Welcome to my blog

4 วัน 3 คืน เชียงใหม่ เสน่ห์ปลายฝนบนดินแดนล้านนา (ตอนที่ 3: เส้นทางดอยอินทนนท์+บ้านป่าบงเปียง)


สถานที่ท่องเที่ยว : พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ, ยอดดอยอินทนนท์, เชียงใหม่ Thailand
พิกัด GPS : 18° 31' 51.27

สำหรับทริปเชียงใหม่ในตอนนี้ ผมจะพาทุกคนขึ้นดอยอินทนนท์เพื่อไปสัมผัสกับอากาศหนาว สวนดอกไม้ และป่ามอสบนดอยอินทนนท์ จากนั้นเราจะเดินทางต่อไปยังบ้านป่าบงเปียง ซึ่งถือเป็นนาขั้นบันไดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยทริปนี้เราเหมารถจาก ลุงหนวด ดอยอินทนนท์ จากในเมืองเชียงใหม่ในราคา 2,000 บาท ซึ่งจะแวะที่ต่างๆตามรีวิวนี้เลยครับ ถ้าใครสนใจจะไปเที่ยว หรือต้องการสอบถามข้อมูลสามารถติดต่อลุงแกได้โดนตรง ตามเพจเฟสบุ๊คด้านล่างนี้นะครับ

วันที่สาม

ทริปวันนี้เราเดินทางออกจากที่พักของเราที่โรงแรมยูเชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองเก่าตอนตีสามเศษ เพื่อให้ไปถึงที่ กิ่วแม่ปาน ภายใน อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6 โมงเช้า

 

แม้ว่าเราจะไม่ได้มาเที่ยวตอนหน้าหนาว แต่อากาศบนนี้ก็หนาวเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงเช้าแบบนี้ อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 14-15 องศา (ใครจะมาเที่ยว ไม่ว่าจะฤดูไหนก็ตาม แนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆมาด้วยนะครับ)

อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เป็นอุทยานที่มีเขตพื้นที่ครอบคลุม อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอดอยหล่อ และ อำเภอแม่วาง ของจังหวัดเชียงใหม่ มี ยอดดอยอินทนนท์ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศไทยที่ระดับความสูง 2,565 เมตร ตามหลักธรณีวิทยา ดอยอินทนนท์ถือเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยที่ทอดยาวมาจากประเทศเนปาล อินเดีย พม่า ก่อนจะมาสิ้นสุดบริเวณภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้ที่นี่มีพืชพรรณที่คล้ายคลึงกับแถบนั้น เช่น ฟ้ามุ่ย ช้างแดง รองเท้านารี กุหลาบป่า มอส ข้าวตอกฤาษี ออสมันดา ซึ่งเป็นพืชที่พบได้บนพื้นที่สูง รวมทั้งเลียงผา กวางผา ชะนี กระต่ายป่า และไก่ป่าอีกด้วย

อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์จะมีค่าเข้าชมสำหรับคนไทยคนละ 50 บาท และถ้านำรถมาเอง จะต้องเสียค่ารถเพิ่มด้วยครับ ส่วนบัตรเข้าชม เมื่อซื้อแล้วต้องเก็บไว้ให้ดี เพราะอาจจะโดนตรวจตามสถานที่ต่างๆภายในเขตอุทยาน (ถ้าทำหายต้องซื้อใหม่)

ถ้าใครมาเที่ยวที่นี่ในช่วงเทศกาลในช่วงหน้าหนาว แนะนำให้จองการเข้าอุทยานผ่านแอพ QueQ ก่อนนะครับ เพราะบางช่วงจะมีการจำกัดจำนวนคนเข้าอุทยาน

กิ่วแม่ปาน เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและเป็นจุดชมทะเลหมอกของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ครับ ส่วนใหญ่คนที่มาเที่ยวแต่เช้า จะนิยมมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ ก่อนจะไปทานอาหารเช้า พร้อมกับสัมผัสอากาศหนาวๆแถวนั้น

ถ้าใครมาเที่ยวที่นี่ช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป สามารถเดินเที่ยวเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานได้ด้วยครับ แต่ตอนที่ผมไปเป็นช่วงหน้าฝน เส้นทางนี้จึงปิดเพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูครับ

จากตรงนี้ เราจะมองเห็น พระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ที่เราจะไปเที่ยวเป็นจุดถัดไป

พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริสร้างขึ้นโดยกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทย โดย พระมหาธาตุนภเมทนีดล หมายถึง “พระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่ยิ่งใหญ่เพียงฟ้าจดดิน” สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เจริญพระชนมพรรษาครบ 60 ปี ส่วน พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ หมายถึง “เป็นกำลังแห่งฟ้า เป็นสิริแห่งดิน” สร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวโรกาสที่เจริญพระชนมพรรษาครบ 60 ปีครับ

รอบๆพระธาตุทั้งสององค์ จะมีสวนดอกไม้เมืองหนาวให้เราถ่ายรูปเล่นกัน

บริเวณพระธาตุจะเป็นพื้นที่ของกองทัพอากาศ ซึ่งจะมีค่าเข้าเพิ่มเติม คนละ 50 บาท สำหรับคนไทยครับ

จากพระมหาธาตุ เรานั่งรถขึ้นสู่ จุดสูงสุดแดนสยาม มุมมหาชนที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปกัน โชคดีที่ผมมาเที่ยวในวันธรรมดา เลยไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่

เนื่องจากตรงจุดนี้สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางถึง 2,565 เมตร และเป็นจุดที่สูงที่สุดของไทย อากาศจึงค่อนข้างหนาว แม้ว่าจะมาช่วงหน้าฝนก็ตาม (ถ้าใครมาหน้าหนาว อุณหภูมิที่นี่อาจติดลบได้เลยครับ)

เดินเข้าไปอีกหน่อย จะมีหมุดบอกความสูง ตรงนี้แหละครับที่เป็นจุดสูงสุดของประเทศไทยจริงๆ ส่วนป้ายใหญ่ๆตอนแรก เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป

ใกล้ๆกันนั้น จะมีพระสถูปบรรจุอัฐิของ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 และเป็นพระองค์สุดท้ายที่มีอำนาจในการปกครองเชียงใหม่ ว่ากันว่า พระองค์ทรงมีความชื่นชอบและเห็นความสำคัญของป่าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะดอยอ่างกา (ชื่อเดิมของดอยอินทนนท์) ถึงขนาดมีรับสั่งว่า หากเมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้วก็ขอให้นำอัฐิส่วนหนึ่งไปบรรจุไว้บนยอดดอย

ป่าบริเวณนี้เรียกว่า ป่ากึ่งอัลไพน์ เนืองจากมึสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ทำให้พื้นที่นี้มีพันธุ์ไม้เมืองหนาวหลากหลายชนิดขึ้นเกี่ยวพันบนต้นไม้ จนมีสภาพคล้ายกับป่าดึกดำบรรพ์ และยังสามารถพบเห็นต้นข้าวตอกฤๅษีขึ้นตามพื้นดินคาคบไม้มีสีสันสวยงาม นอกจากนี้ยังมีพืชที่หายากหลายชนิดอาทิ กุหลาบพันปี ซึ่งจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ทุกปี 





ภายในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์มีน้ำตกอยู่หลายแห่ง แต่ที่เราไปเที่ยวก็คือ น้ำตกวชิรธาร ซึ่งเดิมชื่อว่า น้ำตกตาดฆ้องโยง แต่ต่อมาได้ทำการเปลี่ยนชื่อตามพระนามาภิไธยของในหลวงรัชกาลที่ 10



สิ่งที่ทำให้น้ำตกนี้โดดเด่น คือละออกน้ำที่ออกมาจากน้ำตก ทำให้เกิดเป็นสายรุ้งแบบนี้ครับ (มุมขวาล่าง สังเกตดีๆจะเห็นสายรุ้ง)

ช่วงเวลาตอนบ่าย เรามาต่อกันที่ บ้านป่าบงเปียง ซึ่งเป็นหมู่บ้านของ ชาวปกากะญอ (หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ชาวกะเหรี่ยง) โดยชาวบ้านที่นี่จะทำอาชีพหลักคือ การเกษตร ทั้งข้าว ข้าวโพด และพืชผักต่างๆไว้ประทังชีวิตภายในครัวเรือน แต่ที่เป็นไฮไลท์ของหมู่บ้านนี้ ก็คงเป็นนาขั้นบันไดสุดลูกหูลูกตา ที่ผมคิดว่า น่าจะเป็นนาขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุด และสวยที่สุดของไทย

นาขั้นบันไดที่นี่จะมีอยู่แค่ระหว่างช่วงเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนเท่านั้นนะครับ ถ้ามาช่วงอื่น จะไม่เจอ โดยแต่ละเดือน ก็จะมีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

- กรกฎาคม จะเป็นช่วงที่ดำนา จะได้เห็นแสงอาทิตย์ตกกระทบกับพื้นนา
สิงหาคม-กันยายน เป็นช่วงที่นาข้าวเจริญเติบโตเป็นสีเขียวสวยงาม
- ตุลาคม นาจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ปลายเดือนชาวนาจะเริ่มเก็บเกี่ยว
ต้นเดือนพฤศจิกายน นาโดนเก็บเกี่ยวไปพอสมควรแล้ว ถ้าไปช่วงปลายเดือนอาจจะยังพอทันถ่ายรูปกับนาสีเหลืองทอง แต่ถ้าไปหลังกลางเดือนพฤศจิกายน จะไม่เหลือแล้วครับ

อันนี้เป็นรูปผืนนาในช่วงที่ผมไปประมาณต้นเดือนตุลาคมนะครับ เป็นช่วงที่ต้นข้าวเจริญเติบโตเต็มที่ แต่ยังเป็นสีเขียวอยู่







คำแนะนำสำหรับใครที่จะมาเที่ยวที่บ้านป่าบงเปียง

1. ถ้าจะมาดูทุ่งนาที่บ้านป่าบงเปียง ต้องมาในช่วงหน้าฝน ซึ่งอาจจะเจอฝนตกได้ แนะนำให้เตรียมเสื้อกันฝน กับร่มไปด้วยนะครับ

2. 
ปัจจุบัน ทางที่จะไปบ้านป่าบงเปียงมี 2 เส้นทางคือ ทางดอยอินทนนท์ และทางอำเภอแม่แจ่ม สำหรับทางดอยอินทนนท์ซึ่งจะผ่านน้ำตกแม่ปาน ถนนเป็นคอนกรีต รถทุกชนิดเข้าถึงได้ แต่เนื่องจากเป็นทางขึ้นลงเขา ใครขับรถไม่แข็ง แนะนำให้หารถพาเที่ยวจะดีกว่า

3. ก่อนมาที่นี่ เข้าห้องน้ำมาก่อนให้เรียบร้อยนะครับ เพราะที่นี่ไม่มีห้องน้ำสาธารณะ ถ้าอยากเข้าต้องเข้าตามบ้านชาวบ้าน ซึ่งอาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่

 
4. ที่บ้านป่าบงเปียงมีโฮมสเตย์ของชาวบ้านด้วย (ที่ดังๆก็เช่น บ้านระเบียงนา) ราคารวมอาหารจะอยู่ที่คนละไม่กี่ร้อยบาท ถ้าใครสนใจอยากไปนอนค้าง ก็ติดต่อไปได้นะครับ แต่ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้นะ ใครติดสบาย แนะนำให้นอนในเมือง แล้วมาเที่ยวแบบ one day trip จะดีกว่า

ทั้งหมดนี้ก็เป็นที่เที่ยวทั้งหมดที่ผมเหมารถของลุงหนวดไปเที่ยวในวันนี้นะครับ ส่วนตัวผมว่าค่ารถ 2,000 บาทถือว่าคุ้มนะ เพราะเที่ยวได้หลายที่ และลุงแกก็บริการค่อนข้างดี ใครจะไปเที่ยวเชียงใหม่ แนะนำเลยครับ

วันที่สี่

 จริงๆแผนเที่ยวในวัดสุดท้าย ตอนแรกผมจะเที่ยว พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ แต่ผมดันไปวันจันทร์ซึ่งเค้าปิดให้บริการ ผมเลยตัดสินใจเดินเล่นเก็บตกในตัวเมืองเก่าอีกรอบ จากนั้นไปซื้อของฝากที่ ตลาดวโรรส หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า กาดหลวง ก่อนจะกลับไปนั่งเล่นที่โรงแรม รอเวลาขึ้นเครื่องกลับบ้านครับ

 
 
สำหรับรีวิวในซีรีส์ชุดเชียงใหม่ก็จบลงเพียงเท่านี้นะครับ หวังว่าข้อมูลต่างๆที่ผมลงไว้จะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลายคนที่กำลังหาที่เที่ยวในช่วงหน้าฝน ถ้าใครมีคำถามอะไร เม้นไว้ข้างใต้ได้เลย ยินดีตอบทุกคำถามครับ

บล็อกที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2565    
Last Update : 26 เมษายน 2567 22:17:10 น.
Counter : 2058 Pageviews.  

4 วัน 3 คืน เชียงใหม่ เสน่ห์ปลายฝนบนดินแดนล้านนา (ตอนที่ 2: เส้นทางดอยสุเทพ)


สถานที่ท่องเที่ยว : วัดผาลาด, เชียงใหม่ Thailand
พิกัด GPS : 18° 47' 57.48" N 98° 56' 3.13" E

ถ้าพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในเมืองเชียงใหม่ หลายคนคงจะนึกถึงดอยสุเทพ แต่แม้ว่าดอยสุเทพจะเป็นสัญลักษณ์ และเป็นที่เคารพสักการะของชาวเมือง แต่หลายคนรวมทั้งตัวผมที่มาเชียงใหม่นับครั้งไม่ถ้วน กลับไม่เคยมาดอยสุเทพเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทริปนี้ผมเลยหมายมั่นไว้ว่า จะต้องขึ้นมาที่นี่ให้ได้ครับ

สำหรับการเดินทางในวันนี้ ตอนแรกผมกะว่าจะนั่งรถแดงขึ้นมาที่ดอยสุเทพครับ แต่พอคิดไปคิดมา ในเมื่อมาเที่ยวทั้งที อยากแวะเที่ยวหลายๆที่รอบตัวเมืองเชียงใหม่ ผมเลยตัดสินใจเหมารถแดงจากเพจ รถแดงนำเที่ยวเชียงใหม่ by chan ซึ่งเค้าคิดราคาค่ารถอยู่ที่ 1,200 บาทต่อวันรวมทุกอย่างแล้ว ซึ่งโปรแกรมจะพาเที่ยวหลายที่ตามรูปข้างล่างนี้ ยกเว้น พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ที่ปิดเนื่องจากสถานการณ์โควิดครับ

 

 
ถ้าใครสนใจรถแดงนำเที่ยวเจ้านี้ ติดต่อได้ที่เพจนี้ครับ https://www.facebook.com/redcarchiangmai99/

วันที่สอง

ทริปนี้เริ่มออกเดินทาง 9 โมงเช้าครับ รถแดงที่เราติดต่อไว้จะมารับที่โรงแรมที่เราพักเลย สถานที่ท่องเที่ยวที่แรกที่เรามาแวะก็คือ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ครับ

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ตั้งอยู่ภายในเขต อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,046 เมตร ทำให้อากาศบนนี้เย็นสบาย แม้ว่าจะไม่ใช่หน้าหนาวก็ตาม

 

วัดพระธาตุดอยสุเทพสร้างขึ้นในรัชสมัย พญากือนา กษัตริย์ลำดับที่ 6 แห่งราชวงศ์มังรายแห่งอาณาจักรล้านนา เพื่อใช้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ พระสุมนเถระ อัญเชิญมาจากสุโขทัย

การเข้าถึงพระธาตุดอยสุเทพต้องเดินขึ้นบันได 185 ขั้น แต่ถ้าใครขี้เกียจเดินก็สามารถขึ้นรถรางได้ในราคา 20 บาทครับ (ใครจะมา แนะนำให้ขาขึ้นนั่งรถราง ส่วนขาลงลงบันได)

 

ด้านบนจะพบกับองค์เจดีย์สีทอง แลนด์มาร์คสำคัญของตัวเมืองเชียงใหม่ครับ
 

จากดอยสุเทพ พอมองลงไปจะเห็นวิวตัวเมืองเชียงใหม่ และถ้ามาถูกช่วง เราจะได้เห็นเครื่องบินขึ้นลงจากบนนี้ด้วยครับ
 

 

จากดอยสุเทพ เราก็นั่งรถต่อไปอีกไม่ไกล เพื่อไปยัง ดอยปุย ซึ่งเป็นหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวม้ง เรียกว่า บ้านม้งดอยปุย
 

 
ไฮไลท์ของบ้านม้งดอยปุยจะเป็นสวนดอกไม้ที่นักท่องเที่ยวมักจะใส่ชุดม้งไปถ่ายรูปกันในช่วงหน้าหนาว แต่ตอนที่ผมไปเป็นหน้าฝน ดอกไม้เลยยังไม่มี แต่จะมีป่าเขียวขจีให้เราเดินถ่ายรูปเที่ยวเล่นกันแบบนี้ครับ
 

 



นอกจากมุมถ่ายรูปแล้ว ใครที่มาดอยปุย ผมขอแนะนำให้ลองแวะทานข้าวซอยที่ ร้านข้าวซอยลุงสุรินทร์ ด้วยครับ ข้าวซอยที่นี่เป็นข้าวซอยอิสลาม น้ำข้น รสชาติจัดกว่าในตัวเมืองเชียงใหม่ ส่วนตัวผมว่าเป็นข้าวซอยที่อร่อยที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่่เคยกินมาเลยครับ
 

จุดต่อมาก็คือ วัดผาลาด ซึ่งเป็นวัดสุดอันซีนที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก แต่นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีนชอบมาก (ต้องขอบคุณคนขับของเราเลยครับที่แนะนำวัดนี้ให้เรา)

วัดผาลาดเป็นวัดที่เงียบสงบและเก่าแก่ สร้างขึ้นในรัชสมัย พญากือนา ช่วงเดียวกับที่สร้างวัดพระธาตุดอยสุเทพ

จุดเด่นของวัดนี้ก็คงเป็นศิลปะภายในวัดครับ

 







การมาเที่ยววัดนี้ในช่วงหน้าฝน จะทำให้ได้บรรยากาศที่เขียวขจี สดชื่น แต่ดูมีมนต์ขลังแบบเจดีย์องค์นี้ครับ
 

 
จากวัดผาลาด ตรงเชิงดอยสุเทพจะมี อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ซึ่งตอนแรกตามโปรแกรมไม่มีที่นี่ครับ แต่เนื่องจากเราเห็นว่าเป็นทางผ่านและเวลาเหลือ เลยขอแวะซะหน่อย

ครูบาศรีวิชัย เป็นพระเถระชาวลำพูน และเป็นที่เคารพสักการะของชาวล้านนา โดยท่านเป็นผู้สร้างถนนขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพจึงมีการสร้างอนุสาวรีย์ของท่านขึ้นที่นี่

 



 
เนื่องจากในอดีต ครูบาศรีวิชัยเป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงของภาคเหนือ ทำให้พระสังฆาธิการในจังหวัดลำพูนบางรูปนำโดยเจ้าคณะจังหวัดลำพูนตั้งอธิกรณ์กล่าวหาว่าท่าน 8 ข้อ (เช่น ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์ ซ่องสุมกำลังผู้คน คิดขบถต่อบ้านเมือง) และนำท่านไปจำไว้ที่ลำพูนและวัดศรีดอนไชย เชียงใหม่ เพื่อรอส่งตัวท่านไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ

มีคำบอกเล่ากันว่า ครูบาศรีวิชัยได้กล่าวอมตะวาจาไว้ด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจเมื่อครั้งที่ท่านถูกอธิกรณ์เมื่อ พ.ศ. 2478 ว่า “หากน้ำปิงไม่ไหลย้อนขึ้นเหนือ จะไม่ขอไปเหยียบแผ่นดินเชียงใหม่” ดังนั้น พอสร้างอนุสาวรีย์เสร็จและจะทำการขนย้ายอนุสาวรีย์ขึ้นมาประดิษฐานบนดอยสุเทพกลับไม่สามารถขนย้ายอนุสาวรีย์ลงมาจากรถได้ จนเมื่อมีการสร้างเขื่อนภูมิพลทำให้แม่น้ำปิงไหลย้อนขึ้นไปท่วมแถบอำเภอดอยเต่า จึงสามารถอัญเชิญรูปเหมือนกลับมาประดิษฐานที่เชิงดอยสุเทพได้จนถึงทุกวันนี้

 
 
วัดอุโมงค์ เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของจังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัย พญามังราย เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของ พระกัสสปะเถระ ที่พระองค์นิมนต์มาจากลังกาเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาในอาณาจักรล้านนาครับ
 



 
ปัจจุบัน วัดอุโมงค์กลายเป็นสถานปฏิบัติธรรม สถานที่ที่คนมาแสวงหาความสงบ รวมถึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามแปลกตาของเชียงใหม่ เมื่อมาเยือนที่วัดอุโมงค์จะได้พบกับความร่มรื่นและความเงียบสงบภายในวัด 
 



ช่วงเวลาเย็นๆ แดดร่มลมตก เรามาต่อที่ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ครับ

ถ้ายังจำกันได้ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี รัฐบาลในสมัยนั้นได้จัดงาน มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ตรงบริเวณที่เป็นอุทยานหลวงแห่งนี้นั่นเองครับ

 
 

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน บริเวณนี้เคยมีการจัดแสดงสวนนานาชาติ เช่น สวนจากประเทศภูฎาน โมร็อคโก เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เป็นต้น แต่ปัจจุบันไม่เหลือต้นไม้แล้ว เหลือแต่ตัวโครงสร้างให้เราได้นึกถึงวันเก่าๆ
 





 
สิ่งที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่ก็คือ หอคำหลวง ซึ่งถ้าใครเคยดูละครเรื่อง เพลิงพระนาง คงจำหอคำแห่งนี้ได้ใช่ไหมครับ

หอคำนี้สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมท้องถิ่นล้านนา จำลองมาจากหอคำหลวงของเจ้าเมืองเชียงใหม่ในอดีตที่ปัจจุบันไม่เหลือแล้ว

 



 
ภายในหอคำหลวง
 

 
ที่นี่มีค่าเข้า 100 บาทครับ เอาตรงๆผมว่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ เพราะการบำรุงรักษาไม่ค่อยดี ใครมีเวลาน้อย ตัดที่นี่ไปเลยก็ได้ครับ

มาถึงสถานที่สุดท้ายในทริปนี้ คือ วัดพระธาตุดอยคำ ซึ่งป็นวัดเก่าแก่ที่สุด ในบรรดาวัดที่ไปมาทั้งหมดในวันนี้ สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.1230 ในรัชสมัย พระนางจามเทวี แห่ง อาณาจักรหริภุญชัย เพื่อใช้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า

 



 
ในส่วนของรีวิวทัวร์รถแดงวันนี้ ส่วนตัวผมว่าค่อนข้างคุ้มกับเงิน 1,200 บาท เพราะเที่ยวได้หลายที่ เก็บได้ครบเกือบหมด ถ้าใครมาเชียงใหม่แล้วสนใจจะขึ้นมาเที่ยวดอยสุเทพ ผมแนะนำให้เหมารถแดงเที่ยวตามรูทนี้เลย เท่าที่ผมถามมาหลายๆเจ้า ราคาจะอยู่ประมาณนี้เท่ากันหมดครับ

สำหรับรีวิวในตอนนี้ก็ของจบเพียงเท่านี้นะครับ ในตอนหน้าเราจะพาขึ้นดอยอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของไทยนั่นก็คือ ดอยอินทนนท์ นอกจากนี้ เรายังได้ไปแวะไปเที่ยว บ้านป่าบงเปียง ซึ่งเป็นนาขั้นบันไดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของไทยอีกด้วย ฝากติดตามต่อด้วยนะครับ

บล็อกที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2565    
Last Update : 26 เมษายน 2567 22:10:49 น.
Counter : 5056 Pageviews.  

4 วัน 3 คืน เชียงใหม่ เสน่ห์ปลายฝนบนดินแดนล้านนา (ตอนที่ 1: เมืองเก่าเชียงใหม่)


สถานที่ท่องเที่ยว : วัดพระสิงห์, จังหวัดเชียงใหม่ Thailand
พิกัด GPS : 18° 47' 13.68" N 98° 59' 12.55" E


ถ้าพูดถึง จังหวัดเชียงใหม่ หลายคนคงจะนึกถึง การท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวอากาศเย็นๆที่ใครหลายคนมักจะขึ้นไปชมทะเลหมอกบนยอดดอย หรือไปถ่ายรูปกับดอกไม้เมืองหนาวกัน แต่ที่จริงแล้ว เชียงใหม่ไม่ได้มีดีแค่ในช่วงฤดูหนาวเท่านั้นครับ ที่นี่เป็นเมืองที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี สำหรับในช่วงหน้าฝนที่เชียงใหม่ก็มีเสน่ห์และน่ามาเยือนไม่แพ้กัน โดยเฉพาะช่วงเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวที่เชียงใหม่มีความเขียวขจีของต้นไม้ อากาศที่เย็นสบายไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป 

ไฮไลท์สำคัญของการไปเชียงใหม่ในช่วงนี้ก็คือ เราจะได้เห็นบรรยากาศทุ่งนาขั้นบันไดที่เขียวขจีก่อนการเก็บเกี่ยว ไม่ว่าจะเป็นที่ บ้านป่าบงเปียง ส่วนในด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมนั้น หลายคนอาจจะลืมไปว่า นอกจากอยุธยาหรือสุโขทัยแล้ว เชียงใหม่ก็ถือเป็นเมืองประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง เพราะในอดีตที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางของ อาณาจักรล้านนา ทำให้เชียงใหม่ยังมีวัดเก่าแก่ และมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจครับ


สำหรับในรีวิวชุดนี้ ผมจะมารีวิวทริปเชียงใหม่ปลายฝนต้นหนาวของผม ซึ่งผมไปมาในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2563 เป็นเวลา 4 วัน 3 คืนด้วยกัน โดยในทริปนี้ ผมไม่ได้เช่ารถขับนะครับ แต่จะอาศัยการเดินทางด้วยรถสาธารณะและเหมารถไปเที่ยวยังจุดต่างๆเป็นวันๆแทน ซึ่งถ้าใครชอบเที่ยวในสไตล์แบบนี้ สามารถใช้รีวิวชุดนี้เป็นแนวทางในการเที่ยวเชียงใหม่หน้าฝนได้เลย

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสนามบินเชียงใหม่ ด้วยสายการบินไทยเวียดเจ็ทแอร์ (VZ116)
  • เดินทางไปยังที่พัก (โรงแรมยูเชียงใหม่) /เช็คอิน
  • ทานอาหารเที่ยงที่ร้าน Chom cafe
  • เดินเล่นในเขตเมืองเก่า ได้แก่ วัดพระสิงห์ วัดเจดีย์หลวง วัดพันเตา ศาลหลักเมือง และอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
วันที่สอง
  • เหมารถเต็มวันเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพ บ้านม้งดอยปุย วัดผาลาด วัดอุโมงค์ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ และวัดพระธาตุดอยคำ
วันที่สาม
  • เหมารถเต็มวันเที่ยวดอยอินทนนท์และบ้านป่าบงเปียง
วันที่สี่
  • เดินเล่นในเขตเมืองเก่า/ นั่งชิลล์ๆที่โรงแรม
  • เดินไปซื้อของฝากที่กาดหลวง (ตลาดวโรรส)
  • เดินทางกลับกรุงเทพ (VZ117)
รู้จักกับจังหวัดเชียงใหม่

สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดยอดนิยมในด้านการท่องเที่ยวของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ที่นี่เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ (รองจากจังหวัดนครราชสีมา) และมีจำนวนอำเภอมากถึง 25 อำเภอ แต่ในทริปนี้ผมจะนอนค้างที่อำเภอเมืองเป็นหลัก จากนั้นจะเดินทางไปเที่ยวยังอำเภอต่างๆของจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น หางดง, จอมทอง, แม่แจ่ม  ครับ


ในด้านประวัติศาสตร์ เชียงใหม่ถือเป็นอีกเมืองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของ อาณาจักรล้านนา ซึ่งก่อตั้งเมืองโดย พญามังราย ทำให้ที่นี่ถือเป็นเมืองที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ และปัจจุบันชาวเชียงใหม่ก็ยังคงรักษาอัตลักษณ์ทั้งทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภาษาพูดไว้ได้เป็นอย่างดี กลายเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก

เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี ในแต่ละช่วงของปีก็จะมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันออกไป เช่น ถ้าอยากมาสัมผัสกับอากาศหนาว ก็ต้องมาในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ หรือถ้าจะมาสัมผัสกับบรรยากาศทุ่งนาที่เขียวขจี แนะนำให้มาในช่วงปลายฝนต้นหนาว ตอนประมาณเดือนตุลาคมครับ


ข้อดีของการมาเที่ยวเชียงใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมคือ ทุ่งนายังเขียวถ่ายรูปสวยอยู่ แต่ฝนเริ่มน้อยลงแล้ว และอากาศเริ่มเย็น นอกจากนี้การมาเที่ยวในช่วงดังกล่าว เราจะได้พบกับงานเทศกาลต่างๆ ทั้งออกพรรษา และลอยกระทง ซึ่งชาวเหนือจะนิยมแขวนโคมไฟกัน กลายเป็นเสน่ห์ที่มีความพิเศษสำหรับการมาเที่ยวเชียงใหม่ในช่วงนี้
 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คงเป็นเรื่องมลพิษ โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายนของทุกปี ที่นี่มักจะมีปัญหาหมอกควัน PM2.5 เกินมาตรฐาน ถ้าใครจะไปเชียงใหม่ในช่วงนั้น แนะนำให้เอาหน้ากากกันฝุ่น PM2.5 ไปด้วย รวมทั้งต้องปรับกิจกรรม ลดการอยู่ในที่โล่งแจ้ง 

การเดินทางภายในเมืองเชียงใหม่

สัญลักษณ์ที่สำคัญในด้านการขนส่งของเมืองเชียงใหม่ก็คงเป็น รถแดง ถ้าใครอยากลองใช้ชีวิตแบบคนท้องถิ่นแนะนำให้ลองขึ้นดู แต่ปัญหาคือ รถแดงส่วนใหญ่จะราคาไม่แน่นอน ขึ้นกับความสามารถในการเจรจาต่อรองของแต่ละคน และถ้าเค้าเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่จะโดนเรียกราคาค่อนข้างแพง เอาเป็นว่าถ้าใครรับได้หรือมีสกิลในการต่อรองก็ลองขึ้นดู แต่ส่วนตัวผมไม่ขึ้น 

 

อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับใครที่เดินทางเป็นกลุ่มหลายคนที่อยากเน้นเที่ยวสะดวก และไม่อยากไปเจรจาต่อรองเรื่องราคาก็คือ grab ครับ ที่นี่มีทั้ง grab taxi, grab car, grab bike หรือแม้กระทั่ง grab รถแดง ซึ่งราคาผมว่าอาจจะแพงไปบ้าง แต่ก็ทำให้ทริปเชียงใหม่ของเรา ไม่ต้องไปเสียอารมณ์กับพวกรถแดง ผมจึงเลือกเดินทางในเมืองเชียงใหม่ด้วยวิธีนี้
 
 
ที่พักในจังหวัดเชียงใหม่

ทริปนี้ผมเลือกพักที่ โรงแรมยูเชียงใหม่ ครับ โรงแรมนี้เป็นโรงแรมสี่ดาวใจกลางเมืองเก่า ใกล้กับวัดเจดีย์หลวง วัดพันเตา วัดพระสิงห์ ลานสามกษัตริย์ ศาลหลักเมือง ตลาดวโรรส รวมถึงร้านอาหารดังๆ หลากหลายร้าน

ที่นี่เป็นโรงแรมแห่งแรกของ เครือโรงแรมยู (U hotel) ซึ่งเป็นเครือโรงแรมบูติกโฮเทลที่เน้นการนำเอามรดกทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นนั้นๆมาผสมผสานกับสิ่งอำนวยความสะดวกยุคใหม่ มีการยกเอาอดีตจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่มาไว้ภายในโรงแรมด้วยครับ

ความพิเศษของเครือโรงแรมนี้ก็คือ

(1) อาหารเช้าแบบ Breakfast whenever wherever โดยเราสามารถเลือกทานอาหารแวลาใดก็ได้ตลอดทั้งวัน (ไลน์อาหารเช้าจะมีแค่ตอน 6 โมงถึง 11 โมงเช้า) และสามารถสั่งมากินที่ไหนของโรงแรมก็ได้

(2) 
สามารถเช็คอินและเช็คเอาท์เวลาใดก็ได้ โดยจะคิดจำนวนวันที่เข้าพัก 1 วัน เท่ากับ 24 ชั่วโมง หรือ 24-Hour Use of Room ตัวอย่างเช่น ถ้าจองที่พัก 1 คืน เช็คอินบ่ายสอง ก็มีเวลาเช็คเอาท์จนถึงตอนบ่ายสองของวันถัดไป

(3) 
นอกจาก welcome drink เรายังสามารถเลือกเครื่องดื่มอะไรก็ได้ในตู้เย็น 1 รายการทานฟรีเลยครับ
 

อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงคิดว่าโรงแรมดีๆแบบนี้ต้องแพงแน่เลย บอกเลยว่าไม่แพงอย่างที่คิดครับ ผมจองโรงแรมนี้ผ่าน klook ได้ในราคาคืนละ 1,186 บาท หารออกมาต่อคนก็ตกคนละ 500 กว่าบาทต่อคืนเท่านั้นครับ (Klook เป็น online travel agency เจ้าหนึ่งที่เราสามารถใช้จองโรงแรม ทัวร์ หรือบริการต่างๆเกี่ยวกับการท่องเที่ยว โดยเค้าการันตีว่า จองผ่านช่องทางนี้ถูกที่สุด ใครไปเที่ยวไหนก็ลองใช้ดูนะครับ ผมใช้มาหลายรอบล่ะ ทั้งในไทยและต่างประเทศ)
 

วันที่หนึ่ง

เนื่องจากทริปนี้ถือเป็นทริปพักผ่อน เราเลยไม่ได้จองไฟลท์เช้ามาก โดยผมเลือกบินกับสายการบิน Thai Vietjet Air ตอน 11โมงกว่าๆ เราเลยไปถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิตอน 9 โมงเช้าครับ

 

พอมาถึงที่สนามบินเชียงใหม่ ผมก็มองหาเคาน์เตอร์แบบนี้ แล้วแจ้งจุดหมายปลายทาง ค่ารถจากสนามบินเข้าในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่จะอยู่ที่ 150 บาทครับ (อย่าเดินออกนอกประตูไปเรียกแท็กซี่เองนะ โดนโก่งราคาแน่ ผมเคยโดนมาแล้ว)


จริงๆจากสนามบินไปโรงแรมก็ไม่ไกลนะ แค่ 10 นาทีเอง แต่ค่ารถก็แอบแพงเหมือนกัน เคยถามเพื่อนที่เป็นคนเชียงใหม่บอกว่า ถ้าอยากประหยัด แนะนำให้เดินออกไปนอกสนามบิน แล้วโบกรถแดงเอา ราคาถูกกว่า (แต่ผมขี้เกียจ เลยใช้เงินแก้ปัญหา)
 
หลังจากเช็คอินเก็บกระเป๋าแล้ว เราก็ตัดสินใจไปหาอาหารเที่ยงทานครับ ร้านที่ผมจะมาแนะนำวันนี้เป็นร้านอาหารและคาเฟ่สวยๆ ที่ชื่อว่า ชมคาเฟ่ (Chom café) โดยการเดินทางด้วย grab

สำหรับอาหาร ผมว่าร้านนี้กลางๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่จุดขายของร้านนี้คือ สวนของร้านครับ สวนที่นี่จะมีน้ำตก และมีการตกแต่งจำลองว่า เราอยู่ใน ป่าเมฆ (Cloud forest) ที่มีต้นมอสขึ้นอยู่ตามโขดหิน มีไอน้ำพ่นตลอดเวลาให้ดูชื้นๆ ผมว่าคล้ายๆกับทางเดินศึกษาธรรมชาติบนดอยอินทนนท์ ที่ผมจะไปเที่ยวในทริปวันที่สาม


 

พอทานอาหารเที่ยงเสร็จ เราก็นั่งรถกลับโรงแรม พักผ่อนให้หายเหนื่อยสักพัก ก็ตัดสินใจเดินเที่ยวในเขตเมืองเก่าครับ

ข้อดีของโรงแรมยูเชียงใหม่ก็คือ ตัวที่พักตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองเลย เราสามารถเดินไปเที่ยววัดเด่นๆได้หลายวัด เช่น วัดพระสิงห์ วัดเจดีย์หลวง วัดพันเตา รวมทั้ง อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ และ ประตูท่าแพ ได้ด้วยครับ


วัดแรกที่ผมจะพามาชมก็คือ วัดพระสิงห์ ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัย พญาผายู กษัตริย์ล้านนาแห่งราชวงศ์มังราย ในปี พ.ศ. 1888 เพื่อใช้บรรจุพระบรมอัฐิของ พญาคำฟู ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระองค์ เดิมวัดนี้มีชื่อว่า วัดลีเชียงพระ ต่อมาในรัชสมัยของ พญาแสนเมืองมา ได้ทรงโปรดให้อัญเชิญ พระพุทธสิหิงค์ มาประดิษฐานที่วัดนี้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า วัดพระสิหิงค์ และเรียกเพี้ยนต่อมาเป็นวัดพระสิงห์จนถึงปัจจุบัน


สิ่งแรกที่เราจะเห็นเมื่อผ่านประตูวัดเข้าไปก็คือ วิหารหลวง ซึ่งเป็นอาคารที่มีการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบรัตนโกสินทร์กับศิลปะแบบล้านนา สร้างขึ้นในสมัยของครูบาศรีวิชัยเมื่อปี พ.ศ. 2467 เพื่อแทนที่อาคารทรงจตุรมุขหลังเดิม 


หุ่นขี้ผึ้งพระเกจิอาจารย์ดังรูปต่างๆในประเทศไทย จัดแสดงอยู่ในพระวิหารหลวงครับ



วิหารลายคำ สร้างมาแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2061 แต่อาคารที่เห็นตอนนี้เป็นวิหารที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 25 ถือเป็นวิหารแบบล้านนาแท้ๆ เพียงไม่กี่หลังที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน และยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์


ภายในวิหารลายคำ จะเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธสิหิงค์ ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.700 ในลังกา และเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของอาณาจักรล้านนา

ปัจจุบัน พระพุทธสิหิงค์มีการสร้างขึ้นหลายองค์และประดิษฐานตามที่ต่างๆ ทั้งที่เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช และกรุงเทพ โดยองค์ที่วัดพระสิงห์ ไม่ใช่องค์ที่เก่าแก่ที่สุดนะครับ (ถ้าอยากเห็นองค์ที่เก่าแก่ที่สุด แนะนำให้ไปที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่)


ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังบางส่วนภายในพระวิหารครับ


 

ภายในวัดพระสิงห์จะมีพระธาตุซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีมะโรงอยู่ ใครเกิดปีนี้มาไหว้กันได้ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตครับ
 

วัดถัดมาก็คือ วัดเจดีย์หลวง สร้างขึ้นในรัชสมัย พญาแสนเมืองมา เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ พญากือนา ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระองค์ แต่สร้างไม่เสร็จ พระองค์เสด็จสวรรคตซะก่อน มาแล้วเสร็จในรัชสมัย พญาสามฝั่งแกน พระโอรสของพระองค์ในปี พ.ศ.1945 ครับ

ความสำคัญของเจดีย์นี้ก็คือ ในสมัยอาณาจักรล้านนา เจดีย์หลวงแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์สำคัญ 4 องค์ ได้แก่ พระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ พระแก้วขาว และ พระแซกคำ ซึ่งต่อมา พระแก้วมรกตจะถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ เมืองหลวงพระบาง ในช่วงที่ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ซึ่งเป็นกษัตริย์ล้านช้างหลวงพระบาง มาปกครองที่เมืองเชียงใ
หม่


เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในรัชสมัย พระนางเจ้าจิระประภามหาเทวี ทำให้เจดีย์นี้หักลงมาเหลือให้เห็นเท่าที่มีในปัจจุบันแค่นี้ จนเมื่อเร็วๆนี้ ทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ ทำการทดลองนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้างปรากฏการณ์แสง เพื่อต่อยอดองค์เจดีย์หลวง ในวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้หักพังทลายลงมาหลายร้อยปีมาแล้ว ให้กลับมามีความสมบูรณ์แบบยิ่งใหญ่เหมือนดังในอดีต



ใกล้กับวันเจดีย์หลวงจะมี หออินทขีล  ศาลหลักเมืองประจำเชียงใหม สิ่งที่น่าสนใจคือ ที่นี่ห้ามผู้หญิงเข้าครับ เพราะมีความเชื่อว่า ข้างใต้หอมีการฝังพวกเครื่องสักการะจำนวนมาก และประจำเดือนของผู้หญิงจะทำให้ของเหล่านี้เสื่อม
 

อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ (ข่วงสามกษัตริย์) เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ 3 พระองค์ ได้แก่ พญามังราย แห่งอาณาจักรล้านนา พญางำเมือง แห่งแคว้นภูกามยาว (พะเยา) และ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช แห่งอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า เมื่อพญามังรายได้รวบรวมแว่นแคว้นอาณาจักรล้านนาเป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว และพบว่าชัยภูมิบริเวณที่ราบระหว่างแม่น้ำปิงกับดอยสุเทพ (บริเวณเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน) มีความเหมาะสมจะสร้างบ้านเมืองขึ้นมา จึงได้มีการสถาปนา นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ อันเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนาขึ้นที่นี่

ในการนี้พญามังราย ได้เชิญพระสหายทั้งสองมาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการสร้างเมือง รวมทั้งยังได้ทรงกระทำสัตย์ปฏิญาณว่าจะเป็นมิตร ไม่รุกรานต่อกัน ชาวเชียงใหม่จึงร่วมกันสร้างพระบรมราชนุสาวรีย์ของกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ขึ้น


5. ประตูท่าแพ เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเขตเมืองเก่าเชียงใหม่ ที่หลายคนมักมาถ่ายรูปโดยมีพร็อพเป็นนกพิราบ (ส่วนตัว ผมไม่ชอบนะ สกปรก แต่แถวนั้นจะมีคนมาคอยโปรยอาหารให้นก น่ารำคาญมากเลยครับ)




ทั้งหมดนี้ก็เป็นที่เที่ยวในวันแรก ในส่วนของเขตเมืองเก่าของเชียงใหม่ครับ จะสังเกตว่า เชียงใหม่ไม่ได้มีดีแค่ยอดดอย หรือธรรมชาติเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีประวัติศาสตร์ให้เราศึกษาอีกด้วย จริงๆ แล้วในเขตเมืองเก่าเชียงใหม่ ยังมีอีกหลายวัดที่น่าไปชม เช่น วัดโลกโมฬี วัดเชียงมั่น แต่เนื่องจากอากาศร้อน เดินไม่ไหว ผมเลยเก็บได้แค่นี้ เอาเป็นว่า ถ้าใครเป็นสายบุญ หรือต้องการมาไหว้พระเก้าวัด ย่านเมืองเก่าเชียงใหม่ ถือว่าตอบโจทย์เลยครับ
 
สำหรับรีวิวเชียงใหม่ในตอนแรกก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ถ้าใครมีคำถามอะไร คอมเม้นถามได้เลยนะครับ 

บล็อกที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2565    
Last Update : 27 เมษายน 2567 7:12:01 น.
Counter : 25191 Pageviews.  

2 วัน 1 คืน แม่ลาน้อย เสน่ห์บ้านนาแห่งขุนเขาแม่ฮ่องสอน

 
สถานที่ท่องเที่ยว : เฮินไต รีสอร์ท, แม่ลาน้อย, แม่ฮ่องสอน Thailand
พิกัด GPS : 18° 22' 36.12" N 97° 56' 10.82" E

หากพูดถึงฤดูฝน  หลายคนคงต้องนึกถึงความเฉอะแฉะ น้ำท่วม เดินทางสัญจรไปไหนมาไหนลำบาก และเป็นฤดูที่ไม่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยว แต่เชื่อไหมครับว่า นอกจากข้อเสียเหล่านี้แล้ว แต่ในอีกด้านหนึ่ง หน้าฝนก็มีข้อดีมากมาย ทั้งทุ่งนาป่าเขาที่เขียวขจี อากาศที่ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าฤดูอื่น สำหรับในรีวิวนี้ผมจึงจะพาไปเที่ยวสัมผัสเสน่ห์หน้าฝนที่จังหวัดในแถบภาคเหนืออย่าง แม่ฮ่องสอน ครับ

ถ้าพูดถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็คงนึกถึงปาย พระธาตุดอยกองมู บ้านรักไทย ปางอุ๋ง หรือ ทุ่งบัวตองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวฮิต แต่จริงๆแม่ฮ่องสอนไม่ได้มีแค่นั้นครับ ในบล็อกนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนในมุมใหม่ ในอำเภอที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป นั่นก็คือ อำเภอแม่ลาน้อย 

ทริปนี้ผมไปมาในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2564 นะครับ ใครจะไปตามรอยแล้วอยากได้วิวทุ่งนาเขียวๆแบบนี้ ให้ไปช่วงปลายฝนต้นหนาวตั้งแต่เดืิอนสิงหาคมถึงตุลาคมนะครับ

รู้จักกับอำเภอแม่ลาน้อย

แม่ลาน้อย เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งแยกออกจากอำเภอแม่สะเรียงเมื่อปี พ.ศ.2518 โดยที่มาของชื่อ แม่ลาน้อย นั้นมาจากคำว่า แม่ลัวะน้อย ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของ ชาวลัวะ (ในคลิปด้านล่าง) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมในพื้นที่ แต่ต่อมา ชาวไทใหญ่ ได้ทำการอพยพเข้ามาที่อำเภอนี้ ทำให้ชื่อเรียกจึงค่อยๆเพี้ยนมาเป็นแม่ลาน้อยดังในปัจจุบันครับ

 

ปัจจุบัน อำเภอนี้ถือเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้ง ชาวลัวะ ที่อาศัยอยู่ตามหุบเขา (เช่นที่ บ้านละอูบ), ชาวไทใหญ่ และ ชาวไทยวน ที่อาศัยอยู่ในตัวอำเภอ และยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆทั้ง ปกาปะญอ (กะเหรี่ยง) และ ม้ง อาศัยอยู่อีกด้วย
 
 
ในแง่มุมของการท่องเที่ยวนั้น แม่ลาน้อยเป็นอำเภอที่มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อย่าง ถ้ำแก้วโกมล ที่เป็นถ้ำผลึกคริสตัลแห่งเดียวของไทย หรือในด้านวัฒนธรรม ที่นี่ก็มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมทั้ง ไทย, ไทใหญ่, พม่า, ล้านนา, กระเหรี่ยง และ ลัวะ ทำให้ในแถบนี้มีทั้งวัดและเจดีย์ที่เป็นศิลปะในแบบที่แตกต่างจากที่เราคุ้นเคยกัน นอกจากนี้ ถ้าใครมาเที่ยวที่นี่ในหน้าฝน จะพบกับทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาแบบที่อยู่ในรีวิวตอนนี้ครับ

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ขึ้นรถตู้ของเปรมประชาจากสถานีขนส่งอาเขต (ตัวเมืองเชียงใหม่) เพิ่อเดินทางไปยังอำเภอแม่ลาน้อย
  • เช็คอิน เข้าพักที่เฮินไต รีสอร์ท/ ถ่ายรูปกับทุ่งนาตอนเย็น
วันที่สอง
  • เหมารถเที่ยวอำเภอแม่ลาน้อย
  • แวะชมสถานที่ต่างๆในอำเภอแม่ลาน้อยได้แก่ ถ้ำแก้วโกมล, โครงการหลวงแม่ลาน้อย, บ้านละอูบ, บ้านห้วยห้อม และนาขั้นบันไดบ้านดง
  • เดินทางออกจากอำเภอแม่ลาน้อย (ไปยังอำเภอแม่สะเรียง)
ที่พักที่อำเภอแม่ลาน้อย

ในทริปนี้ ผมเลือกพักที่ เฮินไตรีสอร์ท ครับ ที่นี่เป็นรีสอร์ทมาตรฐานแห่งเดียวในอำเภอแม่ลาน้อย โดยเป็นรีสอร์ทกลางทุ่งนา บ้านแต่ละหลังออกแบบเป็นสไตล์ไทใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักในแถบนี้

 

บ้านพักที่นี่มีหลายหลัง เป็นห้องแอร์ทั้งหมด และทุกหลังมองเห็นวิวทุ่งนาในมุมที่แตกต่างกัน
 

สำหรับทริปนี้ ผมจองบ้านพักแฝดชั้นบนไว้ ก็จะเห็นวิวทุ่งนาแบบนี้ครับ
 

มาดูกันที่ในห้องบ้าง เนื่องจากที่พักนี้จะเป็น Eco resort ครับ ดังนั้นใครที่ต้องการความสะดวกสบายและความหรูหราอาจจะผิดหวัง แต่ถ้าใครชอบความเรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติ และความเงียบสงบ รีสอร์ทนี้เหมาะกับคุณเลยครับ
 
 

ภายในรีสอร์ท มีร้านอาหารชื่อว่า ครัวเฮินไต ครับ โดยรวมอาหารที่นี่อร่อยและไม่แพง
 



กิจกรรมยอดนิยมของการมาพักที่รีสอร์ทนี้ ก็คือการมาถ่ายรูป ชมวิวทุ่งนาวิวหลักล้านแบบนี้ครับ
 











 
ผมพักที่นี่ 2 วัน 1 คืนครับ ราคาห้องต่อคืนรวมอาหารเช้าจะอยู่ที่ 720 บาทเท่านั้นเอง (ราคานี้ใช้สิทธิลดจากโครงการเราเที่ยวด้วยกันแล้ว) หารต่อคนตกคนละ 360 บาทครับ โดยรวมถือว่าพอใจ ที่พักอาจจะไม่ได้สะดวกสบาย แต่สะอาด มีวิวสวยๆ บรรยากาศเงียบสงบ ถือว่าตอบโจทย์การมาพักผ่อนในทริปนี้ครับ

ใครสนใจที่พักนี้ สามารถดูรายละเอียด ติดต่อสอบถาม และจองที่พักได้ที่เพจนี้ครับ
https://www.facebook.com/HerntaiResortMaelanoi/

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้เราเริ่มต้นทริปจากจังหวัดเชียงใหม่ครับ โดยเราขึ้น รถตู้เปรมประชา จาก สถานีขนส่งอาเขต ในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อเดินทางไปยังอำเภอแม่ลาน้อย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง ค่ารถตู้อยู่ที่ 300 บาท 

ใครจะเดินทางด้วยรถตู้เปรมประชาจากเชียงใหม่เพื่อไปยังแม่ลาน้อย ผมแนะนำให้จองตั๋วไว้ล่วงหน้านะครับ เนื่องจากตั๋วอาจจะเต็มได้ โดยเราสามารถซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์ตามสถานีขนส่งอำเภอต่างๆของเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน หรือถ้าไม่สะดวก แนะนำให้ซื้อตั๋วออนไลน์ผ่านเว็บไซต์นี้ครับ https://premprachatransports.com/

พอเรานั่งรถตู้มาถึงที่ท่ารถเปรมประชาในอำเภอแม่ลาน้อยแล้ว ผมโทรศัพท์เรียกทางรีสอร์ทให้มารับพวกเราไปยังที่พัก จากนั้นก็เช็คอิน ถ่ายรูปเล่นในที่พัก แล้วก็พักผ่อนครับ
 
วันที่สอง

หลังจากเมื่อวานเราเดินทางมาถึงที่อำเภอแม่ลาน้อยเป็นที่เรียบร้อย ในวันนี้ก็ได้เวลาเที่ยวที่อำเภอนี้ครับ สำหรับในทริปนี้ผมให้ทางเฮินไต รีสอร์ทติดต่อรถสองแถวนำเที่ยวภายในตัวอำเภอให้ โดยค่ารถสองแถวนำเที่ยว 1 วัน จะอยู่ที่ 1,500 บาท (รวมทุกอย่างแล้ว)

 

วนอุทยานถ้ำแก้วโกมล เป็นจุดแรกที่เราแวะครับ ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว Unseen in Thailand ที่มีความสวยงาม แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักกัน ผมเลยขอเอามาแนะนำ จะได้ฮิต
 

ถ้ำแก้วโกมลเป็นถ้ำที่ตัวผนังถ้ำประกอบด้วยผลึกแคลไซต์ซึ่งมีสีขาว ซึ่งในโลกนี้ มีถ้ำลักษณะนี้แค่ 3 แห่งเท่านั้นคือ ที่ไทย จีน และออสเตรเลีย

ถ้าใครมาเที่ยวในช่วงหน้าหนาว จะให้ความรู้สึกเหมือนมาเที่ยว ถ้ำน้ำแข็ง อย่างไรก็ตาม เวลาเข้าชมต้องมีเจ้าหน้าที่อุทยานพาเราเข้าไปชมเท่านั้น และต้องปฏิบัติตามกฎต่างๆอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ภายในถ้ำไม่สามารถถ่ายรูปได้นะครับ เพราะแสงแฟลชอาจจะมีผลกระทบกับผลึกได้ ผมจึงขอนำคลิปที่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายเป็นกรณีพิเศษมาให้ชมกัน

 

ภายในถ้ำจะประกอบด้วย 5 ห้อง ได้แก่ พระทัยธาร, วิมานเมฆ, เฉกหิมพานต์, ม่านผาแก้วและ เพริศแพร้วมณีบุปผา ซึ่งชื่อทั้งหมดนี้ ได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 
 

วนอุทยานถ้ำแก้วโกมล เปิดให้บริการเข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 8.30 – 16.30 น. ยกเว้นช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายนของทุกปี ถ้ำนี้จะปิดเพื่อให้ผลึกได้ฟื้นตัวครับ

จุดต่อมาเป็น จุดชมวิวดอยขุนคำ ซึ่งอยู่ตรงทางขึ้นบ้านละอูบ มีความสูงมากกว่า 1,000 เมตร ที่นี่จึงมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี
 

ชาวลัวะจะเรียกว่า ดอยถั่วเหลือง เนื่องจากมีการปลูกถั่วเหลืองอยู่เป็นจำนวนมากทั้งภูเขา

ไม่ไกลจากจุดชมวิว จะเป็น บ้านละอูบ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของคนลัวะครับ โดยจุดแรกที่ผมจะพามาเยี่ยมชมคือ บ้านของคนขับรถของเราเอง
 

ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน
 

 
วิวทิวทัศน์จากภายในบ้านครับ
 

 
องค์พระใหญ่หลังหมู่บ้าน
 

 
วิวด้านหลังองค์พระ จะมองเห็นนาขั้นบันไดอยู่ลิบๆ
 

จริงๆที่บ้านละอูบยังมีการเปิดเป็นโฮมสเตย์ด้วย ใครสนใจจะเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวลัวะอย่างใกล้ชิด สามารถติดต่อได้ที่ ป้อหลวงนัฐ 088-764-1488

นาขั้นบันไดบ้านดง 
เป็นนาขั้นบันไดของชาวลัวะ ซึ่งจะทำการเพาะปลูกตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม และทำการเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ดังนั้น ช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการมาเที่ยวที่นี่คือ ระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคมครับ 

 




นอกจากนาขั้นบันไดแล้ว ที่นี่ยังมีการเพาะปลูกผักเมืองหนาวอีกด้วยครับ
 

ออกจากบ้านละอูบมาต่อกันที่ บ้านห้วยห้อม ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวปกากะญอ (กะเหรี่ยง) ที่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งมีอาชีพหลักทั้งปลูกข้าว เสาวรส และกาแฟพันธุ์อาราบิก้า รวมทั้งมีอาชีพเลี้ยงแกะ เพื่อทำผ้าทอขนแกะอีกด้วย
 









ใครสนใจอยากจะซึมซับบรรยากาศ และเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวปกากะญออย่างใกล้ชิด ที่นี่มีบ้านพักแบบโฮมสเตย์ โดยติดต่อสอบถาม และจองที่พักได้ที่ นางมะลิวัลย์ ประธานกลุ่มทอผ้าขนแกะและกาแฟ  โทร. 089 555 3900

นอกจากตัวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆแล้ว วิวทิวทัศน์ระหว่างทางที่นี่ก็สวยงามครับ อย่างภูเขาลูกนี้ จริงๆก็มาจากการทำการเกษตรของชาวปกากะญอซึ่งเป็นการทำ ไร่แบบหมุนเวียน กล่าวคือ จะเป็นการเพาะปลูกพืชหลายชนิดทั้งข้าว ผัก และพืชใช้สอยต่างๆ รวมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน จนเมื่อทำการเพาะปลูกไประยะหนึ่งจนดินลดความอุดมสมบูรณ์ลง ก็จะย้ายไปทำการเพาะปลูกในพื้นที่แห่งใหม่ และปล่อยให้ดินตรงนั้นฟื้นตัวได้เองตามธรรมชาติ แล้วจึงหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ในพื้นที่เดิมอีกครั้ง

กล่าวกันว่า การเกษตรในลักษณะนี้ถือว่า เป็นวิธีการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และความอุดมสมบูรณ์ของดินได้มากที่สุดวิธีหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังๆมีการทำไร่หมุนเวียนแบบผิดวิธีจนกลายเป็น การทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งเป็นการตัดไม้ทำลายป่า และกลายเป็นภาพฝังหัวเชิงลบของคนไทยในพื้นที่อื่นๆที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่สูง

 

การเดินทางในทริปวันนี้ ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับชาวบ้านหลายคน และได้เรียนรู้วิธีชีวิต วิถีชุมชน รวมทั้งวัฒนธรรมในแถบพื้นที่สูงหลายอย่าง ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่อาจจะไม่คุ้นเคยกัน ผมเลยอยากให้ลองมาสัมผัสดูที่นี่ครับ เพราะที่นี่ยังมีความดิบ สิ่งที่ได้รับจากท่องเที่ยวที่นี่จึงมีความเรียลมากกว่าในเมืองอื่นๆที่เริ่มถูกสปอยล์จากการท่องเที่ยวกระแสหลักไปแล้ว

สำหรับทริปแม่ลาน้อยก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ ส่วนตัวผมมองว่า ที่นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งอำเภอของจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่มีเสน่ห์แปลกใหม่พอสมควร ด้วยความที่นี่ยังไม่แมส มีความเงียบสงบ ไม่ปรุงแต่ง ถ้าใครชอบเที่ยวสไตล์แบบนี้ แม่ลาน้อยก็เป็นอีกหนึ่งอำเภอที่น่ามาเยือน

บล็อกที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2564    
Last Update : 26 เมษายน 2567 22:30:39 น.
Counter : 1820 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน แม่สะเรียง+สบเมย เสน่ห์ปลายฝนบนดินแดนลุ่มน้ำสาละวิน


สถานที่ท่องเที่ยว : พระธาตุจอมแจ้ง, แม่สะเรียง, แม่ฮ่องสอน Thailand
พิกัด GPS : 18° 9' 38.42" N 97° 56' 32.36" E


แม่สะเรียง เป็นอีกหนึ่งอำเภอของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ตอนผมได้ยินชื่อครั้งแรกแล้วสะดุดหูทันทีครับ ตอนนั้นไม่รู้ว่าด้วยอะไรถึงสนใจที่นี่ นอกจากรู้สึกว่าชื่ออำเภอนี้แปลกดี ก็เลยไปค้นดูว่า ที่นี่มีอะไรให้เที่ยวบ้าง และพอยิ่งค้น ก็ยิ่งรู้สึกว่า ที่นี่แหละ เป็นที่ๆเราน่าจะชอบ ด้วยความที่เป็นเมืองเงียบสงบ มีวัฒนธรรม มีวิถีชีวิตของผู้คนที่แตกต่าง ที่นี่เลยอยู่ใน bucket list ของผมมาหลายปีล่ะ แต่ด้วยความที่มันไปยาก เดินทางลำบาก ไม่มีสนามบิน ต้องต่อรถ ผมเลยไม่ได้มาเยือนที่น่ี่ซะที จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนตุลาคม ปี 2563 ผมก็ได้มีโอกาสมาเยือนเมืองเล็กๆแห่งนี้ซะทีครับ
 
รู้จักกับอำเภอแม่สะเรียง 

แม่สะเรียง
เป็นอำเภอหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วยที่ตั้งที่อยู่ในเขตของ ลุ่มแม่น้ำสาละวิน ทำให้ในอดีต เมื่อกว่า 600 ปีที่แล้ว ที่นี่ถูกตั้งเป็นเมืองเรียกว่า เมืองยวมใต้ โดยกษัตริย์องค์สำคัญของอาณาจักรล้านนาอย่าง พระเจ้าติโลกราช ก็เคยถูกเนรเทศให้มาครองเมืองนี้

ต่อมาในปี พ.ศ.2443 ทางการก็ได้ยกฐานะเมืองนี้ขึ้นเป็น อำเภอแม่ยวม แต่เนื่องจากชื่ออำเภอไปคล้ายกับอำเภอขุนยวมที่อยู่ติดกัน จึงทำการเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอแม่สะเรียง ในปี พ.ศ.2467 ซื่งในเวลานั้น อำเภอแม่สะเรียงถือเป็นอำเภอที่มีพื้นที่มากที่สุดของไทย แต่ด้วยการคมนาคมขนส่งที่ยากลำบาก เพราะเป็นป่าเขา ทางการจึงแบ่งพื้นที่อำเภอนี้ออกเป็น อำเภอแม่ลาน้อย และ อำเภอสบเมย ในปี พ.ศ.2518 และปี พ.ศ.2536 ตามลำดับครับ

 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางมาถึงที่อำเภอแม่สะเรียง
  • เช็คอินเข้าที่พักที่ Above The Sea Boutique Hotel
วันที่สอง
  • เที่ยวชมพระธาตุสี่จอม ได้แก่ พระธาตุจอมแจ้ง, พระธาตุจอมมอญ, พระธาตุจอมทอง และพระธาตุจอมกิตติ
  • ทานอาหารเที่ยงที่ร้านลุ่มเวียง
  • เที่ยววัดถ้ำพระโบราณ
  • เดินทางไปยังบ้านแม่สามแลบ อำเภอสบเมย
  • เที่ยวชมพระธาตุแม่สามแลบ และจุดชมวิวแม่น้ำสาละวิน
  • เดินทางกลับแม่สะเรียง
วันที่สาม
  • เดินทางออกจากอำเภอแม่สะเรียง (กลับเชียงใหม่)

ที่พักที่อำเภอแม่สะเรียง

ผมเลือกพักที่ Above the sea boutique hotel เป็นที่พักทำเลดี ตกแต่งสไตล์บูติกอยู่ใจกลางเมืองแม่สะเรียง



ส่วนตัวผมชอบที่นี่มากครับ เพิ่งกดให้คะแนนเต็มสิบใน agoda ไป เพราะที่พักทั้งสะอาด ตกแต่งสวย พนักงานเป็นมิตร ที่สำคัญอาหารเช้าอร่อยมาก ข้อด้อยเล็กๆน้อยๆของที่นี่มีอย่างเดียวคือ ตัวที่พักไม่ได้ติดกับ แม่น้ำยวม เหมือนที่พักอื่นๆ ซึ่งผมว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เพราะแค่เดินข้ามถนนไปก็เจอแม่น้ำแล้ว

 

ผมจองที่พักนี้ได้จาก Agoda และใช้สิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกันเหลือคืนละ 480 บาท หารต่อคน ตกคนละ 240 บาท เท่านั้นเองครับ (ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้ว) ถ้าใครสนใจ ลองเข้าไปติดต่อสอบถาม หรือจองที่พักได้ในเพจนี้นะครับ https://www.facebook.com/abovetheseamaesariang/

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้ผมเดินทางโดยรถสองแถวจากอำเภอแม่ลาน้อยครับ แต่ถ้าใครไม่ได้จะเที่ยวที่แม่ลาน้อย อยากตรงมาที่แม่สะเรียงเลย วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุดคือ ให้นั่ง รถตู้เปรมประชา จาก สถานีขนส่งอาเขต ในตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ค่ารถตู้อยู่ที่ 200 บาท แนะนำให้จองตั๋วไว้ล่วงหน้านะครับ เนื่องจากตั๋วอาจจะเต็มได้ โดยเราสามารถซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์ตามสถานีขนส่งอำเภอต่างๆของเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอนหรือถ้าไม่สะดวก แนะนำให้ซื้อตั๋วออนไลน์ผ่านเว็บไซต์นี้ครับ https://premprachatransports.com/

ส่วนใครที่เดินทางมาจากกรุงเทพแล้ว แต่ไม่อยากนั่งเครื่องบิน และไม่อยากต่อรถหลายต่อ ก็สามารถนั่งรถทัวร์ของ สมบัติทัวร์ ซึ่งจะออกจากกรุงเทพในช่วงเย็นไปถึงที่แม่สะเรียงตอนเช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11-12 ชั่วโมงครับ

เมื่อมาถึงที่แม่สะเรียงแล้ว เราก็เช็คอินเก็บของเข้าที่พัก แล้วมาเดินเล่นที่ 
ถนนคนเดินแม่สะเรียง ซึ่งเป็นตลาดนัดจัดอยู่หน้าที่ว่าการอำเภอแม่สะเรียง
 

ความดีงามของถนนคนเดินที่นี่คือ เราจะได้พบกับชาวบ้านนำสินค้าท้องถิ่น และอาหารแปลกๆ มาวางขายในราคาที่ถูกมาก เช่น น้ำเก๊กฮวย 1 แก้ว ที่นี่ขายแค่ 10 บาทเท่านั้นเองครับ (ราคาแบบนี้หาไม่ได้ในกรุงเทพแน่นอน)

วันที่สอง

สำหรับโปรแกรมการเดินทางในวันนี้ ในช่วงเช้า ผมจะพาทุกคนไปชมพระธาตุ 4 แห่งของอำเภอแม่สะเรียง จากนั้นในช่วงบ่าย เราจะเดินทางต่อไปยัง บ้านแม่สามแลบ ที่ อำเภอสบเมย เพื่อไปชมแม่น้ำสาละวินครับ สำหรับการเดินทางในวันนี้ เราให้ทางที่พักติดต่อหารถให้ โดยเราเหมารถของ ลุงอ๊อด โดยลุงคิดค่ารถนำเที่ยวอยู่ที่ 1,500 บาท (ใครสนใจเหมา สามารถให้ทางที่พักติดต่อให้ได้ เค้าจะมี contact ลุงอยู่แทบทุกที่ หรือไม่ก็หลังไมค์มาถามเบอร์ลุง จากผมได้นะครับ)

 

พระธาตุสี่จอมแห่งแม่สะเรียง ถือเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของอำเภอแม่สะเรียง ตั้งแต่ที่นี่ยังถูกเรียกว่า เมืองยวม ประกอบด้วย พระธาตุจอมแจ้ง, พระธาตุจอมทอง, พระธาตุจอมมอญ และ พระธาตุจอมกิตติ ตามตำนานกล่าวว่า มีฤๅษีทั้ง 4 ตน ซึ่งเป็นพี่น้องกันเป็นผู้สร้างพระธาตุทั้ง 4 แห่งนี้ โดยฤๅษีทั้ง 4 ตนนี้จะมีความเก่งไปคนละด้าน
 

ฤๅษีผู้พี่เก่งในทางรักษาโรคสามารถปรุงยาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพ ได้ตั้งสำนักและสร้าง พระธาตุจอมกิตติ
 

พระฤๅษีผู้น้องรองลงมาเก่งในทางเล่นแร่แปรธาตุ สามารถแปรเปลี่ยนตะกั่วให้เป็นทอง ได้ตั้งสำนักและสร้าง พระธาตุจอมทอง
 



พระฤๅษีผู้น้องที่สามเก่งในทางอาคม ไสยศาสตร์ทั้งหลาย ได้สร้าง พระธาตุจอมแจ้ง
 



ส่วนฤๅษีผู้น้องท้ายสุดเก่งในทางเรียกฝนเรียกลมด้วยอำนาจแห่งพลังจิต สำเร็จกสิณอภิญญา สามารถเดินเหินบนน้ำหรือ เหาะขึ้นไป บนอากาศก็ได้ด้วยอำนาจแห่งวาโยกสิณ เพ่งลมจนกายเบาใจเบาพาตัวเองลอยละลิ่วไปในอากาศได้ พระฤาษีตนสุดท้ายนี้ได้สร้าง พระธาตุจอมมอญ
 

 
เนื่องจากพระธาตุทั้งสี่แห่งนี้อยู่บนเขา เวลามองลงมาจึงเห็นวิวของทั้งอำเภอแม่สะเรียง โดยเฉพาะใครที่มาในช่วงหน้าฝน จะเป็นช่วงที่ทุ่งนาเป็นสีเขียว และสวยงามที่สุดครับ
 





 

นอกจากนี้ ตรงข้ามกับวัดพระธาตุจอมแจ้ง จะมี พิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง ซึ่งเป็นเรือนไม้สถาปัตยกรรมแบบไทใหญ่ ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของที่นี่  น่าเสียดายว่า ตัวพิพิธภัณฑ์หลังดั้งเดิมได้ถูกไฟไหม้ไปทั้งหลังเมื่อปี พ.ศ.2558 พร้อมๆกับของในพิพิธภัณฑ์ทั้งหมด ส่วนพิพิธภัณฑ์หลังที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้น ก็มีปัญหาบางประการ ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปชมภายในพิพิธภัณฑ์ได้ เราจึงได้แต่ถ่ายรูปเล่นจากภายนอกครับ
 

หลังจากเที่ยวชมพระธาตุเสร็จ ก็ได้เวลาอาหารครับ ร้านที่ผมจะมาแนะนำในวันนี้ ถือเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งของอำเภอแม่สะเรียง ชื่อว่า ร้านลุ่มเวียง 
 

ที่นี่ขายอาหารหลากหลายชนิดตั้งแต่อาหารว่าง ชา กาแฟ เบเกอรี่ ไปจนถึงอาหารกลางวันมื้อหนักอย่างข้าวกระเพราหมูสับ หรือแม้กระทั่งสเต็กก็มีครับ (ดูเมนูได้ที่นี่ https://www.loomwiang.com/)
 

ความดีงามของที่นี่ ไม่ใช่เฉพาะอาหารเท่านั้น แต่คือวิวทุ่งนา ที่ให้ได้บรรยากาศชิลล์ๆ ยิ่งตอนฝนตก ผมว่ายิ่งฟิน นั่งอีกสามชั่วโมงก็ไม่เบื่อ
 

ขณะที่ผมนั่งทานข้าวอยู่ที่ ร้านลุ่มเวียง ผมได้ไถเฟสบุ๊คแล้วไปเจอเพจ สะพายกล้องท่องเที่ยว กับ มาเรีย ณ ไกลบ้าน ซึ่งได้แนะนำวัดอีกแห่งนั่นก็คือ วัดถ้ำพระโบราณ ที่แม้ว่า จะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวหลักของอำเภอนี้ แต่รูปที่ถ่ายออกมา สวยมาก พอทานข้าวเสร็จ ผมเลยถามลุงอ๊อด คนขับรถของเราว่า แวะที่นี่ด้วยได้ไหม ลุงแกบอกว่าได้ ไม่ไกลมาก และอยู่ระหว่างทางไปแม่สามแลบด้วย

ดูรูปสวยๆของวัดนี้ได้ที่เพจมาเรีย ณ ไกลบ้านได้ที่ลิงค์นี้ครับ https://www.facebook.com/marianaklaibaantrip/posts/3349023308453752

วัดถ้ำพระโบราณ เดิมชื่อว่า วัดถ้ำเหง้า เป็นวัดเก่าแก่ของอำเภอแม่สะเรียง แต่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวหลัก คนที่มาเยือนส่วนใหญ่จะมีก็แต่ชาวบ้านในพื้นที่เท่านั้น

 

สิ่งที่ผมชอบของวัดนี้คือ ความเงียบสงบ ตามแบบฉบับของวัดถ้ำจริงๆ
 






พระอุโบสถครับ ตอนผมไปยังสร้างไม่เสร็จ แต่ก็มีความสวยงามตามแบบฉบับไทใหญ่ผสมล้านนา
 
 

หลังจากเที่ยววัดเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังบ้านแม่สามแลบครับ ที่นี่จะอยู่ห่างจากตัวอำเภอแม่สะเรียงประมาณ 55 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงเศษ ถนนอยู่ในสภาพค่อนข้างดีครับ รถอะไรก็ไปได้

พระธาตุแม่สามแลบ ตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้กับท่าเรือบ้านแม่สามแลบ มองลงไปจะเห็นเป็นวิว แม่น้ำสาละวิน แบบนี้

 

แม่น้ำสาละวิน ถือเป็นแม่น้ำนานาชาติอีกแห่งของเอเชีย มีต้นกำเนิดมาจากการละลายของหิมะบนเทือกเขาหิมาลัย ผ่านประเทศจีน (คนจีนเรียกว่า แม่น้ำนู่เจียง) จากนั้นไหลเข้าสู่พม่า และมีอยู่ช่วงหนึ่งคั่นเป็นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า บริเวณอำเภอแม่สะเรียงและอำเภอสบเมย ก่อนไหลไปบรรจบกับ แม่น้ำเมย แล้ววกกลับเข้าประเทศพม่า และไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดียที่อ่าวเมาะตะมะ
 

ท่าเรือบ้านแม่สามแลบ เป็นสุดเขตแดนของประเทศไทยทางด้านนี้ ข้ามฝั่งแม่น้ำไปก็จะเป็นประเทศพม่า ซึ่งในช่วงปกติชาวบ้านที่นี่จะเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกันได้ แต่ตอนที่ผมไปเป็นช่วงที่โควิดในประเทศพม่าระบาดหนักมาก ชายแดนด้านนี้จึงมีการควบคุมอย่างเข้มงวด การข้ามแดนหรือการล่องเรือชมแม่น้ำสาละวินจึงไม่สามารถทำได้ครับ
 

 

ถ้าใครมาช่วงปกติ ผมแนะนำให้ลองมาล่องแม่น้ำสาละวิน โดยเส้นทางล่องเรือจะมีอยู่ด้วยกัน 3 เส้นทางคือ

      1. แม่สามแลบ-สบเมย ใช้เวลาไปกลับ 2 ชั่วโมง ราคา 1,500 บาท
      2. แม่สามแลบ-บ้านท่าตาฝั่ง ใช้เวลาไปกลับ 40 นาที ราคา 1,300 บาท แต่ถ้าค้างคืนคิด 1,800 บาท
      3. บ้านท่าตาฝั่งไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวในเขตพม่า ใช้เวลาไปกลับ 2 ชั่วโมง ราคา 1,500 บาท แต่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยาน เพราะต้องทำเรื่องขอข้ามแดนกับทหารพม่าครับ
 

จริงๆ เท่าที่ผมถามลุงอ๊อด คนขับรถของเรา แกบอกว่า ราคาจริงๆไม่สูงขนาดนี้หรอก ถ้าให้ลุงแกติดต่อน่าจะถูกกว่านี้พอสมควร แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ราคาจริงๆเป็นยังไง เพราะไม่ได้ล่องเรือครับ
 

หลังจากเดินเล่นอยู่ที่บ้านแม่สามแลบอยู่ซักพัก แล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยมีอะไรทำเท่าไหร่ เพราะออกไปล่องเรือไม่ได้ เราจึงตัดสินใจเดินทางกลับแม่สะเรียงครับ

วันที่สาม

เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางครับ วันนี้เราไม่ได้เที่ยวแล้ว ผมเลยมานั่งชิลล์ๆ ทานอาหารเช้าอร่อยๆจากที่พักของเรา (Above the sea boutique hotel)

 

เมื่อได้เวลาสมควร เราก็นั่งมอเตอร์ไซค์ไปขึ้นรถตู้เปรมประชากลับไปเชียงใหม่ ก่อนบินกลับกรุงเทพครับ

สำหรับทริปนี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทริปภาคเหนือหน้าฝนของผม โดยรวมผมชอบที่นี่นะครับ แม่สะเรียงเป็นอำเภอที่เงียบสงบ สถานที่ท่องเที่ยวอาจจะไม่ได้โด่งดังมาก และเมืองก็ไม่ได้เป็นที่นิยมจากนักท่องเที่ยว แต่ก็มีเสน่ห์ในตัวเอง มีธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ วิถีชีวิตของผู้คนก็ยังไม่ได้ถูกสปอยล์จากการท่องเที่ยวกระแสหลัก ถ้าใครชอบเที่ยวสไตล์นี้ ผมแนะนำให้มาเที่ยวกันดูนะครับ แล้วจะไม่ผิดหวัง สำหรับรีวิวแม่สะเรียง ก็ของจบลงที่ตอนนี้นะครับ ถ้าใครสนใจ มีคำถาม หรือต้องการข้อมูลสำหรับติดต่อทั้งที่พักและคนขับรถ สามารถหลังไมค์มาถามได้ ยินดีตอบทุกคำถามครับ

บล็อกที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2564    
Last Update : 26 เมษายน 2567 22:24:13 น.
Counter : 7529 Pageviews.  


เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.