Welcome to my blog

1 วัน เซ็มโบกุ (Semboku) ย่ำเมืองซามูไร ยลทะเลสาบเจ้าหญิงมังกรแห่งดินแดนอากิตะ


สถานที่ท่องเที่ยว : รูปปั้นทัตสึโกะ (Tatsuko Statue) ที่ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa), Japan
พิกัด GPS : 39° 42' 53.16" N 140° 38' 4.06" E

ที่ จังหวัดอาคิตะ (Akita Prefecture) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคโทโฮะกุของประเทศญี่ปุ่น มีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติ และตำนานท้องถิ่น เมืองนี้มีย่านเมืองเก่า คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) ซึ่งได้รับฉายาว่า  เกียวโตน้อยแห่งภูมิภาคโทโฮะกุ เนื่องจากเคยรุ่งเรืองในฐานะเมืองซามูไรในสมัยเอโดะ โดยเฉพาะบ้านซามูไรดั้งเดิมที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของ ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่น ที่มีตำนานท้องถิ่นว่าด้วย เจ้าหญิงทัตสึโกะ หญิงสาวผู้กลายเป็นมังกรเพื่อความงามนิรันดร์

ในรีวิวนี้ ผมจะพาไปทำความรู้จักกับ เมืองเซ็มโบกุ (Semboku) เมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติ ผ่านเส้นทางท่องเที่ยวที่จะพาไป “ย่ำเมืองซามูไร” และ “ยลทะเลสาบเจ้าหญิงมังกรแห่งดินแดนอากิตะ” ใน 1 วันครับ

รู้จักกับเมืองเซ็มโบกุ (Semboku)

เซ็มโบกุ (Semboku) เป็นเมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดอากิตะ (Akita) ในภูมิภาคโทโฮะกุของประเทศญี่ปุ่น เมืองนี้เกิดจากการรวมตัวของหลายพื้นที่เมื่อปี 2005 และแม้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่ แต่กลับอัดแน่นไปด้วยเสน่ห์ของทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ


สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเซ็มโบกุแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยือน (รวมทั้งพวกเรา) ได้แก่
  1. ย่านเมืองเก่าคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate)
  2. ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa)
นอกจากนี้ ในเขตเซ็มโบกุยังมี ออนเซ็นธรรมชาติชื่อดังอย่าง นิวโตะออนเซ็น (Nyuto Onsen) ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนในบรรยากาศเงียบสงบ (ทริปนี้เราไม่ได้ไปครับ)
 

การเดินทางไปยังเมืองเซ็มโบกุ

แม้จะเป็นเมืองขนาดเล็กในหุบเขาของจังหวัดอาคิตะ แต่การเดินทางไปยังเซ็มโบกุ ก็ถือว่าง่ายเช่นเดียวกับหลายเมืองของญี่ปุ่นครับ โดยเฉพาะถ้าเริ่มต้นจากเมืองหลักอย่าง โตเกียว หรือ โมริโอกะ (Morioka)

หากเริ่มต้นจากโตเกียว สามารถขึ้น รถไฟชินคันเซ็นขบวนโคมะจิ (Komachi) จาก สถานีรถไฟโตเกียว (Tokyo station) หรือ อุเอะโนะ (Ueno station) มุ่งหน้าไปยังสถานี ทาซาวาโกะ (Tazawako Station) หรือ คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate Station) ซึ่งอยู่ในเมืองเซ็มโบกุ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 50 นาที ระหว่างทางรถไฟสายนี้จะแยกออกจากสายหลักของ Tohoku Shinkansen ที่  สถานีโมริโอกะ (Morioka station) ก่อนเข้าสู่เส้นทางท้องถิ่นที่ลัดเลาะไปตามภูเขาในเขตอาคิตะ ซึ่งเส้นทางรถไฟจากโมริโอกะไปยังอากิตะ รวมทั้งที่เมืองเซ็มโบกุ จะถูกเรียกว่า Akita Shinkansen ครับ


สำหรับในทริปนี้ ผมเริ่มต้นการเดินทางจากเมืองโมริโอกะ (Morioka) โดยนั่งรถไฟชินคันเซ็นขบวน Komachi ของสาย Akita Shinkansen มายัง สถานีคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate Station) ใช้เวลาเพียงประมาณ 50 นาทีเท่านั้น หลังจากเที่ยวชมย่านเมืองเก่าคาคุโนะดาเตะ ซึ่งมีบรรยากาศแบบเมืองซามูไรในช่วงเช้าแล้ว ผมจึงนั่งรถไฟต่อมายัง สถานีทาซาวาโกะ (Tazawako Station) เพื่อเดินทางไปชมทะเลสาบทาซาวะในช่วงบ่าย ซึ่งทั้งสองสถานีนี้อยู่ในเขตเมืองเซ็มโบกุและสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างสะดวก การวางแผนเที่ยวสองจุดนี้ภายในวันเดียวจึงไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นจากโมริโอกะที่อยู่ไม่ไกล และมีรถไฟให้บริการตลอดวันครับ
 

เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น การเดินทางด้วยรถไฟถ้าอยากประหยัดต้องวางแผนใช้พาสครับ โดยพาสที่สามารถใช้เดินทางมายังเมืองนี้ได้ ได้แก่
  • JR East Pass: Tohoku Area สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อิวาเตะ ปัจจุบันพาสนี้มี 2 แบบคือ แบบใช้ 5 วันติดต่อกัน (30,000 เยน) และแบบใช้ 10 วันติดต่อกัน (48,000 เยน) ครับ
  • JR East-South Hokkaido Rail Pass สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อิวาเตะ แล้วใช้ต่อไปถึงเมืองซัปโปโร (Sapporo) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโดได้ครับ แต่ระยะเวลาใช้ได้แค่ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 35,370 เยน
  • JR Tohoku-South Hokkaido Rail Pass พาสนี้ใช้ได้แค่จากเซนได (Sendai) ผ่านอิวาเตะ แล้วไปถึงที่เมืองซัปโปโร พาสนี้ก็ใช้ได้ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 30,640 เยนครับ
ย่านเมืองเก่าคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate)

คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) ก่อตั้งขึ้นในปี 1620 โดยซามูไรที่ชื่อว่า อาชินะ โนบุโมริ (Ashina Nobumori) ซึ่งได้รับคำสั่งจากรัฐบาลโชกุนให้ย้ายศูนย์กลางการปกครองของ คาคุโนะดาเตะฮัน (Kakunodate-han) ซึ่งเป็นดินแดนขนาดเล็กในยุคเอโดะ ภายใต้การปกครองของตระกูล ซาโตะ (Sato clan) และอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลโชกุนโตคุงาวะ (Tokugawa shogunate)




ในแง่โครงสร้าง เมืองถูกวางผังอย่างมีระบบแบบ โจกะมาจิ ซึ่งเป็นรูปแบบเมืองซามูไรของญี่ปุ่นที่เป็นเมืองในปราสาท อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่มีปราสาทจริงในเมืองคาคุโนะดาเตะ แต่การแบ่งเขตระหว่างบ้านซามูไรและบ้านชาวเมือง ซึ่งสะท้อนรูปแบบการปกครองแบบศักดินาอย่างชัดเจน เขตบ้านซามูไรที่หลงเหลืออยู่จนปัจจุบัน จึงเป็นหลักฐานสำคัญของสถานะเมืองนี้ในฐานะศูนย์กลางการปกครองระดับท้องถิ่นในสมัยเอโดะ แม้ว่าเมืองจะเคยได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 19 แต่โครงสร้างหลักของเขตบ้านซามูไรก็ยังคงอยู่รอดมาได้ ทำให้ปัจจุบันคาคุโนะดาเตะถือเป็นแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญที่ให้ภาพสะท้อนของญี่ปุ่นยุคเอโดะ และได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น




สำหรับการเดินทางมายังเมืองนี้ จะต้องนั่งรถไฟความเร็วสูงสาย Akita Shinkansen มาลงที่ สถานีคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate station) ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที จากนั้นให้เดินตามป้ายจากสถานีรถไฟไปประมาณ 1 กิโลเมตรครับ (ถ้าไม่อยากเดิน ที่สถานี Kakunodate มีบริการเช่าจักรยาน ราคาประมาณ 500–1,000 เยนต่อวัน)
 

จากสถานีรถไฟ เดินมาจะเจอกับ หอนาฬิกา (clock tower) ที่ตั้งอยู่บริเวณทางแยกเข้าสู่ย่านบ้านซามูไรเก่าแก่ หอนาฬิกานี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมเดิมในยุคซามูไร แต่ถูกสร้างขึ้นในภายหลังเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำย่าน


ใกล้ๆกับหอนาฬิกาจะมีร้านขายพุดดิ้งที่ชื่อว่า Akita Purin‑tei ซึ่งเป็นร้านดังประจำเมือง ใครมาเมืองนี้แนะนำให้ไปลองกันครับ อร่อยสมคำร่ำลือ


นอกจากนี้ ในเมืองคาคุโนะดาเตะ ยังมีร้านอาหารอร่อยๆอีกหลายร้าน แต่ร้านที่ผมไปกินเป็นร้านดังที่ชื่อว่า Sakura no sato ซึ่งเดินจากหอนาฬิกาไปไม่ไกล โดยเมนูดังของร้านนี้ก็คือ โอยาโกะด้ง (Oyako-don) หรือข้าวหน้าไก่กับไข่ ซึ่งไก่ที่นำมาใช้ปรุงอาหารจะเป็น ไก่พันธุ์ฮินาอิ (Hinai Jidori) ซึ่งเป็นไก่พื้นเมืองของอาคิตะที่มีรสชาติอร่อยและเนื้อนุ่ม


 
อีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนี้ก็คือ รถลากแบบญี่ปุ่น ที่เรียกว่า jinrikisha ครับ โดยราคารถลากจะอยู่ที่ 2,000 ถึง 5,000 เยน ขึ้นอยู่กับเวลาและระยะทาง โดยระหว่างที่ลาก คนที่ลากจะมีการบอกเล่าเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของบ้านแต่ละหลังให้ฟังด้วย (เล่าภาษาญี่ปุ่นนะครับ ใครฟังออกไปลองนั่งดูนะ ส่วนผมไม่ได้นั่ง เพราะฟังไม่รู้เรื่อง)
 

บ้านซามูไรที่ดังที่สุดในย่านนี้ก็คือ บ้านอาโอะยากิ (Aoyagi Samurai Manor Museum) ซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวซามูไรในสมัยเอโดะ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดอาคิตะ (ที่นี่มีค่าเข้าชม 500 เยนครับ)
 

ภายในบ้าน Aoyagi มีการจัดแสดงอุปกรณ์ซามูไร เช่น ชุดเกราะ ดาบ และ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ของซามูไรในสมัยเอโดะ ให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสบรรยากาศและเข้าใจวิถีชีวิตของซามูไรในยุคนั้น

 





เมืองคาคุโนะดาเตะอยู่ในจังหวัดอากิตะครับ และสัตว์ขึ้นชื่อของจังหวัดนี้ก็คือ สุนัขสายพันธุ์อากิตะอินุ (Akita Inu) ทำให้ในเมืองนี้มีที่พักแบบโฮมสเตย์ที่ชื่อว่า Enishi Minpaku ซึ่งผู้เข้าพักใช้เวลาอย่างใกล้ชิดกับสุนัขพันธุ์อาคิตะอินุ สองตัวคือ ซูจัง และฟูจิโกะ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ส่วนรวม เช่น ห้องนั่งเล่นและห้องครัว โดยผู้เข้าพักสามารถสัมผัส เล่น หรือพาสุนัขไปเดินเล่นด้วยก็ได้


 
จริงๆแล้วที่เมืองนี้ยังมีน้องหมาอีกตัวที่ชื่อว่า บุเกะมารุ (Bukemaru) ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์อาคิตะอินุ ที่อาศัยอยู่บริเวณริมถนน Bukeyashiki โดยน้องถูกเลี้ยงตั้งแต่ปี 2014 และกลายเป็นมาสคอตประจำเมืองที่ได้รับความรักจากผู้คนมากมาย ถึงขนาดทำเป็นของที่ระลึก เช่น ตุ๊กตา น่าเสียดายว่า น้องได้กลับดาวหมาไปตั้งแต่ปี 2024 ซึ่งเป็นการจากไปตามอายุขัยของน้องครับ
 
 
 
ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa)

ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa) เป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีความลึกราว 423 เมตร ล้อมรอบด้วยภูเขาเตี้ย ๆ และป่าไม้เขียวชอุ่มในฤดูร้อน รวมถึงหิมะปกคลุมในฤดูหนาว ด้วยความลึกขนาดนั้น ทำให้ผิวน้ำของทะเลสาบไม่เคยแข็งตัว ไม่ว่าอากาศจะหนาวแค่ไหนก็ตาม

 

การเดินทางมายังทะเลสาบทาซาวะ จะต้องนั่งรถไฟมาลงที่ สถานีทาซาวะโกะ (Tazawako station) จากนั้นต้องนั่งรถเมล์ต่อไปครับ
 

สำหรับการเที่ยวรอบทะเลสาบ เราจะต้องเดินมาขึ้น รถเมล์สาย Lake Tazawako Circular Bus ที่ป้ายยรถเมล์หน้าสถานีรถไฟ
 

รถเมล์นี้จะวิ่งเป็นวงกลมรอบทะเลสาบครับ  ถ้าเรานั่งวนครบ 1 รอบ จะเสียทั้งสิ้น 1,210 เยน สามารถแตะจ่ายด้วยบัตรเครดิตหรือบัตร Travel card ที่มีสัญลักษณ์ paywave ได้เลย โดยตารางการเดินรถสามารถดูได้ที่นี่ครับ https://ugokotsu.co.jp/wp-content/jikoku/latest/tazawa2025.pdf

ผมขึ้นรถรอบ 13.25 น. พอนั่งไปซักพักก็จะมองเห็นทะเลสาบครับ
 
 
นั่งไปครึ่งชม. เราก็มาถึงที่ป้ายรถเมล์ Katajiri ซึ่งเค้าจะให้เวลาตรงนี้ 20 นาที เพื่อมาดู รูปปั้นของทัตสึโกะ (Tatsuko Statue) ซึ่งเป็นเรื่องราวในตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น

ตามตำนานกล่าวว่า มีหญิงสาวงดงามนางหนึ่งชื่อว่า ทัตสึโกะ (Tatsuko) ต้องการจะคงความงามของเธอไว้ตลอดกาล เธอจึงเดินทางไปสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้า เทพเจ้าจึงประทานพรให้เธอดื่มน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงดื่มน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่แล้วเธอกลับกลายร่างเป็นมังกรและดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบ จนกลายเป็นเทพผู้พิทักษ์ทะเลสาบแห่งนี้ นับตั้งแต่นั้นมา ผู้คนจึงเชื่อว่าทะเลสาบทาซาวะคือสถานที่สถิตของวิญญาณทะสึโกะ และมีพลังแห่งความงามและความอมตะสถิตอยู่ ภายหลังมีการสร้างรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของทะสึโกไว้ริมฝั่งทะเลสาบ เพื่อระลึกถึงตำนานนี้ และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของพื้นที่ ที่ผู้มาเยือนมักแวะเวียนมาขอพรเรื่องความรัก ความงาม และความโชคดี
 
 
ใกล้ๆกับรูปปั้นของทัตสึโกะจะมีศาลเจ้าขนาดเล็กที่ชื่อว่า ศาลเจ้าอุกิกิ (Ukiki Shrine) หรือชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ ศาลเจ้าคันซากุ (Kansagu Shrine) ซึ่งหมายถึง ศาลเจ้าต้นไม้ลอยน้ำ มาจากการที่ในอดีตเคยมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าเป็นจิตวิญญาณของทะเลสาบทาซาวะ ตั้งอยู่กลางทะเลสาบบริเวณนี้มาก่อน
 


 
ความโชคดีอย่างหนึ่งของทริปนี้คือ ซากุระครับ แม้ว่าซากุระตามพื้นราบแถบโมริโอกะ หรือแถวคาคุโนะดาเตะจะไม่เหลือแล้ว แต่เนื่องจากบริเวณทะเลสาบอยู่บนที่สูง อากาศเลยเย็น ซากุระเลยยังบานอยู่หลายจุดเลย

 



จากรูปปั้นทัตสึโกะ เรานั่งรถต่อมาที่จุดที่สองที่ป้ายรถเมล์ที่ชื่อว่า Gozanoishi ครับ ซึ่งคนขับให้เวลาเราที่นี่ 10 นาทีครับ

บริเวณนี้จะมี ศาลเจ้าโกซาโนะอิชิ (Gozanoishi shrine) ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งเหนือของทะเลสาบ ศาลเจ้านี้เป็นที่ประดิษฐานของทัตสึโกะ ที่ตอนนี้กลายเป็นเทพเรียกว่า ทัตสึโกะฮิเมะ และมีตาน้ำศักดิ์สิทธิ์ชื่อ Kagami‑ishi ซึ่งเชื่อว่าคือ บ่อน้ำที่ทำให้ทัตสึโกะกลายเป็นมังกร
 

ที่ใดมีศาลเจ้า ที่นั่นก็ต้องมี เสาโทริอิ ครับ สำหรับที่นี่มีเสาโทรอิที่หันหน้าเข้าสู่ทะเลสาบ เป็นภาพที่แปลกตา และสวยงาม
 

จากศาลเจ้า เราก็นั่งรถกลับไปที่สถานีรถไฟทาซาวาโกะ แล้วก็นั่งรถไฟกลับไปที่ตัวเมืองโมริโอกะ ทริป 1 วันที่เซ็มโบกุก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ

สำหรับภาพรวมเมืองเซ็มโบกุนั้น เชื่อว่าหลายคนคงไม่เคยได้ยินที่นี่มาก่อน แต่จริง ๆ แล้วเมืองนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และธรรมชาติที่งดงาม ที่นี่อาจจะมาไม่ง่าย ต้องนั่งรถไฟมาค่อนข้างไกล เหมาะสำหรับคนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นหลายๆรอบแล้วอยากมองหาสถานที่แปลกใหม่ ซึ่งที่นี่ถือว่าตอบโจทย์ นับเป็นอีกหนึ่ง unseen japan ที่น่าเที่ยวครับ

บล็อกนี้จะเป็นตอนสุดท้ายของซีรีส์โทโฮะกุเหนือนะครับ เพราะหลังจากนั้นผมก็นั่งรถบัสกลับไปที่โตเกียว ทริป 3 จังหวัด ได้แก่ อาโอโมริ อิวาเตะ และอากิตะ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ ถ้าใครมีคำถามอะไร สามารถหลังไมค์มาสอบถาม หรือคอมเม้นใต้บล็อกนี้ได้เลย ผมจะทยอยมาตอบครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2568    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2568 19:42:59 น.
Counter : 342 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

4 วัน 3 คืน อิวาเตะ จากเมืองใต้เงาขุนเขาสู่มรดกโลกแห่งดินแดนอีสานญี่ปุ่น (ตอนที่ 2: Hiraizumi)


สถานที่ท่องเที่ยว : วัดทักโคคุโนะ อิวายะ (Takkoku no Iwaya), Japan
พิกัด GPS : 38° 58' 8.90

ที่จังหวัดอิวาเตะ (Iwate Prefecture) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคโทโฮะกุของประเทศญี่ปุ่น มีเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่เคยเจริญถึงขีดสุดในฐานะ ศูนย์กลางพุทธศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น แม้จะมีช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์อันสั้นเพียงไม่กี่ทศวรรษ แต่เมืองนี้ก็ได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรม ศิลปะ และสถาปัตยกรรมเอาไว้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต ทำให้ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น มรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ เมื่อปี 2011 เมืองนั้นมีชื่อว่า ฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) แห่งจังหวัดอิวาเตะ ซึ่งในบล็อกนี้ ผมจะมารีวิวบอกเล่าการเดินทางที่เมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ครับ

จริงๆแล้วรีวิวนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ทริปโทโฮกุตอนเหนือ (North Tohoku) ในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งเราใช้เวลาในทริปนี้ทั้งหมด 7 วัน แต่บล็อกนี้จะเป็นการเที่ยวแบบ One day trip ที่เมืองฮิราอิซุมิแบบไปกลับจากเมืองโมริโอกะเท่านั้น โดยจะเป็นการรีวิวต่อเนื่องจากตอนที่แล้วครับ

วันที่สาม

ทริปนี้เราเริ่มต้นจาก เมืองโมริโอกะ (Morioka City) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดอิวาเตะ โดยนั่งรถไฟท้องถิ่นสาย Tohoku Lineไปลงที่ สถานีฮิราอิซุมิ (Hiraizumi station) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง โดยค่ารถไฟจะอยู่ที่ประมาณ 1,520 เยนครับ

สำหรับ เมืองฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) นั้น ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก เนื่องจากเคยเป็นศูนย์กลางการปกครองของ ตระกูลฟูจิวาระแห่งโอชู (Oshu Fujiwara) ซึ่งเมืองนี้ถูกสร้างให้เป็นเมืองพุทธในอุดมคติ โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก แนวคิดพุทธเกษตร (Pure Land Buddhism) ที่เป็นแนวคิดในศาสนาพุทธที่เชื่อว่าความสงบสุขทางจิตวิญญาณสามารถบรรลุได้บนโลกมนุษย์

อย่างไรก็ตาม ความรุ่งเรืองของเมืองนี้ได้สิ้นสุดลงในปี 1189 เมื่อ มินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะ (Minamoto no Yoritomo) ผู้ก่อตั้งรัฐบาลคามาคุระ ส่งกองทัพมาปราบตระกูลฟูจิวาระ เมืองจึงถูกเผาทำลายและเสื่อมความสำคัญลงในเวลาต่อมา

วัดที่สำคัญในเมืองนี้ ได้แก่ วัดชูซอนจิ (Chuson-ji Temple), วัดโมะสึจิ (Motsu-ji Temple) และ วัดทักโคคุ โนะ อิวายะ (Takkoku no Iwaya Bishamon-do) ซึ่งวัดทั้งหมดนี้สามารถเที่ยวได้ด้วยการเช่าจักรยานแม่บ้านจากร้านเช่าจักรยานหน้าสถานีรถไฟ (จักรยานแม่บ้าน ราคา 1,300 เยนต่อวันครับ)

เนื่องจากช่วงที่ไปคือ ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เมืองนี้จะมีเทศกาลที่ชื่อว่า เทศกาลฮิระอิซุมิ ฟูจิวาระ  (Hiraizumi Fujiwara Matsuri) ซึ่งปกติแล้วจะจัดระหว่างวันที่ 1–5 พฤษภาคมของทุกปี 



เทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึง ตระกูลฟูจิวาระแห่งโอชู โดยกิจกรรมหลักคือ ขบวนแห่ที่จำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า ขบวนแห่โยชิซึเนะ ซึ่งจำลองเหตุการณ์เมื่อ มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ (Minamoto no Yoshitsune) คนที่อยู่ในรูปด้านล่าง หนีภัยการเมืองจากพี่ชาย มาอาศัยที่ฮิระอิซุมิกับตระกูลฟูจิวาระ

มาดูวัดในเมืองนี้กันบ้างครับ จากสถานีรถไฟเมืองฮิราอิซุมิ เราปั่นจักรยานมาไม่ถึง 5 นาทีก็จะมาถึงที่ วัดโมะสึจิ (Motsu-ji Temple)

วัดนี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 9 โดย พระจิกาคุ ไดชิ (Jikaku Daishi) ในช่วงศตวรรษที่ 9 ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 12 วัดได้รับการฟื้นฟูและขยายโดยฟูจิวาระ โนะ โมโตะฮิระ (Fujiwara no Motohira) ผู้เป็นลูกชายของผู้ก่อตั้งเมืองฮิระอิซุมิ ในช่วงดังกล่าววัดนี้มีพระสงฆ์จำพรรษาหลายพันรูป อย่างไรก็ตาม อาคารหลักส่วนใหญ่ถูกไฟไหม้ในช่วงศตวรรษที่ 13 และไม่เคยสร้างใหม่หมดแบบเดิมอีก

ความโดดเด่นของวัดนี้ก็คือ สวนโจโด (Jodo Teien) ซึ่งเป็นสวนที่สะท้อนแนวคิดพุทธเกษตร โดยมี บ่อน้ำใหญ่โออิซุมิ (Oizumi-ga-ike) อยู่ใจกลางลานสวน และรอบบ่อมีเกาะเล็ก หินประดับ โขดหินจำลองภูเขา แม่น้ำ และสายน้ำที่สื่อถึงแม่น้ำในสวรรค์



ปั่นจักรยานมาออกนอกเมืองมาพอสมควรให้พอได้เหงื่อ (ประมาณ 5 กิโลเมตร) เราก็มาต่อที่ วัดทักโคคุโนะ อิวายะ (Takkoku no Iwaya Bishamon-do) ซึ่งก่อตั้งในปี ค.ศ. 801 (สมัยเฮอัน) โดยแม่ทัพชื่อดังที่ชื่อว่า ซะกะโนะอุเอะ โนะ ทะมุระมะโระ (Sakanoue no Tamuramaro) คนในรูป เพื่อบูชา เทพเจ้าบิชามอนเต็น (Bishamonten) เทพเจ้าแห่งสงคราม เนื่องจากเขาได้รับชัยชนะเหนือชนเผ่าเอะมิชิ (Emishi) 

สิ่งที่โดดเด่นของวัดนี้ก็คือ อาคารไม้แนบผาหิน ที่เรียกว่า อิวายะโด (Iwayado)



นอกจากนี้ วัดนี้ยังมี พระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผาหิน ที่ชื่อว่า อิวายะ มากาอิบุตสึ (Iwaya Magaibutsu) อีกด้วย

แม้ว่าวัดนี้ไม่ได้อยู่ในกลุ่มวัดมรดกโลกเหมือนชูซอนจิหรือโมะสึจิ แต่ก็ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองฮิราอิซุมิให้ความเคารพ เนื่องจากมีบรรยากาศขลังและลึกลับ เหมาะสำหรับคนที่ชอบสถานที่เงียบ ๆ และมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้ง

จากวัดทักโคคุโนะ อิวายะ เราก็ปั่นจักรยานกลับเข้าตัวเมืองไปที่วัดสุดท้าย นั่นก็คือ วัดชูซอนจิ (Chusonji Temple)

วัดนี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 850 โดย พระจิกาคุ ไดชิ (Jikaku Daishi) แต่การก่อสร้างหลักและขยายวัดมีขึ้นโดยตระกูลฟุจิวาระ เช่นเดียวกับวัดโมะสึจิ ครับ

ส่วนที่เป็นไฮไลท์หลักของวัดนี้คือ วิหารทองคำ (Golden Hall) ที่เรียกว่า คนจิไคโด (Konjikaido) ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1124 นับเป็นอาคารไม้หลังเดียวซึ่งบุด้วยทองคำแทบทั้งหลัง ทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่ผนัง เพดาน เสา ไปจนถึงแท่นประดิษฐานพระพุทธรูป และยังอยู่ในสภาพเดิมมาเกือบพันปีแล้ว

แท่นบูชาพระพุทธรูปทำจากทองคำครับ จริงๆด้านในห้ามถ่ายรูป ผมเลยไปหารูปจากอินเตอร์เน็ตมาให้ดูกัน

ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาและวัตถุโบราณของวัด สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในพิพิธภัณฑ์นี้คือ พระพุทธรูปจากยุคเฮอัน ซึ่งเป็นพระพุทธรูป 3 องค์ ตามคติความเชื่อของศาสนาพุทธแบบมหายาน ได้แก่ พระศากยมุนีพุทธเจ้า (Shaka Nyorai) พระอมิตาภะพุทธเจ้า (Amida Nyorai) และ พระไภษัชยไวฑูรยประภาพุทธเจ้า (Yakushi Nyorai)

ในประวัติศาสตร์แล้ว คนญี่ปุ่นในอดีตนับถือศาสนาพุทธแบบผสมผสานกับชินโต ก่อนที่จะถูกบังคับให้แยกออกมาในช่วงยุคปฏิรูปเมจิ ดังนั้นภายในวัดนี้จึงยังมี ศาลเจ้าฮาคุซัง (Hakusan shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าชินโตสำหรับบูชาเทพเจ้าฮาคุซัง เทพเจ้าแห่งขุนเขาของญี่ปุ่น



วัดนี้เป็นวัดใหญ่ครับ มีพวกอาคารมากมายหลายแห่ง ที่อาจจะไม่ได้สำคัญมากมาย แต่ก็เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ที่นี่ในอดีตเจริญรุ่งเรืองเพียงใด



จบไปแล้วนะครับ สำหรับทริป 1 วันเที่ยว 3 วัดของเมืองฮิราอิซุมิ ผมขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับค่าเข้าชมของแต่ละวัดเพิ่มเติม ดังนี้นะครับ 

  • วัดโมะสึจิ (Motsuji Temple)  500 เยน
  • วัดทักโคคุโนะ อิวายะ (Takkoku no Iwaya Bishamon-do)  300 เยน
  • ว้ดชูซอนจิ (Chusonji Temple) เฉพาะส่วนวิหารทองคำ และพิพิธภัณฑ์ 1000 เยน

หลังจากเที่ยววัดของเมืองฮิราอิซุมิครบ 3 วัด ผมก็นั่งรถไฟกลับไปนอนค้างที่ต้วเมืองโมริโอกะอีก 1 คืน ทริปในวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ครับ

วันที่สี่

จริงๆวันนี้เรายังมีเวลาทั้งวัน ก่อนกลับโตเกียวในช่วงเย็น ผมเลยนั่งรถไฟไปเที่ยวอีกจังหวัดหนึ่ง นั่นก็คือ อาคิตะ (Akita Prefecture) ซึ่งทริปที่อาคิตะ ผมจะมารีวิวในตอนต่อไป ฝากติดตามต่อด้วยนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2568    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2568 19:40:48 น.
Counter : 177 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

4 วัน 3 คืน อิวาเตะ จากเมืองใต้เงาขุนเขาสู่มรดกโลกแห่งดินแดนอีสานญี่ปุ่น (ตอนที่ 1: Morioka City)


สถานที่ท่องเที่ยว : ฟาร์มโคอิวาอิ (Koiwai Farm), จังหวัดอิวาเตะ (Iwate Prefecture), Japan
พิกัด GPS : 39° 45' 4.12" N 141° 1' 3.44" E

ที่ภาคอีสานของประเทศญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า ภูมิภาคโทโฮะกุ (Tohoku) ยังมีอีกหลายเมืองที่ผู้คนส่วนใหญ่มักมองข้าม แม้ว่าเมืองเหล่านี้อาจไม่ได้มีชื่อเสียงเท่ากับโตเกียว เกียวโต หรือโอซาก้า แต่กลับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แบบเรียบง่าย มีประวัติศาสตร์ และมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง รีวิวนี้ผมเลยจะมารีวิว 2 เมืองที่อยู่ใน จังหวัดอิวาเตะ (Iwate Prefecture) นั่นก็คือ เมืองโมริโอกะ (Morioka City) และ เมืองฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) ครับ

จริงๆแล้ว รีวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ทริปโทโฮะกุเหนือ (Northern Tohoku) โดยก่อนหน้านี้ ผมได้เคยรีวิวที่ เมืองฮิโรซากิ (Hirosaki), อาโอโมริ (Aomori City) และฮาชิโนะเฮะ (Hachinohe) ซึ่งอยู่ในจังหวัดอาโอโมริไปแล้ว สามารถย้อนอ่านดูได้ โดยทริปนี้เป็นการเดินทางตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ปี 2568 ครับ

รู้จักกับจังหวัดอิวาเตะ (Iwate Prefecture)

จังหวัดอิวาเตะ (Iwate Prefecture) ตั้งอยู่ใน ภูมิภาคโทโฮะกุ (Tohoku) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่นรองจากจังหวัดฮอกไกโด และมีชายฝั่งติดมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันออก


ศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดนี้คือ โมริโอกะ (Morioka) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของจังหวัด บริเวณราบระหว่าง แม่น้ำคิตะคามิ (Kitakami River) และ ภูเขาอิวาเตะ (Mt. Iwate) ซึ่งเป็นภูเขาไฟสูงที่สุดในโทโฮะกุ (2,038 เมตร)

ส่วนในด้านประวัติศาสตร์ อิวาเตะเคยเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของชนเผ่าเอมิชิ (Emishi) ซึ่งมีวัฒนธรรมแตกต่างจากชนเผ่ายามาโตะที่ปกครองจากทางตอนกลางของญี่ปุ่น ต่อมาในช่วงยุคเฮอัน เมืองฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) ได้รับการพัฒนาโดยตระกูลฟูจิวาระ (Northern Fujiwara) ให้เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรม จนกลายเป็นเมืองสำคัญรองจากเกียวโตในสมัยนั้น ปัจจุบัน วัดหลายยแห่งในเมืองฮิราอิซุมิได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลก ได้แก่ วัดชูซอนจิ (Chuson-ji) และ วัดโมสึจิ (Motsu-ji) ซึ่งสะท้อนแนวคิดพุทธศาสนาแบบ ดินแดนสุขาวดี (Pure Land Buddhism)
 


การเดินทางเข้าสู่จังหวัดอิวาเตะ

สามารถทำได้อย่างสะดวกจากเมืองหลักในญี่ปุ่น ไม่ว่าจากโตเกียว เซนได และอาโอโมริ ผ่านระบบรถไฟความเร็วสูงสาย Tohoku Shinkansen มาลงที่ สถานี Morioka จากนั้นก็สามารถนั่งรถไฟท้องถิ่นหรือรถเมล์ไปยังเมืองต่างๆของจังหวัด

เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น การเดินทางด้วยรถไฟถ้าอยากประหยัดต้องวางแผนใช้พาสครับ โดยพาสที่สามารถใช้เดินทางมายังเมืองนี้ได้ ได้แก่

  • JR East Pass: Tohoku Area สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อิวาเตะ ปัจจุบันพาสนี้มี 2 แบบคือ แบบใช้ 5 วันติดต่อกัน (30,000 เยน) และแบบใช้ 10 วันติดต่อกัน (48,000 เยน) ครับ
  • JR East-South Hokkaido Rail Pass สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อิวาเตะ แล้วใช้ต่อไปถึงเมืองซัปโปโร (Sapporo) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโดได้ครับ แต่ระยะเวลาใช้ได้แค่ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 35,370 เยน
  • JR Tohoku-South Hokkaido Rail Pass พาสนี้ใช้ได้แค่จากเซนได (Sendai) ผ่านอิวาเตะ แล้วไปถึงที่เมืองซัปโปโร พาสนี้ก็ใช้ได้ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 30,640 เยนครับ
นอกจากนี้ หากใครต้องการประหยัดงบประมาณ การเดินทางโดยรถบัสจากโตเกียวไปอิวาเตะก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก โดยรถบัสจากสถานีรถบัสที่ Shinjuku หรือ Tokyo Station ไปยังอาโอโมริจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 7-9 ชั่วโมง แต่ค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าการเดินทางด้วยชินคันเซ็น
วิธีสุดท้ายคือ เครื่องบินครับ อิวาเตะมีสนามบินที่ชื่อว่า สนามบินฮานามากิ (Iwate Hanamaki Airport) ซึ่งมีเที่ยวบินภายในประเทศจากซัปโปโร (New Chitose), นาโกย่า (Komaki), โอซาก้า (Itami), โกเบ และฟุกุโอกะ นอกจากนี้ยังมีเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งจากไต้หวัน (Taoyuan) และเซี่ยงไฮ้ (Pudong)

 การเดินทางภายในจังหวัดอิวาเตะ

จังหวัดอิวาเตะมีเครือข่ายรถไฟที่เชื่อมต่อเมืองหลักและเมืองรองหลายแห่ง โดยรถไฟส่วนใหญ่ดำเนินการโดย บริษัท JR East (East Japan Railway Company) นอกจากนี้ยังมีรถเมล์ให้บริการทั้งภายในเมืองและระหว่างเมือง ซึ่งรถเมล์เหล่านี้จะมาตามตารางเวลา เช่นเดียวกับเมืองส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นครับ

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางต่อจากเมืองฮาจิโนะเฮะมายังเมืองโมริโอกะด้วยรถไฟความเร็วสูงสาย Tohoku Shinkansen
  • เช็คอินเข้าที่พัก (Hotel Route Inn Morioka Ekimae)
วันที่สอง
  • เช้า: เที่ยวฟาร์มโคอิวาอิ (Koiwai Farm)
  • บ่าย: เดินเที่ยวภายในเมืองโมริโอกะ ได้แก่ วัดฮุนจิ (Hoonji Temple), ซากปราสาทโมริโอกะ(Morioka Castle), ศาลเจ้าซากุระยามะ (Sakurayama Shrine) และทางเดินริมฝั่งแม่น้ำคิตะคามิ (Kitakami River)
วันที่สาม
  • เที่ยวเมืองฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) แบบไปเช้าเย็นกลับจากโมริโอกะ ได้แก่ วัดชูซอนจิ (Chuson-ji) วัดโมสึจิ (Motsu-ji) และ วัดทักโคคุโนะอิวายะ (Takkoku-no‑Iwaya)
วันที่สี่
  • ออกเดินทางต่อไปยังเมืองเซ็มโบคุ (Semboku) ในจังหวัดอากิตะ
ที่พัก

ทริปนี้ทั้งทริปผมพักที่โรงแรมในเครือ Route Inn ทั้งหมดเลยครับ สำหรับทริปที่จังหวัดอิวาเตะ ผมเลือกพักที่ Hotel Route Inn Morioka Ekimae ซี่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟโมริโอกะ เมืองเอกของจังหวัดนี้

ข้อดีของโรงแรมในเครือนี้คือ มักจะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ สะอาดตามมาตรฐานญี่ปุ่น และมักจะมีออนเซ็นให้ ส่วนราคาอยู่ในระดับกลางๆค่อนไปในทางถูก และค่าห้องรวมอาหารเช้าไว้แล้ว (โรงแรมญี่ปุ่นมักจะไม่ค่อยรวมอาหารเช้าให้ ถ้าอยากทานต้องจ่ายเพิ่ม) แต่ข้อเสียสำคัญคือห้องแคบครับ เหมาะสำหรับคนที่จะใช้ห้องสำหรับนอนตอนกลางคืนอย่างเดียว


ผมนอนที่โรงแรมนี้ทั้งสิ้น 3 คืน โดยจองโรงแรมนี้ผ่าน Booking.com ได้ในราคารวมทั้งหมด 5,930 บาทต่อคนรวมอาหารเช้าครับ

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้เราเริ่มต้นจากเมืองฮาชิโนะเฮะ (Hachinohe) ด้วยการนั่งรถไฟความเร็วสูงสาย Tohoku Shinkansen มาที่เมืองโมริโอกะ (Morioka City) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดอิวาเตะครับ

 

ความประทับใจแรกของเมืองนี้คือ มีป้ายต้อนรับเป็นภาษาไทยด้วย
 
 
เนื่องจากเรามาถึงที่เมืองนี้ตอนเย็น เราเลยเก็บของเข้าที่พัก แล้วพักผ่อนเอาแรงก่อนไปเที่ยวที่เมืองนี้ในวันถัดมาครับ

วันที่สอง

สำหรับแผนเที่ยวในวันนี้ ในช่วงเช้าเรามีแผนจะออกไปเที่ยวฟาร์มวัวที่ตั้งอยู่นอกเมือง ที่ชื่อว่า  ฟาร์มโคอิวาอิ (Koiwai Farm) ส่วนในช่วงบ่ายจะกลับมาเที่ยวในตัวเมืองโมริโอกะครับ

สำหรับการเดินทางไปยังฟาร์มโคอิวาอิ เราจะต้องนั่ง รถเมล์สาย Koiwai Farm Liner จากป้ายรถเมล์หมายเลข 10 จากหน้าสถานีรถไฟโมริโอกะ โดยรถเมล์จะมีทุกวัน 3 รอบคือ 9.05, 10.50 และ 12.45 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ค่ารถเมล์ 730 เยน (ถ้าใครจะไป แนะนำให้เช็คเวลากับ Tourist Information Center หน้าสถานีรถไฟอีกรอบนะครับ เพราะข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้)
 

ฟาร์มโคอิวาอิ (Koiwai Farm) เป็นฟาร์มเกษตรกรรมขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงภูเขาอิวาเตะ ใกล้กับเมืองโมริโอกะ โดยก่อตั้งขึ้นในปี 1891 โดยกลุ่มนักอุตสาหกรรมชั้นนำของญี่ปุ่นในยุคนั้น รวมถึงหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Mitsubishi ด้วย

 
ที่นี่มีค่าเข้าชม 800 เยนครับ โดยเราสามารถเข้าได้ 2 ส่วนคือ Makiba-en และ Koiwai Historical Village
 

มาดูกันที่ส่วนแรกคือ Makiba-en ส่วนนี้เป็นพื้นที่หลักของการท่องเที่ยวที่เปิดตลอดปี และมีกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น ชมวัว แกะ ม้า, ขี่ม้า, เข้าร่วมเวิร์กช็อปทำเนย ชีส หรือขนม รวมไปถึงร้านอาหารและร้านขายของฝาก
 
 
 
 

อีกส่วนหนึ่งคือ Koiwai Historical Village ซึ่งเป็นเขตอาคารประวัติศาสตร์หลายหลังที่สร้างตั้งแต่ยุคเมจิถึงโชวะ เช่น โรงเก็บหญ้า, บ้านพักคนงาน, อาคารเก็บนม
 



ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงที่ซากุระกำลังเบ่งบานพอดี ที่นี่เลยสวยยิ่งขึ้น

ในเมื่อมาดูวัวแล้วก็ต้องกินเนื้อวัว เซตนี้เป็นเซตเนื้อย่าง ที่เรียกว่า Koiwai Beef ราคาอยู่ที่ 2,200 เยน

กลับมาเที่ยวต่อในตัวเมืองครับ ที่แรกที่เราไปก็คือ วัดฮุนจิ (Hoon-ji Temple) ซึ่งจะใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟโมริโอกะไปประมาณ 15 นาที

วัดนี้เป็นวัดประจำเมืองโมริโอกะ ก่อตั้งในปี 1394 โดยเป็นวัดในนิกายเซน มีค่าเข้าชมวัด 300 เยน

สิ่งที่โดดเด่นสุดคือ รูปปั้นอรหันต์ (Rakan) จำนวน 500 องค์ (ปัจจุบันหลงเหลือ 499 องค์) ซึ่งแกะจากไม้ด้วยเทคนิค yoseki-zukuri โดยช่างจากเกียวโต รูปปั้นแต่ละองค์มีบุคลิกและสีหน้าที่หลากหลาย บางองค์ดูเหมือนหลับ บางองค์กำลังคุยกัน หรือบางองค์ดูว่างเปล่า

นอกจากรูปปั้นพระอรหันต์แล้ว วัดนี้ยังมีความสงบ ใกล้ธรรมชาติ เหมาะกับการเดินชมและทำสมาธิ

เดินจากวัดมาประมาณ 10 นาที จะเจอกับ อิชิวาริซากุระ (Ishiwarizakura) ซึ่งเป็นต้นซากุระที่งอกออกมาจากก้อนหิน ตั้งอยู่หน้าอาคารศาลเมืองโมริโอกะ โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพยากรธรรมชาติแห่งชาติ มาตั้งแต่ปี 1923 ต้นซากุระนี้ปกติจะบานตั้งแต่กลางเดือนเมษายนครับ ผมไปไม่ทัน โรยหมดซะก่อน

ถัดมาก็คือ อาคารอิฐแดงของธนาคารอิวาเตะ (Iwate Bank Red Brick Building) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1906 โดยฝีมือการออกแบบของ Tatsuno Kingo ผู้ที่สร้างสถานีรถไฟโตเกียว (Tokyo station) ปัจจุบันออาคารนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมสำคัญของชาติ มาตั้งแต่ปี 1994

ใกล้ๆกับอาคารนี้คือ ซากปราสาทโมริโอกะ (Morioka Castle Ruin) ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสวนสาธารณะประจำเมืองโมริโอกะที่ออกแบบโดย Yasuhei Nagaoka ให้เป็นสวนสาธารณะสีเขียวใจกลางเมือง พร้อมสระน้ำและเส้นทางเดิน



ปราสาทโมริโอกะ (Morioka Castle) ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1597–1633 โดย ตระกูลนันบุ (Nanbu Clan) ซึ่งปกครองแคว้นโมริโอกะยุคเอโดะ ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ถูกทำลายลงไปตั้งแต่ยุคปฏิรูปเมจิ แต่กำแพงหินแกรนิตสูงกว่า 20 เมตร ยังคงคงสภาพดี



ด้านหลังปราสาทจะมีศาลเจ้าที่ชื่อว่า ศาลเจ้าซากุระยามะ (Sakurayama Shrine) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1749 โดยนันบุ โทชิมิ (Nakbu Toshimi) เพื่ออุทิศแด่เจ้าแคว้นที่เคยปกครองปราสาทโมริโอกะ

ศาลเจ้านี้จะมีหินศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่า เอโบชิอิวะ (Eboshi‑iwa) ซึ่งเป็นหินสูงประมาณ 6–7 เมตร ที่เหลือจากการสร้างปราสาท ได้รับการเคารพบูชาในฐานะ หินพิทักษ์ เพราะเชื่อว่าช่วยนำสุขภาพและโชคลาภมา        

เมืองโมริโอกะยังเป็นเมืองที่มีแม่น้ำไหลผ่านถึง 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำคิตะคามิ (Kitakami River), แม่น้ำนากัตสึ (Nakatsu River) และ แม่น้ำชิซึกุอิชิ (Shizukuishi River) เมืองนี้เลยมีทางเดินริมฝั่งแม่น้ำหลายที่ ซึ่งบรรยากาศโดยเฉพาะตอนเย็นจะเหมาะแก่การเดินเล่น ชมวิถีชีวิตของชาวเมืองริมฝั่งแม่น้ำ

จุดที่เป็นภาพจำของเมืองโมริโอกะก็คือ ทางเดินริมฝั่งแม่น้ำคิตะคามิ ซึ่งด้านหลังจะเป็นวิวภูเขาอิวาเตะที่สวยงามโดยเฉพาะช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน

ปิดท้ายบล็อกนี้ด้วยภาพนี้แล้วกันครับ เป็นการจบวันของทริป 1 วันที่ฟาร์มโคอิวาอิ และเมืองโมริโอกะอย่างประทับใจ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2568    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2568 19:38:03 น.
Counter : 167 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

2 วัน 1 คืน ฮาชิโนะเฮะ (Hachinohe) เที่ยวลัดเลาะเลียบชายฝั่งทะเลอีสานญี่ปุ่น


สถานที่ท่องเที่ยว : ศาลเจ้าคาบุชิมะ (Kabushima Shrine), Japan
พิกัด GPS : 40° 32' 19.55" N 141° 33' 26.75" E

รีวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของทริปโทโฮะกุตอนเหนือเป็นเวลา 7 วัน 6 คืนครับ หลังจากในตอนที่ผ่านมา ผมได้เล่าถึง เมืองฮิโรซากิ (Hirosaki) และ เมืองอาโอโมริ (Aomori City) ไปแล้ว สำหรับตอนนี้ เราออกเดินทางจากตัวเมืองอาโอโมริลัดเลาะเลียบชายฝั่งทะเล เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป นั่นก็คือ เมืองที่มีชื่อว่า ฮาชิโนะเฮะ (Hachinohe) โดยผมได้ใช้เวลาอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลา 2 วัน 1 คืนครับ

รู้จักกับเมืองฮาชิโนะเฮะ (Hachinohe)

ฮาชิโนะเฮะ (Hachinohe) เป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดอาโอโมริในภูมิภาคโทโฮะกุ โดยติดอยู่กับจังหวัดอิวาเตะครับ โดยที่นี่ขึ้นชื่อในด้านการเป็นแหล่งประมง ทำให้มีพวกอาหารซีฟู้ดอยู่ค่อนข้างเยอะ

 

สำหรับในด้านประวัติศาสตร์นั้น ที่นี่เคยเป็นหนึ่งในพื้นที่วัฒนธรรมโจมง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 17–19 เมืองนี้อยู่ภายใต้การปกครองของ ตระกูลนาเนะบุ (Nanbu Clan) ซึ่งเป็นไดเมียวของแคว้นโมริโอกะที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดอิวาเตะ และต่อมาได้แยกตั้งเป็น แคว้นฮาจิโนะเฮะ (Hachinohe Domain) โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ปราสาทฮาจิโนะเฮะ แต่ปัจจุบันตัวปราสาทจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว และพื้นที่นั้นได้กลายเป็นสวนสาธารณะมิยางิ (Miyagi Park) ไปแทน

ต่อมาในยุคเมจิ เมืองนี้เริ่มพัฒนาเป็นท่าเรือประมงสำคัญ และในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคตะวันออกจังหวัดอาโอโมริอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันฮาจิโนะเฮะยังคงรักษาเสน่ห์ของเมืองท่าโบราณไว้ได้อย่างกลมกลืนกับความทันสมัย เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาทั้งในด้านวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของชาวท้องถิ่น

 

 
การเดินทางไปยังเมืองฮาชิโนะเฮะ

เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น ที่นี่มีรถไฟทั้งแบบธรรมดาและรถไฟความเร็วสูง (Shinkansen) ครับ สำหรับรถไฟธรรมดา ให้ตั้งต้นที่ สถานีอาโอโมริ (Aomori Station) โดยต้องขึ้นรถไฟสาย Aomori Railway ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถไฟ 2,320 เยน ส่วนรถไฟความเร็วสูงนั้นจะเรียกว่า Tohoku Shinkansen ถ้ามาจากในตัวเมืองอาโอโมริ เราต้องตั้งต้นจาก สถานีชินอาโอโมริ (Shin-Aomori Station) โดยจะใช้เวลาเดินทางเพียง 20-30 นาที ค่ารถไฟอยู่ที่ 3,920 เยน นอกจากนี้ ใครที่เดินทางมาจากเมืองอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโตเกียว (Tokyo), เซ็นได (Sendai) หรือโมริโอกะ (Morioka) ก็สามารถขึ้นรถไฟขบวนนี้ได้เช่นกันครับ
 

 
เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น การเดินทางด้วยรถไฟถ้าอยากประหยัดต้องวางแผนใช้พาสครับ โดยพาสที่สามารถใช้เดินทางมายังเมืองนี้ได้ ก็ได้แก่
  • JR East Pass: Tohoku Area สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อาโอโมริ ปัจจุบันพาสนี้มี 2 แบบคือ แบบใช้ 5 วันติดต่อกัน (30,000 เยน) และแบบใช้ 10 วันติดต่อกัน (48,000 เยน) 
  • JR East-South Hokkaido Rail Pass สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อาโอโมริ แล้วใช้ต่อไปถึงเมืองซัปโปโร (Sapporo) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโดได้ครับ แต่ระยะเวลาใช้ได้แค่ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 35,370 เยน
  • JR Tohoku-South Hokkaido Rail Pass พาสนี้ใช้ได้แค่จากเซนได (Sendai) ผ่านอาโอโมริ แล้วไปถึงที่เมืองซัปโปโร พาสนี้ก็ใช้ได้ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 30,640 เยนครับ
นอกจากรถไฟแล้ว ที่นี่ยังมีสนามบินที่ชื่อว่า  สนามบินมิซาวะ (Misawa Airport) ซึ่งห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 30–50 นาทีโดยรถบัสหรือแท็กซี่ โดยมีเที่ยวบินของ Japan Airline จากสนามบินฮาเนดะ (Haneda International Airport) ในกรุงโตเกียว (Haneda) มาลงที่สนามบินนี้ทุกวันครับ

อีกวิธีคือ รถบัสจากทั้งกรุงโตเกียว เซ็นได โมริโอกะ และอาโอโมริ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้เวลานานที่สุด แต่ก็ราคาถูกที่สุด ใครสนใจลองหาข้อมูลดูนะครับ
 
การเดินทางภายในเมืองฮาชิโนะเฮะ

ญี่ปุ่นถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการคมนาคมขนส่งที่ดีที่สุดในโลก แม้กระทั่งเมืองที่อยู่ห่างไกลอย่างฮาชิโนะเฮะ ก็มีรถไฟขบวนท้องถิ่นสาย Hachiohe Line เที่ยวลัดเลาะตามแนวชายฝั่งไปได้ถึงจังหวัดอิวาเตะได้เลยครับ

สิ่งที่ควรรู้อย่างหนึ่งก็คือ สถานีรถไฟฮาชิโนะเฮะ (Hachinohe Station) อยู่ห่างจากย่านการค้าใจกลางเมืองพอสมควรครับ ถ้าใครต้องการไปย่านการค้า ย่านกินดื่ม และย่านธุรกิจ ต้องนั่งรถไฟสาย Hachinohe Line ไปลงที่ สถานีฮนฮาชิโนะเฮะ (Hon-Hachinohe Staion) อีกทีครับ (ทริปนี้ผมก็พักที่สถานีนี้)


สำหรับรถไฟขบวนท้องถิ่นสาย Hachiohe Line แนะนำให้เช็คตารางรถไฟทาง google map หรือ Japan transit planner ก่อนนะครับ เพราะรถไฟมีไม่ถี่ นานๆมาที ถ้าพลาดทีอาจจะต้องรอรถไฟขบวนใหม่นานเลย
 
แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางจากเมืองอาโอโมริมายังเมืองฮาจิโนเฮะด้วยรถไฟสาย Aomori Railway
  • เดินทางต่อไปยังสถานี Hon-Hachinohe
  • เช็คอินเข้าที่พัก (Hotel Route Inn Hon-Hachinohe Ekimae)
  • เดินเที่ยวย่านกลางคืน Hachinohe Yatai Village: Mirokuyokocho
วันที่สอง
  • เที่ยวท่าเรือทาเทฮานะ (Tatehana Wharf) / ศาลเจ้าคาบูชิมะ (Kabushima Shrine)
  • ออกเดินทางต่อไปยังเมืองโมริโอกะ

ที่พักในเมืองฮาจิโนะโฮะ

ทริปนี้ทั้งทริปผมพักที่โรงแรมในเครือ Route Inn ทั้งหมดเลยครับ อย่างที่ฮาจิโนะเฮะ ผมเลือกพักที่ Hotel Route Inn Hon-Hachinohe Ekimae ข้อดีของโรงแรมในเครือนี้คือ มักจะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ (ที่นี่ก็ติดกับสถานีรถไฟ Hon-Hachinohe) สะอาดตามมาตรฐานญี่ปุ่น และมักจะมีออนเซ็นให้ ส่วนราคาอยู่ในระดับกลางๆค่อนไปในทางถูก และค่าห้องรวมอาหารเช้าไว้แล้ว (โรงแรมญี่ปุ่นมักจะไม่ค่อยรวมอาหารเช้าให้ ถ้าอยากทานต้องจ่ายเพิ่ม) แต่ข้อเสียสำคัญคือห้องแคบครับ เหมาะสำหรับคนที่จะใช้ห้องสำหรับนอนตอนกลางคืนอย่างเดียว

ผมจองโรงแรมนี้ผ่าน Trip.com  ได้ในราคาคืนละ 2,051 บาทต่อคนรวมอาหารเช้าครับ




วันที่หนึ่ง

ทริปนี้เราเริ่มต้นจากเมืองอาโอโมริครับ โดยเราได้นั่งรถไฟสาย Aomori Railway มาลงที่ สถานีฮาจิโนะเฮะ (Hachinohe station) ซึ่งด้านหน้าของสถานีจะมีรูปปั้นที่ชื่อว่า PraiseoftheSea” ออกแบบโดย Sawada Seiko เป็นรูปนางเงือกถือคลื่น สะท้อนความเป็นเมืองชายฝั่งของที่นี่

 

สถานีรถไฟฮาจิโนะเฮะตั้งอยู่นอกตัวเมืองครับ จากตรงนี้เราต้องนั่งรถไฟต่อไปที่ สถานีฮนฮาจิโนะเฮะ (Hon-Hachinohe station) ซึ่งเราจองโรงแรมไว้ที่นั่น

 
ข้อดีของการนอนที่สถานีนี้ก็คือ ที่นี่อยู่ใกล้กับย่านกินดื่มใจกลางเมือง โดยเฉพาะที่ ย่านมิโรคุ-โยโคโช (Miroku-Yokocho) ซึ่งเป็นย่านแผงลอย (Yatai) ที่จะขายในช่วงกลางคืนภายใต้บรรยากาศแบบย้อนยยุคแบบญี่ปุ่นยุคโชวะ
 


 
ย่านนี้ประกอบด้วยร้านแผงลอยขนาดเล็กประมาณ 26 ร้านเรียงรายอยู่ในตรอกแคบๆ แต่ละร้านมีที่นั่งเพียง 7–8 ที่ ทำให้ลูกค้าได้พูดคุยอย่างใกล้ชิดกับเจ้าของร้านและคนท้องถิ่นอย่างอบอุ่น เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ดั้งเดิมสไตล์ญี่ปุ่น
 





 
วันที่สอง

วันนี้เรามีแผนนั่งรถไฟเลียบชายทะเลสาย Hachinohe Line เพื่อไปยังศาลเจ้าริมทะเลที่ชื่อว่า ศาลเจ้าคาบุชิมะ (Kabushima shrine) ครับ แต่ก่อนที่เราจะไปถึงศาลเจ้า ผมก็อยากแวะไปเที่ยวตลาดเช้าของเมืองนี้ก่อน เราเลยมาลงที่ สถานีมุตสึมินาโตะ (Mutsu Minato Station)

 

จากสถานีเราเดินมาที่ ท่าเรือทาเทฮานะ (Tatehana Wharf) ซึ่งถ้ามาเที่ยวในวันอาทิตย์ที่นี่จะมีตลาดเช้าริมท่าเรือแบบนี้ครับ
 

 
ท่าเรือทาเทฮานะ (Tatehana Wharf) ถือเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุดของเมืองฮาจิโนะเฮะ โดยมีการจัด  ตลาดเช้าทาเทฮานะ (Tatehana Wharf Morning Market) โดยความร่วมมือของชาวเมือง ตั้งแต่ปี 2000 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างพื้นที่พบปะของผู้คน ปัจจุบัน ตลาดเช้าแห่งนี้ได้เติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในตลาดเช้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีร้านค้ามากกว่า 300 ร้าน และดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากทุกวันอาทิตย์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง (ยกเว้นช่วงฤดูหนาว)
 

เนื่องจากผมไปถึงเกือบ 9 โมง ตลาดเลยวายหมดแล้วครับ แต่ที่นี่ก็ยังเหมาะสำหรับมาเดินเล่นชิลล์ๆ เพื่อชมท่าเรือ และวิถีชีวิตของชาวประมงในแถบนี้
 



เรานั่งรถไฟต่อมาที่สถานีที่ชื่อว่า ซาเมะ (Same Station) ซึ่งพอออกมาด้านหน้าสถานี เราจะเจอกับปลาฉลามก่อนเลย เนื่องจากคำว่า ซาเมะในภาษาญี่ปุ่น แปลว่า ปลาฉลามนั่นเองครับ
 

ไฮไลท์ของสถานีนี้ก็คือ ศาลเจ้าคาบุชิมะ (Kabushima Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ริมทะเล (เดินจากสถานีไปประมาณ 10 นาทีครับ)

 


ศาลเจ้าคาบุชิมะเป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆที่ชื่อว่า เกาะคาบุชิมะ (Kabushima Island) ครับ โดยศาลเจ้านี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1269 เพื่อบูชาเทพเจ้าผู้คุ้มครองชาวประมงและการเดินเรือ โดยเฉพาะ เทพเบ็นไซเท็น เทพีแห่งน้ำ ความมั่งคั่ง และดนตรี
 

ความพิเศษของศาลเจ้านี้อีกอย่างก็คือ ที่นี่ได้รับการประกาศให้เป็น อนุสาวรีย์ธรรมชาติแห่งชาติ เพราะเป็นแหล่งทำรังขนาดใหญ่ของ นกนางนวลดำ หรือที่ภาษาญี่ปุ่น เรียกว่า อุมิเนะโกะ (Umineko) โดยจะมีนกนับหมื่นตัวมาทำรังระหว่างเดือนมีนาคมถึงสิงหาคมของทุกปี
 
 
 



บริเวณศาลเจ้านี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Michinoku Coastal Trail ซึ่งเป็นส้นทางเดินป่าริมทะเลที่ยาวและงดงามที่สุดเส้นหนึ่งของญี่ปุ่น โดยทอดยาวตลอดแนวชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของภูมิภาคโทโฮคุครอบคลุมตั้งแต่จังหวัดอาโอโมริไปจนถึงจังหวัดฟุกุชิมะ
 





ปิดท้ายทริปวันนี้ด้วยข้าวหน้าทะเล หรือไคเซ็นด้ง จาก ร้าน Kaisentei Tokai ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับศาลเจ้าคาบุชิมะครับ ใครมาแถวนี้แนะนำให้มากินเลย อาหารทะเลสดมาก คุณภาพดี และราคาไม่แรง (เมื่อเทียบกับคุณภาพ) ครับ
 

 
สำหรับภาพรวมของเมืองฮาชิโนะเฮะ แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่มาอ่านบล็อกนี้ไม่รู้จัก แต่ก็นับว่าเป็นอีกเมืองที่น่าเที่ยว สิ่งที่สัมผัสได้ที่นี่คือ บรรยากาศแบบคนท้องถิ่น ไม่มีความเร่งรีบแบบเมืองใหญ่ ผู้คนเป็นมิตร และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์และเรื่องราวที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นตลาดเช้าที่คึกคักในวันอาทิตย์ ศาลเจ้าเล็กๆ ริมทะเล หรือย่านกลางคืน ถ้าใครกำลังมองหาจุดหมายที่ท่องเที่ยวที่อันซีน เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย และได้สัมผัส "ญี่ปุ่นในแบบที่ยังคงความเป็นญี่ปุ่น" ฮาชิโนะเฮะก็น่าจะเป็นเมืองหนึ่งที่น่าไปเยือนครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2568    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2568 19:36:13 น.
Counter : 157 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

2 วัน 1 คืน อาโอโมริ เที่ยวเมืองท่าแห่งดินแดนอีสานญี่ปุ่น


สถานที่ท่องเที่ยว : แหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Site), Japan
พิกัด GPS : 40° 49' 46.10" N 140° 44' 7.88" E

สำหรับใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่น แต่เมื่อพูดถึงจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) เชื่อว่าส่วนใหญ่อาจจะยังไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย และน้อยคนที่จะมาเที่ยวที่นี่ สำหรับรีวิวในตอนนี้ ผมเลยจะรีวิวเมืองที่เป็นศูนย์กลาการปกครองของจังหวัด นั่นก็คือ เมืองอาโอโมริ (Aomori city) ครับ

จริงๆ แล้ว รีวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของทริปสำรวจภูมิภาคโทโฮกุตอนเหนือ (North Tohoku) ซึ่งผมเดินทางในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมได้แวะไปที่ เมืองฮิโรซากิ (Hirosaki) หนึ่งในเมืองสำคัญของจังหวัดอาโอโมริมาแล้ว (ใครยังไม่ได้อ่าน แนะนำให้ไปย้อนอ่านดูก่อนนะครับ) แต่ในบล็อกนี้ ผมจะพาทุกคนไปสัมผัสบรรยากาศของตัวเมืองกันบ้าง โดยผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งหมด 2 วัน 1 คืนครับ

รู้จักกับจังหวัดอาโอโมริ (Aomori)

จังหวัดอาโอโมริ ตั้งอยู่ใน ภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) ซึ่งเป็นภูมิภาคทางตอนเหนือของเกาะหลักของประเทศญี่ปุ่นนั่นก็คือ เกาะฮอนชู (Honshu Island) ครับ จริงๆแล้วโทโฮคุประกอบด้วย 6 จังหวัด ได้แก่ อาโอโมริ (Aomori), อาคิตะ (Akita), อิวาเตะ (Iwate), ยามากาตะ(Yamagata), มิยางิ (Miyagi) และฟุกุชิมะ (Fukushima)โดยภูมิภาคนี้มีชื่อเสียงเรื่องธรรมชาติอันสวยงาม อากาศบริสุทธิ์ ภูเขา ป่าไม้ และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังคงความดั้งเดิมไว้อย่างเข้มข้น

คำว่า อาโอโมริ  แปลตรงตัวได้ว่า ป่าที่เขียวขจี เนื่องจากที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และมีผืนป่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่ในขณะเดียวกัน เมืองอาโอโมริซึ่งเป็นเมืองหลักของจังหวัดก็มีความเป็นเมืองท่าที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ด้วยทำเลที่ติดทะเล ทำให้ที่นี่มีอาหารทะเลสดอร่อยเป็นจุดเด่น รวมถึงมีชื่อเสียงในเรื่องของแอปเปิ้ลคุณภาพดีระดับประเทศ และยังมีเทศกาลฤดูร้อนอย่าง Nebuta Matsuri ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วญี่ปุ่นและต่างประเทศ
 

 
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ จังหวัดอาโอโมริมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและน่าสนใจ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนใน วัฒนธรรมโจมง (Jomon Culture) และมีหลักฐานทางโบราณคดีที่โด่งดัง เช่น แหล่งโบราณสถานซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Site) ซึ่งเผยให้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนเมื่อกว่า 5,000 ปีก่อน
 

 
ต่อมาช่วงยุคเอโดะ บริเวณจังหวัดอาโอโมริในปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของแคว้นที่ปกครองโดย ตระกูลสึการุ (Tsugaru clan) ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองฮิโรซากิ ส่วนตัวเมืองอาโอโมรินั้นเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1626 โดยใช้เป็นจุดขนส่งทางเรือ และพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเมืองหลักของจังหวัดในปัจจุบัน
 

การเดินทางเข้าสู่เมืองอาโอโมริ
               
เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆ ของญี่ปุ่น จังหวัดอาโอโมริมีความสะดวกในการเดินทางด้วยระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ทั้งรถไฟ รถบัส และเครื่องบิน ทำให้การไปเยือนที่นี่ไม่ยากเกินไปแม้จะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ
               
สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟ ถ้าใครที่เดินทางมาจากโตเกียวสามารถนั่งรถไฟความเร็วสูงสาย Tohoku Shinkansen มาที่ สถานี Shin-Aomori ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง จากนั้นก็สามารถนั่งรถไฟท้องถิ่นไปยังเมืองต่างๆของจังหวัด รวมทั้งตัวเมืองหลวงของจังหวัดอย่าง เมืองอาโอโมริ (Aomori city) ได้อย่างสะดวก (นั่งต่อมาแค่ 1 สถานี) และก็เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น การเดินทางด้วยรถไฟถ้าอยากประหยัดต้องวางแผนใช้พาสครับ โดยพาสที่สามารถใช้เดินทางมายังเมืองนี้ได้ ได้แก่
  • JR East Pass: Tohoku Area สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อาโอโมริ ปัจจุบันพาสนี้มี 2 แบบคือ แบบใช้ 5 วันติดต่อกัน (30,000 เยน) และแบบใช้ 10 วันติดต่อกัน (48,000 เยน) ครับ
  • JR East-South Hokkaido Rail Pass สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อาโอโมริ แล้วใช้ต่อไปถึงเมืองซัปโปโร (Sapporo) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโดได้ครับ แต่ระยะเวลาใช้ได้แค่ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 35,370 เยน
  • JR Tohoku-South Hokkaido Rail Pass พาสนี้ใช้ได้แค่จากเซนได (Sendai) ผ่านอาโอโมริ แล้วไปถึงที่เมืองซัปโปโร พาสนี้ก็ใช้ได้ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 30,640 เยนครับ
นอกจากนี้ หากใครต้องการประหยัดงบประมาณ การเดินทางโดยรถบัสจากโตเกียวไปอาโอโมริก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก โดยรถบัสจากสถานีรถบัสที่ Shinjuku หรือ Tokyo Station ไปยังอาโอโมริจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 9-10 ชั่วโมง แต่ค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าการเดินทางด้วยชินคันเซ็นหรือเครื่องบิน

การเดินทางภายในเมืองอาโอโมริ

สำหรับที่เที่ยวใกล้กับสถานีรถไฟ เช่น บริเวณทางเดินริมอ่าวอาโอโมริ หรือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (Nebuta Warasse Museum) พวกนี้เราสามารถเดินเที่ยวได้จากสถานีรถไฟครับ แต่สำหรับบางที่เที่ยวที่อยู่ไกลออกไป เช่น วัดเซย์ริวจิ (Seiryuji Temple) หรือ แหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Site) จะต้องนั่งรถเมล์ ซึ่งเดี๋ยวจะอธิบายเกี่ยวกับการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆเหล่านี้ในส่วนต่อๆไปครับ

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางจากเมืองฮิโรซากิ มายังเมืองอาโอโมริ (Aomori City) ด้วยรถไฟสาย Ou Line
  • ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม (Hotel Route Inn Aomori Ekimae)
  • เช้า: เที่ยวพิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบิวตะ (Nebuta Warasse Museum)
  • เที่ยง: กินนกเกะด้ง (Nokke-Don) ที่ตลาดปลาฟุรุกาวะ (Furukawa Fish Market)
  • บ่าย: เที่ยววัดเซย์ริวจิ (Seiryuji Temple)
  • เย็น: เดินเล่นริมอ่าวอาโอโมริ 
วันที่สอง
  • เที่ยวแหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Site)
  • เดินทางต่อไปยังเมืองฮาจิโนะเฮะ (Hachinohe)

ที่พักในเมืองอาโอโมริ

ทริปนี้เราไปพักที่ Hotel Route Inn Aomori Ekimae ครับ โรงแรมนี้อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟอาโอโมริเลย โดยผมจองผ่าน booking.com ได้ในราคาคืนละ 1,800 บาทต่อคนรวมอาหารเช้าครับ


สำหรับสภาพโดยรวมของที่นี่ ก็ถือว่าดีงามตามมาตรฐานญี่ปุ่น สะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีออนเซ็นให้แช่ด้วย อาหารเช้าก็ถือว่าดีกว่าที่คิด เป็นบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น แต่ก็มีหลากหลายพอสมควร ถ้าใครเดินทางมาที่นี่ ผมแนะนำเลยครับ


วันที่หนึ่ง

ทริปนี้ผมเป็นทริปต่อเนื่องมาจากเมืองฮิโรซากิครับ ในช่วงเช้าเรานั่งรถไฟจากเมืองฮิโรซากิ มายังเมืองอาโอโมริ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ค่ารถไฟ 590 เยนครับ


เราฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน เนื่องจากว่ายังไม่ถึงเวลาเช็คอินจากนั้นก็เดินต่อไปที่บริเวณท่าเรืออาโอโมริ เพื่อไปเที่ยวที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (Nebuta Warasse Museum)
 

ที่นี่มีค่าเข้าชม 620 เยนครับ
 

 
เนบูตะ (Nebuta) เป็นเทศกาลพื้นบ้านในแถวภูมิภาคโทโฮะกุตอนเหนือ โดยจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ในจังหวัดอาโอโมริในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปีครับ

จริงๆแล้ว คำว่า เนบูตะ หมายถึง โคมไฟรูปทรงนักรบหรือเทพเจ้า ที่มีขนาดใหญ่และประดับประดาอย่างงดงามอลังการ โคมเหล่านี้ทำจากโครงลวดหุ้มด้วยกระดาษ แล้วระบายสีอย่างประณีต พร้อมติดไฟจากด้านใน โคมไฟเหล่านี้มักมีลวดลายเป็นภาพนักรบจากตำนานจีนหรือตำนานญี่ปุ่น เช่น ตัวละครจากเรื่องไซอิ๋ว หรือสามก๊ก รวมถึงเทพเจ้าและวิญญาณจากความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น เมื่อถึงเทศกาลจะมีการแห่ขบวนโคมไฟเหล่านี้ไปตามถนนในเมืองตอนกลางคืน พร้อมกับผู้คนที่ร่วมเดินขบวน เต้นรำ และร้องเพลงประกอบจังหวะที่เรียกว่า "Rassera Rassera"

 

 
ส่วนพิพิธภัณฑ์นี้จะจัดแสดงเนบูตะที่ชนะเลิศในการประกวดแต่ละปี พอหมดปี เค้าก็จะเอาเนบูตะไปทำลาย แล้วใช้พื้นที่จัดแสดงเนบูตะที่ชนะเลิศของปีถัดไป






ที่นี่ยังจัดแสดงให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ วิธีการทำเนบูตะ และยังมีกิจกรรมให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ลองหัดเต้นประกอบจังหวะที่ใช้ในงานเทศกาลด้วยครับ แต่กิจกรรมนี้จะมีเป็นรอบๆนะ ถ้าใครมาตอนช่วงใกล้ๆรอบ แนะนำให้อยู่รอดู สนุกดีครับ
 

 

จากพิพิธภัณฑ์เราเดินไปยัง ตลาดปลาฟุรุคาวะ (Furukawa Fish Market) ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ความดีงามของตลาดปลานี้ก็คือ เราสามารถสร้างข้าวหน้าทะเลในแบบที่เราชอบได้เลย เมนูนี้เรียกว่า นกเกะด้ง (Nokke-Don) ครับ
 

 
วิธีการสั่งคือ ให้ซื้อคูปองก่อน โดย 2000 เยนจะได้คูปอง 12 ใบ จากนั้นเราก็เดินไปตามร้านต่างๆในตลาด เลือกท็อปปิ้งที่ต้องการได้ตามใจชอบ โดยแต่ละอย่างอาจใช้คูปอง 1 หรือ 2 ใบ พอใช้คูปองหมดก็เดินไปนั่งกินที่โต๊ะที่ทางตลาดจัดไว้ให้ พร้อมโชยู วาซาบิ และน้ำดื่ม
 

 
รสชาติโดยรวม อร่อย อาหารทะเลสดมาก เพราะที่นี่เป็นเมืองท่า แต่ถ้าเทียบปริมาณกับราคา ถือว่าค่อนข้างแพงไปนิด แต่ถ้ามาลองกินสักครั้งก็โอเคนะ
 

พอกินเสร็จ เราก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟอาโอโมริ จากนั้นก็เดินไปยังป้ายรถเมล์หมายเลข 3 เพื่อนั่งรถเมล์สาย J20 ไปยัง วัดเซย์ริวจิ (Seiryuji Temple) ครับ (รถเมล์มีแค่ไม่กี่รอบต่อวันนะ ใครจะไปแนะนำว่า ให้เช็คกับทาง Tourist Information Center หน้าสถานีรถไฟดูก่อน ว่ามีรถรอบกี่โมงบ้าง)
 
 

วัดนี้มีค่าเข้าเข้าชมคนละ 400 เยนครับ
 

 
วัดเซย์ริวจิเป็นวัดสาขาของนิกายชินงอนจาก ภูเขาโคยะ (Koyasan) ก่อตั้งขึ้นในปี 1984 โดยพระภิกษุโอดะ ทาคาฮิโระ (Oda Takahiro) เพื่อเป็นสถานที่สวดมนต์และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง
 

จุดเด่นของวัดนี้ ได้แก่ พระใหญ่โชวะ ไดบุทสึ (Showa Daibutsu) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ปางสมาธิที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
 

ถัดมาคือ เจดีย์ห้าชั้น ที่สร้างจากไม้ฮิบะของอาโอโมริ มีความสูง 39 เมตร ถือเป็นเจดีย์ไม้ที่สูงเป็นอันดับ 4 ของญี่ปุ่น
 

 
เที่ยววัดเสร็จ เราก็นั่งรถเมล์กลับเข้าตัวเมือง แถวสถานีรถไฟจะมีชายหาดที่ชื่อว่า Aomori Ekimae Beach ครับ
 

ใกล้ๆกับชายหาดจะมีร้านขายขนมและของฝากประจำจังหวัดอาโอโมริที่ชื่อว่า A Factory ครับ
 

 
เดินเลยร้าน A factory ไป ก็จะเจอกับ Seikan Train Ferry Memorial Ship Hakkoda-maru ซึ่งเป็นเรือเฟอร์รี่ที่ในอดีตเคยใช้ข้ามฟากระหว่างเมืองอาโอโมริกับเมืองฮาโกดาเตะบนเกาะฮอกไกโด แต่ปัจจุบัน เรือได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว (ค่าเข้าชม 510 เยน)
 
 

เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีรถไฟข้ามเกาะ การจะเดินทางจากเกาะฮอนชูไปยังฮอกไกโดมีแค่ทางเดียว นั่นก็คือ เรือเฟอร์รี่ โดยเรือข้ามฟากบนเส้นทางนี้เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1908 เพื่อขนส่งคน สินค้า และรถไฟ โดยรถไฟสามารถนำขึ้นเรือมาได้โดยตรง เป็นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่มากในยุคนั้น
 

 
ต่อมาเมื่อมีการเปิดใช้งาน อุโมงค์ไซกัง (Seikan) ซึ่งเป็นอุโมงค์รถไฟใต้ทะเลที่ยาวที่สุดในโลกในขณะนั้น (ยาว 53.85 กิโลเมตร) เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเกาะฮอนชูกับเกาะฮอกไกโด ทำให้เรือข้ามฟากถูกยกเลิกการใช้งานอย่างเป็นทางการ หนึ่งในเรือที่เคยใช้งานจริงชื่อว่า ฮักโกดะมารุ (Hakkoda Maru) จึงได้รับการอนุรักษ์ไว้และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เรือที่ท่าเรืออาโอโมริ
 


 

เดินเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆ เราจะเจอกับตึกรูปสามเหลี่ยม ที่นี่ก็คือ Aomori Prefecture Sightseeing Products Mansion (ASPAM) ซึ่งภายในมีร้านขายของฝาก และจุดชมวิวจากมุมสูงของเมืองอาโอโมริ (แต่เราไม่ได้ขึ้นครับ)
 

ใกล้ๆมีรูปปั้นแมวน้ำด้วย ว่ากันว่าบริเวณนี้จะมีแมวน้ำขึ้นมาให้มองเห็นบ้างเป็นครั้งคราวครับ
 

จุดที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ สวนที่ชื่อว่า Aomorikoshinchuofuto Park ซึ่งเป็นสวนริมทะเล พอมองกลับไปจะเห็นตัวเมืองอาโอโมริแบบนี้ครับ
 



 
ประภาคารริมทะเล
 

 
ปิดท้ายวันด้วยภาพเมืองอาโอโมริจากสวนแห่งนี้ เรานั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็เดินย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ เป็นอันปิดวันอย่างประทับใจครับ
 

วันที่สอง

สำหรับวันสุดท้ายที่เมืองอาโอโมริ เรามีแผนจะไปเที่ยวชมแหล่งมรดกโลกที่อยู่ในเมืองนี้เลย นั่นก็คือ แหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Site) ครับ

 

สำหรับวิธีการเดินทางไปยังซันไนมารุยามะ ก็คือให้เดินมาที่ สถานีรถไฟอาโอโมริ แล้วเดินออกมาทาง West Exit จะเจอกับป้ายรถเมล์ ให้ขึ้นรถเมล์ Nebutan-Go ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ค่ารถเมล์ 300 เยน (รถเมล์มีวันละแค่ 4 รอบ ใครจะไปแนะนำให้ไปขอตารางรถเมล์จาก Tourist Information Center หน้าสถานีรถไฟก่อนนะครับ จะได้วางแผนเที่ยวได้)
ถ้าถามว่าที่นี่สำคัญยังไง ก่อนอื่นต้องบอกว่า ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้เมื่อปี 2021ครับ โดย แหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ เป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดีสมัย ยุคโจมง (Jomon period)

 
 

อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่ายุคโจมงคืออะไร ยุคโจมง (Jomon period) เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ครอบคลุมระยะเวลาประมาณ 14,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยคำว่า โจมง แปลว่า ลายเชือก มาจากลวดลายที่ปรากฏบนเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยุคนี้ โดยการกดหรือพันเชือกลงไปบนดินเหนียวก่อนเผา
 

 
สำหรับแหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะมีอายุประมาณ 5,500 – 4,000 ปีก่อน หรืออยู่ในช่วงกลางของยุคโจมง โดยมีการค้นพบโครงสร้าง เสาไม้ขนาดใหญ่ 6 ต้น ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นหอสังเกตการณ์หรือสิ่งปลูกสร้างสำคัญ
 



ที่นี่จะมีบ้านจำลองจากยุคโจมงซึ่งเป็นบ้านดินและสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นใหม่ตามการสำรวจทางโบราณคดี
 


 

รวมทั้งยังมี พิพิธภัณฑ์โจมงจิยูกัง (Jomon Jiyugan Museum) ซึ่งมีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดค้นพบบริเวณนี้ ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา หินขัด ลูกปัด
 





 
ที่นี่มีค่าเข้าชมอยู่ที่ 410 เยน เข้าได้หมดทั้งพิพิธภัณฑ์ไปจนถึงโซนหมู่บ้านจำลองกลางแจ้ง และแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีครับ
 

 
หลังจากเที่ยวที่นี่เสร็จ เราก็นั่งรถเมล์ย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองต่อไปของทริปโทโฮะกุตอนเหนือครับ

สำหรับเมืองอาโอโมริ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่คนมาญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะมองข้ามกัน เพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก แต่จากที่ไปเที่ยวที่นี่เป็นเวลา 2 วัน ส่วนตัวผมมองว่าเมืองนี้เป็นเมืองชิลล์ๆ เหมาะแก่การมาพักผ่อน เดินเล่นริมอ่าว เที่ยวแหล่งมรดกโลก เอาเป็นว่า ถ้าใครมาโทโฮะกุแล้วพอมีเวลาซัก 1-2 วัน ก็อยากให้แวะมาเที่ยวที่นี่กันครับ

 
บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2568    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2568 19:33:33 น.
Counter : 173 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

1  2  3  4  5  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.