1 วัน จีหลง+จิ่วเฟิ่น จากท่าเรือสายฝนสู่หมู่บ้านโคมแดงแห่งเกาะไต้หวัน
สถานที่ท่องเที่ยว : อุทยานเกาะเหอผิง (Heping Island Park), เมืองจีหลง, ไต้หวัน พิกัด GPS : 25° 9' 44.93" N 121° 45' 52.83" E
หลังจากที่เราเที่ยวทั้งกรุงไทเป รวมทั้งเมืองแถบภาคกลางของเกาะไต้หวันไปแล้ว ในรีวิวตอนนี้ผมจะพาทุกคนเที่ยวชายฝั่งทางตอนเหนือของเกาะไต้หวันกันบ้างครับ โดยสองเมืองที่ผมจะมารีวิวในตอนนี้ สามารถเดินทางจากกรุงไทเปแบบ one day trip ได้อย่างสบายๆ เหมาะสำหรับใครที่อยากหาที่เที่ยวไม่ไกลจากกรุงไทเป
สำหรับแผนการเดินทางในวันนี้ ในช่วงเช้าผมจะนั่งรถไฟจาก Taipei Main Station ไปยังเมือง จีหลง (Keelung) จากนั้นก็จะเดินทางด้วยรถเมล์ต่อไปยังหมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่นในช่วงบ่าย และนั่งรถเมล์กลับเข้ากรุงไทเปในช่วงค่ำ ตามแผนการทางด้านล่างนี้ครับ มาเริ่มกันที่เมืองแรกครับ เมืองนี้มีชื่อว่า จีหลง (Keelung) จากสถานีรถไฟ เดินไปไม่ไกล เราจะเจอกับ Keelung Maritime Plaza ซึ่งเป็นลานกิจกรรมอยู่ริมท่าเรือของเมืองจีหลง จีหลงเป็นเมืองชายทะเลที่ตั้งอยู่ปลายสุดทางตอนเหนือของเกาะไต้หวัน เดิมทีเมืองนี้ในอดีตเป็นที่อยู่ของ ชนเผ่าเคอทาเก๋อหลัน (Ketagalan People) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมือง แต่ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 17 ก็ได้มีคณะสำรวจชาวสเปนเดินทางมาที่บริเวณแถบนี้ และได้สร้างเป็นเมืองขึ้นชื่อว่า ซานซัลวาดอร์ (San Salvador) แต่ต่อมาเมืองนี้ก็ได้ถูกยึดครองโดยชาวฮอลันดา และได้เปลี่ยนชื่อเมืองมาเป็น นูร์ท ฮอลแลนด์ (Noort Hoollant) จนเมื่อชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ ได้เข้ามาขับไล่ชาวฮอลันดาออกไปได้สำเร็จในสมัยราชวงศ์ชิง เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่า ทำไม Keelung ถึงอ่านว่า “จีหลง” ไม่อ่านว่า “กีลัง” อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ จีหลงเป็นภาษาจีนกลางครับ คนไต้หวันส่วนใหญ่จะออกเสียงแบบนี้ ส่วนที่เขียนว่า Keelung มาจากการที่คนตะวันตกพยายามสะกดถอดคำจากภาษาชนพื้นเมืองที่เป็นชาว Ketagelan แล้วเพี้ยนออกมาเป็นแบบนี้ แต่เนื่องจากใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่คนตะวันตก มันเลยกลายเป็นชื่อเรียกในภาษาอังกฤษไปโดยปริยาย
จีหลงเริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ในช่วงนั้นได้เริ่มมีการสร้างท่าเรือแบบสมัยใหม่ขึ้นที่นี่ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเมืองนี้กลายเป็น เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศ เป็นรองแค่เมืองเกาสง (Kaoshuing) ทางภาคใต้ นอกจากนี้ เมืองจีหลงยังเป็นเมืองที่มีฝนตกมากที่สุดของไต้หวันด้วยด้วย ทำให้ที่นี่ได้สมญานามว่าเป็น ท่าเรือแห่งสายฝน (The Rainy Port) จีหลงเริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ในช่วงนั้นได้เริ่มมีการสร้างท่าเรือแบบสมัยใหม่ขึ้นที่นี่ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเมืองนี้กลายเป็น เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศ เป็นรองแค่เมืองเกาสง (Kaoshuing) ทางภาคใต้ นอกจากนี้ เมืองจีหลงยังเป็นเมืองที่มีฝนตกมากที่สุดของไต้หวันด้วยด้วย ทำให้ที่นี่ได้สมญานามว่าเป็น ท่าเรือแห่งสายฝน (The Rainy Port)
เวลาจะสั่งอาหารที่นี่ ทางร้านจะให้ใบสำหรับเขียนสั่งอาหารมา แต่ปัญหาคือ มันมีแต่ภาษาจีนครับ ดังนั้นใครที่อ่านจีนไม่ออก พูดจีนไม่ได้ แต่อยากมากิน แนะนำให้ใช้ google translate แปลเอา มันจะแปลออกมางงๆหน่อย แต่ก็พอเข้าใจอยู่ อาหารสั่งมา 4 อย่างคือ ข้าวหน้ากุ้ง, ข้าวหน้าเซ็ทซาซิมิรวม (รวมซุปมิโซะ), ซุปรวมมิตรทะเล, ปลาหมึกนึ่ง โดยส่วนตัวผมชอบข้าวหน้ากุ้งมากที่สุด รสชาติแปลกดี แต่อร่อย นอกนั้นก็อร่อยใช้ได้ วัตถุดิบสดมาก คนไทยน่าจะชอบ หมดไปประมาณ 6 ร้อยกว่าบาท โดยรวมก็ถือว่าโอเค พอใจกับรสชาติและคุณภาพอาหารครับ
พอทานข้าวเสร็จ เราก็เดินกลับมาที่ฝั่งตรงข้าม Maritime Plaza เพื่อขึ้นรถเมล์ต่อไปที่ ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing Habour) ซึ่งถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคที่ไต้หวันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นในปี 1934 และถือเป็นท่าเรือประมงทื่ใหญ่ที่สุดของเกาะไต้หวันในยุคนั้น จนเมื่อไต้หวันอยู่ภายใต้การปกครองของจอมพลเจียงไคเช็ก ที่นี่ก็ค่อยๆถูกลดบทบาทลงไป ต่อมาทางรัฐบาลท้องถิ่นของเมืองจีหลง ได้ทำการปรับปรุง ทาสีบ้านเรือน ทำให้ที่นี่กลายมาเป็นแลนด์มาร์ค และเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนี้ไปเลย Tip: หลายรีวิวแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่ช่วงเช้านะครับ เพราะถ่ายรูปออกมาจะไม่ย้อนแสง
จากท่าเรือหลากสี เราก็เดินต่อไปยัง อุทยานธรณีเหอผิง (Heping Island Park) ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือหลากสีประมาณ 1.2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 15 นาทีครับ (ถ้าใครเดินไม่ไหว แนะนำให้เรียกแท็กซี่)
ที่นี่มีค่าเข้าชม 120 ดอลลาร์ไต้หวันนะครับ
บริเวณอุทยานจะเป็นเกาะกลางทะเลที่เชื่อมด้วยสะพานครับ ในอดีต เมื่อปี ค.ศ. 1626 กองทัพสเปนได้ใช้เกาะนี้เป็นฐานทัพสำหรับการติดต่อทางการค้าระหว่างจีนและญี่ปุ่น และได้สร้างป้อมปราการขึ้นที่นี่ ต่อมา ในช่วงปี ค.ศ. 1668 ป้อมปราการนี้ถูกโจมตีโดยกองทัพดัตช์ และเมื่อหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะนี้ถูกใช้เป็นสถานที่กักขังและลงโทษนักโทษในเหตุการณ์ White Terror Movement ซึ่งเป็นการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองของพรรคก๊กมินตั๋งภายใต้การนำของเจียงไคเช็ค ปัจจุบัน อุทยานเกาะเหอผิงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม มีลักษณะทางธรรมชาติที่โดดเด่น เช่น โขดหินรูปร่างแปลกตาที่เกิดจากการกัดเซาะของลมและคลื่นทะเล
ศาลาตรงจุดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งนี้ที่ใครมาที่นี่ต้องมาถ่ายรูป
อีกจุดที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือ สระว่ายน้ำกลางแจ้ง โดยส่วนตัว ผมชอบที่นี่มากเลยครับ บรรยากาศดี ลมเย็นสบาย ทางเดินก็ทำดี ชิลล์มาก ใครมาจีหลงแนะนำให้มาที่นี่ จากอุทยานธรณีเหอผิง เราก็เดินย้อนกลับไปที่ท่าเรือหลากสี เพื่อขึ้นรถเมล์สาย 791 เพื่อไปยัง ทะเลหยินหยาง ครับ
จริงๆ ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในแผนตอนแรกหรอก แต่เนื่องจากเราต้องการนั่งรถเมล์เพื่อไปยังเมืองโบราณจิ่วเฟิ่น แล้วต้องมาเปลี่ยนสายรถเมล์ตรงนี้พอดี ก็เลยตัดสินใจขอแวะเที่ยวหน่อยล่ะกัน บริเวณนี้จะเป็นจุดชมวิวทะเลสองสี นั่นก็คือ สีเหลืองกับสีฟ้าครับ ทำให้คนไต้หวันเรียกทะเลตรงนี้ว่า ทะเลหยินหยาง (Yin Yang Sea) ซึ่งสีเหลืองของน้ำทะเลตรงนี้ เกิดจากการทำเหมืองแร่ทองคำในอดีต ทำให้สารเคมีจากการทำเหมืองแร่ไหลลงไปในทะเล ซึ่งจริงๆแล้วอันตราย แต่ก็กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทัวร์มาลงเต็มไปหมด
สิ่งที่น่าสนใจกว่าทะเลคือ ตึกบนภูเขาที่อยู่ด้านหลังป้ายรถเมล์ทะเลหยินหยาง ตึกนี้มีชื่อว่า 13 Floor ruin หรือเรียกในภาษาจีนว่า ซุ่ยหนานตง ซึ่งเคยถูกใช้เป็นโรงถลุงแร่ทองมาก่อน โดยถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1933 ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น จนเมื่อถึงปี 1971 เมื่อทองคำบนภูเขานี้ค่อยๆลดลง ตึกนี้ก็ได้ถูกปิดตัวลง และถูกทิ้งร้างไว้แบบนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ที่นี่ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวคู่กับทะเลหยินหยางครับ จากป้ายรถเมล์ตรงทะเลหยินหยาง เราก็นั่งรถเมล์สาย 1062 ต่อไปที่ หมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street) แต่ระหว่างทางเราจะเจอกับ น้ำตกทองคำ (Golden Waterfall) ก่อนครับ
ความแปลกของน้ำตกนี้ก็คือสีของเนินเขาของน้ำตกจะเป็นสีทอง ซึ่งเกิดจากตอนช่วงที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำ ได้มีแร่ธาตุปนเปื้อนอยู่ในน้ำ และแร่ธาตุเหล่านี้ก็ได้ทำปฏิกิริยากับเนินเขา จนกลายเป็นสีทองอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ จากทะเลหยินหยาง นั่งรถเมล์ไปไม่นานก็มาถึงจิ่วเฟิ่นครับ
จิ่วเฟิ่น (Jiufen) เป็นหมู่บ้านโบราณที่ตั้งอยู่ในหุบเขาของ เขตรุ่ยฟาง (Ruifang) เมืองนิวไทเป ทางตอนเหนือสุดของเกาะไต้หวัน
ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปตั้งแต่ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยในช่วงนั้นได้มีการทำเหมืองทำคำขึ้นใกล้ๆตรงนี้ ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาทำงานและอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้เป็นจำนวนมาก จึงมีการสร้างบ้านเรือนขึ้นจนกลายเป็นเมืองขนาดย่อมๆ ซึ่งบ้านเรือนเหล่านี้ได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจากชาวญี่ปุ่นด้วย ทำให้เมื่อเราเดินเข้าไปในหมู่บ้าน จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ผสมผสานระหว่างจีนกับญี่ปุ่นอย่างลงตัว จุดที่เป็นไฮไลท์สำคัญของเมืองโบราณจิ่วเฟิ่นก็คือ มุมมหาชนตรงข้ามกับโรงน้ำชา Amei Tea House ตอนผมไปมีแต่คนไทยไปยืนรอถ่ายกันเต็มไปหมด เพราะช่วงที่ไปเป็นวันหยุดตอนเทศกาลสงกรานต์พอดี
แผนตอนแรกสุดคือ เราจะมาหาน้ำชาทานที่ร้านน้ำชาฝั่งตรงข้าม Amei Tea house พร้อมกับชมวิวเพลินๆ แต่พอมาถึงก็เพิ่งรู้ว่า มันต้องจองมาก่อน ผ่านทาง klook หรือ kkday ครับ เลยอด แต่ถึงพลาดก็ไม่เป็นไร เพราะที่จิ่วเฟิ่น ยังมีร้านอาหารสตรีทฟู้ดร้านอื่นๆขายเรียงรายเต็มไปหมด แต่ร้านที่ไม่ควรพลาดเลย ก็คือ ร้าน A-Jou Peanut Ice Cream Roll ซึ่งเค้าจะขายเป็นไอศกรีมรสหวานผสมถั่วตัดห่อด้วยแผ่นแป้งแบบนี้ (สามารถเลือกได้ว่าผักชีไหม แต่สำหรับคนไทย ไม่ใส่จะถูกปากมากกว่าครับ) เนื่องจากคนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะมาก เจ้าของร้านอาหาร และพนักงานที่นี่หลายคนที่เมืองนี้ก็เลยพูดภาษาไทยได้ด้วย และบางร้านยังมีป้ายภาษาไทยด้วยนะ อย่างร้านขายไส้กรอกไต้หวันร้านนี้ ก็มีป้ายภาษาไทย แต่พอแปลออกมา ผมว่ามันดูแปลกๆนะ
ที่จิ่วเฟิ่นจะมีการแขวนโคมไฟสีแดงตกแต่งรอบๆ จึงมีคนนำไปร่ำลือกันว่า จิ่วเฟิ่นคือเมืองต้นแบบของฉากในหนังอนิเมะเรื่อง Spirit Away ของค่ายสตูดิโอจิบลิ แต่ผู้สร้างและค่าย ก็ออกมาปฏิเสธหลายรอบแล้วนะครับว่า ไม่ใช่ ฉากในหนังมาจากหลายสถานที่ ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นที่ใดที่หนึ่ง แต่นักท่องเที่ยวหลายคนก็เชื่อไปแล้วแหละ ทำให้ที่เมืองนี้มีการขายของที่ระลึกต่างๆจากหนังเต็มไปหมด จิ่วเฟิ่นเป็นที่สุดท้ายของทริปในวันนี้ครับ พอเริ่มค่ำเราก็นั่งรถกลับเข้าตัวเมืองไทเป ทริปที่จีหลงและจิ่วเฟิ่นแบบเต็มวันก็จบเพียงเท่านี้
สำหรับทริปในวันนี้ ถือเป็นวันที่เราได้เที่ยวได้หลายที่มาก ไม่ว่าจะเป็นเมืองจีหลง หมู่บ้านชาวประมงเจิ่งปิน อุทยานธรณีเกาะเหอผิง ทะเลหยินหยาง และหมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่น ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้แบบ one day trip จากกรุงไทเป ใครที่มาไต้หวันแล้วเบื่อเมืองหลวง อยากหาที่เที่ยวใกล้ๆนอกเมือง ก็สามารถลอกแผนของผมได้เลยครับ
บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง
Create Date : 18 มีนาคม 2568 | | |
Last Update : 22 มีนาคม 2568 22:57:38 น. |
Counter : 118 Pageviews. |
| |
|
|
|