที่นี่กลายมาเป็นแลนด์มาร์ค และเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนี้ไปเลย
 

Tip: หลายรีวิวแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่ช่วงเช้านะครับ เพราะถ่ายรูปออกมาจะไม่ย้อนแสง

จากท่าเรือหลากสี เราก็เดินต่อไปยัง อุทยานธรณีเหอผิง (Heping Island Park) ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือหลากสีประมาณ 1.2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 15 นาทีครับ (ถ้าใครเดินไม่ไหว แนะนำให้เรียกแท็กซี่)
 

ที่นี่มีค่าเข้าชม 120 ดอลลาร์ไต้หวันนะครับ
 

 
บริเวณอุทยานจะเป็นเกาะกลางทะเลที่เชื่อมด้วยสะพานครับ ในอดีต เมื่อปี ค.ศ. 1626 กองทัพสเปนได้ใช้เกาะนี้เป็นฐานทัพสำหรับการติดต่อทางการค้าระหว่างจีนและญี่ปุ่น และได้สร้างป้อมปราการขึ้นที่นี่ ต่อมา ในช่วงปี ค.ศ. 1668 ป้อมปราการนี้ถูกโจมตีโดยกองทัพดัตช์ และเมื่อหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะนี้ถูกใช้เป็นสถานที่กักขังและลงโทษนักโทษในเหตุการณ์ White Terror Movement ซึ่งเป็นการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองของพรรคก๊กมินตั๋งภายใต้การนำของเจียงไคเช็ค
 

ปัจจุบัน อุทยานเกาะเหอผิงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม มีลักษณะทางธรรมชาติที่โดดเด่น เช่น โขดหินรูปร่างแปลกตาที่เกิดจากการกัดเซาะของลมและคลื่นทะเล
 







ศาลาตรงจุดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งนี้ที่ใครมาที่นี่ต้องมาถ่ายรูป


 
อีกจุดที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือ สระว่ายน้ำกลางแจ้ง
 
 
โดยส่วนตัว ผมชอบที่นี่มากเลยครับ บรรยากาศดี ลมเย็นสบาย ทางเดินก็ทำดี ชิลล์มาก ใครมาจีหลงแนะนำให้มาที่นี่


จากอุทยานธรณีเหอผิง เราก็เดินย้อนกลับไปที่ท่าเรือหลากสี เพื่อขึ้นรถเมล์สาย 791 เพื่อไปยัง ทะเลหยินหยาง ครับ

จริงๆ ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในแผนตอนแรกหรอก แต่เนื่องจากเราต้องการนั่งรถเมล์เพื่อไปยังเมืองโบราณจิ่วเฟิ่น แล้วต้องมาเปลี่ยนสายรถเมล์ตรงนี้พอดี ก็เลยตัดสินใจขอแวะเที่ยวหน่อยล่ะกัน บริเวณนี้จะเป็นจุดชมวิวทะเลสองสี นั่นก็คือ สีเหลืองกับสีฟ้าครับ ทำให้คนไต้หวันเรียกทะเลตรงนี้ว่า ทะเลหยินหยาง (Yin Yang Sea) ซึ่งสีเหลืองของน้ำทะเลตรงนี้ เกิดจากการทำเหมืองแร่ทองคำในอดีต ทำให้สารเคมีจากการทำเหมืองแร่ไหลลงไปในทะเล ซึ่งจริงๆแล้วอันตราย แต่ก็กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทัวร์มาลงเต็มไปหมด
 

 
สิ่งที่น่าสนใจกว่าทะเลคือ ตึกบนภูเขาที่อยู่ด้านหลังป้ายรถเมล์ทะเลหยินหยาง ตึกนี้มีชื่อว่า 13 Floor ruin หรือเรียกในภาษาจีนว่า ซุ่ยหนานตง ซึ่งเคยถูกใช้เป็นโรงถลุงแร่ทองมาก่อน โดยถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1933 ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น จนเมื่อถึงปี 1971 เมื่อทองคำบนภูเขานี้ค่อยๆลดลง ตึกนี้ก็ได้ถูกปิดตัวลง และถูกทิ้งร้างไว้แบบนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ที่นี่ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวคู่กับทะเลหยินหยางครับ


จากป้ายรถเมล์ตรงทะเลหยินหยาง เราก็นั่งรถเมล์สาย 1062 ต่อไปที่ หมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street) แต่ระหว่างทางเราจะเจอกับ น้ำตกทองคำ (Golden Waterfall) ก่อนครับ
 

 
ความแปลกของน้ำตกนี้ก็คือสีของเนินเขาของน้ำตกจะเป็นสีทอง ซึ่งเกิดจากตอนช่วงที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำ ได้มีแร่ธาตุปนเปื้อนอยู่ในน้ำ และแร่ธาตุเหล่านี้ก็ได้ทำปฏิกิริยากับเนินเขา จนกลายเป็นสีทองอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
 
 

จากทะเลหยินหยาง นั่งรถเมล์ไปไม่นานก็มาถึงจิ่วเฟิ่นครับ
 

 
จิ่วเฟิ่น (Jiufen) เป็นหมู่บ้านโบราณที่ตั้งอยู่ในหุบเขาของ เขตรุ่ยฟาง (Ruifang) เมืองนิวไทเป ทางตอนเหนือสุดของเกาะไต้หวัน

ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปตั้งแต่ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยในช่วงนั้นได้มีการทำเหมืองทำคำขึ้นใกล้ๆตรงนี้ ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาทำงานและอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้เป็นจำนวนมาก จึงมีการสร้างบ้านเรือนขึ้นจนกลายเป็นเมืองขนาดย่อมๆ ซึ่งบ้านเรือนเหล่านี้ได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจากชาวญี่ปุ่นด้วย ทำให้เมื่อเราเดินเข้าไปในหมู่บ้าน จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ผสมผสานระหว่างจีนกับญี่ปุ่นอย่างลงตัว

 



จุดที่เป็นไฮไลท์สำคัญของเมืองโบราณจิ่วเฟิ่นก็คือ มุมมหาชนตรงข้ามกับโรงน้ำชา Amei Tea House ตอนผมไปมีแต่คนไทยไปยืนรอถ่ายกันเต็มไปหมด เพราะช่วงที่ไปเป็นวันหยุดตอนเทศกาลสงกรานต์พอดี
 

 
แผนตอนแรกสุดคือ เราจะมาหาน้ำชาทานที่ร้านน้ำชาฝั่งตรงข้าม Amei Tea house พร้อมกับชมวิวเพลินๆ แต่พอมาถึงก็เพิ่งรู้ว่า มันต้องจองมาก่อน ผ่านทาง klook หรือ kkday ครับ เลยอด แต่ถึงพลาดก็ไม่เป็นไร เพราะที่จิ่วเฟิ่น  ยังมีร้านอาหารสตรีทฟู้ดร้านอื่นๆขายเรียงรายเต็มไปหมด แต่ร้านที่ไม่ควรพลาดเลย ก็คือ ร้าน A-Jou Peanut Ice Cream Roll ซึ่งเค้าจะขายเป็นไอศกรีมรสหวานผสมถั่วตัดห่อด้วยแผ่นแป้งแบบนี้ (สามารถเลือกได้ว่าผักชีไหม แต่สำหรับคนไทย ไม่ใส่จะถูกปากมากกว่าครับ)
 

เนื่องจากคนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะมาก เจ้าของร้านอาหาร และพนักงานที่นี่หลายคนที่เมืองนี้ก็เลยพูดภาษาไทยได้ด้วย และบางร้านยังมีป้ายภาษาไทยด้วยนะ อย่างร้านขายไส้กรอกไต้หวันร้านนี้ ก็มีป้ายภาษาไทย แต่พอแปลออกมา ผมว่ามันดูแปลกๆนะ
 

 
ที่จิ่วเฟิ่นจะมีการแขวนโคมไฟสีแดงตกแต่งรอบๆ จึงมีคนนำไปร่ำลือกันว่า จิ่วเฟิ่นคือเมืองต้นแบบของฉากในหนังอนิเมะเรื่อง Spirit Away ของค่ายสตูดิโอจิบลิ แต่ผู้สร้างและค่าย ก็ออกมาปฏิเสธหลายรอบแล้วนะครับว่า ไม่ใช่ ฉากในหนังมาจากหลายสถานที่ ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นที่ใดที่หนึ่ง แต่นักท่องเที่ยวหลายคนก็เชื่อไปแล้วแหละ ทำให้ที่เมืองนี้มีการขายของที่ระลึกต่างๆจากหนังเต็มไปหมด
 



 
จิ่วเฟิ่นเป็นที่สุดท้ายของทริปในวันนี้ครับ พอเริ่มค่ำเราก็นั่งรถกลับเข้าตัวเมืองไทเป ทริปที่จีหลงและจิ่วเฟิ่นแบบเต็มวันก็จบเพียงเท่านี้

สำหรับทริปในวันนี้ ถือเป็นวันที่เราได้เที่ยวได้หลายที่มาก ไม่ว่าจะเป็นเมืองจีหลง หมู่บ้านชาวประมงเจิ่งปิน อุทยานธรณีเกาะเหอผิง ทะเลหยินหยาง และหมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่น ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้แบบ one day trip จากกรุงไทเป ใครที่มาไต้หวันแล้วเบื่อเมืองหลวง อยากหาที่เที่ยวใกล้ๆนอกเมือง ก็สามารถลอกแผนของผมได้เลยครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 18 มีนาคม 2568    
Last Update : 22 มีนาคม 2568 22:57:38 น.
Counter : 118 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

1 วัน หยางหมิงซาน ตะลุยภูเขาไฟแห่งดินแดนไต้หวันภาคเหนือ


สถานที่ท่องเที่ยว : ทุ่งหญ้าฉิงเทียนกัง (Qingtiangang), China
พิกัด GPS : 25° 12' 4.22

ถ้าพูดถึงเมืองหลวง โดยเฉพาะเมืองหลวงของประเทศที่มีความสำคัญในทางเศรษฐกิจ คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงภาพตึกระฟ้า ย่านธุรกิจการค้าขนาดใหญ่ หรือบ้านเรือนผู้คนที่หนาแน่น แต่สำหรับที่กรุงไทเป ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไต้หวันแล้ว ที่นี่กลับแตกต่างออกไปครับ เพราะนอกจากตึกสูงที่สุดในโลกอย่าง ตึกไทเป 101 แล้ว ที่นี่ยังมีอุทยานแห่งชาติตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง และสิ่งที่น่าสนใจคือ อุทยานนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นที่ตั้งของ ภูเขาไฟมีพลัง (Active volcano) ซึ่งปัจจุบันยังมีบ่อน้ำเดือด ไอร้อน ควันประทุ และมีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่เกิดจากการไหลของธารลาวาจากภูเขาไฟ ที่นี่มีชื่อว่า หยางหมิงซาน (Yangmingshan National Park) ครับ

เดิมที่แล้ว ที่นี่มีชื่อว่า เคาซาน (Caoshan) ครับ แต่ต่อมา เจียงไคเช็คซึ่งเป็นประธานาธิบดีไต้หวัน ได้ทำการเปลี่ยนเป็นชื่อ หยางหมิงซาน (Yangmingshan) ตามชื่อของ หวังหยางหมิง (Wang Yang Ming) ซึ่งเป็นนักปรัชญาและขุนนางสมัยราชวงศ์หมิงที่เขาชื่นชอบ

 

หยางหมิงซานเป็น 1 ใน 9 อุทยานแห่งชาติของไต้หวัน โดยมีพื้นที่ครอบคลุมทั้งกรุงไทเป และเขตนิวไทเป ซึ่งเป็นเขตปริมณฑล โดยตั้งอยู่ห่างจากใจกลางกรุงไทเปไปประมาณ 20 กิโลเมตร
 

พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน ส่วนใหญ่เป็นภูเขาที่มีความสูงตั้งแต่ 200 ไปจนถึง 1,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีอาณาเขตมากกว่า 7 หมื่นไร่ และมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ทั้งจุดแคมป์ปิ้ง, เส้นทางเดินป่า, ปีนเขา, ชมสัตว์ป่า, น้ำตก, ต้นไม้, ป่าไม้, บ่อน้ำแร่ ในแต่ละช่วงฤดูกาลของหยางหมิงซานก็จะมีความงดงามที่แตกต่างกันออกไปครับ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม เราจะได้พบกับดอกไม้บาน เช่น ดอกซากุระที่จะบานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่ถ้ามาในช่วงเดือนตุลาคมจะมีลานหญ้าสีน้ำเงิน หรือถ้ามาในช่วงเดือนธันวาคมจนถึงมกราคม ที่นี่ก็มีโอกาสเจอหิมะตกได้ครับ (ไม่ได้ตกประจำนะ นานๆจะตกซะทีหนึ่ง)

เนื่องจากเป็นพื้นที่อุทยาน ที่นี่จึงไม่มีรถไฟใต้ดินไปถึงครับ วิธีง่ายที่สุดคือ ให้เดินทางมาที่ สถานี Taipei main station ทางออก Y6 เราจะเจอกับป้ายรถเมล์แบบในรูปด้านล่าง จากนั้นให้ รถเมล์สาย 260 นั่งไปจนสุดสายจะถึงที่อุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน

 

 
เมื่อนั่งรถเมล์ ถึงที่ป้ายหลักของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซานแล้ว เราจะต้องต่อเป็น รถมินิบัสของอุทยาน (สาย 108) เพื่อเที่ยวชมจุดต่างๆภายในอุทยาน ซึ่งรถมินิบัสนี้จะวิ่งแบบวนลูป ตั้งแต่เวลา 7:00-17:30 ในราคา 15 ดอลลาร์ไต้หวันต่อเที่ยว รถจะออกทุกๆ 30 นาทีสำหรับวันธรรมดา และทุกๆ 10 นาทีในวันหยุดครับ
 
ป้ายรถเมล์ภายในอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน จะมีอยู่ด้วยกัน 10 แห่ง โดยสาย 108 จะครบทุกป้าย เราอยากเที่ยวจุดไหน ก็ลงที่จุดนั้นได้เลย โดยผมมีแผนการเดินทางดังนี้ครับ
  • จากป้ายรถเมล์หลักหน้าอุทยาน เรานั่งรถเมล์สาย 108 ไปลงที่ ป้ายเสียวโหย่วเคิ่ง (Xiaoyoukeng) เพื่อไปเที่ยวชมภูเขาไฟที่ Volcanic Geological Landscape Area
  • จากนั้น นั่งรถเมล์สาย 108 จากป้ายเสียวโหย่วเคิ่งไปที่ที่ ป้ายเหลิงสุ่ยเคิ่ง (Lengshuikeng) Bus เพื่อไปชม บ่อน้ำนม (Milk Pond), สะพานแขวนจิงชาน (Jingshan suspension bridge) แล้วเดินมาเรื่อยๆจนถึง ทุ่งหญ้าฉิงเทียนกัง (Qing Tian Gang)
  • จากทุ่งหญ้า นั่งรถเมล์สาย S15 กลับเข้ากรุงไทเป
คำเตือน: บนอุทยานไม่มีร้านอาหารนะ มีแต่ตู้กดน้ำ ถ้าใครจะมาเที่ยวที่นี่ทั้งวัน แนะนำให้เตรียมอาหารมาเองด้วย หรือจะมาซื้อทานที่มินิมาร์ทตรงหน้าอุทยานก่อนก็ได้ครับ

มาเริ่มกันที่จุดแรก นั่นก็คือ เสี่ยวโหย่วเคิ่ง (Xiao You Keng) บริเวณนี้ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์ของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซานเลยครับ และที่ผมมาเที่ยวที่นี่ก็เพราะอยากมาดูที่นี่แหละ
 

 
จุดนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 805 เมตร เป็นจุดชมภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่ของไต้หวัน เลยมีควัน ผสมกับกลิ่นแก๊สซัลเฟอร์ฉุนๆ ให้แสบจมูกเล็กน้อย แต่ไม่ได้แรงเท่าภูเขาไฟหลายๆลูกที่ผมเคยไปมาก่อนหน้านี้ครับ
 
 
จริงๆแล้วจากตรงนี้สามารถเดินเทรลได้ โดยจะเป็นการปีนภูเขาที่สูงที่สุดของอุทยานที่ชื่อว่า ฉีซิงชาน (Qixingshan) ซึ่งมีความสูง 1,120 เมตร ซึ่งเราไม่ได้เดินครับ เพราะตั้งใจจะเก็บแรงไว้เดินที่จุดอื่นต่อ
 

 
จุดต่อมาคือ เหลิงสุ่ยเคิ่ง (Lengshuikeng) ซึ่งพอลงจากป้ายรถเมล์จะเจอกับ บ่อน้ำร้อนสำหรับแช่เท้าก่อนเลยครับ ส่วนใหญ่ผมเห็นแต่ลุงๆป้ามาแช่กันนะ ส่วนเรา เนื่องจากยังไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยเท่าไหร่ ก็เลยเดินลุยไปเข้าป่าไปเลยครับ
 

 
เดินเข้าป่าไปไม่ไกล จะเจอ บ่อน้ำนม (Milk Pond) ซึ่งเป็นบึงขนาดเล็กๆ ที่น้ำในบึงมีสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนมที่เกิดจากซัลเฟอร์ที่ผุดขึ้นมา เนื่องจากใต้พื้นดินบริเวณนี้เป็นภูเขาไฟ  
 

จากบ่อน้ำนม เราจะเดินไปยัง ทุ่งหญ้าฉิงเทียนกัง (Qingtiangang) รวมระยะทางในการเดินประมาณ 1.7 กิโลเมตร อาจจะฟังดูไกลหน่อย แต่พอเดินจริงๆ ผมว่าชิลล์นะ เพราะอากาศเย็น และทางเดินเค้าทำไว้ดีมาก เดินไปเรื่อยๆ ชมนก ชมไม้ แป๊บเดียวก็ถึงครับ
 

 
ระหว่างทาง เราจะเจอกับ สะพานแขวนจิงชาน (Jingshan suspension bridge)
 



 
ถึงแล้วครับ ทุ่งหญ้าฉิงเทียนกัง (Qingtiangang) สำหรับผม ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน ด้วยสภาพบรรยากาศทุ่งหญ้ากว้างใหญ่บนภูเขา มีวัวควายกำลังกินหญ้าอยู่ น่าเสียดาย ตอนที่ผมไป หมอกลงจัดมาก แต่ก็เป็นบรรยากาศที่แปลกตาดี (อย่างกับหนัง Silent Hill)
 

ทุ่งหญ้านี้เกิดจากการไหลของลาวาจากภูเขาไฟครับ และเมื่อเวลาผ่านไป พวกแร่ธาตุจากใต้พิภพที่มากับลาวา ก็ได้สะสมอยู่ที่พื้นดินตรงนี้ ทำให้พื้นที่ตรงนี้มีความอุดมสมบูรณ์ กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ชาวบ้านใกล้ๆแถวนั้น เลยเอาวัวควายมาเลี้ยงแบบกึ่งปล่อยตรงนี้ อย่างไรก็ตาม ควายที่ทุ่งหญ้าฉิงเทียนกัง ไม่ได้มีตลอดทั้งปีนะครับ ถ้าใครไปช่วงหน้าหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคมจะไม่เจอ เพราะอากาศหนาวเดินไป วัวควายอยู่ไม่ได้ ชาวบ้านเค้าจะเอาไปเก็บตามคอก
 



แม้ว่าวัวควายพวกนี้จะเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่ แต่ก็มีป้ายเตือนว่าอย่าไปแหย่มันนะ เดี๋ยวมันหงุดหงิดขึ้นมาจะโดนขวิดเอา และเพื่อความไม่ประมาท ทางอุทยานก็ได้เตรียมรั้วกันไว้แล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน ก็วิ่งเข้ารั้วกั้นตรงนี้เลย
 



ถ้าใครมีเวลาเยอะ สามารถเดินเล่นเป็นวงกลมรอบทุ่งหญ้า (Circular trail) รวมระยะทาง 2.4 กิโลเมตรได้เลยครับ แต่เราเหนื่อยแล้ว เลยเดินไปขึ้นรถเมล์สาย S15 กลับเข้ากรุงไทเปดีกว่า
 





สำหรับภาพรวมของที่นี่ โดยรวมก็ถือว่าชอบครับ อากาศเย็นสบาย แล้วก็ได้เห็นอะไรที่ไม่มีในบ้านเราอย่างภูเขาไฟด้วย ข้อดีของหยางหมิงซานคือ ที่นี่เป็นที่เที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงไทเป ทำให้เดินทางง่าย เหมาะกับคนที่มาเที่ยวไต้หวัน และอยากหาที่เที่ยวธรรมชาติ แต่มีเวลาไม่เยอะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 17 มีนาคม 2568    
Last Update : 22 มีนาคม 2568 22:55:09 น.
Counter : 235 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

3 วัน 2 คืน เจียอี้+อาลีซาน นั่งรถไฟสายป่าตะลุยขุนเขาแห่งไต้หวันภาคใต้


สถานที่ท่องเที่ยว : อุทยานแห่งชาติอาลีซาน (Alishan National Forest Recreation Area), Taiwan
พิกัด GPS : 23° 30' 10.49" N 120° 48' 43.54" E

ไต้หวันเป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ บนเกาะไต้หวันนั้น มีอุทยานแห่งชาติอยู่มากมายหลายแห่ง และอุทยานเหล่านี้ยังได้มีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้ท้องถิ่น เป็นตัวอย่างของการรักษาสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ กับการอนุรักษ์ได้อย่างลงตัวครับ

ปัจจุบันนั้น อุทยานแทบทุกแห่งของไต้หวันเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่อุทยานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดนั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติอาลีซาน (Alishan National Forest Recreation Area) ซึ่งผมจะมารีวิวในบล็อกนี้ครับ

รู้จักกับอุทยานแห่งชาติอาลีซาน (Alishan National Forest Recreation Area)

อุทยานแห่งชาติอาลีซาน (Alishan National Forest Recreation Area)
 เป็นอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่อยู่ใน เขตเจียอี้ (Chiayi) โดยมีจุดสูงจุดอยู่ที่ความสูง 2,663 เมตร ทำให้ที่นี่มาอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี จึงมีระบบนิเวศแบบป่าสน (Alpine) ซึ่งแตกต่างไปส่วนอื่นๆของเกาะไต้หวัน บางครั้งที่นี่ก็มีหิมะตกในหน้าหนาวด้วย

 

ในอดีตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติอาลีซานในปัจจุบัน เป็นถิ่นที่อยู่ของ ชนเผ่าเซ่า (Tsou people) ซึ่งเป็นหนึ่งในชนเผ่าพื้นเมืองของไต้หวัน (ในรูปด้านล่าง) ต่อมาในสมัยปลายราชวงศ์หมิง ก็เริ่มมีชาวจีนฮั่นอพยพเข้ามาที่นี่มากขึ้น จนเมื่อจีนในสมัยราชวงศ์ชิง พ่ายแพ้ในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ทำให้สูญเสียเกาะไต้หวันให้กับจักรวรรดิญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นก็ได้เข้ามาสำรวจที่นี่ และพบว่า ที่นี่เป็นแหล่งของไม้คุณภาพดี จึงมีการเข้ามาทำอุตสาหกรรมป่าไม้ในแถบนี้ และเพื่อความสะดวก ทางญี่ปุ่นจึงสร้างทางรถไฟหลายสายในเขตป่าตรงนี้ รวมทั้งทางรถไฟเชื่อมไปยังเมืองเจียอี้ด้วย เรียกว่า Alishan Forest Railway เพื่อความสะดวกในการขนส่งไม้ออกจากป่า และแปรรูปส่งกลับไปที่ญี่ปุ่น
 

 
อุตสาหกรรมป่าไม้ที่นี่เฟื่องฟูมากในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ไปจนถึงช่วงแรกๆที่พรรคก๊กมินตั๋งปกครองเกาะไต้หวันด้วยครับ แต่แล้วในช่วงตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา ป่าไม้ที่นี่ก็เริ่มร่อยหรอ สิ่งที่ทดแทนรายได้จากอุตสาหกรรมป่าไม้ก็คือ การท่องเที่ยว และด้วยความงดงามของที่นี่ ทำให้ในปัจจุบัน อาลีซานมีผู้มาเยือนทั้งชาวไต้หวันและชาวต่างประเทศรวมกันมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้มหาศาลให้กับคนที่อาศัยอยู่ในแถบนั้น นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ผลิตชา และวาซาบิ ที่สำคัญของไต้หวันอีกด้วย
 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางด้วยรถไฟจากเมืองไถจงมายังเมืองเจียอี้
  • เช็คอินเข้าที่พัก (Sunrise Hotel Chiayi)
วันที่สอง
  • เดินทางด้วยรถบัสจากเมืองเจียอี้ไปยังอุทยานแห่งชาติอาลีซาน
  • เดินเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติอาลีซาน ประมาณ 5 ชั่วโมง
  • เดินทางกลับเมืองเจียอี้
  • ช่วงเย็นเดินเล่นที่ถนนคนเดินเหวินหัว (Wenhua Night Market) ในเมืองเจียอี้
วันที่สาม
  • เดินทางออกจากเมืองเจียอี้ กลับไปยังกรุงไทเป
ที่พักในเมืองเจียอี้ (Chiayi City)

ทริปนี้ผมเลือกพักใน เมืองเจียอี้ (Chiayi City) แล้วใช้วิธีไปเที่ยวที่อาลีซานแบบ one day trip เอานะครับ โดยผมเลือกพักที่ Sunrise Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมอยู่ในตึกแถวกลางเมืองเจียอี้ ที่พักก็ถือว่าพอใช้ได้ อยู่ในระดับมาตรฐาน กลางๆ ใกล้ๆมีร้านอาหาร ถนนคนเดิน และอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเจียอี้
 

 
ผมจองที่พักนี้เป็นเวลา 2 คืน ผ่านอโกด้า ในราคารวม 4,672 ดอลลาร์ไต้หวัน หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 5,200 บาท ต่อ 2 คน รวมอาหารเช้าครับ (ที่โรงแรมนี้ไม่มีอาหารเช้าให้บริการ แต่เค้าจะให้คูปองร้านอาหาร ให้เราเอาไปแลกเป็นอาหารเช้าที่ร้านฝั่งตรงข้ามโรงแรม)


วันที่หนึ่ง

การเดินทางมายังเมืองเจียอี้ของเรา ผมใช้วิธีนั่งรถไฟธรรมดา ที่เรียกว่า TRA จากเมืองไถจง ใช้เวลาเดินทาง 1-2 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับว่าขึ้นรถไฟขบวนไหน ดังนั้น ถ้าใครเดินทางด้วยรถไฟ TRA แบบผม แนะนำให้เช็ครอบรถไฟก่อนนะครับ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า การเดินทางด้วยรถไฟ TRA จะเสียเวลามากซะหน่อย แต่ก็มีข้อดีคือ ตัวสถานีรถไฟอยู่ใจกลางเมืองเลย 


การเดินทางอีกวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมกันก็คือ รถไฟความเร็วสูง ที่เรียกว่า THSR ครับแต่ข้อเสียของรถไฟความเร็วสูง นอกจากราคาแพงแล้ว ตัวสถานีรถไฟความเร็วสูง จะอยู่นอกเมืองเจียอี้ ดังนั้นจึงต้องหารถเมล์นั่งเข้ามาในเมืองต่ออีกทีหนึ่ง (พอคิดเรื่องเวลาเดินทางรวมๆกันแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเร็วกว่ากันเท่าไหร่ นี่คือสาเหตุว่า ทำไมเราถึงเลือกเดินทางด้วย TRA)
 
เนื่องจากในวันนี้เราเดินทางมาถึงที่เจียอี้ช่วงค่ำ เลยยังไม่ได้เที่ยวอะไร พอเช็คอินเข้าโรงแรมเสร็จก็นอนเลย เพราะวันรุ่งขึ้นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางต่อไปยังอาลีซานครับ
 
วันที่สอง

ในวันนี้ เราไปเที่ยวแบบ One day trip ที่อาลีซานครับ สำหรับวิธีการเดินทางจากเมืองเจียอี้ ไปยังอุทยานแห่งชาติอาลีซานนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ได้แก่

(1) รถบัสสาย 7322 โดยรถเมล์จะออกจากสถานีรถไฟเมืองเจียอี้ ขึ้นไปยังที่ทำการของอุทยานแห่งชาติอาลีซาน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถอยู่ที่ 271 ดอลลาร์ โดยรถบางรอบจะผ่านที่ เฟิ่นฉี่หู (Fenchihu) ซึ่งจะมีตึกไม้โบราณ มีข้าวกล่องรถไฟขาย ถ้าใครมีเวลาเยอะๆ จะแวะเที่ยวก็ได้ครับ (เนื่องจากทริปนี้เรามีเวลาน้อย เลยไม่ได้แวะที่นี่)

(2) รถไฟสาย Alishan Forest railway

สมัยก่อน เราสามารถนั่งรถไฟจากเมืองเจียอี้ ขึ้นไปถึงบนเขาอาลีซานได้เลยครับ แต่เนื่องจากภัยธรรมชาติจาก พายุไต้ฝุ่นมรกต เมื่อปี 2552 ทางรถไฟสายนี้เลยได้รับความเสียหายอย่างหนัก และวิ่งให้บริการเฉพาะจากเมืองเจียอี้ ไปถึงแค่เฟิ่นฉี่หูเท่านั้น ถ้าใครต้องการเดินทางด้วยวิธีนี้ ก็ต้องหารถบัสเดินทางต่อขึ้นไปอีกทีหนึ่ง

อัพเดทล่าสุด ปี 2024: ตอนนี้ทางรถไฟสาย Alishan Forest Railway เปิดให้บริการทั้งเส้นตั้งแต่เมืองเจียอี้ (Chiayi city) ไปจนถึงอุทยานแห่งชาติิอาลีซานแล้วนะครับ แต่ก็ใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร ถ้าจะเที่ยวแบบ one day trip ไม่น่าทันเวลา แต่ถ้าใครมีแผนค้างคืนที่ตัวอุทยานฯ ลองดูเป็นทางเลือกได้ครับ (ดูตารางเดินรถได้ที่นี่ https://afrch.forest.gov.tw/EN/0000115)

(3) รถแท็กซี่ ตรงหน้าสถานีรถไฟเจียอี้ จะมีพวกแท็กซี่มาดักรอครับ ถ้าใครเน้นสะดวก มีงบไม่จำกัด จะเหมาขึ้นไปก็ได้ ราคาคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 2-3 พันบาทต่อเที่ยว แต่ถ้าอยากประหยัด สามารถบอกเค้าขอแชร์รถไปกับผู้โดยสารคนอื่นก็ได้ครับ หารกันก็น่าจะอยู่ที่คนละเกือบพันบาท แต่ต้องเจรจาตกลงดีๆ 

เนื่องจากว่าเรามีเวลาน้อย และต้องการประหยัดงบ เราเลยใช้วิธีนั่งรถบัสขึ้นไปครับ โดยเราต้องมารอรถที่ป้ายรถเมล์ตรงนี้ ซึ่งอยู่ด้านหน้าของสถานีรถไฟเจียอี้เลย

 
 
 ในระหว่างที่รอ จะมีลุงคนขับแท็กซื่มาถาม มากดดัน ให้ขึ้นรถไปกับเค้า ก็นิ่งๆไว้ครับ ไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวรถก็มาตามเวลาที่โชว์ไว้ที่ป้ายรถเมล์ (ใครจะเดินทางแบบนี้ แนะนำให้มาเช็คเวลาที่ป้ายรถเมล์ก่อนนะ จะได้ไม่พลาด และไม่ต้องรอรถนาน)


 
Tip:
  1. ถ้าเดินทางไปเที่ยวแบบ one day trip จากเมืองเจียอี้ แนะนำให้เลือกรถรอบไม่เกิน 8 โมงนะครับ เพราะใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน เดี๋ยวถึงช้าเกินไป เวลาเที่ยวจะน้อย)
  2. ใครเมารถง่าย แนะนำให้กินยาแก้เมามาด้วยนะ เพราะทางโหดใช้ได้เลย
หลังจากใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 2 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงที่ทำการอุทยานครับ
 

สำหรับวิธีการเดินทางภายในอุทยานแห่งชาติอาลีซานนั้น มี 2 วิธีครับ คือ เดิน กับนั่งรถไฟ จริงๆแล้ว ถ้าใครเป็นสายเทรค หรือเดินอึด จะเดินหมดนี้เลยก็ได้  แต่ไหนๆมาที่นี่ทั้งที ผมแนะนำให้นั่งรถไฟเที่ยวด้วยจะดีกว่า โดยรูทที่เราจะใช้ในการเดินทางวันนี้ จะเริ่มต้นจากการนั่งรถไฟจาก Alishan station มาลงที่ Zhaoping station จากนั้นจะเดินลัดเลาะในป่า ผ่าน Sister Lake, Shouzhen temple ไปที่ Sacred tree station แล้วเดินต่อมาเรื่อยๆ กลับออกมาที่ประตูทางออกอุทยานเป็นวงกลมตามแผนที่ด้านล่างนี้ครับ
 

ก่อนที่จะเข้าไปที่อุทยานเราต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานก่อน อยู่ที่ 150 ดอลลาร์ จากนั้นก็มาซื้อตั๋วขึ้นรถไฟที่ Alishan station เพื่อเดินทางไปยัง Zhaoping Station ใช้เวลาเดินทางแค่ 6 นาที ค่ารถไฟอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ โดยรถไฟจะมีทุกๆครึ่งชั่วโมง ตั้งแต่ 9 โมงเช้าไปจนถึงบ่ายสามโมงครึ่งครับ
 

 
อากาศตอนที่ผมไป เป็นช่วงตอนกลางวันของเดือนเมษายน กำลังดีเลย ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไปครับ
 

พอไปถึง ขอถ่ายรูปรถไฟหน่อยครับ รถไฟสีสันสดใส ดูคลาสสิคแปลกตาดี
 
 
จริงๆแล้วที่อาลีซานก็มีโรงแรมนะครับ แต่เท่าที่เช็คราคาแล้วค่อนข้างแพง และคะแนนรีวิวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมเลยเลือกพักที่เจียอี้ แล้วมาเที่ยวที่อาลีซานแบบ one day trip เอา
 

ระหว่างทางจะเจอกับต้นไม้ต้นใหญ่ กับไอหมอกเย็นๆ เดินไปฟินมากครับ สายธรรมชาติต้องหลงรักที่นี่แน่นอน
 





เดินไปซักพัก เราจะเจอกับ สระน้ำสองพี่น้อง (Sister Pond) ซึ่งตามตำนานกล่าวไว้ว่า มีพี่น้องสองคนไปตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา พี่น้องทั้งสองจึงกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่นี่
 

จากสระน้ำเดินไปอีกนิดเดียวจะมีวัดที่ชื่อว่า วัดฉู่เจิ้น (Shouzhen Temple) ซึ่งบริเวณใกล้ๆกันจะมีอาหารและเครื่องดื่มขาย เราเลยแวะมากินข้าวเที่ยงที่นี่ครับ
 

 
หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จ เราเดินมาที่ Giant Tree Broadwalk ซึ่งเป็นทางเดินที่จะพาเราไปยังต้นไม้ขนาดยักษ์ครับ
 



เดินเลาะมาเรื่อยๆ เราจะเจอกับ Sacred Tree Station จากตรงนี้ ถ้าหมดแรงแล้วก็สามารถขึ้นรถไฟกลับไปที่ Alishan station ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นได้
 







คนส่วนใหญ่จะขึ้นรถไฟที่ Sacred Tree station กลับออกไปครับ แต่เรายังมีทั้งเวลาและแรงเหลือ เลยตัดสินใจเดินต่อให้ครบคอร์ส  ระหว่างทางเจอวัดร้างอีก 1 แห่ง
 



 
ต้นไม้ต้นนี้ถูกเรียกว่า Three generation trees เป็นต้นไม้ที่โตซ้อนบนต้นไม้ต้นเก่าที่ตายไปแล้ว รวมสามรุ่น
 

 
เราใช้เวลาที่อาลีซานรวมประมาณ 5 ชั่วโมงก็เดินครบคอร์สตามที่ผมอธิบายไปตอนแรกครับ จากนั้นเราก็เดินออกมาที่ป้ายรถเมล์เพื่อกลับไปยังเมืองเจียอี้
 

 
ถ้าให้มผมรีวิวว่า อาลีซานเป็นยังไง สิ่งแรกที่ต้องบอกก่อนว่า การมาอาลีซานไม่ง่ายเลยครับ เพราะที่นี่ค่อนข้างไกลจากเมืองหลวงของไต้หวันอย่างกรุงไทเปพอสมควร เราต้องเดินทางด้วยรถไฟ แล้วมาต่อรถบัสอีกไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ทางก็ค่อนข้างคดเคี้ยว แล้วยังต่อมานั่งรถไฟภายในอุทยานต่อไปอีก หลายคนเลยมองว่าไม่ค่อยคุ้มค่าที่จะมาเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าอาลีซานก็มีเสน่ห์ในแบบตัวเองครับ ลองคิดดูว่า จะมีซักกี่อุทยานในโลกนี้ที่มีเส้นทางเดินป่าที่สามารถเที่ยวได้โดยรถไฟ และยังมีธรรมชาติ ความร่มรื่น และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่นำมาผสมกันได้อย่างลงตัว ที่นี่อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นสายเที่ยวเมือง หรือสายช็อปปิ้ง แต่สำหรับสายธรรมชาติแล้ว ผมว่าต้องประทับใจที่นี่ครับ

วันที่สาม

แผนวันนี้ไม่มีอะไรที่เจียอี้แล้วครับ เราเดินทางกลับไปยังไทเปด้วยรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเรายังอยู่เที่ยวไต้หวันต่ออีกหลายวัน ยังไงฝากติดตามรีวิวในตอนต่อไปด้วยครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 07 มกราคม 2567    
Last Update : 22 มีนาคม 2568 22:50:33 น.
Counter : 1875 Pageviews.  

1  2  3  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.