Welcome to my blog

2 วัน 1 คืน อาโอโมริ เที่ยวเมืองท่าแห่งดินแดนอีสานญี่ปุ่น


สถานที่ท่องเที่ยว : พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (Nebuta Warasse Museum), Japan
พิกัด GPS : 40° 49' 46.10" N 140° 44' 7.88" E

สำหรับใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่น แต่เมื่อพูดถึงจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) เชื่อว่าส่วนใหญ่อาจจะยังไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย และน้อยคนที่จะมาเที่ยวที่นี่ สำหรับรีวิวในตอนนี้ ผมเลยจะรีวิวเมืองที่เป็นศูนย์กลาการปกครองของจังหวัด นั่นก็คือ เมืองอาโอโมริ (Aomori city) ครับ

จริงๆ แล้ว รีวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของทริปสำรวจภูมิภาคโทโฮกุตอนเหนือ (North Tohoku) ซึ่งผมเดินทางในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมได้แวะไปที่ เมืองฮิโรซากิ (Hirosaki) หนึ่งในเมืองสำคัญของจังหวัดอาโอโมริมาแล้ว (ใครยังไม่ได้อ่าน แนะนำให้ไปย้อนอ่านดูก่อนนะครับ) แต่ในบล็อกนี้ ผมจะพาทุกคนไปสัมผัสบรรยากาศของตัวเมืองกันบ้าง โดยผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งหมด 2 วัน 1 คืนครับ

รู้จักกับจังหวัดอาโอโมริ (Aomori)

จังหวัดอาโอโมริ ตั้งอยู่ใน ภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) ซึ่งเป็นภูมิภาคทางตอนเหนือของเกาะหลักของประเทศญี่ปุ่นนั่นก็คือ เกาะฮอนชู (Honshu Island) ครับ จริงๆแล้วโทโฮคุประกอบด้วย 6 จังหวัด ได้แก่ อาโอโมริ (Aomori), อาคิตะ (Akita), อิวาเตะ (Iwate), ยามากาตะ(Yamagata), มิยางิ (Miyagi) และฟุกุชิมะ (Fukushima)โดยภูมิภาคนี้มีชื่อเสียงเรื่องธรรมชาติอันสวยงาม อากาศบริสุทธิ์ ภูเขา ป่าไม้ และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังคงความดั้งเดิมไว้อย่างเข้มข้น

 

คำว่า อาโอโมริ  แปลตรงตัวได้ว่า ป่าที่เขียวขจี เนื่องจากที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และมีผืนป่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่ในขณะเดียวกัน เมืองอาโอโมริซึ่งเป็นเมืองหลักของจังหวัดก็มีความเป็นเมืองท่าที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ด้วยทำเลที่ติดทะเล ทำให้ที่นี่มีอาหารทะเลสดอร่อยเป็นจุดเด่น รวมถึงมีชื่อเสียงในเรื่องของแอปเปิ้ลคุณภาพดีระดับประเทศ และยังมีเทศกาลฤดูร้อนอย่าง Nebuta Matsuri ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วญี่ปุ่นและต่างประเทศ
 

 
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ จังหวัดอาโอโมริมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและน่าสนใจ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนใน วัฒนธรรมโจมง (Jomon Culture) และมีหลักฐานทางโบราณคดีที่โด่งดัง เช่น แหล่งโบราณสถานซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Site) ซึ่งเผยให้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนเมื่อกว่า 5,000 ปีก่อน
 

 
ต่อมาช่วงยุคเอโดะ บริเวณจังหวัดอาโอโมริในปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของแคว้นที่ปกครองโดย ตระกูลสึการุ (Tsugaru clan) ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองฮิโรซากิ ส่วนตัวเมืองอาโอโมรินั้นเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1626 โดยใช้เป็นจุดขนส่งทางเรือ และพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเมืองหลักของจังหวัดในปัจจุบัน
 

การเดินทางเข้าสู่เมืองอาโอโมริ
               
เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆ ของญี่ปุ่น จังหวัดอาโอโมริมีความสะดวกในการเดินทางด้วยระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ทั้งรถไฟ รถบัส และเครื่องบิน ทำให้การไปเยือนที่นี่ไม่ยากเกินไปแม้จะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ
               
สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟ ถ้าใครที่เดินทางมาจากโตเกียวสามารถนั่งรถไฟความเร็วสูงสาย Tohoku Shinkansen มาที่ สถานี Shin-Aomori ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง จากนั้นก็สามารถนั่งรถไฟท้องถิ่นไปยังเมืองต่างๆของจังหวัด รวมทั้งตัวเมืองหลวงของจังหวัดอย่าง เมืองอาโอโมริ (Aomori city) ได้อย่างสะดวก (นั่งต่อมาแค่ 1 สถานี) และก็เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น การเดินทางด้วยรถไฟถ้าอยากประหยัดต้องวางแผนใช้พาสครับ โดยพาสที่สามารถใช้เดินทางมายังเมืองนี้ได้ ก็ได้แก่
  • JR East Pass: Tohoku Area สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อาโอโมริ ปัจจุบันพาสนี้มี 2 แบบคือ แบบใช้ 5 วันติดต่อกัน (30,000 เยน) และแบบใช้ 10 วันติดต่อกัน (48,000 เยน) ครับ
  • JR East-South Hokkaido Rail Pass สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อาโอโมริ แล้วใช้ต่อไปถึงเมืองซัปโปโร (Sapporo) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโดได้ครับ แต่ระยะเวลาใช้ได้แค่ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 35,370 เยน
  • JR Tohoku-South Hokkaido Rail Pass พาสนี้ใช้ได้แค่จากเซนได (Sendai) ผ่านอาโอโมริ แล้วไปถึงที่เมืองซัปโปโร พาสนี้ก็ใช้ได้ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 30,640 เยนครับ
นอกจากนี้ หากใครต้องการประหยัดงบประมาณ การเดินทางโดยรถบัสจากโตเกียวไปอาโอโมริก็เป็นตัวเลือกที่ดี โดยรถบัสจากสถานีรถบัสที่ Shinjuku หรือ Tokyo Station ไปยังอาโอโมริจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 9-10 ชั่วโมง แต่ค่าใช้จ่ายจะต่ำกว่าการเดินทางด้วยชินคันเซ็นหรือเครื่องบิน

การเดินทางภายในเมืองอาโอโมริ

สำหรับที่เที่ยวใกล้กับสถานีรถไฟ เช่น บริเวณทางเดินริมอ่าวอาโอโมริ หรือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (Nebuta Warasse Museum) พวกนี้เราสามารถเดินเที่ยวได้จากสถานีรถไฟครับ แต่สำหรับบางที่เที่ยวที่อยู่ไกลออกไป เช่น วัดเซย์ริวจิ (Seiryuji Temple) หรือ แหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Site) จะต้องนั่งรถเมล์ ซึ่งเดี๋ยวจะอธิบายเกี่ยวกับการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆเหล่านี้ในส่วนต่อๆไปครับ

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางจากเมืองฮิโรซากิ มายังเมืองอาโอโมริ (Aomori City) ด้วยรถไฟสาย Ou Line
  • ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม (Hotel Route Inn Aomori Ekimae)
  • เช้า: เที่ยวพิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบิวตะ (Nebuta Warasse Museum)
  • เที่ยง: กินนกเกะด้ง (Nokke-Don) ที่ตลาดปลาฟุรุกาวะ (Furukawa Fish Market)
  • บ่าย: เที่ยววัดเซย์ริวจิ (Seiryuji Temple)
  • เย็น: เดินเล่นริมอ่าวอาโอโมริ 
วันที่สอง
  • เที่ยวแหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Site)
  • เดินทางต่อไปยังเมืองฮาจิโนะเฮะ (Hachinohe)

ที่พักในเมืองอาโอโมริ

ทริปนี้เราไปพักที่ Hotel Route Inn Aomori Ekimae ครับ โรงแรมนี้อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟอาโอโมริเลย โดยผมจองผ่าน booking.com ได้ในราคาคืนละ 1,800 บาทต่อคนรวมอาหารเช้าครับ


สำหรับสภาพโดยรวมของที่นี่ ก็ถือว่าดีงามตามมาตรฐานญี่ปุ่น สะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีออนเซ็นให้แช่ด้วย อาหารเช้าก็ถือว่าดีกว่าที่คิด เป็นบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น แต่ก็มีหลากหลายพอสมควร ถ้าใครเดินทางมาที่นี่ ผมแนะนำเลยครับ


วันที่หนึ่ง

ทริปนี้ผมเป็นทริปต่อเนื่องมาจากเมืองฮิโรซากิครับ ในช่วงเช้าเรานั่งรถไฟจากเมืองฮิโรซากิ มายังเมืองอาโอโมริ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ค่ารถไฟ 590 เยนครับ


เราฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน เนื่องจากว่ายังไม่ถึงเวลาเช็คอินจากนั้นก็เดินต่อไปที่บริเวณท่าเรืออาโอโมริ เพื่อไปเที่ยวที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (Nebuta Warasse Museum)
 

ที่นี่มีค่าเข้าชม 620 เยนครับ
 

 
เนบูตะ (Nebuta) เป็นเทศกาลพื้นบ้านในแถวภูมิภาคโทโฮะกุตอนเหนือ โดยจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ในจังหวัดอาโอโมริในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปีครับ

จริงๆแล้ว คำว่า เนบูตะ หมายถึง โคมไฟรูปทรงนักรบหรือเทพเจ้า ที่มีขนาดใหญ่และประดับประดาอย่างงดงามอลังการ โคมเหล่านี้ทำจากโครงลวดหุ้มด้วยกระดาษ แล้วระบายสีอย่างประณีต พร้อมติดไฟจากด้านใน โคมไฟเหล่านี้มักมีลวดลายเป็นภาพนักรบจากตำนานจีนหรือตำนานญี่ปุ่น เช่น ตัวละครจากเรื่องไซอิ๋ว หรือสามก๊ก รวมถึงเทพเจ้าและวิญญาณจากความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น เมื่อถึงเทศกาลจะมีการแห่ขบวนโคมไฟเหล่านี้ไปตามถนนในเมืองตอนกลางคืน พร้อมกับผู้คนที่ร่วมเดินขบวน เต้นรำ และร้องเพลงประกอบจังหวะที่เรียกว่า "Rassera Rassera"

 

 
ส่วนพิพิธภัณฑ์นี้จะจัดแสดงเนบูตะที่ชนะเลิศในการประกวดแต่ละปี พอหมดปี เค้าก็จะเอาเนบูตะไปทำลาย แล้วใช้พื้นที่จัดแสดงเนบูตะที่ชนะเลิศของปีถัดไป






ที่นี่ยังจัดแสดงให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ วิธีการทำเนบูตะ และยังมีกิจกรรมให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ลองหัดเต้นประกอบจังหวะที่ใช้ในงานเทศกาลด้วยครับ แต่กิจกรรมนี้จะมีเป็นรอบๆนะ ถ้าใครมาตอนช่วงใกล้ๆรอบ แนะนำให้อยู่รอดู สนุกดีครับ
 

 

จากพิพิธภัณฑ์เราเดินไปยัง ตลาดปลาฟุรุคาวะ (Furukawa Fish Market) ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ความดีงามของตลาดปลานี้ก็คือ เราสามารถสร้างข้าวหน้าทะเลในแบบที่เราชอบได้เลย เมนูนี้เรียกว่า นกเกะด้ง (Nokke-Don) ครับ
 

 
วิธีการสั่งคือ ให้ซื้อคูปองก่อน โดย 2000 เยนจะได้คูปอง 12 ใบ จากนั้นเราก็เดินไปตามร้านต่างๆในตลาด เลือกท็อปปิ้งที่ต้องการได้ตามใจชอบ โดยแต่ละอย่างอาจใช้คูปอง 1 หรือ 2 ใบ พอใช้คูปองหมดก็เดินไปนั่งกินที่โต๊ะที่ทางตลาดจัดไว้ให้ พร้อมโชยู วาซาบิ และน้ำดื่ม
 

 
รสชาติโดยรวม อร่อย อาหารทะเลสดมาก เพราะที่นี่เป็นเมืองท่า แต่ถ้าเทียบปริมาณกับราคา ถือว่าค่อนข้างแพงไปนิด แต่ถ้ามาลองกินสักครั้งก็โอเคนะ
 

พอกินเสร็จ เราก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟอาโอโมริ จากนั้นก็เดินไปยังป้ายรถเมล์หมายเลข 3 เพื่อนั่งรถเมล์สาย J20 ไปยัง วัดเซย์ริวจิ (Seiryuji Temple) ครับ (รถเมล์มีแค่ไม่กี่รอบต่อวันนะ ใครจะไปแนะนำว่า ให้เช็คกับทาง Tourist Information Center หน้าสถานีรถไฟดูก่อน ว่ามีรถรอบกี่โมงบ้าง)
 
 

วัดนี้มีค่าเข้าเข้าชมคนละ 400 เยนครับ
 

 
วัดเซย์ริวจิเป็นวัดสาขาของนิกายชินงอนจาก ภูเขาโคยะ (Koyasan) ก่อตั้งขึ้นในปี 1984 โดยพระภิกษุโอดะ ทาคาฮิโระ (Oda Takahiro) เพื่อเป็นสถานที่สวดมนต์และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง
 

จุดเด่นของวัดนี้ ได้แก่ พระใหญ่โชวะ ไดบุทสึ (Showa Daibutsu) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ปางสมาธิที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
 

ถัดมาคือ เจดีย์ห้าชั้น ที่สร้างจากไม้ฮิบะของอาโอโมริ มีความสูง 39 เมตร ถือเป็นเจดีย์ไม้ที่สูงเป็นอันดับ 4 ของญี่ปุ่น
 

 
เที่ยววัดเสร็จ เราก็นั่งรถเมล์กลับเข้าตัวเมือง แถวสถานีรถไฟจะมีชายหาดที่ชื่อว่า Aomori Ekimae Beach ครับ
 

ใกล้ๆกับชายหาดจะมีร้านขายขนมและของฝากประจำจังหวัดอาโอโมริที่ชื่อว่า A Factory ครับ
 

 
เดินเลยร้าน A factory ไป ก็จะเจอกับ Seikan Train Ferry Memorial Ship Hakkoda-maru ซึ่งเป็นเรือเฟอร์รี่ที่ในอดีตเคยใช้ข้ามฟากระหว่างเมืองอาโอโมริกับเมืองฮาโกดาเตะบนเกาะฮอกไกโด แต่ปัจจุบัน เรือได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว (ค่าเข้าชม 510 เยน)
 
 

เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีรถไฟข้ามเกาะ การจะเดินทางจากเกาะฮอนชูไปยังฮอกไกโดมีแค่ทางเดียว นั่นก็คือ เรือเฟอร์รี่ โดยเรือข้ามฟากบนเส้นทางนี้เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1908 เพื่อขนส่งคน สินค้า และรถไฟ โดยรถไฟสามารถนำขึ้นเรือมาได้โดยตรง เป็นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่มากในยุคนั้น
 

 
ต่อมาเมื่อมีการเปิดใช้งาน อุโมงค์ไซกัง (Seikan) ซึ่งเป็นอุโมงค์รถไฟใต้ทะเลที่ยาวที่สุดในโลกในขณะนั้น (ยาว 53.85 กิโลเมตร) เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเกาะฮอนชูกับเกาะฮอกไกโด ทำให้เรือข้ามฟากถูกยกเลิกการใช้งานอย่างเป็นทางการ หนึ่งในเรือที่เคยใช้งานจริงชื่อว่า ฮักโกดะมารุ (Hakkoda Maru) จึงได้รับการอนุรักษ์ไว้และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เรือที่ท่าเรืออาโอโมริ
 


 

เดินเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆ เราจะเจอกับตึกรูปสามเหลี่ยม ที่นี่ก็คือ Aomori Prefecture Sightseeing Products Mansion (ASPAM) ซึ่งภายในมีร้านขายของฝาก และจุดชมวิวจากมุมสูงของเมืองอาโอโมริ (แต่เราไม่ได้ขึ้นครับ)
 

ใกล้ๆมีรูปปั้นแมวน้ำด้วย ว่ากันว่าบริเวณนี้จะมีแมวน้ำขึ้นมาให้มองเห็นบ้างเป็นครั้งคราวครับ
 

จุดที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ สวนที่ชื่อว่า Aomorikoshinchuofuto Park ซึ่งเป็นสวนริมทะเล พอมองกลับไปจะเห็นตัวเมืองอาโอโมริแบบนี้ครับ
 



 
ประภาคารริมทะเล
 

 
ปิดท้ายวันด้วยภาพเมืองอาโอโมริจากสวนแห่งนี้ เรานั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็เดินย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ เป็นอันปิดวันอย่างประทับใจครับ
 

วันที่สอง

สำหรับวันสุดท้ายที่เมืองอาโอโมริ เรามีแผนจะไปเที่ยวชมแหล่งมรดกโลกที่อยู่ในเมืองนี้เลย นั่นก็คือ แหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Site) ครับ

 

สำหรับวิธีการเดินทางไปยังซันไนมารุยามะ ก็คือให้เดินมาที่ สถานีรถไฟอาโอโมริ แล้วเดินออกมาทาง West Exit จะเจอกับป้ายรถเมล์ ให้ขึ้นรถเมล์ Nebutan-Go ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ค่ารถเมล์ 300 เยน (รถเมล์มีวันละแค่ 4 รอบ ใครจะไปแนะนำให้ไปขอตารางรถเมล์จาก Tourist Information Center หน้าสถานีรถไฟก่อนนะครับ จะได้วางแผนเที่ยวได้)
ถ้าถามว่าที่นี่สำคัญยังไง ก่อนอื่นต้องบอกว่า ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้เมื่อปี 2021ครับ โดย แหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะ เป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดีสมัย ยุคโจมง (Jomon period)

 
 

อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่ายุคโจมงคืออะไร ยุคโจมง (Jomon period) เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ครอบคลุมระยะเวลาประมาณ 14,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถึง 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยคำว่า โจมง แปลว่า ลายเชือก มาจากลวดลายที่ปรากฏบนเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยุคนี้ โดยการกดหรือพันเชือกลงไปบนดินเหนียวก่อนเผา
 

 
สำหรับแหล่งโบราณคดีซันไนมารุยามะมีอายุประมาณ 5,500 – 4,000 ปีก่อน หรืออยู่ในช่วงกลางของยุคโจมง โดยมีการค้นพบโครงสร้าง เสาไม้ขนาดใหญ่ 6 ต้น ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นหอสังเกตการณ์หรือสิ่งปลูกสร้างสำคัญ
 



ที่นี่จะมีบ้านจำลองจากยุคโจมงซึ่งเป็นบ้านดินและสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นใหม่ตามการสำรวจทางโบราณคดี
 


 

รวมทั้งยังมี พิพิธภัณฑ์โจมงจิยูกัง (Jomon Jiyugan Museum) ซึ่งมีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดค้นพบบริเวณนี้ ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา หินขัด ลูกปัด
 





 
ที่นี่มีค่าเข้าชมอยู่ที่ 410 เยน เข้าได้หมดทั้งพิพิธภัณฑ์ไปจนถึงโซนหมู่บ้านจำลองกลางแจ้ง และแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีครับ
 

 
หลังจากเที่ยวที่นี่เสร็จ เราก็นั่งรถเมล์ย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองต่อไปของทริปโทโฮะกุตอนเหนือครับ

สำหรับเมืองอาโอโมริ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่คนมาญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะมองข้ามกัน เพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก แต่จากที่ไปเที่ยวที่นี่เป็นเวลา 2 วัน ส่วนตัวผมมองว่าเมืองนี้เป็นเมืองชิลล์ๆ เหมาะแก่การมาพักผ่อน เดินเล่นริมอ่าว เที่ยวแหล่งมรดกโลก เอาเป็นว่า ถ้าใครมาโทโฮะกุแล้วพอมีเวลาซัก 1-2 วัน ก็อยากให้แวะมาเที่ยวที่นี่กันครับ




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2568    
Last Update : 15 มิถุนายน 2568 15:36:42 น.
Counter : 85 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

2 วัน 1 คืน ฮิโรซากิ อลังการซากุระ ณ เมืองซามูไรแห่งดินแดนอีสานญี่ปุ่น


 
สถานที่ท่องเที่ยว : ซากุระรูปหัวใจที่งานเทศกาลซากุระ ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle), Japan
พิกัด GPS : 40° 36' 28.41" N 140° 27' 47.95" E

ถ้าพูดถึงประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่าสิ่งแรก ๆ ที่ทุกคนนึกถึงก็คงหนีไม่พ้นดอกซากุระที่บานสะพรั่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และหนึ่งในสถานที่ชมซากุระที่สวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดก็คือ เมืองฮิโรซากิ (Hirosaki) ใน จังหวัดอาโอโมริ (Aomori prefecture) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของภูมิภาคโทโฮะกุ เมืองแห่งนี้มีบรรยากาศเงียบสงบ โอบล้อมด้วยธรรมชาติและกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต เนื่องจากเมืองนี้ที่ตั้งของ ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki castle) ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่โดดเด่นทั้งด้านสถาปัตยกรรมและความงดงามของสวนโดยรอบ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ต้นซากุระกว่า 2,600 ต้นจะผลิบานพร้อมกันทั่วบริเวณ ทำให้สวนปราสาทกลายเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น

ทริปนี้ผมใช้เวลาอยู่ที่ฮิโรซากิทั้งสิ้น 2 วัน 1 คืนครับ จริงๆแล้วรีวิวนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ทริปโทโฮกุตอนเหนือ (North Tohoku) ในช่วงปลายเดือนเมษายน ซึ่งเริ่มต้นและจบลงที่โตเกียว โดยผมเริ่มต้นการเดินทางที่เมืองฮิโรซากิแห่งนี้ ส่วนเมืองอื่นๆ ผมจะนำมารีวิวในตอนต่อๆไปนะครับ

รู้จักกับเมืองฮิโรซากิ (Hirosaki)

เมืองฮิโรซากิ (Hirosaki) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ จังหวัดอาโอโมริ (Aomori prefecture) ใน ภูมิภาคโทโฮะกุ (Tohoku) เดิมทีเมืองนี้เคยเป็นศูนย์กลางอำนาจของ ตระกูลสึการุ (Tsugaru Clan) ในยุคเอโดะ โดยมี ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle) ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1611 เป็นศูนย์กลางการปกครอง


นอกจากเรื่องราวทางประวััติศาสตร์แล้ว ปราสาทฮิโรซากิิยังเป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงติดอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น โดยในฤดูใบไม้ผลิ สวนรอบปราสาทจะถูกเต็มไปด้วยดอกซากุระบานสะพรึ่งเป็นที่ดึงดูดของนักท่องเที่ยวทั้งจากญี่ปุ่นและต่างประเทศ โดยในช่วงดังกล่าว ที่ปราสาทจะมีการจัดงาน Hirosaki Cherry Blossom Festivel ซึ่งผมได้ไปงานดังกล่าวมาในทริปนี้ด้วยครับ

นอกจากซากุระแล้ว ฮิโรซากิยังโดดเด่นด้วยเทศกาลท้องถิ่นอย่าง “ฮิโรซากิ เนปุตะ มัตสึริ” (Hirosaki Neputa Matsuri) ซึ่งจัดขึ้นในฤดูร้อน โดยมีขบวนโคมไฟขนาดใหญ่ในรูปทรงพัดประดับภาพนักรบโบราณ เดินขบวนพร้อมเสียงดนตรีพื้นบ้านอย่างยิ่งใหญ่

นอกจากนี้ ฮิโรซากิยังขึ้นชื่อว่าเป็น เมืองแห่งแอปเปิ้ล เพราะเป็นแหล่งผลิตแอปเปิลที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยมีสวนแอปเปิ้ลเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วย แต่ในทริปนี้ผมไม่ได้ไปนะครับ 

การเดินทางไปยังเมืองฮิโรซากิ

สำหรับการเดินทางมายังเมืองฮิโรซากิ  หลักๆมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธีครับ

1. รถไฟ ถ้าเดินทางมาจากโตเกียว ให้นั่งรถไฟความเร็วสูงสาย Tohoku Shinkansen จาก Tokyo Station ไปยัง Shin-Aomori Station ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 15 นาที จากนั้นให้ต่อรถไฟท้องถิ่น สาย JR Ou Line ไปยัง Hirosaki Station ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 40 นาที และเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น การเดินทางด้วยรถไฟถ้าอยากประหยัดต้องวางแผนใช้พาสครับ โดยพาสที่สามารถใช้เดินทางมายังเมืองนี้ได้ ก็ได้แก่

  • JR East Pass: Tohoku Area สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อาโอโมริ ปัจจุบันพาสนี้มี 2 แบบคือ แบบใช้ 5 วันติดต่อกัน (30,000 เยน) และแบบใช้ 10 วันติดต่อกัน (48,000 เยน) 
  • JR East-South Hokkaido Rail Pass สามารถใช้เดินทางจากโตเกียวมาถึงที่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคโทโฮะคุ รวมทั้งที่อาโอโมริ แล้วใช้ต่อไปถึงเมืองซัปโปโร (Sapporo) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโดได้ครับ แต่ระยะเวลาใช้ได้แค่ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 35,370 เยน
  • JR Tohoku-South Hokkaido Rail Pass พาสนี้ใช้ได้แค่จากเซนได (Sendai) ผ่านอาโอโมริ แล้วไปถึงที่เมืองซัปโปโร พาสนี้ก็ใช้ได้ 6 วันติดต่อกัน ราคาอยู่ที่ 30,640 เยนครับ

2. รถบัส ปัจจุบันมีรถบัสของ Konan Bus ซึ่งจะออกเดินทางในช่วงกลางคืนจากโตเกียว (ชินจูกุ) ไปยังฮิโรซากิ โดยค่ารถจะอยู่ระหว่าง 5,000 จนถึง 10,000 เยน ใครจะเดินทางด้วยวิธีนี้แนะนำให้จองล่วงหน้านะครับ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลอย่างช่วงซากุระ เพราะตั๋วเต็มเร็วมาก

สำหรับวิธีการจอง แนะนำให้จองผ่าน https://secure.j-bus.co.jp/hon/RouteList/List?uncd=0201

3. เครื่องบิน ปัจจุบันมีไฟลท์จากโตเกียว (นาริตะและฮาเนดะ), โอซาก้า (Itami Airport), นาโกย่า,  ฮอกไกโด (ชิโตะเสะ), เกาหลีใต้ (อินชอน) และไต้หวัน (เถาหยวน) ไปลงที่ สนามบินอาโอโมริ (Aomori Airport) และจากสนามบินอาโอโมริ จะมีรถเมล์มายังเมืองฮิโรซากิในราคา 1,200 เยน สามารถแตะจ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มีสัญลักษณ์ paywave บนรถได้เลยครับ

 

การเดินทางภายในเมืองฮิโรซากิ

เมืองฮิโรซากิจะมีย่านเมืองเก่าซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่าง ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Catle) แต่ย่านนี้จะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟออกไปพอสมควรครับ (ประมาณ 3 กิโลเมตร) ถ้าใครจะมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ ตรงบริเวณรอบๆสถานีรถไฟจะมีจักรยานให้เช่าอยู่หลายจุดครับ แต่ต้องคืนก่อนถึง 4 โมงเย็น และเช่าข้ามคืนไม่ได้ ผมเลยไม่ได้เช่า

ถ้าใครสนใจลองอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ https://www.hirosaki-kanko.or.jp/en/edit.html?id=rental_bicycle

นอกจากจักรยาน ที่นี่ก็มีรถเมล์อยู่หลายสายครับ แต่สายที่แนะนำให้ขึ้นคือ Dotemachi loop bus สาย 1 ซึ่งจะวิ่งเป็นวงกลมจากสถานีรถไฟไปยังตัวปราสาทฮิโรซากิ โดยค่ารถจะอยู่ที่ 150 เยนตลอดสาย

เมืองนี้ยังมีแท็กซี่ด้วยครับ แต่ค่าแท็กซี่ที่เมืองนี้แพงพอสมควรเลย เช่น จากปราสาทฮิโรซากิกลับไปที่พักใกล้สถานีรถไฟ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ค่ารถตามมิเตอร์อยู่ที่ 1,200 เยน ซึ่งก็ถือว่าเอาเรื่องอยู่ครั

วิธีสุดท้ายคือ ถ้าใครเป็นสายเดิน เดินเก่ง จะเดินเที่ยวก็ได้ครับ ยิ่งถ้ามาช่วงซากุระ อากาศเย็นสบาย แป๊บเดียวก็ถึงครับ (ผมเดินมาแล้ว)


แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง

  • เดินทางด้วยรถบัสนอนข้ามเมืองตั้งแต่คืนก่อนหน้า จากสถานีรถบัสที่ย่านชินจูกุในกรุงโตเกียวไปยังเมืองฮิโรซากิ มาถึงในช่วงเช้า
  • นำกระเป๋าไปฝากที่โรงแรม (Hotel Route Inn Hirosaki Ekimae)
  • เช้า: เดินเที่ยวชมเมือง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยฮิโรซากิ (Hirosaki Museum of contemporary art) / วัดไซโชอิน (Saichoin Temple) / อาคารธนาคารเก่า (Former Fifty Ninth Bank Head Office) / ศาลเจ้าฮิโรซากิ (Hirosaki Tenmangu shrine)
  • บ่าย: สวนฟุจิตะ (Fujita Garden) / สวนพฤกษศาสตร์ (Botanic garden) / ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle)
วันที่สอง
  • เดินทางด้วยรถไฟต่อไปยังเมืองอาโอโมริ (Aomori City)
ที่พัก

ผมเลือกพักที่ Hotel Route Inn Hirosaki Ekimae ครับ ที่นี่เป็นหนึ่งในเครือโรงแรมบิสิเนสโฮเต็ลของญี่ปุ่น ซึ่งข้อดีของโรงแรมในเครือนี้คือ มักจะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ สะอาดตามมาตรฐานญี่ปุ่น และมักจะมีออนเซ็นให้ ส่วนราคาอยู่ในระดับกลางๆค่อนไปในทางถูก และค่าห้องรวมอาหารเช้าไว้แล้ว (โรงแรมญี่ปุ่นมักจะไม่ค่อยรวมอาหารเช้าให้ ถ้าอยากทานต้องจ่ายเพิ่ม) แต่ข้อเสียสำคัญคือห้องแคบครับ เหมาะสำหรับคนที่จะใช้ห้องสำหรับนอนตอนกลางคืนอย่างเดียว

 

ผมจองที่พักนี้ได้ในราคา 2,500 บาทต่อคืนผ่านทาง Trip.com ครับ เท่าที่ติดตามราคามา ปกติโรงแรมนี้ราคาค่อนข้างถูกครับ ยกเว้นช่วงเทศกาลราคาจะดีดขึ้น 3-4 เท่าได้เลยทีเดียว ดังนั้นใครจะเดินทางมาที่เมืองนี้ โดยเฉพาะช่วงซากุระ อาจจะต้องวางแผนการเดินทางให้ดี ควรจองที่พักตั้งแต่เนิ่นๆ (ผมจองล่วงหน้า 5 เดือน)

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้ผมนั่งรถบัสนอนจากโตเกียวตั้งแต่คืนก่อนหน้าครับ โดยรถบัสจะมาถึงที่ฮิโรซากิในช่วงเช้าตรู่ โดยรถบัสจะจอดแถว สถานีรถไฟฮิโรซากิ จากนั้น เราก็เดินมาที่โรงแรมที่จองไว้ นั่นก็คือ Hotel Route Inn Hirosaki Ekimae ซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟ แต่เนื่องจากเรามาถึงเช้าก็เลยเช็คอินไม่ได้ ผมเลยฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนออกไปเที่ยว

 

มาเริ่มกันที่จุดแรก นั่นก็คือ สถานีรถไฟฮิโรซากิ ครับ ด้านหน้าของสถานีจะมีอนุสาวรีย์ของเด็กสองคนที่คนฮิโรซากิจะเรียกว่า ฟุตาริ โนะ โซ ซึ่งแปลว่า รูปปั้นของคนสองคน ซึ่งสื่อถึงความหวัง นั่นก็คือ เยาวชนที่เป็นอนาคตของเมืองฮิโรซากินั่นเองครับ
 

 

 
แถวสถานีรถไฟมีร้านเช่าจักรยานอยู่ค่อนข้างเยอะครับ สามารถเดินหาแถวนั้นได้เลย แต่สิ่งที่ต้องรู้คือ ถ้ามาที่เมืองนี้ช่วงที่มีงานเทศกาลซากุระที่ปราสาทฮิโรซากิ เราไม่สามารถปั่นจักรยานไปที่ปราสาทได้นะครับ เพราะคนจะเยอะมาก แล้วเค้าจะไม่ให้ปั่น ต้องจูงเอา ด้วยเหตุนี้ผมเลยไม่เช่าจักรยาน แต่ใช้วิธีการเดินเอา
 

 
จากสถานี เดินมาประมาณ 20 นาที จะเจอกับตึกเก่าสวยๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยฮิโรซากิ (Hirosaki Museum of contemporary art) ซึ่งด้านในจัดแสดงเป็นแกลอรี่งานศิลปะคนศิลปินท้องถิ่นในแถบนี้ ผมไม่ได้เข้าที่นี่นะครับ เพราะไม่ได้อินกับกับพวกงานศิลปะ แต่มาถ่ายรูปเล่นด้านหน้า ซึ่งมีต้นซากุระบานบ้างแล้ว
 



จากพิพิธภัณฑ์เดินมาไม่ไกลก็เจอวัดที่มีเจดีย์ 5 ชั้นครับ วัดนี้มีชื่อว่า วัดไซโชอิน (Saishoin Temple)
 
 
วัดไซโชอินก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1532 และย้ายมาตั้งอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันเมื่อปี ค.ศ. 1611 หลังจากการสร้างปราสาทฮิโรซากิแล้วเสร็จ โดยทำหน้าที่เป็นวัดประจำตระกูลสึการุที่ปกครองเมืองฮิโรซากิอยู่ในยุคเอโดะ
 

 สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของวัดนี้ก็คือ เจดีย์ห้าชั้นที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1667 โดยสึกะรุ โนบุโยชิ (Tsugaru Nobuyoshi) เพื่ออุทิศให้กับวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในสงครามเพื่อรวมภูมิภาคสึกะรุ เจดีย์นี้มีความสูง 31.2 เมตร และถือเป็นเจดีย์ห้าชั้นที่อยู่ทางเหนือสุดของญี่ปุ่น ปัจจุบันเจดีย์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเจดีย์ที่สวยงามที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ
 

ปกติวัดนี้ไม่มีค่าเข้าครับ ยกเว้นช่วงงานเทศกาลซากุระ จะมีค่าเข้า 800 เยน ซึ่งถ้ามาถูกช่วง ซากุระที่นี่ก็ถือว่าสวยมากครับ
 
 
 
จากวัด เราเดินต่อมาที่ ศาลเจ้าฮิโรซากิเท็นมังงุ (Hirosaki Tenmangu shrine) ครับ จริงๆตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมซะเท่าไหร่ แต่ผมเดินแบบงงๆมาเรื่อยๆเพื่อไปปราสาท ก็เลยมาเจอที่นี่ครับ
 

 

 
 
ที่นี่เป็นศาลเจ้าสำหรับบูชาเทพเจ้าแห่ง ภูเขาอิวากิ (Mount Iwaki) ซึ่งเป็นภูเขาหิมะที่มีรูปร่างคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิ จึงได้รับสมญานามว่าเป็น ภูเขาฟูจิแห่งสึการุ และสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากศาลเจ้าแห่งนี้ครับ
 

ที่ศาลเจ้านี้จริงๆมันอยู่ใกล้ปราสาทมากแล้วล่ะครับ แต่ก่อนที่จะเข้าไปชมปราสาทยาวๆ เราขอแวะทานข้าวก่อน โดยร้านที่ผมจะมาแนะนำชื่อว่า Tazawa Shokudo ซึ่งเดินจากศาลเจ้าไปไม่ถึง 5 นาที ร้านนี้จะเด่นพวกข้าวหน้าแกงกะหรี่ญี่ปุ่น แต่ก็มีอาหารหลายอย่างครับ ที่สำคัญราคาถูกและอร่อย ผมเลยเอามาแนะนำบอกต่อ
 


 
ทานข้าวเสร็จ เราก็เดินต่อมาที่ สวนฟุจิตะ (Fujita Memorial Garden) ครับ
 

สำหรับสวนนี้จะมีค่าเข้าชมอยู่ที่ 320 เยน แต่ถ้าเราจะไปเที่ยวปราสาทฮิโรซากิ รวมทั้งสวนพฤกษศาสตร์ด้วย จะมีตั๋ว combo ticket ขายอยู่ที่ 520 เยนครับ
 





 
สวนนี้ก่อตั้งในปี 1919 เพื่อใช้เป็นวิลล่าตากอากาศของ เคนอิจิ ฟุจิตะ (Kenichi Fujita) ซึ่งเป็นนักการเมืองและนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
 

หลังจากเที่ยวสวนเราก็มาต่อกันที่ปราสาทครับ เริ่มที่คูน้ำด้านหน้าปราสาท จะมีต้นซากุระเรียงรายเป็นแนวยาวมากกว่า 2,600 ต้น ปกติแล้วซากุระที่นี่จะบานช่วงกลางเดือนเมษายน ประมาณวันที่ 20 เป็นต้นไปครับ แต่ถ้าใครจะมาในปีต่อๆไป แนะนำให้เช็คอีกที เพราะในแต่ละปี อากาศจะไม่เหมือนกัน อย่างปีที่ผมไป อากาศหนาวนาน ซากุระที่นี่จะบานช่วงเกือบๆปลายเดือนเมษายนแล้ว
 




 
 เดินเข้ามาด้านใน บริเวณรอบๆตัวปราสาทจะเข้าชมได้ฟรีครับ มาถ่ายรูปกับซากุระเฉยๆก็ได้ แต่ถ้าจะเข้าไปใน หอคอยปราสาท (Tenshu) กับ สวนพฤกษศาสตร์ (Botanic Garden) จะมีค่าเข้าชมซึ่งเราได้ซื้อเป็นตั๋ว combo ticket ร่วมกับ Fujita Garden ไว้แล้ว
 





จุดหนึ่งที่คนแห่กันไปถ่ายรูปกันก็คือ หัวใจซากุระ ที่เกิดจากกิ่งของต้นซากุระที่ทับซ้อนกันจนมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจเมื่อมองจากมุมที่เหมาะสม (ทางปราสาทจะ mark จุดไว้เลยครับว่า ต้องมองจากตรงไหนถึงจะเห็นเป็นรูปหัวใจ)
 

มาทำความรู้จักกับปราสาทแห่งนี้กันครับ ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle) ถูกสร้างขึ้นในปี 1611 โดย สึการุ โนบุฮิระ (Tsugaru Nobuhira) ซึ่งเป็นลูกชายของ สึการุ ทาเมโนบุ (Tsugaru Tamenabu) ผู้ก่อนตั้งแคว้นสึการุในช่วงยุคเอโดะ ด้วยเหตุนี จึงมีอนุสาวรีย์ของท่านตั้งอยู่หน้าศาลาว่าการเมืองฮิโรซากิ
 
 
ช่วงทึ่ผมไปเป็นช่วงที่ซากุระกำลังบาน ทางปราสาทฮิโรซากิจะจัด งานเทศกาลซากุระ (Hirosaki Cherry Blossom Festival) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทศกาลชมซากุระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของญี่ปุ่น โดยปกติจะจัดในช่วงกลางเดือนเมษายนจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมครับ (ปี 2025 จัดระหว่างวันที่ 18 เมษายนถึง  5 พฤษภาคม) อย่างไรก็ตามซากุระในแต่ละปีจะบานในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน สามารถเช็คสถิติย้อนหลังได้ที่นี่ครับ https://www.hirosaki-kanko.or.jp/en/edit.html?id=edit13)

ในช่วงงานเทศกาลซากุระ จะมีขายทั้งอาหาร และการแสดง ผู้คนชาวญี่ปุ่นจะแห่กันมาที่ปราสาทแห่งนี้เพื่อนั่งปิคนิคชมดอกซากุระกัน

 


 
ภายในปราสาทจะมี ศาลเจ้ากิตะโนมารุ อินาริ (Kitanomaru Inari Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่เป็นที่ประดิษฐานของ เทพอินาริ เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ การเกษตร การค้า และความเจริญรุ่งเรือง

 

 
ปัจจุบันปราสาทเหลือแต่หอคอยปราสาทที่เรียกว่า เท็นชู (Tenshu) ครับ เนื่องจากยุคปฏิรูปเมจิ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นยุคหลังระบอบโชกุน ต้องการลดอิทธิพลของผู้ครองแคว้นต่างๆ ปราสาทหลายแห่งทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่นจึงทยอยถูกรื้อทิ้ง (เพื่อป้องกันการก่อกบฏ)
 

 
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในปี 2015 ฐานหินที่รองรับปราสาทฮิโรซากิเริ่มทรุดตัว ดังนั้นเพื่อซ่อมแซม จึงมีการเคลื่อนย้ายตัวปราสาทออกจากฐานหินเดิม ซึ่งเป็นงานวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่มากในประวัติศาสตร์การอนุรักษ์ของญี่ปุ่น โดยการซ่อมแซมนี้จะแล้วเสร็จภายในปี 2026 ดังนั้น ปีที่ผมมาดูปราสาทซึ่งก็คือปี 2025 จะเป็นปีสุดท้ายที่ปราสาทจะตั้งอยู่บนฐานหินชั่วคราวครับ
 
 
ภูเขาอิวากิจากบริเวณหอคอยปราสาทครับ เรามาตอนที่พระอาทิตย์เริ่มตกแล้ว
 

โดยส่วนตัว ผมเที่ยวญี่ปุ่นมาก็หลายทริป ดูซากุระมาก็หลายเมือง ส่วนตัวผมให้ฮิโรซากิเป็นเมืองที่ซากุระเยอะและสวยที่สุดแล้ว
 

 

 
ปีหน้า ใครไปงานเทศกาลซากุระที่นี่ แนะนำให้อยู่ที่ปราสาทนี้จนถึงตอนกลางคืนนะครับ เราจะได้เห็นบรรยากาศตอนที่ประดับไฟ
 

 
ผมอยู่ที่นี่ถึงสามทุ่มกว่าครับ เดินถ่ายรูป ดูอะไรไปเรื่อย พอเดินออกมานอกปราสาทก็เจอกับตึกนี้ เรียกว่า พิพิธภัณฑ์อาคารธนาคารอาโอโมริ (Former Fifty-Ninth Bank Aomori Bank Museum) ซึ่งออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองส์ตะวันตก และในอดีตเคยเป็นสำนักงานธนาคารมาก่อน แต่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีค่าเข้าชม 200 เยน (ผมไม่ได้เข้านะครับ เพราะตอนกลางคืนปิดแล้ว)
 

 ปัญหาอยู่ที่ขากลับนี่แหละ เราเรียกแท็กซี่กลับไปที่โรงแรมแถวสถานีรถไฟ โดนไป 1,200 กว่าเยน ซึ่งถือว่าราคาแรงใช้ได้เลยกับระยะทางแค่ 2 กิโลกว่า อาจจะเพราะรถติดด้วยแหละครับ ใครจะไปงานเทศกาลซากุระปีถัดไป ถ้าจะเรียกแท็กซี่ แนะนำให้เดินออกมาตรงถนนที่ไม่ใช่หน้าปราสาทนะครับ ไม่งั้นเจอรถติด มิเตอร์ยิ่งแพง
 
วันที่สอง

วันนี้เรามีแผนย้ายเมืองครับ เมืองต่อไปที่จะมารีวิวนั่นก็คือ เมืองอาโอโมริ (Aomori City) ซึ่งเป็นเมืองท่าริมอ่าว และเป็นประตูสู่เกาะฮอกไกโด ผมจะมารีวิวเมืองนี้ต่อในตอนหน้าครับ

 




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2568    
Last Update : 15 มิถุนายน 2568 19:04:32 น.
Counter : 250 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

3 วัน 2 คืน คานาซาวะ เยือนถิ่นดินแดนซามูไรแห่งภูมิภาคโฮกุริคุ

 
สถานที่ท่องเที่ยว : สวนเคนโระคุเอ็น (Kenrokuen Garden), Japan
พิกัด GPS : 36° 33' 42.58

ในอดีตก่อนที่ประเทศญี่ปุ่นจะเป็นแบบที่เราเห็นทุกวันนี้ ดินแดนนี้ถูกปกครองด้วยโชกุนซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ อย่างไรก็ตาม ในยุคโชกุนที่เรืองอำนาจนั้น ก็ยังมีแคว้นเล็กแคว้นน้อยต่างๆ อยู่ภายใต้การปกครองของโชกุนอีกที โดยผู้ปกครองแคว้นเหล่านี้จะถูกเรียกว่า ไดเมียว (Daimyo) ซึ่งมีอำนาจมากบ้าง น้อยบ้างแตกต่างกันไป

ในรีวิวตอนนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวที่ เมืองคานาซาวะ (Kanazawa) ซึ่งในอดีตเมืองเป็นศูนย์กลางการบริหารงานของ แคว้นคากะ (Kaga Domain) ภายใต้การปกครองของ ไดเมียวตระกูลมาเอะดะ (Maeda clan) ซึ่งเป็นตระกูลไดเมียวที่เรืองอำนาจมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆในยุคเอโดะที่มีโชกุนเป็นผู้ปกครองสูงสุด โดยผมได้ใช้เวลาอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลาทั้งสิ้น 3 วัน 2 คืนครับ

รู้จักกับเมืองคานาซาวะ (Kanazawa)

คานาซาวะเป็นเมืองหลวงของ จังหวัดอิชิกาวะ (Ishikawa Prefecture) ซึ่งอยู่ในเขต ภูมิภาคโฮคุริคุ (Hokuriku region) ของญี่ปุ่นครับ

 

เนื่องจากในอดีตคานาซาวะเคยเป็นศูนย์กลางการบริหารงานของ แคว้นคากะ (Kaga Domain) ภายใต้การปกครองของ ไดเมียวตระกูลมาเอะดะ (Maeda clan) ซึ่งเป็นแคว้นที่มั่งคั่ง เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นทางการค้า ทำให้ที่แคว้นคากะมีการพัฒนาทางด้านศิลปวัฒนธรรม ปัจจุบันจึงมีร่องรอยโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับแคว้นนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปราสาทคานาซาวะ (Kanazawa castle), สวนเคนโระคุเอ็น (Kenrokuen garden), ย่านโรงน้ำชาฮิกาชิชายะ (Higashi Chaya) และ ศาลเจ้าโอยามะ (Oyama shrine) เป็นต้น
 
 
นอกจากนี้คานาซาวะยังนำเอาความเป็นเมืองแห่งศิลปะมาเป็นจุดขายของเมือง ที่นี่จึงมีความอาร์ต รวมทั้ง มีการสร้าง พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Museum of contemporary art museum) ให้เป็นจุดขายหลักของเมืองนี้ด้วยครับ

การเดินทางเข้าสู่เมืองคานาซาวะ  

เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของประเทศญี่ปุ่น เมืองคานาซาวะก็สามารถเดินทางไปมาได้ด้วยรถไฟ ไม่ว่าจะมาจากโตเกียว (Tokyo) หรือ โอซาก้า (Osaka) โดยปัจจุบันมีรถไฟความเร็วสูงสาย Hokuriku Shinkansen มาที่คานาซาวะ ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวเพียงแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ส่วนการเดินทางจากเมืองโอซาก้า ให้นั่งรถไฟขบวน Thunderbird มาลงที่ เมืองสีรุกะ (Tsuruga) ด้วยรถไฟ Limited Express ขบวน Thunderbird ก่อน จากนั้นก็นั่ง Hokuriku Shinkansen ต่อมาที่เมืองคานาซาวะ ใช้เวลาเดินทางรวมทั้งหมดประมาณ 2-3 ชั่วโมง (รวมระยะเวลาเปลี่ยนขบวน) ครับ (แนะนำให้เช็คข้อมูลขบวนรถไฟได้ใน แอป Japan Transit Planner)

 
สำหรับในทริปนี้ ผมเดินทางมาจากเมืองโทยามะครับ โดยผมนั่งรถไฟความเร็วสูงสาย Hokuriku Shinkansen มาที่คานาซาวะ ใช้เวลาเดินทางเพียง 20 นาทีเท่านั้น สะดวกมากเลย
 

เนื่องจากในทริปนี้ ผมเดินทางเที่ยวหลายเมืองจากโอซาก้า มาที่เมืองฟุกุอิ (Fukui city), โทยามะ(Toyama city) จากนั้นก็มาต่อที่เมืองคานาซาวะ (Kanazawa) เพื่อประหยัดค่าเดินทาง ผมเลยเลือกใช้ JR Kansai Hokuriku Area Pass ซึ่งจะครอบคลุมการเดินทางในแถบเมืองเหล่านี้ รวมทั้งภูมิภาคคันไซ ไม่ว่าจะเป็นโอซาก้า, นารา (Nara), เกียวโต (Kyoto), โกเบ (Kobe) สามารถใช้ได้ 7 วันติดต่อกัน



ใครที่มีแผนเที่ยวประมาณนี้ แนะนำให้ลองพิจารณาเลือกใช้พาสตัวนี้ดูนะครับ โดยราคาพาสคิดเป็นเงินไทยจะอยู่ที่ประมาณ 4 พันบาท

ทางไปจอง https://www.klook.com/th/activity/2771-7-day-jr-kansai-hokuriku-area-pass-jr-pass/

 

ส่วนพาสอื่นๆที่สามารถใช้เดินทางไปยังเมืองคานาซาวะได้ ได้แก่
  • JR Hokuriku Arch Pass เหมาะสำหรับใช้เดินทางจากโตเกียวไปยังโอซาก้า โดยผ่านที่เมืองคานาซาวะด้วย (สามารถใช้ได้ 7 วันติดต่อกัน)
  • JR Takayama Hokuriku Area Pass เหมาะสำหรับใช้เดินทางจากนาโกย่าไปยังโอซาก้า โดยผ่านที่เมืองทากายามะ (Takayama) รวมทั้งเมืองคานาซาวะด้วย (สามารถใช้ได้ 5 วันติดต่อกัน)
แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางจากจังหวัดโทยามะ (Toyama Prefecture) มาถึงที่เมืองคานาซาวะในช่วงเย็น
  • เช็คอินเข้าที่พัก (Kanazawa Manten Hotel)
วันที่สอง
  • เที่ยวเต็มวันที่เมืองคานาซาวะด้วย Kanazawa Loop Bus โดยเที่ยวที่ซากปราสาทคานาซาวะ (Kanazawa castle), สวนเค็นโระคุเอ็น (Kenrokuen Garden), ตลาดปลาโอมิโจ (Omicho Fish Market), ศาลเจ้าโอยามะ (Oyama Jinja Shrine), วัดนินจา (Ninja Temple), ย่านโรงน้ำชา (Higashichaya)
วันที่สาม
  • เดินทางจากคานาซาวะต่อไปยงเมืองโอซาก้า
ที่พักในเมืองคานาซาวะ

ทริปนี้ผมพักที่ Kanazawa Manten Hotel เป็นเวลา 2 คืนครับ โดยส่วนตัวผมประทับใจที่นี่มากเลย เพราะทั้งใกล้สถานีรถไฟ เดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวก ห้องก็โอเคตามมาตรฐานญี่ปุ่น และมีออนเซ็นให้บริการด้วย

ผมจองที่พักนี้ผ่าน Booking ได้ในราคาคืนละ 1,400 บาทไม่รวมอาหารเช้าครับ

 

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้ผมเดินทางต่อมาจากจังหวัดโทยามะครับ โดยก่อนหน้านั้น เราได้เที่ยวที่ เมืองทากะโอกะ (Takaoka) ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่าง เมืองโทยามะ (Toyama city) กับเมืองคานาซาวะ 

 

เรามาถึงที่คานาซาวะในช่วงเวลาตอนเย็น สิ่งแรกที่เมื่อมาถึงที่คานาซาวะ เราจะเจอกับ ประตู Tsuzumi-mon ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของ สถานีรถไฟคานาซาวะ (Kanazawa Railway Station)
 

 
ประตู Tsuzumi-mon สร้างขึ้นโดยใช้แบบมาจากกลอง Tsuzumi ซึ่งเป็นกลองโบราณที่ใช้สำหรับการเล่นประกอบการแสดง คาบูกิ และ ละครโนห์ ซึ่งเป็นการแสดงพื้นบ้านชนิดหนึ่งที่นิยมมากในกลุ่มคนชนชั้นสูงชาวญี่ปุ่นในอดีต)

หลังจากถ่ายรูปกับประตูเสร็จ เราก็เดินไปที่โรงแรม Kanazawa Manten Hotel แล้วพักผ่อนเอาแรง สำหรับเที่ยวที่เมืองนี้ในวันรุ่งขึ้นครับ

วันที่สอง

วันนี้เราจะใช้เวลาที่เมืองคานาซาวะเต็มวันครับ การเดินทางในวันนี้เราจะเที่ยวโดยใช้รถเมล์ที่ เรียกว่า Kanazawa Loop Bus ซึ่งเป็นรถเมล์ที่ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวทั่วทั้งเมืองนี้เลย

รถเมล์นี้ต้นสายจะอยู่ที่สถานีรถไฟคานาซาวะ จากตรงนี้ รถเมล์จะวนรอบเมืองเป็นสองเส้นทางคือ
  • Right Loop ซึ่งจะเป็นรถเมล์คันสีแดง
  • Left Loop ซึ่งจะเป็นรถเมล์คันสีเขียว

รถเมล์ที่คานาซาวะจะคิดราคาตามระยะทางครับ แต่ถ้าจะขึ้นลงหลายรอบใน 1 วัน รถเมล์นี้ก็มีพาสขายในราคา 800 เยน (ราคาสำหรับผู้ใหญ่) สามารถซื้อได้ที่ออฟฟิศการท่องเที่ยวของเมือง ที่อยู่ข้างในสถานีรถไฟคานาซาวะ
 

 
เรามาเริ่มออกเดินทางเที่ยวเมืองนี้กันครับ ที่แรกที่เรานั่งรถเมล์มาเที่ยวก็คือ สวนเค็นโรคุเอ็น (Kenrokuen Garden) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น 1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น


 
สวนนี้ก่อตั้งครั้งแรกในช่วงปี 1620 โดยไดเมียวของตระกูลมาเอะดะที่ปกครองแคว้นคากะ (Kaga Domain) ในสมัยนั้น และได้รับการขยายพื้นที่เรื่อยมา จนมีขนาดใหญ่เท่าที่เห็นในปัจจุบัน


ชื่อสวนเค็นโรคุเอ็น หมายถึง สวนแห่งคุณสมบัติ 6 ประการ ได้แก่ ความกว้างใหญ่ ความเงียบสงบ ความสร้างสรรค์ ความเก่าแก่ สายน้ำ และทิวทัศน์ที่สวยงาม ว่ากันว่า ความงดงามของสวนนี้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามแต่ละฤดูกาล อย่างในฤดูซากุระ สวนนี้ก็จะประมาณนึ้ครับ
 



ติดๆกันเลย เรามาต่อกันที่ ปราสาทคานาซาวะ (Kanazawa Castle Park) ที่เคยเป็นที่อยู่และเป็นศูนย์กลางการบริหารของไดเมียวตระกูลมาเอะดะที่ปกครองแคว้นคากะ (Kaga Domain) มาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 280 ปี
 

 
ปราสาทนี้ผ่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน จากยุคโชกุน พอผ่านยุคหลังปฏิรูปเมจิ บริเวณพื้นที่ปราสาทก็ถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยคานาซาวะ (Kanazawa University) จนถึงช่วงปี 2008 มหาวิทยาลัยก็ถูกย้ายออกไป และปราสาทก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง
 




 

รอบๆปราสาทจะเป็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่น น่ามาพักผ่อน ตอนช่วงที่ผมไป ซากุระที่ปราสาทเริ่มร่วงแล้ว กลีบดอกซากุระเลยร่วงเต็มพื้นเลยครับ
 

 
ภายในตัวปราสาทจะเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับปราสาทแห่งนี้ และไดเมียวตระกูลมาเอะดะ
 







 
ทั้งสวน Kenrokuen และปราสาทคานาซาวะมีค่าเข้าชมสถานที่ละ 320 เยนครับ แต่ถ้าใครมีแผนจะเที่ยวทั้งสองที่ในวันเดียวกัน แนะนำให้ซื้อเป็นตั๋วรวม (Combo ticket) 500 เยน

บริเวณปราสาทยังมีสวนอีก 1 แห่งนั่นก็คือ สวนเกียวคุเซ็นอินมารุ (Gyokuseninmaru garden)

 

 
จากสวน พอเราเดินข้ามสะพานก็จะเข้าเขตของ ศาลเจ้าโอยามะ (Oyama shrine)
 
 

ศาลเจ้านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่ มาเอดะ โทชิอิเอะ (Maeda Toshiie) ซึ่งเป็นไดเมียวผู้ก่อตั้งตระกูลมาเอดะ และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเมืองคานาซาวะ ภายในศาลเจ้าจึงมีอนุสาวรีย์ของไดเมียวคนนี้ตั้งอยู่
 

 
จุดเด่นที่น่าสนใจของที่นี่คือ ประตูชินมง (Shinmon Gate) ซึ่งเป็นประตูใหญ่ของศาลเจ้า ที่ออกแบบโดยใช้สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างญี่ปุ่น จีน และตะวันตก
 

ภายในศาลเจ้ามีสวนที่สวยงามและมีการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบญี่ปุ่นกับตะวันตก
 



จากป้ายรถเมล์หน้าศาลเจ้า เรามาต่อที่ตลาดปลา Omicho market ครับ






ความดีงามของที่นี่ก็คือ ที่นี่เป็นตลาดค้าซีฟู้ดขนาดใหญ่อายุกว่า 200 ปีของเมืองคานาซาวะ เราสามารถหาอาหารทะเลสดๆ คุณภาพดี คุ้มค่าราคา อย่างในเซตนี้อยู่ที่ 3,200 เยนครับ
 

 
ทานอาหารเย็นเสร็จ เรามาต่อกันที่ย่าน Nishi Chaya ซึ่งเป็นย่านที่มีวัดอยู่มากมาย จึงทำให้คานาซาวะได้รับสมญานามว่าเป็น Little Kyoto อย่างไรก็ตาม วัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในย่านนี้ก็คือ วัดเมียวริวจิ หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดนินจา ครับ
 





จริงๆแล้ว วัดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนินจาเลย แต่สิ่งที่พิเศษของวัดนี้คือ แม้ว่าภายนอกที่นี่จะเป็นวัด แต่ภายในมีสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนและระบบป้องกันศัตรูที่ชาญฉลาด เพื่อใช้เป็นฐานทัพลับของตระกูลมะเอะดะ
 

วัดนี้มีค่าเข้าอยู่ที่ 1,000 เยนครับ แต่ไม่ใช่ว่าเดินเข้าไปแล้วเข้าได้เลย เพราะที่นี่ต้องจองก่อน การจองให้โทรที่เบอร์ +81-76-241-0888 เพื่อนัดวันและเวลามาเข้าชม (เจ้าหน้าที่วัดพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะ แนะนำให้หาคนญี่ปุ่นให้โทรจองให้) ส่วนด้านในถ่ายรูปไม่ได้นะครับ ผมเลยไม่มีภาพมาให้ดู แต่หลักๆคือ จะมีเจ้าหน้าที่พาชมแต่ละจุด โดยจะบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น ก่อนเข้า เค้าจะแจกแฟ้มอันหนึ่งมาให้ เป็นภาษาไทย เราก็อ่านตามไปในแต่ละจุด ก็เลยพอจะเข้าใจ

หลังเที่ยววัดเสร็จ เราก็นั่งรถเมล์ต่อไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายของทริปวันนี้นั่นก็คือ ย่านฮิกาชิชายะ (Higashichaya) ซึ่งเป็นย่านเกอิชาที่มีชื่อเสียงในเมืองคานาซาวะ

 

 
ย่านนี้เต็มไปด้วยบ้านไม้โบราณที่เรียกว่า ชะยะ" (chaya) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกอิชาให้บริการความบันเทิงผ่านการแสดงดนตรีและการเต้นรำ
 





ย่านนี้จะมีร้านขนม คาเฟ่ดีๆอยู่เยอะครับ ในเมื่อมาทั้งทีก็ขอแวะกินขนมซะหน่อย
 

 
ด้านหลังของย่าน Higashichaya จะเป็นภูเขาครับ ด้านบนจะมองเห็นวิวเมืองคานาซาวะ ขอปิดทริปวันที่สองที่นี่นะครับ
 

 
วันที่สาม

วันนี้ เรามีแผนแค่นั่งรถไฟกลับโอซาก้า ซึ่งต้องไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Tsuruga ก็เป็นอันจบทริปที่เมืองคานาซาวะ ไว้เพียงเท่านี้ครับ

 

 
จริงๆ การมาที่คานาซาวะในทริปนี้ ถือเป็นครั้งที่สองของผมแล้วครับ แต่เนื่องจากทริปก่อนหน้านี้ ผมเจอฝนแทบจะทั้งวัน เลยเที่ยวได้ไม่ค่อยมากเท่าไหร่ เลยตัดสินใจกลับมาซ้ำที่นี่ แล้วก็ไม่ผิดหวัง คานาซาวะถือเป็นหนึ่งในเมืองที่ผมชอบมากกที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยขนาดของเมืองที่ไม่พลุกพล่านจนเกินไปเหมือนเมืองใหญ่ แต่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์เยอะแยะมากมาย ถ้าใครมาเที่ยวญี่ปุ่นแถบนี้ ผมแนะนำให้หาโอกาสมาเที่ยวที่เมืองนี้สัก 1-2 วันให้ได้ครับ

รีวิวญี่ปุ่นในทริปภูมิภาคโฮคุริคุก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ ฝากติดตามบล็อกท่องเที่ยวของผมในตอนต่อๆไปด้วยนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2567    
Last Update : 15 สิงหาคม 2567 20:37:43 น.
Counter : 726 Pageviews.  

2 วัน 1 คืน โทยามะ แดนสวรรค์ใต้เงาขุนเขาเจแปนเอลป์ (ตอนที่ 2: Takaoka city)


 
สถานที่ท่องเที่ยว : องค์พระใหญ่แห่งเมืองทากะโอกะ (Takaoka Daibutsu), Japan
พิกัด GPS : 36° 44' 44.49

วันที่สอง

แผนเที่ยวในวันนี้ เราทำการเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมที่เมืองโทยามะ (Toyama city) จากนั้นจะลากกระเป๋าขึ้นรถไฟเพื่อไปเที่ยวยังเมืองที่มีชื่อว่า ทากะโอกะ (Takaoka) แล้วในช่วงเย็นจึงเดินทางต่อไปยังเมืองคานาซาวะ (Kanazawa) ครับ

สำหรับ ทากะโอกะ (Takaoka) นั้น เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดโทยามะ โดยเมืองนี้จะอยู่ระหว่างเมืองโทยามะ (Toyama city) และเมืองคานาซาวะ (Kanazawa)

 
 
จากเมืองโทยามะ การเดินทางมายังเมืองทากะโอกะสามารถทำได้ 2 วิธีด้วยกัน นั่นก็คือ
  1. ให้นั่งรถไฟ Hokuriku shinkansen จากเมืองโทยามะมาลงที่ สถานี Shin-Takaoka แล้วนั่งรถไฟสาย Johana Line ต่อมาอีก 1 สถานีมาลงที่ สถานี Takaoka
  2. นั่งรถไฟท้องถิ่นสาย Ainokaze Toyama Railway ต่อเดียวถึงสถานี Takaoka เลย

 
ทั้งสองวิธีสามารถใช้ JR Kansai Hokuriku Area pass ได้ครับ ผมแนะนำวิธีที่สองนะ เพราะไม่ต้องต่อรถ (ตอนผมไปเลือกวิธีแรก แล้วต้องรอรถไฟสาย Johana Line ค่อนข้างนาน ยังไงถ้าใครจะไปลองเช็ครอบรถไฟอีกทีนะ)
 

 
จากสถานี Takaoka จะมีทางออกสองฝั่งคือ ฝั่งเหนือ (North Exit) และ ฝั่งใต้ (South Exit) เรามาเริ่มกันที่ฝั่งใต้ (South exit) กันก่อน พอเดินจากทางออกฝั่งใต้ เดินไปประมาณ 850 เมตร จะเจอกับ วัดซุยริวจิ (Zuiryuji Temple) ครับ (วัดนี้มีค่าเข้าชม 500 เยน)
 

 
วัดซุยริวจิ (Zuiryuji Temple) เป็นวัดที่สร้างในปี 1663 เพื่ออุทิศแก่ มาเอดะ โทชินากะ (Maeda Toshinaga) ซึงเป็นขุนนางแห่งตระกูลมาเอะดะที่ในตอนนั้นได้ปกครองตั้งแต่จังหวัดอิชิกาวะไปจนถึงจังหวัดโทยามะ รวมทั้งที่เมืองทากะโอกะแห่งนี้ด้วย
 

วัดนี้เป็นวัดในนิกายเซนครับ สถาปัตยกรรมในวัดนี้จึงเน้นความเรียบง่าย โดยมีการก่อสร้างโดยใช้ไม้เป็นโครงสร้างหลัก 
 

ตัววัดประกอบไปด้วยอาคารหลักหลายหลัง รวมถึงประตูใหญ่ (Sanmon), โถงพระ (Butsuden), และหอระฆัง (Shoro)
 

 

เดินออกมาด้านหน้าตัววัดจะมี ถนนคานะยะมาจิ (Kanayamachi street) ซึ่งเดิมเคยเป็นย่านของช่างตีเหล็ก ตั้งแต่สมัยยุคเอโดะ
 

 
กลับมาที่สถานีกันบ้างครับ เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จักการ์ตูนชื่อดังอย่าง โดราเอมอน (Doraemon), ปาร์แมน และ นินจาฮาโตริ ซึ่งที่สถานี Takaoka จะมีการตกแต่งทั้งตัวสถานีรถไฟ ตู้ไปรษณีย์ และรถรางของเมืองในธีมการ์ตูน 2 เรื่องนี้อยู่ทั่วทั้งเมือง
 



 
เนื่องจาก Takaoka เป็นบ้านเกิดของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังอย่าง ฟุจิโกะ เอฟ ฟุจิโอะ (Fujiko F. Fujio) คนเขียนการ์ตูนทั้ง 3 เรื่องนี้ ทางการเมืองนี้เลยใช้การ์ตูนเป็น soft power ในการโปรโมทเมืองนี้ไปซะเลย
 

 
เดินออกมาจาก ทางออกสถานีรถไฟฝั่งเหนือ (North exit)  จะเจอกับ ถนนคนเดินโดราเอมอน (Doraemon walking road) ซึ่งเป็นทางเดินที่ประดับไปด้วยรูปปั้นจากตัวการ์ตูนในเรื่องโดราเอมอนอยู่เต็มไปหมด เพราะโดราเอมอนเป็นหนึ่งในการ์ตูนชื่อดังของฟุจิโกะ ฟุจิโอะครับ
 

จากนั้นเดินต่อมาอีกไม่เกิน 10 นาที เราจะพบกับ องค์พระใหญ่แห่งเมืองทากาโอกะ (Takaoka Daibutsu) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ พระองค์นี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 30 ปี โดยสร้างขึ้นจากบรอนซ์ ด้วยความสูง 16 เมตร และหนัก 65 ตัน
 

 
บริเวณฐานขององค์พระพุทธรูป สามารถเข้าไปชมได้ ด้านในจะเป็นพิพิธภัณฑ์และแกลลอรี่ครับ
 

เดินต่อมาอีกจะเจอกับ สวนสาธารณาซากปราสาททากาโอกะ (Takaoka Kojo Park) ซึ่งสร้างอยู่บนพื้นที่ๆเดิมทีคือ ปราสาททากาโอกะ (Takaoka castle) ที่ถูกเพลิงไหม้ในปี 1821 ก่อนจะปรับปรุงให้พื้นที่นี้เป็นสวนสาธารณะในช่วงยุคปฏิรูปเมจิ
 

 
ภายในสวนสาธารณะมีรูปปั้นของ มาเอดะ โทชินากะ (Maeda Toshinaga) ไดเมียวแห่งแคว้นคากะ ที่เคยปกครองเมืองนี้
 

ภายในสวน ยังมี ศาลเจ้าอิมิสุ (Imizu shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าเก่าแก่โบราณของเมือง เชื่อว่าสร้างมาตั้งแต่ยุคนารา (ปี ค.ศ. 710-794)
 

ตอนช่วงเย็นเราเดินกลับไปที่สถานี Takaoka เพื่อขึ้นรถไฟสาย Himi Line ไปลงที่ สถานี Amaharashi ครับ (รถไฟสายนี้สามารถใช้ Kansai Hokuriku Area Pass ได้)
 

 
ชายฝั่งอะมะฮาราชิ (Amaharashi Coast) เป็นจุดชมวิวที่สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันสวยงามของท้องทะเลและความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาเจแปนแอลป์ที่ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลังได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งนับเป็นภาพทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามมากจนติดอันดับ 1 ใน 100 ชายหาดที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น (ในรูปด้านล่างคือ ภาพโปรโมทที่นี่)
 

 
อย่างไรก็ตาม การจะเห็นทั้งสองอย่างนี้พร้อมกัน อาจจะต้องพึ่งแต้มบุญสูงซะหน่อย อย่างในทริปนี้ผมไม่เห็นเทือกเขาเจแปนเอลป์ครับ
 



แต่ถ้าไม่คิดอะไร ผมว่าที่นี่ก็ถือว่าบรรยากาศค่อนข้างชิลล์ มีคาเฟ่ vibe ดีให้นั่งพักผ่อนดูวิวทะเล แค่นี้ผมว่าก็คุ้มค่าที่จะมาแล้วครับ
 

ในช่วงเย็น เราเดินทางกลับไปที่สถานี Shin-Takaoka จากนั้นก็นั่ง Hokuriku shinkansen เพื่อเดินทางต่อไปยัง เมืองคานาซาวะ (Kanazawa)  การเดินทางของเราที่จังหวัดโทยามะในทริปนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ครับ


จริงๆแล้วโทยามะเป็นอีกหนึ่งจังหวัดของญี่ปุ่นที่่มีที่เที่ยวเยอะมากครับ ที่เที่ยวที่คนไทยชอบไปกันค่อนข้างเยอะก็คือ เส้นทาง Tateyama Kurobe Alpine Route ซึ่งผมเคยไปและเคยรีวิวไว้แล้ว ในทริปนี้ผมเลยเน้นเที่ยวพวกเมือง และลัดเลาะไปตามชายฝั่งแทน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ เมืองนี้ยังคงความประทับใจ ถ้าใครเที่ยวญี่ปุ่่นหลายๆรอบจนเบื่อพวกเมืองท่องเที่ยวหลักแล้ว แนะนำให้มาตามรอยทริปของผมที่โทยามะได้เลยครับ 

รีิวิวที่จังหวัดโทยามะก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ ในบล็อกหน้าจะเป็นบล็อกที่รีวิวเมืองสุดท้ายของทริปโฮกุริคุ นั่นก็คือ คานาซาวะ (Kanazawa) ฝากติดตามกันต่อด้วยครับ

 
บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2567    
Last Update : 15 สิงหาคม 2567 20:36:23 น.
Counter : 823 Pageviews.  

2 วัน 1 คืน โทยามะ แดนสวรรค์ใต้เงาขุนเขาเจแปนเอลป์ (ตอนที่ 1: Toyama city + Asahi Funakawa)


สถานที่ท่องเที่ยว : สวนสาธารณะคันซุย (Fugan Canal Kansui Park), Japan
พิกัด GPS : 36° 42' 33.69" N 137° 12' 44.10" E

จังหวัดโทยามะ (Toyama Prefecture) อาจจะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของญี่ปุ่นในหมู่คนไทยเหมือนเมืองดังๆ อย่างโตเกียว เกียวโต หรือโอซาก้า แต่ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่เมืองยอดฮิต โทยามะก็เป็นอีกหนึ่งจังหวัดของญี่ปุ่นที่มีความน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ทิวทัศน์ รวมไปถึงธรรมชาติที่สวยงามของเมืองนี้

ในรีวิวนี้ ผมจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับจังหวัดโทยามะ ผ่านการรีวิวทริป 2 วัน 1 คืนที่จังหวัดนี้ โดยในทริปนี้ผมไปมาในช่วงเดือนเมษายน ปี 2567 ครับ

รู้จักกับจังหวัดโทยามะ (Toyama Prefecture)

จังหวัดโทยามะ (Toyama Prefecture) อยู่ใน ภูมิภาคชูบุ (Chubu) ที่อยู่ทางชายฝั่งภาคกลางของญี่ปุ่นครับ โดยจังหวัดนี้จะอยู่ระหว่าง กรุงโตเกียว (Tokyo) และ เมืองโอซาก้า (Osaka) บน เกาะฮอนชู (Honshu island) ของประเทศญี่ปุ่น และมีเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดที่ชื่อกัน นั่นก็คือ เมืองโทยามะ (Toyama city) 

 
ส่วนในทางประวัติศาสตร์ โทยามะเป็นส่วนหนึ่งของ แคว้นเอ็ตสึ (Etchu province) โดยมีไดเมียวหรือผู้ครองแคว้นจาก ตระกูลมาเอะดะ (Maeda clan) จนกระทั้งเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ แคว้นเอ็ตสึก็ได้ถูกแบ่งและจัดการปกครองใหม่ออกมาเป็นจังหวัดต่างๆอีก 4 จังหวัด รวมทั้งจังหวัดโทยามะมาจนถึงปัจจุบัน

สิ่งที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวของจังหวัดโทยามะก็คือ แนวเทือกเขาเจแปนเอลป์ (Japan Alps) ซึ่งเป็นแนวภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมในหลายจังหวัดของภูมิภาคชูบุ แต่ความพิเศษของจังหวัดโทยามะก็คือ ในวันที่อากาศแจ่มใส เราจะสามารถมองเห็นเทือกเขาเจแปนเอลป์ได้ในหลายๆจุดของเมืองแบบนี้ครับ

 

จริงๆแล้ว เรายังสามารถเที่ยวบนเขาเจแปนเอลป์โดยเริ่มต้นจาก สถานีรถไฟโทยามะ (Toyama Train station) ได้ด้วยนะ ในทริปนี้ผมไม่ได้ไป เพราเคยไปมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน และรีวิวลงในบล็อกนี้แล้วครับ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sumatekso&month=26-12-2023&group=14&gblog=26

 

จังหวัดโทยามะ ยังเป็นที่ตั้งของแหล่งมรดกโลกของญี่ปุ่น ได้แก่ หมู่บ้านโกคายามะ (Gokayama village) ซึ่งเป็นบ้านที่ทำจากฟาง โดยมีหลังคาสูงชัน เพื่อป้องกันการสะสมของหิมะที่ตกเยอะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งในทริปนี้ผมไม่ได้ไปที่นี่นะครับ เพราะส่วนตัวเคยไปเที่ยวหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ที่มีลักษณะคล้ายกันไปแล้ว (ในรูปด้านล่าง)
 

ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิครับ ข้อดีของการมาโทยามะในช่วงนี้ นอกจากซากุระแล้ว ที่นี่ยังมีทุ่งดอกทิวลิปให้ได้ชมหลายแห่ง เพราะโทยามะเป็นจังหวัดที่มีการส่งออกดอกทิวลิปมากที่สุดของประเทศญี่ปุ่น อย่างในทริปนี้ผมได้ไปทุ่งดอกทิวลิปที่ชื่อว่า  Asahi Funakawa Spring Quartet มาด้วยครับ
 
การเดินทางเข้าสู่เมืองโทยามะ

เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของประเทศญี่ปุ่น เมืองโทยามะก็สามารถเดินทางไปมาได้ด้วยรถไฟ ไม่ว่าจะมาจากโตเกียว (Tokyo) โอซาก้า (Osaka) หรือนาโกย่า (Nagoya) โดยปัจจุบันมีรถไฟความเร็วสูงสาย Hokuriku Shinkansen มาที่โทยามะ โดยใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนการเดินทางจากเมืองนาโกย่า ก็สามารถนั่งรถไฟ Limited Espress ขบวน Hida มาได้โดยตรง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครับ

 

สำหรับในทริปของผม จะเดินทางมายังเมืองโทยามะจากเมืองฟุกุอิ ด้วย Hokuriku Shinkansen ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 1 ชั่วโมง (แนะนำให้เช็คข้อมูลขบวนรถไฟได้ในแอป Japan Transit Planner)
 
เนื่องจากในทริปนี้ ผมเดินทางเที่ยวหลายเมืองจากโอซาก้า มายัง ภูมิภาคโฮกุริคุ (Hokuriku region) ได้แก่ โทยามะ (Toyama), คานาซาวะ (Kanazawa) และฟุกุอิ (Fukui) เพื่อประหยัดค่าเดินทาง ผมเลยเลือกใช้ JR Kansai Hokuriku Area Pass ซึ่งจะครอบคลุมการเดินทางในแถบเมืองเหล่านี้ รวมทั้งภูมิภาคคันไซ ไม่ว่าจะเป็นโอซาก้า, นารา (Nara), เกียวโต (Kyoto), โกเบ (Kobe) สามารถใช้ได้ 7 วันติดต่อกัน
 
 
ใครที่มีแผนเที่ยวประมาณนี้ แนะนำให้ลองพิจารณาเลือกใช้พาสตัวนี้ดูนะครับ โดยราคาพาสคิดเป็นเงินไทยจะอยู่ที่ประมาณ 4 พันบาท

ทางไปจอง https://www.klook.com/th/activity/2771-7-day-jr-kansai-hokuriku-area-pass-jr-pass/

 

ส่วนพาสอื่นๆที่สามารถใช้เดินทางไปยังเมืองโทยามะได้ ได้แก่
  • JR Hokuriku Arch Pass เหมาะสำหรับใช้เดินทางจากโตเกียวไปยังโอซาก้า โดยผ่านที่เมืองโทยามะด้วย (สามารถใช้ได้ 7 วันติดต่อกัน)
  • JR Takayama Hokuriku Area Pass เหมาะสำหรับใช้เดินทางจากนาโกย่าไปยังโอซาก้า โดยผ่านที่เมืองทากายามะ (Takayama) รวมทั้งเมืองโทยามะด้วย (สามารถใช้ได้ 5 วันติดต่อกัน)
  • JR Alpine-Takayama-Matsumoto Area Tourist Pass เหมาะสำหรับใช้เดินทางเป็นวงกลมจากนาโกย่าไปยังทากายามะ, โทยามะ แล้วขึ้นไปเที่ยวเทือกเขาเจแปนเอลป์บนเส้นทางสาย Tateyama Kurobe Alpine จากนั้นลงจากเขามาที่เมืองมัตสึโมโตะ ก่อนไปจบทริปที่เมืองนาโกย่า (สามารถใช้ได้ 5 วันติดต่อกัน)

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางจากฟุกุอิ มาถึงที่เมืองโทยามะ (Toyama city) / นำกระเป๋าฝากไว้ที่โรงแรม (Toyama Manten Hotel)
  • เช้า: เดินเล่นที่ซากปราสาทโทยามะ (Toyama Castle Ruin Park) / ชมซากุระที่ริมฝั่งแม่น้ำมัตสึ (Matsu river)
  • บ่าย: นั่งรถไฟไปยังสถานี Tomari/ ชมสวนดอกไม้ที่ Asahi Funakawa Spring Quartet
  • เย็น: เดินเล่นชมสวนสาธารณะคลองฟุกัง (Fugan Canal Park)
วันที่สอง
  • เช็คเอาท์ แล้วเดินทางต่อไปยังเมืองทากะโอกะ (Takaoka)
  • เช้า: เที่ยววัดซุยริวจิ (Zuiryuji Temple) / พระใหญ่ทากะโอกะ (Takaoka Great Buddha) / ซากปราสาททากะโอกะ (Takaoka Castle Park) 
  • บ่าย-เย็น: ชมวิวเทือกเขาเจแปนเอลป์ริมทะเลที่ชายฝั่งอะมาฮาราชิ (Amaharashi coast)
  • เดินทางต่อไปยังเมืองคานาซาวะ (Kanazawa)

ที่พักในเมืองโทยามะ (Toyama city)

ทริปนี้ผมพักที่ Toyama Manten Hotel ครับ โดยราคาห้องแบบ Twin bed ถ้าจองผ่าน booking.com คิดเป็นเงินไทยจะอยู่ที่คืนละ 2,400 บาท ไม่รวมอาหารเช้า

 

 
ข้อดีของที่นี่คือ ราคาค่อนข้างถูก (ถ้าเทียบกับโรงแรมอื่นๆของญี่ปุ่น), ห้องสะอาด, พนักงานเป็นมิตร แถมมีออนเซ็นให้แช่ด้วย (เห็นภูเขาหิมะจากออนเซ็นด้วยครับ) ส่วนข้อเสียคือ ห้องเก่า กับทำเลที่ไกลจากสถานีรถไฟไปซะหน่อย แต่เดินได้ครับ (ประมาณ 1.2 กิโลเมตร) ถ้าใครมีกระเป๋าใบใหญ่ แนะนำให้ขึ้นรถรางครับ (ค่ารถราง 210 เยน ให้ลงที่ป้าย Sakurabashi)
 

วันที่หนึ่ง

ทริปในวันแรกของเรา เริ่มต้นจากเมืองฟุกุอิครับ โดยเรานั่งรถไฟสาย Hokuriku shinkansen จากเมืองฟุกุอิ มายัง เมืองโทยามะ (Toyama city) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ จังหวัดโทยามะ (Toyama prefecture) ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง
 

ถึงแล้วครับ สถานีรถไฟโทยามะ (Toyama railway station) ช่วงที่ผมไปซากุระกำลังบานพอดี
 

เอกลักษณ์ของเมืองนี้ก็คือ รถราง
 

เดินจากสถานีไปทางทิศใต้ (South Exit) ไปประมาณ 20 นาที (1.4 กิโลเมตร) เราจะพบกับ แม่น้ำมัตสึกาวะ (Matsukawa River) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัดนี้ มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาเจแปนเอลป์ (Japan Alps) ก่อนจะไหลลงสู่ทะเลที่อ่าวโทยามะ (Toyama Bay)
 



จุดเด่นของแม่น้ำสายนี้คือ ถ้าเรามาถูกช่วง จะพบกับดอกซากุระเป็นแนวยาวกว่า  2.5 กิโลเมตร ซึ่งจะมีกิจกรรมคือ การนั่งเรือลอดซุ้มซากุระ
 

 
เดินต่อจากทางเดินริมแม่น้ำไปอีกนิด จะมี ซากปราสาทโทยามะ (Toyama Castle Ruin) ซึ่งเป็นปราสาทเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ปี 1543 ในยุคเซ็งโกคุ และต่อมาก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของ ตระกูลมาเอดะ (Maeda clan)
 

 

ปราสาทนี้ถูกทำลายหลายครั้ง ทั้งจากไฟไหม้และสงคราม ปัจจุบันปราสาทที่เราเห็นได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี 1954-1958
 

บริเวณส่วนหอคอยหลัก (Tenshu) ได้ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของปราสาทนี้ และจังหวัดโทยามะ โดยมีค่าเข้าชม 210 เยน
 

รอบๆปราสาทจะเป็นสวนและลานกิจกรรม เพื่อให้ชาวโทยามะใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ ตรงนี้เข้าฟรีครับ
 

เดินเล่นรอบปราสาทซักพัก เราก็เดินกลับไปยัง สถานีรถไฟโทยามะ (Toyama Railway station) เพื่อนั่งรถไฟขบวนท้องถิ่นเพื่อไปยังสถานีเล็กๆที่ชื่อว่า โทมาริ (Tomari station)

การเดินทางไปยังสถานี Tomari ปกติแล้วจะมีค่ารถไฟอยู่ที่ 1,020 เยน โดยรถไฟสายนี้เป็นรถไฟเอกชน ไม่สามารถใช้ JR pass ได้ แต่ถ้าไปในช่วงต้นถึงกลางเดือนเมษายน ซึ่งจะมีการจัดงาน Asahi funakawa “spring quartet” เราสามารถซื้อตั๋วไปกลับได้ที่สถานี Toyama ในราคา 1,000 เยนครับ
 

ระหว่างนั่งรถไฟไปยังสถานี Tomari เราจะได้เห็นเทือกเขาเจแปนเอลป์ตลอดทางเลย
 

เมื่อมาถึงที่สถานี Tomari ให้เดินมาหน้าสถานี เพื่อต่อแถวขึ้นรถชัตเติ้ลบัสฟรีไปยังทุ่งดอกไม้ที่งานเทศกาล Asahi funakawa “spring quartet” ซึ่งโดยปกติแล้ว งานนี้จะจัดในช่วงต้นถึงกลางเดือนเมษายนของทุกปี (สำหรับในปี 2024 งานจัดในช่วงวันที่ 1-17 เมษายนครับ)

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละปีวันเปิดปิดงานเทศกาลจะไม่ตรงกันนะครับ ขึ้นกับสภาพอากาศของแต่ละปี โดยสามารถเช็ควันได้ที่เว็บไซต์นี้ https://www.asahi-tabi.com/ 

 

 
สิ่งที่เป็นที่ดึงดูดให้คนมางานเทศกาลนี้ นั่นก็คือ ทุ่งดอกไม้แบบนี้ และถ้ามาถูกวัน ถูกเวลา เราจะพบกับความพิเศษ 4 อย่างที่พบเห็นได้พร้อมๆกัน นั่นก็คือ
  • ทือกเขาเจแปนเอลป์ที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาว
  • ดอกซากุระสีชมพู
  • ดอกผักกาด (Rapeseed) สีเหลือง
  • ดอกทิวลิปหลากสีสัน
ในแต่ละปี ผู้ดูแลที่เป็นเกษตรกรปลูกทิวลิปในพื้นที่ จะพยายายามปลูกทิปลิปและดอกผักกาด ให้ออกดอกบานพร้อมๆกับซากุระ ซึ่งช่วงเวลาเฉลี่ยจะอยู่ราวกลางเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม ในบางปีก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อน เร็ว หรือ ช้า ขึ้นอยู่กับการบานของซากุระที่แปลผันตามสภาพอากาศ อย่างในตอนที่ผมไป เป็นวันที่ 14 เมษายน 2567 เป็นช่วงที่ดอกซากุระบานเต็มที่พอดี แล้วอากาศก็ดี ถือว่าเป็นทริปที่แต้มบุญสูงมาก
 




 

มาดูกันที่ต้นซากุระกันบ้างครับ ที่นี่จะปลูกซากุระเป็นแนวยาวริมคลอง คนญี่ปุ่นแถวนั้นก็มานั่งเล่นชมบรรยากาศกัน
 






ช่วงเวลาตอนบ่ายแก่ๆ เราก็นั่งรถไฟกลับไปยังสถานี Toyama แล้วเดินออกทางประตูทางออกฝั่งเหนือ (North Exit) เพื่อไปยังสถานที่สุดท้ายของวันนี้ นั่นก็คือ สวนสาธารณะคังซุย (Fugan canal kansui park) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะริมน้ำใจกลางเมืองโทยามะ มีบึงน้ำขนาดใหญ่กลางสวนเชื่อมต่อกับ คลองฟุกัง (Fugan Canal) ซึ่งไหลลงสู่ทะเลญี่ปุ่น
 

 
สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของสวนนี้ก็คือ สะพาน Heaven’s gate ซึ่งจะเปิด Light up ในช่วงกลางคืน จะทำให้สวนนี้ดูสวยยิ่งขึ้น (แนะนำให้มาเที่ยวสวนนี้ตอนเย็นๆ ไปจนถึงหัวค่ำ จะได้ชมบรรยากาศตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ตก จนถึงช่วงที่เปิดไฟครับ)
 



 
พอเราเดินไปบนสะพานจะสามารถมองเห็นวิวของเทือกเขาเจแปนเอลป์ ส่วนด้านล่างจะมีต้นซากุระ และร้านสตาร์บัคที่ได้ชื่อว่าเป็น ร้านสตาร์บัคที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
 



 
ปิดท้ายที่ภาพยามค่ำคืนของสวนนี้ครับ ถือเป็นการจบวันแรกของทริปโทยามะได้อย่างประทับใจ
 

 
บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2567    
Last Update : 15 สิงหาคม 2567 20:36:02 น.
Counter : 992 Pageviews.  

1  2  3  4  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.