การเดินทางเข้าสู่เมืองอาโอโมริ เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆ ของญี่ปุ่น จังหวัดอาโอโมริมีความสะดวกในการเดินทางด้วยระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ทั้งรถไฟ รถบัส และเครื่องบิน ทำให้การไปเยือนที่นี่ไม่ยากเกินไปแม้จะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟ ถ้าใครที่เดินทางมาจากโตเกียวสามารถนั่งรถไฟความเร็วสูงสาย Tohoku Shinkansen มาที่ สถานี Shin-Aomori ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง จากนั้นก็สามารถนั่งรถไฟท้องถิ่นไปยังเมืองต่างๆของจังหวัด รวมทั้งตัวเมืองหลวงของจังหวัดอย่าง เมืองอาโอโมริ (Aomori city) ได้อย่างสะดวก (นั่งต่อมาแค่ 1 สถานี) และก็เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น การเดินทางด้วยรถไฟถ้าอยากประหยัดต้องวางแผนใช้พาสครับ โดยพาสที่สามารถใช้เดินทางมายังเมืองนี้ได้ ได้แก่ JR East Pass: Tohoku Area สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อาโอโมริ ปัจจุบันพาสนี้มี 2 แบบคือ แบบใช้ 5 วันติดต่อกัน (30,000 เยน) และแบบใช้ 10 วันติดต่อกัน (48,000 เยน) ครับ JR East-South Hokkaido Rail Pass สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อาโอโมริ แล้วใช้ต่อไปถึงเมืองซัปโปโร (Sapporo) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโดได้ครับ แต่ระยะเวลาใช้ได้แค่ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 35,370 เยน JR Tohoku-South Hokkaido Rail Pass พาสนี้ใช้ได้แค่จากเซนได (Sendai) ผ่านอาโอโมริ แล้วไปถึงที่เมืองซัปโปโร พาสนี้ก็ใช้ได้ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 30,640 เยนครับ นอกจากนี้ หากใครต้องการประหยัดงบประมาณ การเดินทางโดยรถบัสจากโตเกียวไปอาโอโมริก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก โดยรถบัสจากสถานีรถบัสที่ Shinjuku หรือ Tokyo Station ไปยังอาโอโมริจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 9-10 ชั่วโมง แต่ค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าการเดินทางด้วยชินคันเซ็นหรือเครื่องบินการเดินทางภายในเมืองอาโอโมริ สำหรับที่เที่ยวใกล้กับสถานีรถไฟ เช่น บริเวณทางเดินริมอ่าวอาโอโมริ หรือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (Nebuta Warasse Museum) พวกนี้เราสามารถเดินเที่ยวได้จากสถานีรถไฟครับ แต่สำหรับบางที่เที่ยวที่อยู่ไกลออกไป เช่น วัดเซย์ริวจิ ( Seiryuji Temple) หรือ แหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ ( Sannai-Maruyama Site) จะต้องนั่งรถเมล์ ซึ่งเดี๋ยวจะอธิบายเกี่ยวกับการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆเหล่านี้ในส่วนต่อๆไปครับแผนเที่ยว วันที่หนึ่ง เดินทางจากเมืองฮิโรซากิ มายังเมืองอาโอโมริ (Aomori City) ด้วยรถไฟสาย Ou Line ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม (Hotel Route Inn Aomori Ekimae) เช้า: เที่ยวพิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบิวตะ (Nebuta Warasse Museum) เที่ยง: กินนกเกะด้ง (Nokke-Don) ที่ตลาดปลาฟุรุกาวะ (Furukawa Fish Market) บ่าย: เที่ยววัดเซย์ริวจิ (Seiryuji Temple) เย็น: เดินเล่นริมอ่าวอาโอโมริ วันที่สอง เที่ยวแหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Site) เดินทางต่อไปยังเมืองฮาจิโนะเฮะ (Hachinohe) ที่พักในเมืองอาโอโมริ ทริปนี้เราไปพักที่ Hotel Route Inn Aomori Ekimae ครับ โรงแรมนี้อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟอาโอโมริเลย โดยผมจองผ่าน booking.com ได้ในราคาคืนละ 1,800 บาทต่อคนรวมอาหารเช้าครับสำหรับสภาพโดยรวมของที่นี่ ก็ถือว่าดีงามตามมาตรฐานญี่ปุ่น สะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีออนเซ็นให้แช่ด้วย อาหารเช้าก็ถือว่าดีกว่าที่คิด เป็นบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น แต่ก็มีหลากหลายพอสมควร ถ้าใครเดินทางมาที่นี่ ผมแนะนำเลยครับ วันที่หนึ่ง ทริปนี้ผมเป็นทริปต่อเนื่องมาจากเมืองฮิโรซากิครับ ในช่วงเช้าเรานั่งรถไฟจากเมืองฮิโรซากิ มายังเมืองอาโอโมริ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ค่ารถไฟ 590 เยนครับเราฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน เนื่องจากว่ายังไม่ถึงเวลาเช็คอินจากนั้นก็เดินต่อไปที่บริเวณท่าเรืออาโอโมริ เพื่อไปเที่ยวที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (Nebuta Warasse Museum)
ที่นี่มีค่าเข้าชม 620 เยนครับ
เนบูตะ ( Nebuta) เป็นเทศกาลพื้นบ้านในแถวภูมิภาคโทโฮะกุตอนเหนือ โดยจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ในจังหวัดอาโอโมริในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปีครับ จริงๆแล้ว คำว่า เนบูตะ หมายถึง โคมไฟรูปทรงนักรบหรือเทพเจ้า ที่มีขนาดใหญ่และประดับประดาอย่างงดงามอลังการ โคมเหล่านี้ทำจากโครงลวดหุ้มด้วยกระดาษ แล้วระบายสีอย่างประณีต พร้อมติดไฟจากด้านใน โคมไฟเหล่านี้มักมีลวดลายเป็นภาพนักรบจากตำนานจีนหรือตำนานญี่ปุ่น เช่น ตัวละครจากเรื่องไซอิ๋ว หรือสามก๊ก รวมถึงเทพเจ้าและวิญญาณจากความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น เมื่อถึงเทศกาลจะมีการแห่ขบวนโคมไฟเหล่านี้ไปตามถนนในเมืองตอนกลางคืน พร้อมกับผู้คนที่ร่วมเดินขบวน เต้นรำ และร้องเพลงประกอบจังหวะที่เรียกว่า "Rassera Rassera"
VIDEO
ส่วนพิพิธภัณฑ์นี้จะจัดแสดงเนบูตะที่ชนะเลิศในการประกวดแต่ละปี พอหมดปี เค้าก็จะเอาเนบูตะไปทำลาย แล้วใช้พื้นที่จัดแสดงเนบูตะที่ชนะเลิศของปีถัดไป
ที่นี่ยังจัดแสดงให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ วิธีการทำเนบูตะ และยังมีกิจกรรมให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ลองหัดเต้นประกอบจังหวะที่ใช้ในงานเทศกาลด้วยครับ แต่กิจกรรมนี้จะมีเป็นรอบๆนะ ถ้าใครมาตอนช่วงใกล้ๆรอบ แนะนำให้อยู่รอดู สนุกดีครับ
จากพิพิธภัณฑ์เราเดินไปยัง ตลาดปลาฟุรุคาวะ ( Furukawa Fish Market) ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ความดีงามของตลาดปลานี้ก็คือ เราสามารถสร้างข้าวหน้าทะเลในแบบที่เราชอบได้เลย เมนูนี้เรียกว่า นกเกะด้ง ( Nokke-Don) ครับ
วิธีการสั่งคือ ให้ซื้อคูปองก่อน โดย 2000 เยนจะได้คูปอง 12 ใบ จากนั้นเราก็เดินไปตามร้านต่างๆในตลาด เลือกท็อปปิ้งที่ต้องการได้ตามใจชอบ โดยแต่ละอย่างอาจใช้คูปอง 1 หรือ 2 ใบ พอใช้คูปองหมดก็เดินไปนั่งกินที่โต๊ะที่ทางตลาดจัดไว้ให้ พร้อมโชยู วาซาบิ และน้ำดื่ม
รสชาติโดยรวม อร่อย อาหารทะเลสดมาก เพราะที่นี่เป็นเมืองท่า แต่ถ้าเทียบปริมาณกับราคา ถือว่าค่อนข้างแพงไปนิด แต่ถ้ามาลองกินสักครั้งก็โอเคนะ
พอกินเสร็จ เราก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟอาโอโมริ จากนั้นก็เดินไปยังป้ายรถเมล์หมายเลข 3 เพื่อนั่งรถเมล์สาย J20 ไปยัง วัดเซย์ริวจิ ( Seiryuji Temple) ครับ (รถเมล์มีแค่ไม่กี่รอบต่อวันนะ ใครจะไปแนะนำว่า ให้เช็คกับทาง Tourist Information Center หน้าสถานีรถไฟดูก่อน ว่ามีรถรอบกี่โมงบ้าง)
วัดนี้มีค่าเข้าเข้าชมคนละ 400 เยนครับ
วัดเซย์ริวจิเป็นวัดสาขาของนิกายชินงอนจาก ภูเขาโคยะ ( Koyasan) ก่อตั้งขึ้นในปี 1984 โดยพระภิกษุโอดะ ทาคาฮิโระ (Oda Takahiro) เพื่อเป็นสถานที่สวดมนต์และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง
จุดเด่นของวัดนี้ ได้แก่ พระใหญ่โชวะ ไดบุทสึ (Showa Daibutsu) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ปางสมาธิที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
ถัดมาคือ เจดีย์ห้าชั้น ที่สร้างจากไม้ฮิบะของอาโอโมริ มีความสูง 39 เมตร ถือเป็นเจดีย์ไม้ที่สูงเป็นอันดับ 4 ของญี่ปุ่น
เที่ยววัดเสร็จ เราก็นั่งรถเมล์กลับเข้าตัวเมือง แถวสถานีรถไฟจะมีชายหาดที่ชื่อว่า Aomori Ekimae Beach ครับ
ใกล้ๆกับชายหาดจะมีร้านขายขนมและของฝากประจำจังหวัดอาโอโมริที่ชื่อว่า A Factory ครับ
เดินเลยร้าน A factory ไป ก็จะเจอกับ Seikan Train Ferry Memorial Ship Hakkoda-maru ซึ่งเป็นเรือเฟอร์รี่ที่ในอดีตเคยใช้ข้ามฟากระหว่างเมืองอาโอโมริกับเมืองฮาโกดาเตะบนเกาะฮอกไกโด แต่ปัจจุบัน เรือได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว (ค่าเข้าชม 510 เยน)
เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีรถไฟข้ามเกาะ การจะเดินทางจากเกาะฮอนชูไปยังฮอกไกโดมีแค่ทางเดียว นั่นก็คือ เรือเฟอร์รี่ โดยเรือข้ามฟากบนเส้นทางนี้เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1908 เพื่อขนส่งคน สินค้า และรถไฟ โดยรถไฟสามารถนำขึ้นเรือมาได้โดยตรง เป็นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่มากในยุคนั้น
ต่อมาเมื่อมีการเปิดใช้งาน อุโมงค์ไซกัง ( Seikan) ซึ่งเป็นอุโมงค์รถไฟใต้ทะเลที่ยาวที่สุดในโลกในขณะนั้น (ยาว 53.85 กิโลเมตร) เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเกาะฮอนชูกับเกาะฮอกไกโด ทำให้เรือข้ามฟากถูกยกเลิกการใช้งานอย่างเป็นทางการ หนึ่งในเรือที่เคยใช้งานจริงชื่อว่า ฮักโกดะมารุ ( Hakkoda Maru) จึงได้รับการอนุรักษ์ไว้และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เรือที่ท่าเรืออาโอโมริ
เดินเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆ เราจะเจอกับตึกรูปสามเหลี่ยม ที่นี่ก็คือ Aomori Prefecture Sightseeing Products Mansion (ASPAM) ซึ่งภายในมีร้านขายของฝาก และจุดชมวิวจากมุมสูงของเมืองอาโอโมริ (แต่เราไม่ได้ขึ้นครับ)
ใกล้ๆมีรูปปั้นแมวน้ำด้วย ว่ากันว่าบริเวณนี้จะมีแมวน้ำขึ้นมาให้มองเห็นบ้างเป็นครั้งคราวครับ
จุดที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ สวนที่ชื่อว่า Aomorikoshinchuofuto Park ซึ่งเป็นสวนริมทะเล พอมองกลับไปจะเห็นตัวเมืองอาโอโมริแบบนี้ครับ
ประภาคารริมทะเล
ปิดท้ายวันด้วยภาพเมืองอาโอโมริจากสวนแห่งนี้ เรานั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็เดินย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ เป็นอันปิดวันอย่างประทับใจครับ
วันที่สอง สำหรับวันสุดท้ายที่เมืองอาโอโมริ เรามีแผนจะไปเที่ยวชมแหล่งมรดกโลกที่อยู่ในเมืองนี้เลย นั่นก็คือ แหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ ( Sannai-Maruyama Site) ครับ
สำหรับวิธีการเดินทางไปยังซันไนมารุยามะ ก็คือให้เดินมาที่ สถานีรถไฟอาโอโมริ แล้วเดินออกมาทาง West Exit จะเจอกับป้ายรถเมล์ ให้ขึ้นรถเมล์ Nebutan-Go ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ค่ารถเมล์ 300 เยน (รถเมล์มีวันละแค่ 4 รอบ ใครจะไปแนะนำให้ไปขอตารางรถเมล์จาก Tourist Information Center หน้าสถานีรถไฟก่อนนะครับ จะได้วางแผนเที่ยวได้)
ถ้าถามว่าที่นี่สำคัญยังไง ก่อนอื่นต้องบอกว่า ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้เมื่อปี 2021ครับ โดย แหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ เป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดีสมัย ยุคโจมง ( Jomon period)
อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่ายุคโจมงคืออะไร ยุคโจมง ( Jomon period) เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ครอบคลุมระยะเวลาประมาณ 14,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยคำว่า โจมง แปลว่า ลายเชือก มาจากลวดลายที่ปรากฏบนเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยุคนี้ โดยการกดหรือพันเชือกลงไปบนดินเหนียวก่อนเผา
สำหรับแหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะมีอายุประมาณ 5,500 – 4,000 ปีก่อน หรืออยู่ในช่วงกลางของยุคโจมง โดยมีการค้นพบโครงสร้าง เสาไม้ขนาดใหญ่ 6 ต้น ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นหอสังเกตการณ์หรือสิ่งปลูกสร้างสำคัญ
ที่นี่จะมีบ้านจำลองจากยุคโจมงซึ่งเป็นบ้านดินและสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นใหม่ตามการสำรวจทางโบราณคดี
รวมทั้งยังมี พิพิธภัณฑ์โจมงจิยูกัง ( Jomon Jiyugan Museum) ซึ่งมีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดค้นพบบริเวณนี้ ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา หินขัด ลูกปัด
ที่นี่มีค่าเข้าชมอยู่ที่ 410 เยน เข้าได้หมดทั้งพิพิธภัณฑ์ไปจนถึงโซนหมู่บ้านจำลองกลางแจ้ง และแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีครับ
หลังจากเที่ยวที่นี่เสร็จ เราก็นั่งรถเมล์ย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองต่อไปของทริปโทโฮะกุตอนเหนือครับ สำหรับเมืองอาโอโมริ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่คนมาญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะมองข้ามกัน เพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก แต่จากที่ไปเที่ยวที่นี่เป็นเวลา 2 วัน ส่วนตัวผมมองว่าเมืองนี้เป็นเมืองชิลล์ๆ เหมาะแก่การมาพักผ่อน เดินเล่นริมอ่าว เที่ยวแหล่งมรดกโลก เอาเป็นว่า ถ้าใครมาโทโฮะกุแล้วพอมีเวลาซัก 1-2 วัน ก็อยากให้แวะมาเที่ยวที่นี่กันครับ